กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 821.7 แยกร่างภูเขาตะวันเที่ยง
หนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่เชียวนะ อันที่จริงเซอเยว่ชื่นชมเลื่อมใสนางมานานมากแล้ว
เพียงแต่ว่าเมื่อเซอเยว่ปรากฎตัวในแสงจันทร์ก็ให้เสียใจภายหลังทันที
เพราะหนิงเหยาลืมตาขึ้น กล่องกระบี่ที่อยู่ด้านหลังของนาง ต่อให้กระบี่ยาวไม่ได้ออกจากฝัก ลำพังเพียงแค่ปณิธานกระบี่ที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นก็ทำให้เซอเยว่รู้สึกแล้วว่าหากตนปรากฎตัวแล้วต้องตาย
แต่เพียงไม่นานหนิงเหยาก็เก็บปราณกระบี่มา ยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ขอโทษด้วย ลืมไปว่าเป็นเจ้า”
เซอเยว่รีบเผยกายทันใด นางรู้สึกดีใจอยู่บ้าง หนิงเหยาบอกว่าลืมไป นั่นแสดงว่าเมื่อก่อนหนิงเหยาต้องเคยได้ยินเรื่องของตนสินะ
แต่หลังจากที่คนทั้งสองนั่งลงตรงนั้นก็ไม่มีอะไรให้พูดคุยกันอีก แค่ต่างคนต่างนั่งเหม่อเท่านั้น
คนหนึ่งคิดว่าหม้อไฟเป็ดผัดหน่อไม้แห้งของหลิวเสี้ยนหยางอร่อยยิ่งนัก แต่ไม่อาจกินได้ เพราะถึงอย่างไรก็ได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเล่าให้ฟังว่าดูเหมือนบรรพจารย์ย้ายภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงจะฝ่าทะลุขอบเขตอีกแล้ว นั่นคือขอบเขตบินทะยานที่ดูแคลนไม่ได้เชียวนะ
อันที่จริงหนิงเหยาเองก็ไม่ได้ตั้งใจบำรุงปณิธานกระบี่สักเท่าไร นางกำลังคิดถึงบทสนทนากับเจ้าหมอนั่นก่อนหน้านี้
‘เจ้าว่าลู่จือชอบอาเหลียงหรือไม่?’
‘ไม่สักหน่อย’
นางรู้สึกไม่เชื่อสักเท่าไร
เขาจึงอธิบายว่า ‘หากลู่จือชอบอาเหลียง อาเหลียงก็ไม่มีทางพูดแบบนั้นกับนาง มีแต่จะหนีไปให้ไกล’
นางพยักหน้า ฟังดูแล้วก็เหมือนว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่จริง
นางหันหน้ามาเหมือนกำลังพูดว่า เจ้าช่างเข้าใจได้ดีจริงๆ
ตอนนั้นคนผู้นั้นทำอะไรไม่ได้เลยได้แต่แสร้งโง่งมอีกครั้ง
เซอเยว่ที่เวลานี้เค้นสมองครุ่นคิด ในที่สุดก็หาเรื่องคุยได้ จึงเอ่ยเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่ร้านริมลำคลอง การหลอมกระบี่หลายครั้งของหลิวเสี้ยนหยางล้วนค่อนข้างอันตราย ต้องให้ข้าคอยปกป้องมรรคาให้ ตอนที่ตื่นขึ้นมา ใบหน้าหลิวเสี้ยนหยางอาบไปด้วยเลือด บาดเจ็บไม่เบา ดังนั้นอันที่จริงขอบเขตหยกดิบนี้ของเขาได้มาไม่ง่ายเลย”
หนิงเหยากล่าว “เพราะหลิวเสี้ยนหยางรู้สึกว่าตัวเองต้องดูแลเฉินผิงอัน”
เซอเยว่กึ่งเชื่อกึ่งกังขา เหลือบตามองหนิงเหยาอย่างระมัดระวัง เอ่ยเสียงแผ่ว “ใต้เท้าอิ่นกวานหรือจะต้องการให้คนอื่นมาดูแล”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “อันที่จริงใต้หล้านี้ก็มีแต่หลิวเสี้ยนหยางเท่านั้นแหละที่คิดเช่นนี้ และเฉินผิงอันเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน เอาเป็นว่าพวกเขาสองคนต่างก็รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดินอย่างมาก ไม่ต้องใช้เหตุผลใดๆ เลยด้วยซ้ำ เจ้ามาถึงเมืองเล็กตอนหลังแล้ว เลยไม่รู้เรื่องนี้”
เซอเยว่ร้องอ้อหนึ่งที เจ้าคือหนิงเหยา เพราะฉะนั้นเจ้าว่าอย่างไรก็อย่างนั้นเถอะ
หนิงเหยาพลันหันหน้ามาเอ่ยสัพยอก “วันหน้าควรต้องเรียกเจ้าว่าพี่สะใภ้หรือไม่?”
เซอเยว่ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน อดกลั้นอยู่นาน ก่อนย้อนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าเรียกเจ้าว่าน้องสะใภ้?”
หนิงเหยาไร้คำพูดตอบโต้
แม่นางหน้ากลมพลันรู้สึกว่าตัวเองช่างฉลาดเสียจริง
หนิงเหยาลุกขึ้นยืน หันหน้าไปมองร่องรอยการถามกระบี่ที่อยู่ใกล้กับยอดเขาอีเซี่ยนแล้วถามว่า “เซอเยว่ เจ้าไม่เป็นห่วงความปลอดภัยของหลิวเสี้ยนหยางบ้างหรือ?”
เซอเยว่ยังคงนั่งอยู่ ส่ายหน้าตอบว่า “ไม่ห่วงหรอก เขาบอกแล้วว่าหากสู้ไม่ได้ก็จะหนี ใครไล่ตามเขามาคนนั้นก็ต้องกินอาจม”
หนิงเหยายิ้มบางๆ “เจ้าก็ยังเป็นห่วงอยู่ไม่มากก็น้อยนั่นแหละ”
เซอเยว่อึ้งตะลึง จากนั้นก็เห็นว่าสตรีขอบเขตบินทะยานผู้นี้เบนหน้าไปทางทิศเหนือเล็กน้อย
เซอเยว่เข้าใจได้ทันที ที่แท้เจ้าก็เป็นห่วงอิ่นกวานหนุ่มที่ใจดำอำมหิตผู้นั้นนี่เอง
ดังนั้นพวกนางจึงทะยานลมไปทางทิศเหนือด้วยกัน หนิงเหยาบอกว่าแค่จะไปรอที่ท่าเรือป๋ายลู่เท่านั้น
เซอเยว่พยักหน้ารับอย่างแรง พูดอย่างเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี “ก็บุรุษนี่นะ ล้วนมีหน้าตาให้ต้องรักษา ไม่ค่อยเต็มใจอยากให้สตรีเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไร”
หนิงเหยาเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “แต่คนบางคนกลับหน้าไม่อาย”
เซอเยว่พูดเบาๆ “เจ้าแค่ด่าเฉินผิงอันก็พอแล้ว ไยต้องด่าหลิวเสี้ยนหยางด้วย”
หนิงเหยาเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่ได้ด่าหลิวเสี้ยนหยาง”
เซอเยว่หัวเราะแห้งๆ สองสามที หันมาแอบมองหนิงเหยา เวลานี้สตรีที่อยู่ข้างกายช่างเหมือนสตรียิ่งนัก
เรือข้ามฟากลำหนึ่งจอดอยู่ใกล้ด้านหลังภูเขาบรรพบุรุษ แต่ไม่ได้จอดเทียบท่า ไม่ได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวที่มาจากยอดเขา
แต่เฉาจวิ้นกลับยังเปิดจดหมายลับตามเวลาที่ตกลงกันไว้ เนื้อหาในจดหมายทำให้เฉาจวิ้นหัวเราะหึหึ ดีเยี่ยม
‘ศิษย์พี่ให้ข้านำความมาบอก หากเจ้ายินดีไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไป ก่อนจะลงจากเรือให้ส่งกระบี่ไปทางยอดเขาฉงจือสองสามทีให้พอเป็นพิธี’
เฉาจวิ้นรู้สึกว่าจำเป็นต้องมอบของขวัญกลับคืน ภายหลังจึงออกจากเรือข้ามฟากไปเพียงลำพัง ทูตผู้ตรวจการอะไรนั่น หากอิงตามลำดับศักดิ์แล้วเล็กจะตายไป ไม่จำเป็นต้องไปทักทาย เพียงแค่เอ่ยประโยคหนึ่งกับหลิวสวินเหม่ยว่าวันหน้าค่อยเจอกัน หากไม่ใช่ในยุทธภพล่างภูเขาก็คงต้องเป็นสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
หลังที่เฉาจวิ้นออกไปจากเรือข้ามฟากก็ไปที่ยอดเขาฉงจือ บอกกล่าวชื่อแซ่ของตัวเอง “นายท่านใหญ่อย่างข้าแซ่เฉานามจวิ้น ภูมิลำเนาคือตรอกหนีผิงอำเภอไหวหวง เป็นคนบ้านเดียวกันกับหลิวเสี้ยนหยาง!”
จากนั้นก็ออกกระบี่ใส่ยอดเขาฉงจือติดกันสามครั้ง
เซียนกระบี่ก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งแล้ว?
ถามกระบี่เสร็จสิ้นก็ถือว่าเรียบร้อย เฉาจวิ้นจึงขี่กระบี่ออกเดินทางไกล ข้ามมหาสมุทรกว้างใหญ่ตรงไปยังซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ส่วนบนยอดเขาฉงจือที่เป็นเหมือนบ้านหลังคารั่วแล้วเจอะฝนตกติดต่อกันหลายวัน พวกแขกที่มาเข้าร่วมงานพิธีต่างก็ด่ามารดาเจ้าคนที่บอกว่าตัวเองชื่อเฉาจวิ้นผู้นั้นไม่หยุด พวกผู้ฝึกตนหญิงบนภูเขาก็ยิ่งหวาดกลัว
ทว่าคนที่เป็นกังวลมากที่สุดกลับยังคงเป็นเหลิ่งฉี่ เพราะเซียนกระบี่หญิงของยอดเขาฉงจือท่านนี้ได้รับจดหมายลับที่มีเนื้อหาเยอะมาก
ใครๆๆ ของยอดเขาฉงจือ ทำเรื่องอะไรลงไปบ้างในสถานที่ใดวันเดือนปีใด ทุกเรื่องบอกละเอียดยิบ แม่นยำอย่างยิ่ง
นอกจากนี้แล้วในจดหมายยังมีอีกประโยคหนึ่งบอกว่า หากข้าเป็นเจียงซ่างเจินแห่งอุตรกุรุทวีปคงช่วยยอดเขาฉงจือของพวกเจ้าเขียนนิยายรักประโลมโลกไปได้เจ็ดแปดเล่มแล้ว
และประโยคช่วงท้ายๆ บนจดหมายก็ยิ่งสะดุดตามากเป็นพิเศษ เจ้าดูแคลนหนีเยว่หรงนักไม่ใช่หรือ เจ้าก็แค่อิจฉาในรูปโฉมที่อ่อนเยาว์ของนางเท่านั้นเอง ตอนที่เจ้ายังสาวก็มีคุณสมบัติที่จะปีนขึ้นเตียงของเซี่ยหย่วนชุ่ยแห่งยอดเขาหม่านเยว่ ทุกวันนี้ขอบเขตสูงแล้ว กลับกลายเป็นว่าปีนไม่ได้แล้ว ก็เลยอัดอั้นมากเลยใช่ไหม? ผู้ฝึกตนหญิงสายของยอดเขาฉงจือ ภายในเวลาสามร้อยปีก็มีคนถึงสิบหกคนที่ถูกเจ้าส่งไปให้เซียนซือบนยอดเขาและคนมีอำนาจล่างภูเขา หรือว่ายอดเขาฉงจือคือหอโคมเขียว หรือว่าเจ้าเหลิ่งฉี่คือแม่เล้า? จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรรับเงินมาบ้างสิ?
ตอนที่เรือข้ามฟากของซานจวินขุนเขากลางเคลื่อนผ่านยอดเขาหม่านเยว่ หยวนป๋ายยืนอยู่บนหัวเรือกับจิ้นชิง จุดจบของผีสาวตนนั้น หยวนป๋ายมองเห็นแล้ว เขาถอนหายใจ “เห็นแก่หน้าของซานจวินถึงได้ไม่ให้ข้าออกไปรับกระบี่”
จิ้นชิงหลุดหัวเราะพรืด “น่าเสียดายที่ครั้งนี้ข้าผู้อาวุโสออกมาจากบ้านไม่ได้เอาหน้ามาด้วย จึงไม่อาจมอบให้ใครได้”
จิ้นชิงไม่เพียงแต่พาหยวนป๋ายจากไป ก่อนหน้านี้ยังแอบส่งข่าวไปแจ้งแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายของต้าหลี หรือไม่ก็กษัตริย์ที่อยู่ใต้อาณัติของอดีตราชวงศ์จูอิ๋ง เตือนพวกเขาว่าให้ระวังจะโดนร่างแหเดือดร้อนไปด้วย หากอยากจะดูเรื่องสนุกจริงๆ ก็หนีไปให้ไกลหน่อย
หยวนป๋ายเอ่ยเสียงดังกังวาน “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป หยวนป๋ายแห่งยอดเขาตุ้ยเซวี่ยไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงอีกต่อไปแล้ว!”
เกาเซวียนรัชทายาทต้าสุยทั้งไม่ได้รับจดหมายลับที่มาจากยอดกระบี่ และก่อนหน้านี้เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะมีการถามกระบี่ครั้งนี้ ทว่าเขากลับเลือกที่จะนั่งเรือข้ามฟากออกไปจากยอดเขาเพียนเซียนเช่นเดียวกับซานจวินจิ้นชิง
ส่วนรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาหลินลู่ก็พลันปรากฏตัว ยิ้มบอกว่าเป็นทางผ่านพอดี ขอเขาติดเรือไปด้วยคน
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสามคนของหลิวจื้อเม่าที่มีเถียนหูจวินเป็นหนึ่งในนั้นก็ออกจากภูเขาที่ตัวเองอยู่ในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกันแล้วการจากไปของพวกเขาไม่ได้เอิกเกริกนัก
เทพภูเขาจากภูเขาไฉ่จือทายาทของขุนเขาใต้ได้รับกระบี่บินส่งจดหมายฉบับหนึ่ง ในจดหมายบอกว่าหลังจากลงจากภูเขาไปแล้วให้ช่วยนำของชิ้นนี้ไปมอบต่อให้ฟ่านซานจวิน
คือแผ่นหยกแผ่นหนึ่ง แกะสลักคำว่า ‘จวิ้นชิงอวี่เซียง’ สี่คำ
ตรงช่วงท้ายของจดหมายบอกเทพภูเขาที่มีตำแหน่งสูงเป็นถึงภูเขาทายาทท่านนี้ว่าไม่ต้องรีบร้อนตอบตกลงทำเรื่องนี้ เพียงแต่ว่าเหตุใดถึงได้มาที่นี่ก็ไม่สู้ลองคิดถึงปัญหาข้อนี้ให้ดีเสียก่อน
หลิวเหล่าเฉิงยิ้มถาม “เจ้าประมุขผู้เฒ่า เป็นอย่างไร ครึกครื้นดีไหมล่ะ?”
เกาเหมี่ยวหัวเราะเสียงดังอย่างสาแก่ใจ ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็หนีไปให้ไกลสักหน่อย พวกเราสองพี่น้องค่อยมาดูเรื่องสนุกกันต่อ”
เหวยเลี่ยงลุกขึ้นทะยานลมจากไปแล้ว ถึงอย่างไรข้าก็ไม่มีชื่อเสียงอะไร ครั้งนี้ติดตามสกุลเจียงอวิ๋นหลินมาเพื่อกินเปล่าดื่มเปล่า ในเมื่อได้เห็นวิธีการที่พอจะมองเห็นอย่างชัดเจนได้คร่าวๆ แล้วก็สามารถลงจากเขาไปได้แล้ว ถึงอย่างไรงานพิธีการครั้งนี้ มีข้าเพิ่มมาคนหนึ่งก็ไม่เหมือนเพิ่ม มีข้าน้อยลงคนหนึ่งก็ไม่เหมือนน้อยลง
ส่วนหลี่ฝูฉวี เดิมทีก็คือหนึ่งในห้าเค่อชิงที่ได้รับการบันทึกชื่อจากการที่ภูเขาลั่วพั่วเลื่อนเป็นตระกูลเซียนอักษรจงตั้งแต่คราวก่อน คนที่เหลืออีกสี่คนคือผู้ถวายงานจากสำนักกระบี่หลงเซี่ยงทักษินาตยทวีปอย่างถัวเหยียนฮูหยิน ผู้ฝึกตนสายยันต์ของอุตรกุรุทวีป หวนอวิ๋น เซียนกระบี่หญิงแห่งธวัลทวีป เซี่ยซงฮวา ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดจากตำหนักจินอูอุตรกุรุทวีป หลิ่วจื้อชิง แล้วนับประสาอะไรกับที่นอกจากนี้แล้วยังมีเค่อชิงที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่ออีกสองคนที่ยิ่งทำให้หลี่ฝูฉวีสะท้านสะเทือน หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียน! เว่ยจิ้นเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะ!
ดังนั้นหลี่ฝูฉวีที่ไม่ได้รับกระบี่บินแจ้งข่าวก็กลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไปโดยตรงเช่นกัน ไม่คิดปิดบังเรือนกายที่ออกเดินทางไกลของตัวเองแม้แต่น้อย
ฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพยิ้มถามลูกศิษย์ผู้สืบทอดว่า ว่าอย่างไร เกาเจี้ยนฝูมีสีหน้าปล่อยวาง ยิ้มเอ่ยว่า กลับภูเขาไปฝึกตน ศิษย์คร้านจะมองดูแผนการอันปราดเปรื่องของอิ่นกวานแล้ว เห็นแล้วหงุดหงิดใจ
ฉีเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม นี่ก็ถือว่าเป็นการฝึกตนเหมือนกัน
ยามที่เจ็บปวดจากความรักชายหญิง ไฟโทสะในใจจะลุกโหมเผาไหม้ความทรงจำที่งดงามทั้งหมดให้กลายเป็นเถ้าถ่าน แต่หลังจากนั้นสะเก็ดไฟแห่งความริษยาจะลุกโชนขึ้นมาใหม่ท่ามกลางกองขี้เถ้า
หากสามารถมองทุกอย่างได้อย่างปล่อยวาง นั่นต่างหากถึงจะเป็นก้าวแรกในการคลายเงื่อนตายของปมความรักอย่างแท้จริง
สุดท้ายเกาเจี้ยนฝูถามว่า “อาจารย์ จะจากไปเงียบๆ หรือว่า?”
ฉีเจินยิ้มตอบ “วันหน้าจะได้ขอเหล้าจากสหายเก่าที่ภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะเพิ่มหลายจอกหน่อย”
จะว่าไปแล้ว ฉีเจินนั้นยิ่งหวังให้ในอนาคตสำนักโองการเทพของตนสามารถคบค้าสมาคมกับสำนักอักษรจงอย่างสำนักกระบี่หลงเฉวียนและภูเขาลั่วพั่วได้
ใบถงทวีปที่กว้างใหญ่ไพศาลพินาศวอดวายในเวลาเพียงเสี้ยวนาที กลับเป็นแจกันสมบัติทวีปที่สกัดขวางการผลักดันรุดหน้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไว้อย่างแน่นหนา นี่ทำให้ฉีเจินเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่ง อันที่จริงก็มีแค่สองคำเท่านั้น ใจคน
ทางฝั่งของสกุลสวี่นครลมเย็น สวี่หุนอ่านจดหมายลับฉบับหนึ่งจบ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนท่านนี้ก็ขยำจดหมายลับแน่น บีบจนมันแหลกละเอียดในทันที สีหน้าเขียวคล้ำ จ้องภรรยาของตนเขม็ง ไม่ยอมใช้สมองก็คอยดูมันขึ้นสนิมเถอะ!
หลิวเสี้ยนหยางบอกไว้แล้วว่า ปีนั้นเดิมทีก็เต็มใจขายเสื้อเกราะโหวจื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษชิ้นนั้นอยู่แล้ว มอบให้ใครก็เหมือนกัน แม้จะบอกว่ายังเหมือนเป็นการบังคับซื้อขาย แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรภายหลังพวกเจ้าก็เป็นฝ่ายมอบแคว้นหูกลับคืนมาให้ หนี้ก้อนนี้ก็ถือซะว่าหายกันแล้ว จำไว้ว่าต้องเอ่ยขอบคุณสวี่ฮูหยินแทนข้าสักคำ ไฉ่ป๋อฝูศิษย์พี่ของนางคนนั้น ปีนั้นทำหน้าที่เป็นสะพานสานความสัมพันธ์ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ช่วยให้การค้าครั้งนี้สำเร็จลงด้วยดี แลกเปลี่ยนมาด้วยอนาคตบนมหามรรคาของตัวเขาเอง โจรในบ้านก็ยากจะป้องกันเช่นนี้แล มิอาจไม่ตรวจสอบดูให้ดี
ช่วงท้ายของจดหมาย เจ้าขุนเขาหนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วยังบอกกับสวี่หุนอย่างตรงไปตรงมาว่า หากยินดีอยู่ต่อเพื่อช่วยเหลือญาติที่ดองกันผ่านการแต่งงานอย่างภูเขาตะวันเที่ยง ย่อมดีที่สุด หลิวเสี้ยนหยางกับเขาจะรอคอยสกุลสวี่นครลมเย็นอยู่ที่ศาลบรรพจารย์
เรือข้ามฟากลำที่ทูตลาดตระเวนเฉาผิงอยู่ หลังจากเฉาจวิ้นจากไปก็ยังคงมีเซียนกระบี่คนหนึ่งที่เร่งรุดมาที่นี่ มาอยู่บนเรือลำนี้
เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ เฉาผิง กวนอี้หรานและหลิวสวินเหม่ย เวลานี้ต่างก็มารวมตัวกันอยู่ในห้องแห่งหนึ่ง
ก่อนที่เว่ยจิ้นจะเข้ามาในห้องและนั่งลง กวนอี้หรานกับหลิวสวินเหม่ยก็ได้จงใจทิ้งรองเจ้ากรมพิธีการคนนั้นเอาไว้ พากันมาพูดคุยเรื่องการค้ากับใต้เท้าทูตผู้ตรวจการเพียงลำพัง หรือควรจะบอกว่ากวนอี้หรานมาเพื่อมอบบจดหมายฉบับหนึ่งที่เตรียมมาไว้นานแล้ว จดหมายลับที่แท้จริง
เฉาผิงไม่ได้ตอบตกลง แต่ก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพียงแค่ให้หลิวสวินเหม่ยไปเชิญเว่ยจิ้นมา ถามคำถามข้อหนึ่งว่า “เจ้าขุนเขาหนุ่มคนนี้พูดจาเชื่อถือได้หรือไม่?”
เว่ยจิ้นพยักหน้ารับ “หากไม่ได้อยู่บนโต๊ะสุรา ล้วนสามารถเชื่อได้ทุกเรื่อง”
เฉาผิงหัวเราะ “เข้าใจแล้ว สวินเหม่ย เจ้าไปแจ้งใต้เท้ารองเจ้ากรมสักคำ บอกว่าข้ามีธุระจะกลับไปก่อน ให้เขาอยู่ต่อเพื่อร่วมงานพิธีก็แล้วกัน”
ระหว่างหมู่ยอดเขาของภูเขาตะวันเที่ยงมีผู้ฝึกตนทะยานลมจากไปอย่างต่อเนื่อง มีเรือข้ามฟากแล่นจากไปไกลอย่างไม่ขาดสาย
ในศาลบรรพจารย์ของยอดเขาอีเซี่ยน เฉินผิงอันยังคงดื่มชา หลังจากรู้ข่าวหนึ่งแล้ว เจ้าสำนักจู๋หวงก็เริ่มดื่มชาเช่นกัน เพราะไม่ว่านอกภูเขาจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นอย่างไรก็ดูเหมือนว่าต่อให้พวกมันรวมเข้าด้วยกันก็ยังไม่ทำให้จู๋หวงประหลาดใจได้เท่าข่าวที่ได้มานี้
ดังนั้นจู๋หวงจึงเริ่มคิดพิจารณาตามคำกล่าวของอีกฝ่ายอย่างจริงจัง ภูเขาตะวันเที่ยงเป็นฝ่ายตัดชื่อของหยวนเจินเย่ออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูล จากนั้นค่อยให้คนสังหารอดีตผู้ถวายพิทักษ์ภูเขาตนนี้
จำเป็นต้องทำเช่นนี้จริงหรือ? ไม่มีพื้นที่ให้ถอยเลยหรือไร? หรือจะบอกว่าเมื่อจิตสังหารบังเกิดขึ้นก็พร้อมจะเดินไปบนคมดาบ ไม่ต้องสนใจคนหนุ่มที่ฝีมืออำมหิต ชวนให้คนสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุดผู้นี้?
เฉินผิงอันพลันวางถ้วยชาลง ลุกขึ้นเดินไปหน้าประตูใหญ่ ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าต้องไปต้อนรับบรรพจารย์ย้ายขุนเขาสักหน่อย”
——