กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 821.5 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง
หลิวเสี้ยนหยางส่ายหน้าตอบไปตามจริง “ข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ เพราะถึงอย่างไรศัตรูของข้าก็มีแค่เดรัจฉานเฒ่าที่เกือบจะฆ่าข้าตายด้วยหมัดเดียวตัวนั้น ข้าขึ้นเขามาครั้งนี้ก็เพื่อมาฆ่าเขา ส่วนขนบธรรมเนียมของยอดเขาทั้งหลายในภูเขาตะวันเที่ยงจะเป็นเช่นไร ข้าไม่สนใจ คานบนไม่ตรงคานล่างเอียง ลักเล็กขโมยน้อย ชายใจโฉดหญิงใจทราม คือเรื่องในบ้านพวกเจ้า ข้าไม่ใช่บรรพบุรุษของพวกเจ้าเสียหน่อย ทำไมต้องคอยกลัดกลุ้มเรื่องขนบธรรมเนียมของพวกเจ้าด้วย”
แต่หลิวเสี้ยนหยางไม่ได้เอ่ยประโยคหนึ่งออกไป
แต่เจ้าวางใจได้ ต้องมีคนคิดได้แน่นอน เจ้าหมอนั่นถึงขั้นคิดจะช่วยเรียบเรียงทำเนียบบรรพบุรุษให้พวกเจ้าใหม่ด้วยความหวังดีแล้วด้วยซ้ำ
จิตใจนางหดหู่เหมือนขี้เถ้ามอด แต่กลับแผดเสียงหัวเราะดังลั่น “คนที่สมควรตายของภูเขาตะวันเที่ยงต้องมีข้าเป็นหนึ่งในนั้นแน่อน แต่ไม่ได้ยินเสียงกระบี่หักมากกว่านี้ ใจข้าไม่ยินยอมเลยจริงๆ!”
ชีวิตนี้สิ่งที่ซือถูเหวินอิงเสียใจมากที่สุดไม่ใช่เรื่องที่หลี่ถวนจิ่งชอบศิษย์พี่หญิง ไม่ได้ชอบนางที่พบเจอกับเขาก่อน แต่เป็นเจตนาชั่วร้ายของจู๋หวงในปีนั้น เขาจงใจมาบอกกับนางที่เพิ่งเลื่อนเป็นขอบเขตก่อกำเนิดเป็นการส่วนตัวว่า แท้จริงแล้วคนที่หลี่ถวนจิ่งชอบแรกสุดคือเจ้า แต่เพราะศิษย์พี่หญิงของเจ้าคือตัวเลือกเจ้ายอดเขาที่อาจารย์ลุงเซี่ยเลือกไว้แล้ว ยิ่งมีความเป็นไปได้ว่าในอนาคตนางจะได้เข้ามาอยู่ในศาลบรรพจารย์ หลังจากชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดีแล้ว หลี่ถวนจิ่งจึงเปลี่ยนใจ
รอกระทั่งภายหลังซือถูเหวินอิงสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ หลังจากที่นางกลายเป็นผีก็ได้ไปหาจู๋หวงที่ตอนนั้นได้ถือเลื่อนเป็นเจ้าขุนเขาอย่างราบรื่น ผลคือฝ่ายหลังหัวเราะเยาะนางบอกว่า เจ้าหลงรักหลี่ถวนจิ่ง แต่กลับไม่รู้เลยว่าคนที่ตัวเองชอบเป็นคนอย่างไร เจ้าก็คู่ควรให้หลี่ถวนจิ่งชอบด้วยหรือ ถึงกับยังมีหน้ามาซักไซ้เอาความผิดจากข้า?
ซือถูเหวินอิงคลี่ยิ้ม
ดูเหมือนว่าชีวิตนี้นางมักจะไม่สมปรารถนาอยู่เสมอ คนและเรื่องราวที่นางรักและอาลัยอาวรณ์ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับความงดงามใดๆ
อยู่ดีๆ ก็เป็นวสันต์ฤดู แล้วทันใดนั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นฤดูร้อน พลันเปลี่ยนเป็นฤดูใบไม้ร่วง จู่ๆ ก็กลายเป็นหน้าหนาวไปเสียแล้ว
จากนั้นก็ไม่มีวสันต์อบอุ่นบุปผาผลิบานอีกแล้ว
เคยเป็นเด็กสาวผู้ลุ่มหลงในรัก กลัวท่านพี่จะคลางแคลง คิดว่ารูปโฉมข้าไม่งามงดเท่าบุปผา
เวลานี้น้ำตาไหลอาบเต็มใบหน้าของนาง แต่ในที่สุดก็ไม่เหลือห่วงใดๆ อีกแล้ว เหมือนรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าจะอารมณ์ดี เป็นชิ้นเป็นส่วนเล็กละเอียด ไม่อาจนำมาประกอบรวมกัน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความผ่อนคลายที่ไม่เคยพบเจอมานาน
เดิมทีหลิวเสี้ยนหยางอยากถามนางว่าต้องการเปลี่ยนสถานที่ฝึกตนหรือไม่ ฝึกกระบี่ที่ไหนก็เหมือนกันทั้งนั้น ต้นไม้ย้ายที่ตาย คนย้ายที่รอด
เพียงแต่พอคิดดูอีกที หลิวเสี้ยนหยางก็กลืนคำพูดพวกนี้กลับลงท้องไป ก่อนหน้านี้นางเองก็พูดไม่ผิด นางคือคนที่สมควรตาย อีกอย่างนางเองก็มีใจอยากตายอยู่แล้วด้วย
ลองมาย้อนนึกดู นางออกจากภูเขามาครั้งนี้ สำหรับการถามกระบี่ครั้งนี้ ซือถูเหวินอิงคงหวังให้ตัวเองตายมากกว่ามาตั้งแต่แรกแล้ว
แล้วก็จริงดังคาด ซือถูเหวินอิงเอ่ยว่า “ดีใจมากที่เจ้าเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว ไม่อย่างนั้นหากเจ้าถูกข้าฆ่าตาย บนโลกก็จะต้องมีคนที่ตายไปอย่างอยุติธรรมเพิ่มมาอีกคน และข้าก็ยังต้องกลับยอดเขาเดียวดายเล็กไปเป็นเถียนโหยวเวิงต่อไป”
หลิวเสี้ยนหยางอีกคนหนึ่งสัมผัสได้ถึงความผิดปกติบนยอดกระบี่ก็พลันคลี่ยิ้ม ดังนั้นหลิวเสี้ยนหยางคนนี้จึงเอ่ยกับผีตนนี้ว่า “ซือถูเหวินอิง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าสหายคนนั้นของข้าสามารถช่วยแยกภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าออกเป็นสองส่วน สักวันหนึ่งน้ำขุ่นน้ำใสจะแยกออกจากกันอย่างชัดเจน? ผู้ฝึกกระบี่คือผู้ฝึกกระบี่เต็มตัว ตะพาบเฒ่าก็ไปกองอยู่รวมกับตะพาบเฒ่า? อีกทั้งวันเวลาในอนาคตตะพาบเฒ่ากลุ่มนี้จะต้องทุกข์ทรมานมากขึ้นทุกวันอย่างแน่นอน!”
ซือถูเหวินอิงส่ายหน้า “อยากเชื่อ แต่ไม่กล้าเชื่อ วิถีทางโลกด้านนอกนั้น ข้าคงไม่มองให้มากความแล้ว จะเชื่อว่าพวกเจ้าทำได้แล้วกัน”
นางหันตัวกลับมากุมหมัดยิ้มเอ่ยกับหลิวเสี้ยนหยาง คำพูดสั่งเสียสุดท้ายในชีวิตนี้ของนาง ดูเหมือนว่าจะยังคงเป็นถ้อยคำที่ผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวของภูเขาตะวันเที่ยงควรจะพูด
“หลิวเสี้ยนหยาง ช่วยนำความข้าไปบอกกับเพื่อนของเจ้าคนนั้น หวังว่าเซียนกระบี่อายุน้อยอย่างพวกเจ้าสองคนจะให้ความเคารพผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวของภูเขาตะวันเที่ยงที่อยู่บนยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียน จากนั้นค่อยเล่นงานเจ้าพวกตะพาบเฒ่าที่ทุกครั้งออกจากศาลบรรพจารย์เป็นกลุ่มท้ายสุดให้ตาย!”
หลิวเสี้ยนหยางกุมหมัด พูดเหมือนล้อเล่น แต่ก็ไม่คล้ายว่าล้อเล่น “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกกับเฉินผิงอันก็แล้วกัน เจ้าเด็กนั่นแต่ไหนแต่ไรมาล้วนเชื่อฟังข้า ไอ้หมอนี่เป็นน้ำเต้าตันมาตั้งแต่เด็กแล้ว ดื้อด้านยิ่งนัก พวกจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กลุ่มนั้นของภูเขาตะวันเที่ยงพวกเจ้าก็แค่มีชีวิตอยู่มานานเท่านั้น อันที่จริงเจ้าเล่ห์สู้เขาไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
มารดามันเถอะ โชคดีนะที่ข้าผู้อาวุโสไม่ได้ลากเฉินผิงอันมาด้วยกัน คนหนึ่งออกกระบี่ คนหนึ่งออกหมัด ต่อยตีตั้งแต่ตีนเขามาจนถึงยอดเขา ซ้อมเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นให้ตายย่อมไม่มีปัญหาแน่ แต่เกินครึ่งคงไม่มีโอกาสได้มาคุยโวให้ซือถูเหวินอิงฟังแล้ว
ซือถูเหวินอิงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงแค่มองตาของเซียนกระบี่หนุ่มเงียบๆ
ราวกับว่าดวงตาที่ใสกระจ่างเช่นนี้ บนภูเขาตะวันเที่ยงจะมีไม่มากเลยจริงๆ
บนขั้นบันไดของยอดเขาอีเซี่ยน หลิวเสี้ยนหยางพลันนั่งแปะลงไปบนพื้น
ส่วนซือถูเหวินอิงที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศก็ค่อยๆ เป็นดั่งกลุ่มควันที่สลายหายไป
โชคชะตากระบี่ที่แบกไว้ ปราณวิญญาณบนร่าง สมบัติอาคมทุกชิ้น วัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมาย นางไม่เอาไปด้วยแม้แต่อย่างเดียว ทิ้งกลับคืนไว้ให้ภูเขาตะวันเที่ยงทั้งหมดทั้งอย่างนี้
ในสายตาของคนนอก นี่ก็คือการถามกระบี่ที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม เซียนกระบี่หญิงที่มีภาพบรรยากาศของขอบเขตหยกดิบอยู่หลายส่วน เดิมทีพอจะยึดครองความได้เปรียบอยู่บ้าง มรรคกถาเวทกระบี่โดดเด่นอย่างถึงที่สุด ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ดันกายดับมรรคาสลายไป?
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืน เดินขึ้นที่สูงต่ออีกครั้ง ก้าวขึ้นบันไดพลางสบถด่าไปด้วย “เอาขอบเขตหยกดิบที่สมควรตายแต่ไม่ตายสักทีมาถามกระบี่กับข้าดีๆ สักครั้งบ้างได้ไหม ขอร้องหลานเต่าอย่างพวกเจ้าล่ะ!”
กลางระเบียงบนหอเรือนสูงของยอดเขาตุ้ยเซวี่ย จิ้นชิงซานจวินขุนเขากลางประหลาดใจอย่างมาก เมื่อครู่หญิงสาวที่อยู่ข้างกาย อยู่ดีๆ ก็กลายเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งจากไปไกล ความเร็วนั้นช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก จึงได้แต่ถามหยวนป๋าย “เกิดเรื่องอะไรขึ้น? สาวใช้ข้างกายของเจ้าคนนี้ หากมองไม่ผิด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นขอบเขตหยกดิบ แล้วยังเป็นเซียนกระบี่ด้วย? แต่เจ้าไม่รู้เลยหรือ?”
หยวนป๋ายมึนงงยิ่งกว่าจิ้งชิงเสียอีก เขาส่ายหน้า เอ่ยอย่างจนใจ “ไม่รู้เรื่องเลยสักนิด”
จากนั้นเขาก็หัวเราะ “ช่างเถิด แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน วันหน้าเมื่อนางไปหาเจ้านายจะได้ง่ายขึ้น”
จิ้นชิงเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “เซียนกระบี่ใหญ่หยวนตัวดี ใจกว้างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ นะ”
หยวนป๋ายฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว สีหน้าเหนื่อยล้าเล็กน้อย แต่ก็มีความโล่งใจแฝงอยู่ด้วย สภาพจิตใจของเขาปลอดโปร่งขึ้นหลายส่วน “หากยังไม่ใจกว้างก็คงถูกความโมโหทำให้อัดอั้นจนตายไปแล้ว”
หลังจากนั้นหยวนป๋ายก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับซานจวิน มอง ‘ภาพบุปผาบานบนยอดกระบี่’ ด้วยกัน ต่อมาก็มีกระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งออกจากภาพนั้นมาหยุดลอยอยู่กลางระเบียง
หยวนป๋ายค้นพบว่าวันนี้หัวสมองของตัวเองใช้การได้ไม่ค่อยดีสักเท่าไร
จิ้นชิงทำสีหน้ามีเลศนัย ถึงกับรับกระบี่บินส่งข่าวเล่มนั้นมา แต่กลับไม่อ่านเนื้อหาในจดหมายลับ เพียงบีบให้มันแหลกสลายไปโดยตรง ยิ้มเอ่ยว่า “หยวนป๋าย นางจากไปแล้ว เจ้ายังยินดีอยู่ที่นี่อีกหรือ? เชื่อข้าเถอะ เจ้าไปอยู่สำนักเจินจิ้งเถอะ พวกเราสองคนอยู่ใกล้กันหน่อย จากนั้นค่อยร่วมมือกับสำนักเจินจิ้ง และยิ่งได้ดูแลขุนเขาสายน้ำเก่า หากเจ้าอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยง ข้าก็จะไม่ช่วยเจ้าคัดเลือกตัวอ่อนเซียนกระบี่มาให้แล้ว”
กระบี่บินบางส่วนพุ่งจากจุดที่บุปผาผลิบานไปอย่างมีเป้าหมาย เพื่อไปบอกกล่าวกับแขกที่มาเข้าร่วมงานบางคนว่าสามารถจากไปได้แล้ว
กระบี่บินบางส่วนเป็นแค่เวทอำพรางตา ใครรับไว้แล้วเปิดดูเนื้อหาที่อยู่ภายใน คนผู้นั้นก็จะต้องมึนงง
และยิ่งมีกระบี่บินบางส่วนที่นอกจากจะทำให้เซียนกระบี่จำนวนหนึ่งบนยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงไม่เข้าใจเรื่องราวแล้ว ยังเหมือนคนมีดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกง ใครรับไว้คนนั้นก็ต้องเสียใจภายหลังจนในอนาคตนึกอยากจะตัดมือตัวเองทิ้งเสียให้ได้
หยวนป๋ายยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ทำเป็นเล่นสนุกแบบนี้เลยหรือ? ถึงอย่างไรข้าก็เป็นผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่ออยู่บนทำเนียบของยอดเขาอีเซี่ยน คิดอยากจะหลุดพ้นไปจากภูเขาตะวันเที่ยง ไหนเลยจะง่ายดายเพียงนั้น จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างพวกจู๋หวงต้องไม่มีทางยอมตกลงแน่”
จิ้นชิงกระตุกมุมปาก “เจ้าคิดว่าข้าเป็นคนที่ทำอะไรโดยใช้อารมณ์อย่างนั้นหรือ? หากไม่มีความมั่นใจเลยสักนิด จะให้เจ้าเสี่ยงอันตรายลงจากภูเขาแบบนี้ไหม? จะเอ่ยกับเจ้าเป็นประโยคสุดท้าย นอกจากสำนักกุยหยก เหวยอิ๋ง สำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิง ยังมีคนตอบตกลงเรื่องหนึ่ง บอกว่าจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในอาณาเขตของราชวงศ์จูอิ๋งเก่าไม่ต้องฝึกกระบี่ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยมลพิษสกปรกอีกต่อไป หยวนป๋าย! หากเจ้ายังมัวอิดเอื้อน เจ้าก็อยู่ที่นี่ต่อไปเถอะ วันหน้าเสียใจจนไส้เขียวก็อย่ามาระบายทุกข์กับข้า ข้าจะคิดเสียว่าแจกันสมบัติทวีปไม่มีผู้ฝึกกระบี่หยวนป๋ายอีกต่อไป!”
หยวนป๋ายทำท่าจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก
จิ้นชิงเหลือบตามองไปยังยอดกระบี่แล้วแค่นเสียงหัวเราะ จากนั้นหันหน้ามาตบไหล่หยวนป๋าย “ตอนที่ควรตัดไม่ยอมตัดให้ขาด ย่อมเกิดความวุ่นวายภายหลัง หยวนป๋ายไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ในหลุมอาจมเช่นนี้”
หยวนป๋ายพยักหน้ารับ จิ้งชิงจึงกวักมือเรียกเรือข้ามฟากที่ดึงดูดสายตาลำนั้นมา พาหยวนป๋ายขึ้นเรือจากไป จากนั้นก็ขยับเข้าไปใกล้ยอดเขาอีเซี่ยนเล็กน้อย
จิ้นชิงยืนอยู่บนหัวเรือ เหลือบตามองยอดเขาเพียนเซียนที่มีพวกจักรพรรดิและขุนนางคนสำคัญอยู่ก่อน แล้วค่อยมองไปยังยอดเขาสองแห่งอย่างโปอวิ๋น สุ่ยหลงที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำรวมตัวกัน
ตรงศาลาริมหน้าผาของยอดเขาหม่านเยว่ กระบี่บินเล่มหนึ่งมาหยุดลอยนิ่งเหมือนนกที่บินมาเกาะกิ่งไม้
เหวยเลี่ยงยิ้มเอ่ย “อย่ารับ”
เจียงเซิงกลับรับกระบี่บินมา เปิดจดหมายลับออกดูก็หลุดหัวเราะพรืด มีแต่ความว่างเปล่า ไม่มีเนื้อหา นางจึงหันหน้าไปยิ้มเอ่ยขออภัย
เหวยเลี่ยงกุมขมับ ได้แต่ยิ้มเอ่ยอย่างอ่อนใจว่า “ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรคนที่คันมือก็ไม่ได้มีแค่เจ้าคนเดียว”
ทางฝั่งของฝูหนันหัวและเจียงอวิ้นที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ต่างคนต่างก็ได้รับจดหมายคนละหนึ่งฉบับเช่นกัน เจียงอวิ๋นเปิดจดหมายลับออกอ่านอย่างไม่ลังเล แล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ ในจดหมายบอกว่า ขอบคุณที่ช่วยชี้ทางให้บนท่าเรือหางผึ้ง
จากนั้นเจียงอวิ้นก็บอกกล่าวเหวยเลี่ยงกับเจียงเซิงหนึ่งคำ บอกว่าเขาจะกลับแล้ว
เจียงเซิงถามอย่างสงสัย “ไม่ร่วมงานพิธีแล้วหรือ? ดูตามเวลาที่ภูเขาตะวันเที่ยงกำหนดไว้ นี่ก็ใกล้จะเริ่มงานแล้วนะ”
เจียงอวิ้นส่ายหน้า ครั้นจึงทะยานลมจากไป ไปจากภูเขาตะวันเที่ยงทั้งอย่างนี้
หลังจากฝูหนันหัวเปิดจดหมาย ใบหน้าก็เต็มไปด้วยพยับเมฆ สุดท้ายแค่นเสียงในลำคอหนึ่งที ถ้อยคำที่ปรากฎในจดหมายทำให้ฝูหนันหัวอกสั่นขวัญผวา
เจ้าฝูหนันหัวและนครมังกรเฒ่าติดค้างชีวิตข้าสองชีวิต หากวันนี้ยินดีใช้คืนให้ก่อนหนึ่งชีวิต เจ้าก็อยู่ต่อ วันหน้าตำแหน่งเจ้านครที่เดิมทีควรเป็นของเจ้าก็จะได้ยกให้พี่ชายใหญ่หรือไม่ก็พี่สาวคนรองของเจ้าได้พอดี
เหวยเลี่ยงใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “หนันหัว เจ้าสามารถจากไปก่อนได้ จริงๆ นะ อย่าอวดเก่งเลย วันหน้าก็อยู่ห่างจากคนที่เขียนจดหมายนี่ให้มากหน่อย ยิ่งห่างเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ทางที่ดีที่สุดนับแต่นี้ไปพวกเจ้าสองฝ่ายอย่าได้พบเจอกันอีกเลย”
ฝูหนันหัวอึ้งตะลึง สุดท้ายเพื่อความปลอดภัยไว้ก่อนจึงกุมหมัดบอกลาเหวยเลี่ยงแล้วจากไป ส่วนคู่บำเพ็ญตบะบนภูเขา ภรรยาในบ้านของเขานั้น ตอนลงจากภูเขา เขาไม่ได้บอกกล่าว นางเองก็ไม่ได้รั้งเอาไว้ ถึงขั้นไม่ได้พูดอะไรกันสักคำเดียว
ทุกหนทุกแห่งล้วนมีกระบี่บินมาหยุดลอยอยู่
มีผู้ฝึกกระบี่ของกลุ่มยอดเขาภูเขาตะวันเที่ยงที่ไม่แม้แต่จะมองก็ทำลายกระบี่บินให้แตกสลาย
แต่คนมากกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งแขกผู้สูงศักดิ์บนภูเขาที่มาร่วมแสดงความยินดี ส่วนใหญ่กลับรู้สึกว่าน่าสนใจ บางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าภูเขาตะวันเที่ยงมีลูกเล่นแปลกใหม่อะไรมาเล่น บางคนก็แค่อยากชมเรื่องสนุกอย่างเดียวเท่านั้น และในบรรดานั้นก็มีเซียนกระบี่ของกลุ่มยอดเขา โดยเฉพาะคนหลายคนที่มีเก้าอี้อยู่ในศาลบรรพจารย์ภูเขาตะวันเที่ยงที่ทำลายกระบี่ไปแล้ว แต่กลับยังมีกระบี่บินพุ่งมาหาอีก หนึ่งครั้งสองครั้งผ่านไปก็เริ่มมีคนลังเล สุดท้ายจึงยอดเปิดจดหมายลับอ่านเนื้อหาภายใน ในบรรดากลุ่มคนที่ว่านี้ก็มีเหล่าเซียนกระบี่เจ้าของยอดเขาอย่างยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียน ยอดเขาฉงจือ…
เซียนกระบี่ผู้เฒ่ายอดเขาโปอวิ๋นอ่านจดหมายลับจบก็ตบกระบี่บินให้แตกกระจายด้วยฝ่ามือเดียว เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ลูกไม้เหลวไหลอะไรกัน?! ถึงกับมีคนกล้าก่อเรื่องที่ศาลบรรพจารย์แบบนี้เลยหรือ?!”
ในจดหมายลับไม่ได้เอ่ยถ้อยคำไม่น่าฟังอะไร เป็นแค่ประโยคที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุ บอกว่าขออวยพรให้ผู้ฝึกกระบี่แห่งยอดเขาโปอวิ๋นออกกระบี่อยู่ในต่างบ้านต่างเมืองได้อย่างราบรื่น
ทางฝั่งของยอดเขาเพียนเซียนก็เป็นสถานการณ์พอๆ กัน
กลับเป็นยอดเขาฉงจือที่พอเหลิ่งฉี่บรรพจารย์หญิงได้อ่านจดหมายลับที่มีเนื้อหายาวเหยียดแล้ว ต่อให้จะแสร้งทำสีหน้าสุขุม แต่แท้จริงแล้วในใจของนางกลับมีคลื่นถาโถม ขวัญผวากระเจิดกระเจิง ถึงกับยังไม่กล้าไปที่ศาลบรรพจารย์เพื่อสืบเสาะให้รู้แน่ชัด
อุตรกุรุทวีป ผู้คุ้มกันเฒ่าที่ดูแลสินค้าซึ่งขนส่งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายกว้างใหญ่หยิบถุงน้ำขึ้นมาดื่มน้ำ แล้วจึงคลี่ยิ้ม ถ้าอย่างนั้นก็รอไปอีกหน่อยแล้วกัน ให้เวลาเจ้าได้ฝึกกระบี่อีกสองสามร้อยปี
อิ่นกวานหนุ่มผู้นี้สมองไม่แย่เลยจริงๆ
เขาถอนหายใจ แล้วก็เป็นคนดีที่หาได้ยากด้วย
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงเมืองเล็กในปีนั้นขึ้นมา เด็กชายที่มักจะมายืนป้วนเปี้ยนอยู่ห่างๆ ด้วยอาการน้ำลายสอ
แต่พอคนขายถังหูลู่เปิดปากพูดคุยด้วย เด็กชายกลับไม่มาปรากฏตัวให้ชายฉกรรจ์เห็นอีกเลย
——