กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 823.2 ยกภูเขา
อันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางบาดเจ็บไม่เบา แต่ก็ไม่ได้หนักหนา เขาทำหน้าหนาขอผ้าผืนหนึ่งมาจากผู้ฝึกตนหญิงของตรอกฮวามู่ที่รูปโฉมธรรมดาที่สุด ฉีกออกแล้วพันเข้าด้วยกัน แหงนหน้าขึ้น เอาผ้าที่พันไว้อุดจมูก
เรื่องที่น่าประหลาดใจเพียงอย่างเดียวก็คือ ก่อกำเนิดสองคนอย่างเยี่ยนฉู่และเถาแยนโปถูกตนลากเข้าไปในความฝัน ออกกระบี่ฟันอยู่ริมลำน้ำสองสามที แต่อาการบาดเจ็บกลับน้อยกว่าที่ตนคาดการณ์ไว้มาก
หลิวเสี้ยนหยางคร้านจะคิดให้มากความ คิดแค่ว่าเซียนกระบี่ผู้เฒ่าสองคนนี้ของภูเขาตะวันเที่ยงไม่ใช่ขอบเขตก่อกำเนิดกระดาษเปียกจริงๆ ยังพอจะมีความสามารถอยู่บ้าง
แต่หากไม่ใช่เจ้าเด็กเฉินผิงอันบอกว่าให้เก็บสองคนนี้เอาไว้ เพราะยังมีประโยชน์อยู่ หากหลิวเสี้ยนหยางตัดสินใจจะอำมหิตขึ้นมา เถาแยนโปและเยี่ยนฉู่ก็ไม่ต้องขึ้นเขามาร่วมประชุมแล้ว
ก่อนที่เฉินผิงอันจะลงไปจากภูเขา หลิวเสี้ยนหยางได้ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเขาก่อนแล้ว เพราะว่าประหลาดใจมากจริงๆ ว่าสรุปแล้วเจ้าเด็กนี่ทำอย่างไรถึงสามารถทำให้จู๋หวงเปลี่ยนมาเป็นพูดง่ายขนาดนี้
‘เจ้ากรอกยาลวงใจอะไรให้จู๋หวง ถึงทำให้เขายินดีตัดชื่อเจ้าเดรัจฉานเฒ่าตัวนั้นออกจากทำเนียบ?’
‘ให้เขาเลือกหนึ่งจากสอง ระหว่างเขากับหยวนเจินเย่มีแค่คนเดียวที่รอดชีวิตได้ แล้วจู๋หวงก็เชื่อ’
‘ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องเชื่อก็ได้?’
‘คนทั่วไปล้วนไม่เชื่อหรอก สมองข้าไม่ได้มีปัญหาสักหน่อย สังหารเจ้าสำนักที่แท้จริงคนหนึ่ง? อย่างน้อยที่สุดทูตผู้ตรวจการเฉาที่อยู่บนเรือข้ามฟากก็ไม่มีทางตอบตกลงเรื่องนี้อยู่แล้ว’
หลิวเสี้ยนหยางเหลือบมองจู๋หวงแวบหนึ่งก็รู้สึกว่าหากเจ้าหมอนี่รู้ความจริงขึ้นมาจะเต้นผางด่ามารดาเลยหรือไม่
‘ต่อให้จู๋หวงจะมีความมั่นใจเก้าส่วน บอกตัวเองว่าไม่ต้องเชื่อเรื่องนี้ แต่ขอแค่ไม่ใช่ความมั่นใจเต็มสิบส่วน เขาก็ยินดีที่จะสละผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาคนหนึ่งทิ้งมากกว่า ฟังแล้วเหมือนไร้เหตุผล แต่อันที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรแปลก เพราะนี่ก็คือสาเหตุที่จู๋หวงสามารถนั่งคุยกับข้าอยู่ที่นั่นได้ ดังนั้นขอแค่วันนี้เขามานั่งอยู่ที่นี่ ต่อให้เปลี่ยนคนมาพูดคุยกับข้าก็ยังต้องเลือกแบบเดียวกันนี้ แน่นอน นี่ก็เกี่ยวข้องกับการที่เจ้าถามกระบี่ขึ้นภูเขามาอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการจากไปของเรือข้ามฟากมีมากเกินไปด้วย ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงข้าคนเดียวนั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์ พูดจนน้ำลายแตกฟอง ปากเปียกปากแฉะหรือดื่มชามากกว่านั้นก็ล้วนไร้ประโยชน์’
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าเจ้าของยอดเขาโปอวิ๋นและยอดเขาเพียนเซียนสองคนต่างก็มาถึงยอดกระบี่กันแล้ว
อันที่จริงความประทับใจที่หลิวเสี้ยนหยางมีต่อผู้ฝึกกระบี่เต็มตัวที่อยู่บนยอดเขาโปอวิ๋น ยอดเขาเพียนเซียนล้วนธรรมดาอย่างยิ่ง ไม่แย่ แต่ก็ไม่ดี
ไม่แย่ เพราะตอนอยู่บนสนามรบแจกันสมบัติทวีปพวกเขาออกกระบี่อย่างไม่ลังเล
ไม่ดี เพราะเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่เคยไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่
ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีป เปลี่ยนจากเซียนซือบนภูเขาที่เดิมทีไร้ประโยชน์ที่สุด กลายมาเป็นผู้ฝึกตนที่มีคุณสมบัติจะยืดเอวตรงได้มากที่สุดในใต้หล้าไพศาลของทุกวันนี้ ดังนั้นผู้ฝึกลมปราณของเมธีร้อยสำนัก ผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขา ทุกวันนี้จึงมีน้อยมากที่จะเห็นผู้ฝึกตนทวีปอื่นอยู่ในสายตา แต่กลับเลื่อมใสผู้ฝึกกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่สุด พกกระบี่เดินทางลงใต้ กล้าฆ่ากล้าต่อสู้ นึกจะตายก็ตาย ป๋ายฉางบุคคลอันดับหนึ่งแห่งทางทิศเหนือ ลี่ไฉ่แห่งทะลสาบกระบี่ฝูผิง หวงถงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ผูหรางเซียนกระบี่กระดูกขาวที่มาจากหุบเขาผีร้าย…ใครบ้างที่ไม่ใช่เซียนกระบี่ที่แสงกระบี่ตัดสลับถักทอทั่วขุนเขาสายน้ำพันลี้ สามารถทำให้ม่านราตรีสว่างไสวดุจยามทิวา?
แต่ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีปที่กันดารห่างไกล อันที่จริงไม่ค่อยสนใจเรื่องหนึ่งเท่าใดนัก เพราะว่าพวกเขาเลื่อมใสอุตรกุรุทวีปที่สุด โดยเฉพาะผู้ฝึกกระบี่เหล่านั้น แต่ละคนล้วนกำเริบเสิบสาน ขนาดราชาสวรรค์ข้าผู้อาวุโสยังไม่กลัว ไม่ว่ากับใครก็ล้วนกล้าออกกระบี่ มีเพียงสถานที่แห่งเดียวที่ข้าเคารพนับถือ สถานที่แห่งนั้น มีชื่อว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่
ส่วนกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่ของหนึ่งสถานที่สกัดขวางหนึ่งใต้หล้านานหมื่นปี ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่กลุ่มเล็กที่มีอคติต่อคนบางคน ก็ยังจำต้องยอมรับเรื่องหนึ่งว่า คนบางคนที่ว่านี้ โชคดีที่เป็นคนของฝ่ายตัวเอง
และคนคนนี้ ก็คือสหายที่มาถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงกับหลิวเสี้ยนหยาง
หลิวเสี้ยนหยางกินแตงโม
ซูถือเหวินอิง อันที่จริงเจ้าสามารถมองดูให้มากอีกหน่อยก่อนจะจากไปได้
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือไปขยับหมุนผ้าที่ใช้อุดจมูก จากนั้นยกมือขึ้นอีกครั้ง คราวนี้เขาโบกมืออย่างแรง ทักทายผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนคนหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกลพร้อมเสียงหัวเราะร่าเริง “เจ้านครสวี่แห่งนครลมเย็น ดูเหมือนว่าพวกเราจะเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก สวัสดีนะ ข้าชื่อหลิวเสี้ยนหยาง ข้าสนิทกับภรรยาและลูกชายของเจ้ามากเลยล่ะ เกี่ยวกับเสื้อเกราะโหวจื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลข้าชิ้นนั้น เฉินผิงอันคงบอกกับเจ้าแล้วกระมัง เจ้านครสวี่วางใจร้อยดวงได้เลย นั่นคือความหมายของข้าเอง ในเมื่อเป็นการซื้อขาย ต่อให้ราคาไม่ค่อยยุติธรรม แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการค้าขาย ปีนั้นข้ายอมรับ ตอนนี้ก็ยอมรับเหมือนกัน”
สวี่หุนหันหน้าไปมองเซียนกระบี่หนุ่มที่มองไม่ออกว่าอาการบาดเจ็บเบาหรือหนัก ไม่เอ่ยอะไร เพราะกับหลิวเสี้ยนหยางไม่มีอะไรให้เขาต้องพูดคุยด้วย
หลิวเสี้ยนหยางเห็นว่าเขาแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ทำไม ทุกคนต่างก็เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ เพราะว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ก็สามารถดูแคลนคนอื่นได้แล้วหรือ?
หลิวเสี้ยนหยางไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน จุ๊ปากเอ่ย “เป็นเฉินผิงอันที่ลืมเตือนเจ้าว่าวันนี้ทางที่ดีที่สุดอย่าขึ้นเขามา หรือเป็นเพราะเจ้ารู้สึกว่าบนยอดกระบี่แห่งนี้ ข้าไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ปล่อยกระบี่อีกแล้ว?”
พริบตานั้น ริมตลิ่งของลำคลองยาวเส้นหนึ่ง สวี่หุนสวมเสื้อเกราะโหวจื่อไว้บนร่างในเสี้ยววินาที โคจรเวทคาถาแห่งชะตาชีวิต ประหนึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนตระหง่านอยู่บนพื้นดิน ทว่าเพียงแค่ชั่วเสี้ยววินาที สวี่หุนก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า ขุนเขาสายน้ำแปรเปลี่ยน ตนมาอยู่ในสนามรบที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่ง แหงนหน้ามองไป รอบด้านมีแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองที่แค่สองเท้าก็สูงใหญ่ราวขุนเขา ทุกก้าวที่เท้าซึ่งเหยียบอยู่บนพื้นดินก้าวออกไปล้วนมีรากภูเขาเหมือนกองดินถูกดึงออกจากภูเขาไปอย่างกำเริบเสิบสาน ดูเหมือนว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลพวกนี้กำลังสร้างขบวนรบบุกสังหาร เป็นเหตุให้ร่างของสวี่หุนดูเล็กจ้อยนัก ลำพังเพียงแค่หลบเท้าเหล่านั้น เส้นเอ็นหัวใจของสวี่หุนก็หดเกร็งขมึงเครียด บังคับเรือนกายให้บินแฉลบหลบไปมาอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์เรือนกายใหญ่โตมโหฬารตนหนึ่งกวาดเท้าเตะเข้าที่กลางลำตัว สวี่หุนที่หลบไม่ทันสังเกตเห็นว่าตัวเองยังยืนอยู่ที่เดิม แต่จิตวิญญาณเหมือนถูกกระชากออกมาแล้วลากให้เดินไป ความรู้สึกถูกฉีกทึ้งที่น่าพรั่นพรึงนั้นทำให้สวี่หุนที่บนร่างสวมเสื้อเกราะโหวจื่อรู้สึกเจ็บปวดราวหัวใจถูกคว้าน หายใจได้อย่างยากลำบาก ผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่ขึ้นชื่อว่าพลังพิฆาตเป็นอันดับหนึ่งในทวีปผู้นี้ได้แต่ร่ายเวทหลบหนีอย่างจำใจ หลังจากนั้นทุกแรงสั่นสะเทือนบนพื้นดินที่เกิดจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ย่ำเท้าลงไปก็คือการแกว่งไกวทางจิตวิญญาณระลอกหนึ่ง ราวกับว่าร่างของเขาอยู่ในเตาหลอม ถูกนึ่งถูกตุ๋น ถูกหล่อหลอม…
สวี่หุนรู้ว่าศัตรูที่แท้จริงคือใคร จึงพยายามโคจรวิชาอภินิหารสำรวจดูความเคลื่อนไหวของหลิวเสี้ยนหยาง และอีกฝ่ายก็ไม่ได้จงใจปิดบังร่องรอยเลยแม้แต่น้อย เห็นเพียงว่าบนพื้นดิน หลิวเสี้ยนหยางถึงกับสามารถใช้ปลายเท้าเหยียบไปตามไหล่ของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละตนได้ บางครั้งยังถึงขั้นเหยียบข้ามหัวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นไป ใบหน้าของเซียนกระบี่หนุ่มมีรอยยิ้มแต้มอยู่ตลอดเวลา ราวกับว่าเป็นคนอยู่สูงที่หลุบตาลงต่ำมองมายังสวี่หุนที่จำต้องซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางพื้นดิน
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มกล่าว “ยกเสื้อเกราะโหวจื่อของตระกูลหลิวเราตัวนี้ให้เจ้าอย่างเสียเปล่าจริงๆ หากเปลี่ยนมาสวมอยู่บนร่างข้า อย่างน้อยที่สุดก็ต้องสามารถเดินทางไกลไปเป็นเวลาพันปีได้แล้ว”
สวี่หุนกำลังจะอ้าปากพูด
หลิวเสี้ยนหยางกลับดีดนิ้วขึ้นมาก่อน ประหนึ่งแม่น้ำแห่งกาลเวลาทั้งเส้นหยุดชะงักไม่เดินหน้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองแต่ละตนบ้างก็สองเท้าเหยียบพื้นดิน บ้างก็สัมผัสพื้นด้วยเท้าเดียว เท้าอีกข้างยกขึ้นสูง บนพื้นดินมีโครงกระดูกของปีศาจใหญ่ เพียงแต่ว่าเลือดสดไหลนองเหมือนแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวกราก มีศาสตราวุธของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แตกสลายกระจัดกระจาย ทุกหนทุกแห่งมีแต่แสงสีทองทอดยาวไกลร้อยลี้พันลี้…ท่ามกลางภาพที่ปรากฎการณ์ฟ้าดินหยุดนิ่งนี้ เรือนกายของหลิวเสี้ยนหยางพลิ้วลงบนพื้น กระทืบเท้าเบาๆ เอ่ยว่า “สวี่หุน พวกเราสองคนมาทำการค้ากันดีไหม อิงตามกฎของนครลมเย็นพวกเจ้า คงไม่มีความเห็นต่างกระมัง?”
สวี่หุนรู้ว่าเจ้าลูกกระต่ายผู้นี้คิดจะพูดอะไร ย่อมต้องการให้ตนมอบเสื้อเกราะโหวจื่อที่หลอมใหญ่เป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตบนร่างชิ้นนี้ออกไป!
หลิวเสี้ยนหยางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะมีความเห็นก็ได้ ข้างกายข้าไม่มีต้าเซิ่งย้ายภูเขาอะไรคอยให้การคุ้มกัน ก็เลยได้แต่พาเจ้ามาเดินเที่ยวที่ซากปรักสนามรบสองสามแห่ง ล้วนเป็นสหายเก่ากันแล้ว ไม่ต้องขอบคุณหรอก นายท่านใหญ่หลิวทำอะไร บนหน้าผากแปะไว้แค่สองคำเท่านั้น มีคุณธรรม”
บัญชีเก่านานปีที่เดิมทีชดใช้จนหายกันไปแล้ว ผลคือเจ้าสวี่หุนกลับยืนกรานจะเดินขึ้นเขา คิดว่าข้าหลิวเสี้ยนหยางตาบอด มองไม่เห็นเสื้อเกราะโหวจื่อตัวนั้นจริงๆ หรือไร?! ไม่มีใครรังแกเทพเซียนผู้เฒ่าบนยอดเขาอย่างเจ้ากันหรอกนะ
หลิวเสี้ยนหยางไม่เว้นจังหวะให้อีกฝ่ายได้พูดก็พาสวี่หุนเดินผ่านสนามรบบรรพกาลแห่งแล้วแห่งเล่า เดินทวนกระแสน้ำขึ้นไป ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล จากนั้นเจ้านครของนครลมเย็นก็เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งที่เป็นหนึ่งในสิบสองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงซึ่งควรจะดับสูญไปนานแล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นลอยตัวสูงอยู่นอกฟ้า เพียงแต่ว่าเนื่องจากเรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใหญ่โตมโหฬารเกินไป เป็นเหตุให้เมื่อสวี่หุนเงยหน้ามองจึงสามารถมองเห็นรูปโฉมของอีกฝ่ายได้อย่างครบถ้วน ดวงตาสีทองคู่ที่จิตแห่งเทพบริสุทธิ์ กายธรรมที่เคร่งขรึม แสงสีทองที่ส่องประกายระยิบระยับ เรือนกายใหญ่โตดุจดวงดาวลอยอยู่กลางนภา
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นเพียงแค่ขยับศีรษะเล็กน้อย ภาพบรรยากาศของมหามรรคาก็เหมือนดวงดาวเคลื่อนคล้อย มันขมวดคิ้วมุ่น คล้ายมองเห็นมดตัวหนึ่งที่กล้าบังอาจมาเดินสะเปะสะปะอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา
เพียงแค่ถูกลมปราณบนมหามรรคาส่วนนั้นสยบกำราบอยู่ไกลๆ สี่หุนก็เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดในชั่วพริบตา ร่างกายและจิตวิญญาณล้วนปรากฏเป็นรอยปริแตกเล็กละเอียดจำนวนนับไม่ถ้วน สวี่หุนไม่มัวสนใจอะไรอีกแล้ว รีบตะโกนเสียงดังทันที “หลิวเสี้ยนหยาง ช่วยข้าด้วย!”
หลิวเสี้ยนหยางนั่งขัดสมาธิอยู่บนม่านฟ้าส่ายหน้า “ข้างกายเจ้าไม่มีสหายอย่างเฉินผิงอันนะ ใครจะมาช่วยเจ้าได้?”
จิตแห่งมรรคาของสวี่หุนแทบจะแหลกสลาย ต่อให้เขาต้องเผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินก็ยังไม่รู้สึกสิ้นหวังเท่านี้ เขารีบตะเบ็งเสียงดังลั่น “หลิวเสี้ยนหยาง ข้าจะคืนเสื้อเกราะโหวจื่อให้เจ้า!”
คิดไม่ถึงว่าหลิวเสี้ยนหยางจะกระตุกมุมปาก “ในเมื่อขายให้เจ้าไปแล้ว ข้าก็ไม่คิดจะซื้อคืนหรอก”
หลิวเสี้ยนหยางเท้าคางด้วยมือข้างเดียว มองสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่ทำหน้าที่ดูแลกองทั้งหลายของกรมสายฟ้ากระแทกห้าอสนีใส่ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณสวี่หุนอยู่ไกลๆ ทั้งอย่างนั้น
แน่นอนว่าอาการบาดเจ็บที่สวี่หุนแบกรับนี้จำเป็นต้องข้ามผ่านกระแสน้ำไหลแห่งกาลเวลาหมื่นปีที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่ง จึงลดทอนไปมากแล้ว บางทีอาจไม่เหลืออานุภาพอะไรเลย? ถึงอย่างไรตัวของหลิวเสี้ยนหยางเองที่ท่องฝันบรรพกาลก็ต้องคอยระมัดระวังอยู่ทุกย่างก้าว จนถึงทุกวันนี้จึงยังไม่เคยสัมผัสกับพลังพิฆาตของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอย่างแท้จริงมาก่อน ครั้งที่อันตรายที่สุดก็คือถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ระดับขั้นสูงยิ่งกว่าเหลือบมองง่ายๆ แวบหนึ่ง จากนั้นนายท่านใหญ่หลิวก็ถูกบีบให้ออกจากความฝัน ต้องนอนอยู่บนเตียงแต่โดยดีอยู่หลายเดือน
เฉินฉุนอันอาจารย์ผู้เฒ่าที่บนบ่าแบกตะวันจันทราเคยคุยเล่นกับหลิวเสี้ยนหยางที่ตอนนั้นยังไม่รู้จักเขาอยู่ริมหน้าผา เคยยิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่า บางทีแม่น้ำยาวแห่งกาลเวลาก็คงคล้ายเชือกเส้นหนึ่งที่มีเงื่อนตายอยู่นับไม่ถ้วน มีมดมากมายเหลือคณานับเดินอยู่บนนั้น บ้างเป็นบ้างตาย สลับสับเปลี่ยนไม่แน่นอน บางทีคำว่าอิสระที่แท้จริงก็อาจเป็นการที่ใครบางคนสามารถออกไปจากเชือกเส้นนั้นได้?
ทางฝั่งของยอดกระบี่ พวกเซียนกระบี่ผู้เฒ่าหลายคนต่างก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ จากนั้นทั้งร่างของสวี่หุนแห่งนครลมเย็นก็มีเลือดสดที่คล้ายบุปผาผลิบานแตกออกมา เรือนกายโซเซ ผงะหงายผลึ่งล้มไปด้านหลัง จากนั้นจึงลุกขึ้นมาอย่างยากลำบาก มองหลิวเสี้ยนหยางที่ยังคงนั่งอยู่หลังโต๊ะด้วยสีหน้าเฉยเมยแวบหนึ่ง ก่อนจะทะยานลมโซเซออกไปจากยอดกระบี่โดยตรง
เซี่ยหย่วนชุ่ยไม่กล้าแกล้งหลับอีกต่อไป ฉวยโอกาสตอนที่ความสนใจของทุกคนอยู่บนร่างของสวี่หุน เซียนกระบี่ผู้อาวุโสดีดตัวขึ้นในท่านอนหงาย พลิ้วกายลงบนพื้น มายืนอยู่ด้านหลังเยี่ยนฉู่
ผู้คุมกฎเยี่ยนฉู่รีบขยับเท้าออกไปด้านข้างสองก้าว จากนั้นถอยหลังไปอีกก้าว ไปยืนเคียงบ่าอยู่กับอาจารย์ลุงเซี่ย
หลิวเสี้ยนหยางพูดพึมพำกับตัวเอง “นับว่าข้ายังมีคุณธรรม”
สังเกตเห็นว่าสายตาของคนมากมายมองมาที่ตน หลิวเสี้ยนหยางก็ตบโต๊ะเอ่ยอย่างเดือดดาล “มองอะไร ทางบนยอดกระบี่ไม่ราบเรียบ เจ้านครสวี่สะดุดล้มเอง พวกเจ้าแต่ละคนก็แค่ชมงิ้วอยู่เหมือนกันไม่ใช่หรือ แต่ดันมาโทษหาว่าข้าไม่ไปประคองเขาอยู่คนเดียว?”
หลิวเสี้ยนหยางยื่นมือมาอุดจมูก รีบแหงนหน้าขึ้น ฉีกผ้าออกมาอีกสองชิ้นแล้วอุดเลือดกำเดาที่ไหลลงมา จากนั้นก้มหน้าก้มตากินแตง เหลือบตามองเรื่องสนุกต่อไป
คืนนั้นหลิวเสี้ยนหยางกับสหายนอนอยู่บนเก้าอี้หวาย เจ้าคนที่อยู่ข้างกายเอาสองมือวางทับซ้อนกันไว้ตรงหน้าท้อง บอกว่าพวกเราสองคนถามกระบี่ อย่างมากสุดก็ฟันคนได้แค่ไม่กี่คน ไม่มีความหมายเอาเสียเลย จะให้พวกเซียนกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงแว้งกลับมาเป็นศัตรูกันเอง ต่างฝ่ายต่างถามกระบี่กัน ฟันจนเลือดโชกบนใจคน บางทีอาจน่าสนใจมากกว่า
เจ้าวางใจเถอะ ถึงเวลานั้นคนที่โดนฟันลงบนใจมากที่สุดต้องเป็นเจ้าเดรัจฉานเฒ่าอย่างแน่นอน
หยวนเจินเย่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาให้ภูเขาตะวันเที่ยงมานานนับพันปี กระทำการรอบคอบระมัดระวัง ไม่ว่าจะคุณความดีหรือคุณความเหนื่อยยากล้วนเป็นอันดับหนึ่ง ย้ายภูเขาเคลื่อนยอดเขา ปกป้องภูเขานานวัน เคยโจมตีให้ศัตรูที่แข็งแกร่งทั้งในที่มืดและในที่สว่างถอยร่นไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ในทางส่วนตัวยังต้องทำงานสกปรกงานเหนื่อยยากบางอย่างด้วย สุดท้าย ภายใต้สายตาของคนมากมายที่จับจ้องมองมา ในงานพิธีที่เดิมทีควรเป็นมันที่มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด กลับกลายเป็นว่าต้องตกอยู่ในสภาพที่ถูกคนใกล้ชิดทรยศทอดทิ้ง
ตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางเบี่ยงตัวหันมาถามอย่างใคร่รู้ เจ้าเกลียดหยวนเจินเย่ขนาดนี้เชียวหรือ?
อันที่จริงหากว่ากันตามหลักแล้ว แม้เฉินผิงอันจะเป็นคนจดจำแค้นก็จริง แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องวางแผนเล่นงานผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาที่เพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างรอบคอบรัดกุมเช่นนี้
——