กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 822.1 ภูเขาลั่วพั่วร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง
ตอนนี้ไม่มีผู้ฝึกกระบี่มาขวางทางหลิวเสี้ยนหยางชั่วคราว ตอนที่เดินขึ้นสู่ที่สูงเขาจึงหันไปมองระหว่างยอดเขาอีเซี่ยนและยอดเขาหม่านเยว่แวบหนึ่ง ยังคงมีเมฆขาวเป็นกลุ่มๆ ล่องลอยผ่านไปอย่างเอ้อระเหย เพียงแต่ว่านับจากวันนี้ไปบนโลกจะไม่มีสตรีคนหนึ่งที่ขี่กระบี่ทะยานเมฆ คนที่ใส่ชุดท่องราตรีสีดำสนิทเหมือนสีน้ำหมึกมาเอนหลังพิงต้นไม้เขียวชอุ่มเต็มภูเขาอีกต่อไปแล้ว การถามกระบี่ที่เป็นเช่นนี้ไม่อาจทำให้หลิวเสี้ยนหยางรู้สึกว่าน่าสนใจได้เลยจริงๆ
วันนี้หลิวเสี้ยนหยางขึ้นเขาถามกระบี่ไปสามครั้งติด ยอดเขาฉงจือ ยอดเขาอวี่เจี่ยว ยอดเขาหม่านเยว่ แต่ละแห่งต่างก็มีผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งมารับกระบี่
สุดท้ายหลิ่วอวี้พ่ายแพ้ถอยร่น อวี่หลิ่นที่สูงศักดิ์เป็นถึงเจ้ายอดเขาของยอดเขาอวี่เจี่ยวยังนอนหลับอยู่บนพื้น ไม่มีใครกล้าไปเก็บเขามา สุดท้ายผีสาวก่อกำเนิดที่เผยภาพบรรยากาศของหยกดิบ รู้แค่ว่านางเป็นเซียนกระบี่หญิงที่มาจากยอดเขาหม่านเยว่ แต่กลับไม่ได้บอกชื่อแซ่ นางก็ยิ่งกายดับมรรคาสลาย
ภูเขาเขียวรอคอยแสงจันทร์ทุกค่ำคืน เมฆขาวโน้มน้าวให้ดื่มของในกา
หลิวเสี้ยนหยางหยิบกาเหล้าขึ้นมาหนึ่งกา เดินขึ้นสู่ที่สูงพลางดื่มเหล้าไปด้วย
ในที่สุดก็เดินมาถึงเกือบๆ กึ่งกลางภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยน ห่างจากหอถิงเจี้ยนอีกไกล ยิ่งไม่ต้องพูดถึงศาลบรรพจารย์บนยอดกระบี่เลย
แต่ดูจากท่าทางแล้ว กระบี่บินแจ้งข่าวที่เหมือนบุปผาผลิบานอยู่ในภูเขาก่อนหน้านี้ น่าจะเป็นเฉินผิงอันที่ทำตามข้อตกลง ไปเลือกเก้าอี้ตัวหนึ่งที่นั่นแล้วกำลังนั่งดื่มชารอเขา
เจ้าเฉินผิงอันผู้นี้มีดีอยู่อย่างหนึ่ง นับตั้งแต่เด็กมาก็ไม่เคยพูดจาวางโต ในกระเป๋ามีเงินหนึ่งเหวินจะไม่พูดว่ามีสองเหวินเด็ดขาด พูดแล้วทำได้จริง
อันที่จริงหากไม่นับภูเขาเขียวของยอดเขาทั้งหลายที่ดูเหมือนว่าเจอคนไม่ดี ลงจากเรือโจรได้ยากแล้ว น้ำใสเมฆขาวนอกเหนือจากนี้ก็ไม่ควรมาอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงเลยจริงๆ
หลิวเสี้ยนหยางสบถด่าไปตลอดทาง โหวกเหวกว่าภูเขาตะวันเที่ยงรีบส่งตัวตะพาบเฒ่าที่ต่อสู้เป็นมาเสียที เลิกทำให้ข้านายท่านใหญ่หลิวสะอิดสะเอียนได้แล้ว แค่ให้สตรีกับลูกกระต่ายมารับกระบี่ จะนับเป็นเรื่องอะไรได้
หลิวเสี้ยนหยางร่ายรายชื่อออกมาเป็นพรวน ด่าตั้งแต่เจ้าสำนักจู๋หวง เซี่ยหย่วนชุ่ยแห่งยอดเขาหม่านเยว่ เถาแยนโปแห่งยอดเขาชิวลิ่ง เยี่ยนฉู่แห่งยอดเขาสุ่ยหลงครบไปแล้วคนละรอบ จากนั้นก็สำแดงให้เห็นถึงขนบธรรมเนียมอันซื่อบริสุทธิ์ที่มีเฉพาะในบ้านเกิดของตน ถือโอกาสนี้ตั้งฉายาให้กับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าอีกหลายคน หวงจู๋จื่อ ตงจิ้นลวี่ เถาปู้เตี้ยว เยี่ยนไหล หากเอามารวมกันก็จะได้ความหมายว่าต้นไผ่ในฤดูหนาวเป็นสีเขียวแซมเหลือง เมื่อมาเยือนแล้วย่อมหนีไม่พ้น พอดีเลย วันนี้ภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าสามารถจัดงานมงคลพร้อมกันได้เลย
จะว่าไปแล้วก็แปลก ภูเขาทั้งหลายอย่างยอดเขาหม่านเยว่ ภูเขาชิวลิ่งที่บรรพจารย์บ้านตนถูกด่าเสียจนไม่เหลือชิ้นดี พวกผู้ฝึกกระบี่โกรธเคืองคับแค้น แต่กลับไม่มีลางว่าจะออกจากภูเขามาออกกระบี่
กลับเป็นภูเขาที่สามารถวางตัวอยู่นอกเหนือเรื่องราวอย่างยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียนที่มีผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยหลายคนทยอยขี่กระบี่ออกมา มุ่งหน้ามายังยอดเขาอีเซี่ยน
ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องแพ้ หรืออาจถึงขั้นต้องตาย แต่พอได้รับการอนุญาตอย่างเป็นนัยจากบรรพจารย์ของตัวเอง หรือไม่ก็ได้รับการนำพาจากผู้ฝึกกระบี่เจ้ายอดเขา ก็ต้องไปพบหลิวเสี้ยนหยางเซียนกระบี่หนุ่มให้จงได้
ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยน ก่อนหน้านี้อยู่ดีๆ เจ้าสำนักจู๋หวงก็บอกว่ามีธุระให้ต้องไปที่ยอดกระบี่ แต่กลับไม่ได้บอกใครว่าไปทำอะไร ไปพบใคร
นี่ทำให้เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสามคนซึ่งมีเซี่ยหย่วนชุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นประหลาดใจเป็นทบทวี เพราะความคิดที่จู๋หวงเสนอแก่พวกเขา เมื่อเถียนโหยวเวิงผู้ถวายงานเบื้องหลังรบตายไปกะทันหัน แผนการยิ่งใหญ่อันดีงามก็กลายเป็นความว่างเปล่า เนื่องจากจิตวิญญาณของนางผสานรวมกับค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยนมานานแล้ว เดิมทีขอแค่ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยนแห่งนี้บอกกล่าวแก่นาง ต่อให้นางจะตกเป็นรองหลิวเสี้ยนหยาง แต่ขอแค่โคจรค่ายกลใหญ่ สร้างความปั่นป่วนให้กับภาพบรรยากาศฟ้าดิน ช่วยปิดหูปิดตาผู้คน บรรพจารย์สามท่านในหอถิงเจี้ยนที่มีเซี่ยหย่วนชุ่ยเป็นหนึ่งในนั้นก็สามารถร่วมมือกันออกกระบี่ได้อย่างเงียบเชียบ สังหารหลิวเสี้ยนหยางได้โดยที่ผีไม่รู้เทพไม่เห็น
ตอนนั้นผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่รีบใช้เสียงในใจสอบถาม ในเมื่อมีเหตุเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ต่อจากนี้ควรจะปล่อยกระบี่อย่างไร
แต่ดูเหมือนว่าจู๋หวงจะจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถึงกับบอกว่าให้พวกเขาลงมือไปตามสถานการณ์
เซี่ยหย่วนชุ่ยโมโหจนเกือบจะโยนภาระหน้าที่ทิ้งทันที ศิษย์หลานอย่างเจ้าเป็นเจ้าสำนักประสาอะไร คิดจะเป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านอย่างนั้นรึ?!
ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยนนี้ ต่อให้จู๋หวงจะยิ้มบางๆ เอ่ยขออภัยแขกทุกคนที่มาร่วมงานพิธีหนึ่งประโยคแล้วก็พลิ้วกายจากไปทันที แต่กระนั้นก็ยังมีเซียนกระบี่ผู้เฒ่าสามท่านที่เป็นหยกดิบหนึ่งก่อกำเนิดสองเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่ หนึ่งในนั้นก็เป็นบรรพจารย์เซี่ยหย่วนชุ่ยที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม เล่มหนึ่งมีชื่อว่าเยว่อวิ้น (รัศมีดวงจันทร์) อีกชื่อหนึ่งคือตี้ซ่างซวง (เกล็ดน้ำค้างแข็งบนพื้น)
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่งก็ยิ่งมีพลังพิฆาตเลิศล้ำ สามารถสังหารคนได้อย่างไร้ร่องรอย มีชื่อว่า ‘ซางซิน’ (เสียใจ/ทำร้ายหัวใจ)
ในฐานะเทพเจ้าแห่งโชคลาภของภูเขาตะวันเที่ยง กระบี่พกของเถาแยนโปมีชื่อว่าอวี้โล่ว (นาฬิกาน้ำ) ได้มาจากซากปรักของแคว้นสู่โบราณแห่งหนึ่ง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีชื่อว่าชิวโป
กระบี่บิน ‘ชิวโป’ (ริ้วน้ำในฤดูใบไม้ร่วง อุปมาถึงดวงตาของสาวงาม/ดวงตาหวาดหยาดเยิ้ม) แม้ชื่อจะฟังดูอ่อนหวาน แต่กลับมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่อำมหิตอย่างถึงที่สุด ปราณกระบี่เหมือนลมฤดูใบไม้ร่วงที่หนาวเยียบเย็น หากเข้าไปในร่างกายได้ ปราณกระบี่จะเฉียบคมยิ่ง ชำระล้างอวัยวะภายใน ทำให้ผู้ฝึกลมปราณที่ได้รับบาดเจ็บจากกระบี่บิน แค่ลองโคจรปราณวิญญาณเล็กน้อยในช่องโพรงลมปราณขนาดใหญ่แห่งต่างๆ ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ก็จะมีไอเย็นก่อกำเนิดขึ้นมาแล้วค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเหน็บหนาว สุดท้ายปราณวิญญาณในร่างจะจับตัวเป็นเหมือนน้ำแข็ง สร้างความเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่คือ ซานหมิง (เพลี้ยภูเขา)
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีอู๋ถีจิงที่จะออกกระบี่อย่างลับๆ อยู่อีกคน ลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าสำนักจู๋หวงผู้นี้ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตคือยวนยาง สามารถทำร้ายจิตแห่งมรรคาของคนรักในใจของผู้ฝึกตนได้ก่อน จากนั้นค่อยหันมาทำลายจิตวิญญาณของตัวผู้ฝึกตนเอง เมื่อเทียบกับ ‘ซางซิน’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเซี่ยหย่วนชุ่ยแล้วยังทำร้ายจิตใจคนได้มากกว่า เรียกได้ว่าเป็นวิชาอภินิหารที่ไร้เหตุผลน่าเหลือเชื่อที่สุด ดังนั้นในศาลบรรพจารย์ของภูเขาตะวันเที่ยง เซียนกระบี่จำนวนไม่น้อยที่รู้เรื่องนี้ต่างก็เคยสอบถามจู๋หวงอย่างละเอียดเป็นการส่วนตัวว่า อะไรคือคนรักในใจ? จู๋หวงเองก็ไม่ปิดบัง ยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ขอแค่บนเส้นทางของการฝึกตนเคยชอบใครจากใจจริงมาก่อน ก็ล้วนนับเป็นคนรักในใจได้ทั้งสิ้น
ส่วนกระบี่บินอีกเล่มหนึ่งของอู๋ถีจิงผู้เป็นลูกศิษย์ จู๋หวงกลับไม่เคยบอกชื่อกับใครมาก่อน
ดังนั้นขอแค่ซือถูเหวินอิงไม่แพ้ไปอย่างไร้ลางบอกเหตุเช่นนั้น ภูเขาตะวันเที่ยงก็สามารถทำให้หลิวเสี้ยนหยางตายไปโดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่รู้ตัวได้เลย
วานรเฒ่าชุดขาวยกสองแขนกอดอก เหลือบตามองเซี่ยหย่วนชุ่ยที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง หัวเราะหยันเอ่ยว่า “เศษสวะที่มีแต่ตบะ ทว่าจิตแห่งกระบี่กลับเละเทะอย่างซือถูเหวินอิงผู้นี้ วันนี้ทำให้ยอดเขาหม่านเยว่ขายหน้าหมดสิ้นแล้ว โชคดีที่นางไม่ได้ฝึกตนอยู่ที่ยอดเขาอวี่เจี่ยว ไม่อย่างนั้นก็คงยึดคำกล่าวที่ว่าฟ้าร้องดังฝนตกเบาไปครองได้เลย”
อันที่จริงในใจของเซี่ยหย่วนชุ่ยเคียดแค้นลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้นยิ่งกว่าหยวนเจินเย่เสียอีก อีกฝ่ายคือคนจำพวกทำเรื่องใดสำเร็จไม่ได้ แต่เรื่องที่ทำให้ขายหน้ากลับมีฝีมือเหลือเฝือจริงๆ เพียงแต่ว่าถูกหยวนเจินเย่สาดเกลือลงบนบาดแผล ราดน้ำมันลงบนกองไฟเช่นนี้ ทำเอาเซี่ยหย่วนชุ่ยโมโหจนเรียกชื่อผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาผู้นี้ออกมาตรงๆ “หยวนเจินเย่! อย่าได้คิดว่ามีคุณความชอบยิ่งใหญ่แล้วจะพูดจาเหลวไหลอย่างไรก็ได้ หากว่ากันจากประสบการณ์ในสำนัก เจ้ายังสู้ข้าไม่ได้!”
วานรเฒ่าชุดขาวกระตุกมุมปาก เอ่ยว่า “บนสมุดคุณความชอบไม่ได้ดูกันที่ประสบการณ์หรอกนะ”
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ดีแต่หลบอยู่ในภูเขาฝึกกระบี่แล้วฝึกกระบี่อีก นอกจากลำดับอาวุโสและขอบเขตแล้วยังจะเหลืออะไรได้อีก? ดังนั้นในสายตาของหยวนเจินเย่ อีกฝ่ายจึงสู้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ลงมือทำเรื่องเป็นการเป็นงานอย่างเถาแยนโป เยี่ยนฉู่ไม่ได้ด้วยซ้ำ
จากนั้นก็ไม่รอให้เซี่ยหย่วนชุ่ยถกเถียงอะไรกับหยวนเจินเย่อีก พอจู๋หวงไปถึงยอดกระบี่ก็มีกระบี่บินกระจายออกจากศาลบรรพจาร์ไปตามยอดเขาต่างๆ ต่อมาเรือข้ามฟากหลายลำก็ทยอยกันแล่นออกจากอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง
เถาแยนโปตกตะลึงอย่างหนัก เซี่ยหย่วนชุ่ยก็ยิ่งหน้าดำทะมึน เยี่ยนฉู่รู้สึกลำบากใจมากเป็นพิเศษ เพราะว่าวันนี้ก่อนที่งานพิธีเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการจะเริ่มขึ้น เขาถือว่าเป็นคนที่เผยหน้าเผยตามากที่สุดในบรรดาบรรพจารย์ทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยง การถามกระบี่หลายครั้งล้วนเป็นเขาที่ป่าวประกาศให้ผู้คนทั้งทวีปได้รับรู้ เรื่องมาถึงตอนนี้ แม้ว่าจะยังสับสนมึนงง ไม่รู้เลยสักนิดว่าเหตุใดถึงตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นนี้ได้ แต่เยี่ยนฉู่ก็มั่นใจเรื่องหนึ่งว่า ตอนนี้ต้องยังมีคนอีกนับไม่ถ้วนที่อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชมเรื่องสนุกอยู่แน่นอน
เถาแยนโปใช้เสียงในใจสอบถาม “ทางฝั่งของสำนักโองการเทพ?”
เซี่ยหย่วนชุ่ยเอ่ยอย่างจนใจ “ฉีเจินแค่บอกว่ามีธุระด่วน”
เยี่ยนฉู่ด่ามารดาอย่างอดไม่ไหว “มีธุระ? ธุระกะผายลมน่ะสิ! วันนี้เทียนจวินรีบร้อนจะไปพบบรรพจารย์ที่ป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัวหรือ? ถ้าอย่างนั้นมารดาเจ้าแม่งก็เลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานแล้วน่ะสิ!”
เซี่ยหย่วนชุ่ยย้อนถาม “พวกคนจากสำนักเจินจิ้งล่ะว่าอย่างไร?”
เถาแยนโปถอนหายใจ พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า “คนกลุ่มนี้น่าจะกินยาผิดขนาน แต่ละคนล้วนมองเมินการสอบถามจากยันต์กระบี่ทั้งสิ้น”
รอกระทั่งเฉาผิงจากไป
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสามคนก็หันมามองหน้ากันทันที
แม้แต่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่เจ้าสำนักบอกว่าเป็นคน ‘พูดตรงเรื่องไม่ตรงใจคน’ ก็ยังไม่พูดจาเหน็บแนมอะไรอีก
นี่จึงเป็นเหตุให้หลิวเสี้ยนหยางเดินมาถึงกึ่งกลางภูเขาแล้วก็ยังไม่เจอใครมาขวางทาง
จนกระทั่งผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มที่มาจากยอดเขาต่างกันพลิ้วกายลงที่กึ่งกลางภูเขาของยอดเขาอีเซี่ยน เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มาจากยอดเขาโปอวิ๋นและยอดเขาเพียนเซียน
คือขนบธรรมเนียมอันดีที่มีน้อยนักท่ามกลางยอดเขาเก่าใหม่ของภูเขาตะวันเที่ยง ผู้ฝึกกระบี่ที่บริสุทธิ์สองกลุ่มตรงหน้านี้ ไยต้องร่วมมือกระทำความชั่วกับยอดเขาทั้งหลายอย่างยอดเขาชิวลิ่ง ยอดเขาหม่านเยว่ด้วย
เยี่ยนฉู่ที่เป็นผู้คุมกฎครุ่นคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนจะออกคำสั่งจากศาลบรรพจารย์ให้แก่ผู้ฝึกกระบี่สองยอดเขาที่อยู่ตรงกึ่งกลางภูเขา ไม่ว่าจะทำอย่างไร ผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มนี้ก็ต้องขัดขวางไม่ให้หลิวเสี้ยนหยางเดินขึ้นเขามาอีกให้จงได้ ไม่ต้องสนว่าจะเป็นหรือตาย!
แต่หลิวเสี้ยนหยางเพียงแค่ใช้เสียงในใจบอกกล่าวกับผู้ฝึกกระบี่สองคนที่เป็นผู้นำหนึ่งประโยค จากนั้นเซียนกระบี่โอสถทองสองคนของภูเขาตะวันเที่ยงก็พลันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยทันที
ทว่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองเฒ่าจากยอดเขาโปอวิ๋นก็ยังคงไม่ยอมหลีกทางให้ เขาร่วมกับลูกศิษย์สร้างค่ายกลกระบี่ขึ้นมาก่อน วินาทีที่ค่ายกลก่อตัวขึ้นก็สลายหายไปทันที ผู้ฝึกกระบี่หลายสิบคนที่อายุต่างกันล้วนร่างโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่
หลิวเสี้ยนหยางเหลือบตามองผู้ฝึกกระบี่จากยอดเขาโปอวิ๋นกลุ่มนั้น พบว่าอีกฝ่ายยังไม่มีท่าทีว่าจะเปิดทางให้ก็ปล่อยไปตามใจพวกเขา
นาทีถัดมา ผู้ฝึกกระบี่หลายคน แม้แต่โอสถทองเฒ่าที่เคยรบเคียงบ่าเซียนกระบี่ลี่ไฉ่ก็ยังล้มกองระเนระนาดกันอยู่บนพื้น
ทางฝั่งของยอดเขาเพียนเซียน บรรพจารย์หญิงเจ้ายอดเขาเห็นร่างของผู้ฝึกกระบี่ผีสาวสลายหายไป นางที่รู้เรื่องวงในบางอย่างก็รู้สึกเศร้าอาดูรยิ่งนัก หากว่ากันในทางส่วนรวม นางยังคงให้คนพาผู้ฝึกกระบี่สายของตัวเองมุ่งหน้าไปยังยอดเขาอีเซี่ยนเพื่อขัดขวางไม่ให้หลิวเสี้ยนหยางขึ้นเขาไป แต่ในทางส่วนตัว นางกลับคร้านจะไปแล้ว ดังนั้นจึงเพียงแค่เอ่ยเตือนลูกศิษย์ใหญ่ที่เป็นขอบเขตประตูมังกรว่าแค่ทำให้เต็มที่ก็พอ ไม่ต้องทุ่มสุดชีวิต
รอกระทั่งยอดเขาเพียนเซียนสร้างค่ายกลขึ้นมาอีกครั้ง ทุกคนก็ล้มกองกันไปอีกเป็นแถบใหญ่
หลิวเสี้ยนหยางเดินอ้อมผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มที่นอนกองระเกะระกะอยู่บนพื้นไป ขว้างกาเหล้าในมือทิ้งแล้วเดินขึ้นเขาไปเพียงลำพังอีกครั้ง
หลังจากนั้นก็เป็นผู้ฝึกกระบี่สองกลุ่มจากภูเขาชิวลิ่งและยอดเขาสุ่ยหลงที่มาร่วมชมความครึกครื้น เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับสีหน้าเด็ดเดี่ยวไม่สนใจความเป็นความตาย คล้ายว่าคนที่ต้องถามกระบี่ด้วยเป็นแค่โอสถทองเท่านั้นของคนสองกลุ่มก่อนหน้านี้แล้ว
คนที่มาภายหลังดูเหมือนว่าจะใจฝ่ออย่างมาก รู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับผู้ฝึกกระบี่บินทะยาน ที่น่าสนใจที่สุดคือผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาสุ่ยหลงที่มาถึงยอดเขาอีเซี่ยนก่อน พอเท้าสัมผัสพื้น กลับเลือกที่จะไม่อยู่ใกล้กับหลิวเสี้ยนหยางมากนัก ผลคือผู้ฝึกกระบี่จากภูเขาชิวลิ่งที่มาถึงภูเขาบรรพบุรุษช้ากว่ากลับยิ่งมีมารยาทเข้าไปใหญ่ พลิ้วกายลงบนขั้นบันไดเส้นทางเทพที่ห่างไปไกลยิ่งกว่า คาดว่าหากต่อจากนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาอีกแห่งหนึ่งตามมา คงพลิ้วกายลงที่หอถิงเจี้ยนแล้ว
หลิวเสี้ยนหยางกวาดตามองไป แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้น ทำเอาพวกผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาสุ่ยหลงตกใจสะดุ้งโหยง
ในกลุ่มนั้นมีผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่เคยลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์หลายครั้ง ถึงขั้นที่ว่ายังเคยติดตามผู้อาวุโสในสำนักไปยังสนามรบของภาคกลางด้วย ด้วยอารามลนลานตกใจ เขาจึงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก่อนใคร แสงกระบี่เปล่งประกายวูบหนึ่งทีก็ตรงดิ่งเข้าหาหลิวเสี้ยนหยาง ผลคือถูกฝ่ายหลังใช้สองนิ้วคีบกระบี่บินเอาไว้แล้วโยนลงพื้น ยังยกเท้าเหยียบซ้ำอีกที หลิวเสี้ยนหยางถลึงตาใส่ “ยังไม่ได้บอกว่าจะตีกันเลย เจ้าหนูเจ้าก็ลอบโจมตีกันแล้วรึ? มีคุณธรรมในยุทธภพบ้างหรือไม่?”
หลิวเสี้ยนหยางหยิบทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เขียนไว้คร่าวๆ เล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อแล้วพลิกเปิดหน้ากระดาษอย่างว่องไว มีบางครั้งที่เงยหน้าขึ้นถามว่าใครคนไหนใช่คนที่ว่านี้หรือไม่ บางคนที่พยักหน้าก็โชคดีมาก ยังคงปลอดภัยสบายดี แต่บางคนที่พยักหน้ากลับเหมือนออกจากบ้านแล้วไม่ได้เปิดปฏิทินเหลืองออกดู เลือดสดจึงไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ล้มตึงลงพื้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย หนึ่งในนั้นก็มีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงกับแหลกสลายคาที่ สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้น ทว่าผู้ฝึกกระบี่ที่มากกว่านั้นกลับแค่ล้มแล้วลุกไม่ขึ้น แต่ก็มีบางคนที่กระบี่บินแตกหัก เพียงแต่ว่ายังคงรักษาเส้นทางการฝึกตนที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าในอนาคตต้องยากลำบากอย่างมากเอาไว้ได้
หลิวเสี้ยนหยางปิดสมุดลง จากนั้นผู้ฝึกกระบี่จากยอดเขาสุ่ยหลงทุกคนที่ยืนอยู่ก็ล้วนได้รับบาดเจ็บไม่หนักนัก แค่ร่วงลงไปนอนหลับอยู่กับพื้น
หลิวเสี้ยนหยางเดินขึ้นสู่ที่สูงต่อ เห็นผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาชิวลิ่งที่หน้าซีดขาวก็หยิบสมุดออกมาอีกเล่มแล้วเริ่มเรียกชื่อ
เพราะถึงอย่างไรหลายปีมานี้ก็ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาตะวันเที่ยงมาหลายครั้ง แทบทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตา ทว่าไม่อาจเอามาเทียบกับชื่อบนสมุดได้ เพราะไม่เคยรู้ว่าอีกฝ่ายชื่อแซ่อะไร
ทางฝั่งของผู้ฝึกกระบี่ภูเขาชิวลิ่งต่างก็เป็นพวกคนฉลาด คนที่ถูกเรียกชื่อล้วนทำหน้าไร้อารมณ์ แต่ก็ยังไร้ประโยชน์ เพราะคนฉลาดข้างกายมักจะเคลื่อนเส้นสายตามองมาให้กลายเป็นเบาะแสเสมอ ถ้าอย่างนั้นหลิวเสี้ยนหยางก็ไม่เกรงใจแล้ว ใครที่ถูกขานชื่อแล้วแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ล้วนได้รับบาดเจ็บทุกคน อีกทั้งไม่ทำให้พวกเขาหมดสติไปด้วย หลายคนจึงกลิ้งตลบอยู่บนพื้น คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีชื่อเสียงบนภูเขาดีงามมาก แต่จุดจบของเขากลับอนาถมากเป็นพิเศษ อันดับแรกก็เป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่หักครึ่งแล้วแหลกสลาย จากนั้นก็ถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะ สุดท้ายยังถูกหลิวเสี้ยนหยางโบกชายแขนเสื้อโยนศพของเขาออกไปนอกยอดเขาอีเซี่ยน กระแทกลงตรงหน้าประตูภูเขาอย่างแรง นอนเป็นเพื่อนอยู่กับอวี่หลิ่น
บทความที่บันทึกถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรไว้ในสมุดเล่มนี้เป็นบทที่ไม่สั้นเลย แต่ละเรื่องแต่ละราวล้วนชวนหวาดผวาสยดสยองทั้งสิ้น
——