กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 824.1 เจ้าลองดู
ภูเขาตะวันเที่ยงที่จำนวนผู้ฝึกกระบี่เป็นอันดับหนึ่งในทวีปแห่งนี้ ไม่ได้เรียกตัวเองว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่น้อยแห่งแจกันสมบัติทวีปหรอกหรือ?
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกลุ่มยอดเขาทั้งเก่าและใหม่ของภูเขาตะวันเที่ยงต่างก็คิดเช่นนี้จากใจจริง และตระกูลเซียนจำนวนไม่น้อยนอกภูเขาตะวันเที่ยงก็เห็นด้วยเช่นกัน
อันที่จริงสำหรับกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ห่างไกลสุดขอบฟ้า รวมไปถึงนครบินทะยานที่อยู่ไกลยิ่งกว่าแห่งนั้น เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและผู้ฝึกตนอิสระของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ไม่มีความทรงจำใดๆ
หากไม่เป็นเพราะการเดินทางไปหาประสบการณ์ของเว่ยจิ้น รวมไปถึงสงครามอันดุเดือดที่ลามไปทั่วทั้งใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนบนภูเขาก็มีแต่จะยิ่งพูดถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่น้อยครั้ง
และค่ายกลใหญ่บนยอดกระบี่ของยอดเขาอีเซี่ยนภูเขาตะวันเที่ยงก็ไม่ใช่ว่าได้รับการขนานนามให้เป็นป๋ายอวี้จิงจำลองอีกแห่งหนึ่งที่สามารถสังหารผู้ฝึกลมปราณขอบเขตเซียนเหรินได้ทุกเมื่อหรอกหรือ?
แทบจะทุกคนที่มาเข้าร่วมงานพิธีบนยอดเขาทั้งหลาย ก่อนหน้านี้ต่างก็แหงนหน้ามองไกลไปยังค่ายกลกระบี่กลางอากาศที่น่าเหลือเชื่อแห่งนั้น ภาพบรรยากาศมากมายอัศจรรย์ และความเคลื่อนไหวก็อึกทึกครึกโครมมากเหลือเกินจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนต้องหันมองภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาที่ชวนให้อกสั่นพรั่นพรึงนั้นกันทั้งสิ้น
ขอบเขตสูงเพียงใด ปราณกระบี่มากน้อยเพียงใด ต้องฝึกฝนจิตใจมากแค่ไหน ถึงจะสร้างค่ายกลกระบี่โอฬารไพศาลที่ชักนำให้ฟ้าดินร่วมกันขานรับเช่นนี้ออกมาได้?
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่แจกันสมบัติทวีปของพวกเรา นอกเหนือจากเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแล้วยังมีเซียนกระบี่ที่ทั้งกระบี่บินลี้ลับมหัศจรรย์ มองใครคนนั้นก็ต้องล้มไปกองอย่างหลิวเสี้ยนหยาง ทั้งยังมีเซียนกระบี่ที่เวทกระบี่เลิศล้ำ ฝึกปรือจนเข้าขั้นเชี่ยวชาญถึงเพียงนี้?
สุดท้ายเป็นเหตุให้มีเพียงคนโชคดีที่มีน้อยเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ถึงจะมองเห็นเฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นตรงตีนเขา ในมือถือกระบี่ยาว แสงกระบี่เปล่งวาบ อันดับแรกคือเส้นโค้งเส้นหนึ่งที่ปรากฎก่อน พอเปล่งวูบหายไป เซียนกระบี่หนุ่มคนนั้นก็สะบั้นรากภูเขา จากนั้นเคาะด้ามกระบี่เบาๆ กระบี่หนึ่งเล่มก็ยกยอดเขาอีเซี่ยนขึ้นทั้งลูกราวกับไม่ต้องใช้แรงใดๆ
เป็นเหตุให้คนที่ได้แต่มองเห็นค่ายกลกระบี่กระแทกพื้น แต่ละคนล้วนเจ็บแค้นที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาไม่อาจหมุนย้อนกลับ มิอาจมองเห็นการถามกระบี่ที่แท้จริงของเซียนกระบี่ชุดเขียวที่อยู่ตรงตีนเขาผู้นั้นได้
ไหนบอกว่าผ่านไปหนึ่งก้านธูปถึงจะถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงอย่างไรเล่า?
เหตุใดเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วคนนี้ถึงไม่รักษาคำพูดเอาเสียเลย!
ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่บนยอดเขาท่านหนึ่ง
ก่อนที่เฉินผิงอันจะถามกระบี่อย่างไม่มีลางบอกกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ค่ายกลกระบี่ยังไม่เผยกายบนโลก โดยภาพรวมแล้วความสนใจส่วนใหญ่ของพวกแขกที่มาร่วมงานยังคงอยู่ที่บุคคลจากต่างทิศทางที่มาจากภูเขาลั่วพั่วมากกว่า
จุดที่สูงยิ่งกว่ายอดเขาของยอดเขาหม่านเยว่ จูเหลี่ยนคนดูแลเฒ่าที่เปิดปากพูดก่อนใคร แม้ว่าเรือนกายจะเล็กเตี้ย รูปโฉมธรรมดา แต่กลับเห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาที่วิชาหมัดเลิศล้ำค้ำฟ้า ปณิธานหมัดขุ่นข้นทั้งร่างรวมตัวกันกลายเป็นของจริง ประหนึ่งน้ำไหลรินที่กระจายออกไปสี่ทิศ ราวกับเซียนเหรินขยี้เมฆขาวบนท้องฟ้าให้แหลกกระจาย
“คนผู้นี้อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วมีสถานะอะไร ถึงกับสามารถเผยตัวบอกกล่าวชื่อแซ่ได้เป็นคนแรก?”
“คงไม่ได้มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกยุทธของกองทัพชายแดนในท้องถิ่นต้าหลีหรอกกระมัง ทูตผู้ตรวจการเฉาถึงได้ยินดีไว้หน้าภูเขาลั่วพั่วขนาดนี้?”
“สวรรค์เท่านั้นที่รู้ ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้มีเมฆหมอกบดบังมากเกินไป ปิดบังอำพรางไว้มากเกินไปแล้ว เรียกได้ว่าอยู่ดีๆ ก็ลุกผงาดขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ หรือว่าภูเขาลั่วพั่วคือภูเขาที่ต้าหลีแอบประคับประคองขึ้นมาอย่างลับๆ หนึ่งมืดหนึ่งสว่างคู่กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนของอริยะหร่วน?”
“หากพูดแบบนี้ การจากไปของทูตผู้ตรวจการเฉาก่อนหน้านี้ก็มีคำอธิบายแล้วหรือไม่?”
บนยอดเขาชิงอู้ที่ตั้งอยู่ริมอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยง หญิงสาวคนหนึ่งที่มวยผมทรงกลมกลางศีรษะ ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา เผยเฉียน
นางคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนใหม่ล่าสุดของแจกันสมบัติทวีป แต่เวลานี้นางจงใจกดขอบเขตไว้ที่ขอบเขตเดินทางไกลชั่วคราว
ตามกฎของสำนัก ผู้ฝึกยุทธของภูเขาลั่วพั่วลงจากเขาไปหาประสบการณ์ ต้องปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความจริงใจด้วยการลดขอบเขตไปก่อนสองถึงสามขั้น
“คือเจิ้งเฉียนผู้นั้นจริงๆ ด้วย! ก่อนหน้านี้ออกหมัดสังหารปีศาจที่เกราะทองทวีป ภายหลังยังถามหมัดกับเฉาสือแห่งต้าตวน แล้วค่อยกลับมาที่บ้านเกิดของพวกเรา ไปเยือนสมรภูมิรบที่เมืองหลวงแห่งที่สอง แต่น่าเสียดายได้ยินมาว่าออกหมัดเยอะมาก แต่คนนอกกลับยากที่จะเข้าใกล้ อย่างมากสุดก็ได้แค่เหลือบมองแวบเดียว เพราะข้ามีสหายบนภูเขาคนหนึ่งโชคดีเคยได้เห็นปรมาจารย์ใหญ่หญิงผู้นี้ออกหมัดกับตาตัวเองมาก่อน ฟังเขาเล่าว่านางออกหมัดเผด็จการยิ่ง เผ่าปีศาจที่อยู่ภายใต้หมัดของนางไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพ อีกทั้งนางยังชอบบุกทะลวงขบวนรบเพียงลำพังมากที่สุด จะหาพื้นที่ใจกลางกองทัพใหญ่ที่มีเผ่าปีศาจรวมตัวกันแน่นหนาแล้วปล่อยหมัดออกไป ฟ้าดินของสนามรบในรัศมีหลายสิบจั้งรอบด้านพลันเปลี่ยนเป็นสว่างไสว สุดท้ายก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ามีเพียงเจิ้งเฉียนคนเดียวเท่านั้นที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ ดังนั้นข่าวลือจึงบอกว่าทุกวันนี้ในบรรดาผู้ฝึกตนบนยอดเขา นางมีฉายาสองอย่างว่า ‘เจิ้งชิงหมิง’ (ชิงหมิงหมายถึงสว่างไสว/สะอาดสะอ้าน หรือเทศกาลเชงเม้ง) ‘เจิ้งซาเฉียน’ (เจิ้งโปรยเงิน) ความหมายคร่าวๆ ก็หนีไม่พ้นว่าทุกหนทุกแห่งที่นางผ่านก็เหมือนการโปรยกระดาษเงินในเทศกาลชิงหมิง รอบด้านล้วนมีแต่คนตาย ทุกท่าน ลองคิดดูสิ หากเจ้าและข้าเป็นศัตรูกับนางจะเป็นเช่นไร?”
“จุดจบไม่ต้องคิดก็พอจะรู้ได้ วันนี้ถือว่าภูเขาตะวันเที่ยงเตะชนกระดานเหล็กแล้ว มีเรื่องกับใครดันไม่มี ดันไปมีเรื่องกับปรมาจารย์ใหญ่อย่างเจิ้งเฉียนผู้นี้”
“แต่นางบอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของภูเขาลั่วพั่ว แสดงว่าเป็นลูกศิษย์ที่สืบทอดวรยุทธมาจากเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วงั้นรึ? แต่เจ้าขุนเขาคนนั้นเป็นเซียนกระบี่ไม่ใช่หรือ? แล้วจะสอนวิชาหมัดให้นางได้อย่างไร?”
“เกินครึ่งภูเขาลั่วพั่วคงมียอดฝีมืออีกคนที่สอนหมัดให้นาง นางแค่ติดตามเจ้าขุนเขาหนุ่มขึ้นเขามาฝึกตนเท่านั้น อันที่จริงมีแค่สถานะที่ว่างเปล่า?”
“นั่นสิๆ ไม่อย่างนั้นเจ้าขุนเขาที่ดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากผู้นี้จะเป็นทั้งเซียนกระบี่พสุธา เป็นทั้งผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้า ก็ออกจะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยแล้ว”
กลางอากาศของยอดเขาสุ่ยหลง ชุยตงซานที่บอกว่าตัวเองคือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเจ้าขุนเขา เด็กหนุ่มชุดขาวผู้นี้มีใฝแดงหนึ่งเม็ดอยู่กลางหว่างคิ้ว รูปงามราวกับหยกสลัก วันนี้เขาเองก็ลดขอบเขตลงมาหนึ่งขั้น แค่เผยภาพบรรยากาศของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเท่านั้น
โจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ข้างกายเขา แม่นางน้อยชุดดำที่มองดูแล้วขอบเขตไม่สูงผู้นี้ ขอบเขตของนางยิ่งลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดา คือแขกผู้ร่วมงานพิธีเพียงคนเดียวที่มีตบะขอบเขตถ้ำสถิต
ขนาดคนโง่ยังรู้ว่าไม่อาจดูแคลนผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาผู้นี้ได้เด็ดขาด เพราะถึงอย่างไรแม่นางน้อยที่คล้ายว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากเผ่าน้ำตนนี้ หากดูตามสถานะของนางก็เป็นถึงผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว จวนเซียนและภูเขาที่มีชื่อเสียงในใต้หล้า บุคคลที่สามารถรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาได้นั้น ส่วนใหญ่แล้วจะเหมือนกับบรรพจารย์ผู้คุมกฎ ต้องเป็นคนที่ต่อสู้เก่งที่สุดในสำนัก เพียงแต่ว่าคนหนึ่งต้านทานศัตรูภายนอก อีกคนหนึ่งจัดการกับกฎระเบียบภายในศาลบรรพจารย์
เกินครึ่งคงเป็นเพราะวันนี้นางดูแคลนที่จะใช้ขอบเขตที่แท้จริงมาร่วมงานพิธีของภูเขาตะวันเที่ยงกระมัง?
ทางฝั่งของยอดเขาเพียนเซียน โจวเฝยที่บอกว่าตัวเองคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสวมชุดกว้าตัวยาวสีเขียว สวมรองเท้าผ้า ลักษณะเหมือนบัณฑิตที่ทัศนาจรอยู่ล่างภูเขา แม้ว่าจอนผมสองข้างของเขาจะเป็นสีดอกเลา ทว่ากลับยังมีเสน่ห์ นอกจากจะสะพายกระบี่แล้วยังเหยียบอยู่บนกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง เปี่ยมไปด้วยมาดของเซียนกระบี่
กระบี่ยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังมีชื่อว่าเจี่ยอู่เซิง เป็นกระบี่ที่โจวอันดับหนึ่งยืมมาจากน้องชุย ส่วนกระบี่เล่มที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า ในอดีตเจียงซ่างเจินได้มาจากจวนลับแห่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีป มีชื่อว่าเทียนโจ่ว
ยืมกระบี่จากชุยตงซาน ถ้าอย่างนั้นตอนที่คืนกระบี่ก็ต้องมอบเทียนโจ่วเล่มนั้นไปให้ด้วย แน่นอนว่าเจียงซ่างเจินไม่มีความเห็นต่างสำหรับเรื่องนี้ หากพูดตามคำกล่าวของน้องชุยก็คือข้ากับโจวอันดับหนึ่งคือสหายรักที่ตายแทนกันได้ จึงไม่เกรงใจโจวอันดับหนึ่งแล้ว ตอนที่โจวอันดับหนึ่งเกรงใจข้า นั่นก็ยิ่งไม่ต้องเกรงใจแล้ว
หลิวเหล่าเฉิง หลิวจื้อเม่า หลี่ฝูฉวี หนึ่งเจ้าสำนักสองผู้ถวายงานของสำนักเจินจิ้ง อันที่จริงต่างก็ไม่ได้ออกห่างมาจากภูเขาตะวันเที่ยงไกลนัก ยังคงจับตามองสถานการณ์ของทางฝั่งภูเขาตะวันเที่ยงอยู่ตลอด พอมองไกลๆ มาเห็นคนผู้นี้ คนทั้งสามก็ทำได้เพียงยิ้มจืดเจื่อน เจ้าสำนักคนแรกในประวัติศาสตร์ของสำนักเจินจิ้ง อดีตเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักกุยหยก ทำอะไรมักผิดหลักการปกติทั่วไปแบบนี้เสมอ ต่อให้จะเป็นคนที่ดุร้ายพยศยากกำราบอย่างหลิวเหล่าเฉิงและหลิวจื้อเม่าซึ่งมีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ อีกทั้งยังทยอยกันเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนแล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเจียงซ่างเจินก็ยังคงไม่กล้ามีความคิดเหลวไหลแม้เพียงนิด หากประลองกันด้วยกำลัง สู้ไม่ได้ และหากจะพูดถึงการประลองปัญญางัดอุบายมาใช้ก็ยิ่งอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด
ยอดเขาฉงจือ เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบผู้นั้นมีรูปโฉมอ่อนเยาว์ หล่อเหลาผิดสามัญ ยามที่ดวงตาหงส์คู่นั้นหรี่ลงก็ทำให้สตรีที่มองเห็นจิตใจเคลิบเคลิ้มมัวเมาได้ทันที
ประเด็นสำคัญคือผู้ถวายงานอันดับรองคนนี้มีปราณกระบี่ใสกระจ่างประหนึ่งน้ำตกสายใหญ่ที่เทลงมาจากบนฟ้า ทอประกายแสงระเรื่อเรืองรอง ปกคลุมยอดเขาฉงจือใต้ฝ่าเท้าของเขาไว้ภายใน สุดท้ายยังแบ่งแม่น้ำยาวปราณกระบี่แสงเรื่อเรืองที่ต้นกำเนิดต่างกันออกมาอีกสองเส้น แยกกันโอบล้อมยอดเขาฉงจือเอาไว้ หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ ล้อมพันรอบยอดเขาแล้วหมุนวนช้าๆ เป็นเหตุให้อาณาเขตของหนึ่งภูเขา ตรงจุดกึ่งกลางภูเขามีแสงสีทองเป็นชั้นๆ กระเพื่อมออกมาจากปราณกระบี่ที่ทอแสงเหมือนแสงอรุโณทัยฉาบขอบฟ้า บริเวณใกล้เคียงกับยอดเขาก็มีแสงตะวันยามสายัณห์ทอประกายพร่างพราวดุจเปลวเพลิงเผาไหม้ ปราณกระบี่ล้นทะลัก แต่กลับไม่ทำร้ายคนแม้แต่นิด
เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วบรรพจารย์หญิงเหลิ่งฉี่ของยอดเขาฉงจือได้แต่กลั้นใจพาพวกลูกศิษย์ผู้สืบทอดก้มหัวเดินผ่านประตูเล็กๆ บานนั้นออกมา
ภูเขาชิวลิ่ง สตรีร่างสูงใหญ่ที่บอกว่าตัวเองคือผู้คุมกฎฉางมิ่งสวมชุดสีขาว แผ่กลิ่นอายแห่งมรรคาอันล่องลอย ตรงจุดที่นางยืนอยู่มีแสงวิเศษดั่งแสงอัญมณีท้นเอ่อ นั่นคือภาพบรรยากาศของเซียนเหรินอย่างไม่ต้องสงสัย
ยอดเขาสุ่ยหลง เฉินหลิงจวินที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กชายสวมชุดเขียว เท้าเหยียบอยู่บนข้องราชามังกรใบหนึ่งที่หลอมใหญ่จนกลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิต สองแขนยกกอดอก ขอแค่ออกมาจากเมืองเล็กในถ้ำสวรรค์หลีจู นายท่านใหญ่เฉินอยู่ที่ใดไม่ใช่นายท่านใหญ่บ้าง?
ในใจเฉินหลิงจวินให้รู้สึกเสียดายยิ่งนัก พี่ใหญ่เจี่ย ป๋ายหมาง เฉินจั๋วหลิว สหายรักทั้งหลาย พี่น้องคนดีของตน วันนี้ไม่มีใครมาอยู่ในเหตุการณ์สักคน จึงไม่ได้เห็นความองอาจผึ่งผายของตน นี่ถือเป็นเรื่องน่าเสียดายเรื่องหนึ่งในชีวิตของพวกเขาแล้ว
ผู้ฝึกยุทธจ้งชิว ขอบเขตวิถีวรยุทธของอาจารย์ผู้เฒ่า ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่วไม่ถือว่าสูงนัก เป็นแค่คอขวดขอบเขตเดินทางไกล ทว่าขณะเดียวกันจ้งชิวยังเป็นผู้ฝึกตนคอขวดโอสถทองผู้ฝึกลมปราณที่เชี่ยวชาญในศาสตร์วิชาของลัทธิขงจื๊อด้วย
ในอดีตตอนที่อยู่พื้นที่มงคลดอกบัวอันเป็นบ้านเกิด ราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนที่ถูกยุทธภพขนานนามให้เป็นอริยะบุ๋นปรมาจารย์บู๊ผู้นี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่จะทำให้คำกล่าวนี้กลายเป็นจริงในใต้หล้าไพศาลที่ฟ้าสูงยิ่งกว่าแผ่นดินกว้างใหญ่ยิ่งกว่า
ยอดเขาอวี่เจี่ยว ผู้ฝึกกระบี่สุยโย่วเปียน ก่อนหน้านี้วันหนึ่งท่ามกลางราตรีที่มีแสงจันทร์ นางที่แหวกน้ำเดินเล่นยามราตรีอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดอย่างเงียบเชียบแล้ว
‘สือโหรว’ เถ้าแก่ที่ถูกเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งสิงร่าง เวลานี้นางยืนอยู่กลางอากาศเหนือยอดเขาจูอวี๋ สือโหรวที่ยามอยู่ตรอกฉีหลงต้องสวมคราบร่างตู้เม่ามานานหลายปีอาศัยโอกาสนี้ ในที่สุดก็ได้ใช้รูปโฉมเดิมที่เป็นสตรีของนางหวนคืนกลับมาบนโลกอีกครั้ง ทัศนียภาพที่เทวบุตรมารนอกโลกมองเห็น สือโหรวที่อยู่ไกลถึงตรอกฉีหลงก็มองเห็นอย่างชัดเจนเช่นกัน ถึงขั้นที่ว่าชัดยิ่งกว่าการมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือเสียอีก ตลอดทั้งอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงล้วนปรากฎอยู่ในคลองจักษุของนาง
หงเซี่ยเจียวน้ำขอบเขตก่อกำเนิดรู้สึกเพียงว่าวันนี้ตนมายืนอยู่ที่นี่ ก็คือคนเดียวที่กระอักกระอ่วนเพราะแค่มารวมตัวกับคนอื่นเพื่อให้ครบจำนวนคนเท่านั้น
หากจะพูดถึงขอบเขต หงเซี่ยขอบเขตสูงกว่าแม่นางน้อยชุดดำอยู่หลายขั้นก็จริง ทว่าภูเขาลั่วพั่วบ้านตนมีขนบธรรมเนียมที่แปลกประหลาดยิ่งนัก ใต้หล้านี้มีเพียงที่นี่ที่เดียวที่ไม่เคยสนใจเรื่องขอบเขต อีกอย่างหงเซี่ยหรือจะกล้าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างโจวหมี่ลี่
ดังนั้นหงเซี่ยจึงตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่า หลังจากร่วมงานพิธีเสร็จสิ้น พอกลับไปถึงบ้านเกิด นางจะไปหลบอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว หากไม่ถึงหยกดิบก็จะไม่ออกมาเด็ดขาด
การปรากฏตัวของเพ่ยเซียงก่อกำเนิดเจ้าแห่งแคว้นหูก็ทำให้แขกที่อยู่ตามยอดเขาต่างๆ ของภูเขาตะวันเที่ยงฮือฮากันไม่น้อยเช่นกัน ต่างคนต่างหันไปกระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กับสหาย
สกุลสวี่นครลมเย็นเป็นพันธมิตรบนภูเขาที่แข็งแกร่งที่สุดของภูเขาตะวันเที่ยงมาโดยตลอดไม่ใช่หรือ? หรือว่านครลมเย็นเองก็แอบหันไปสวามิภักดิ์ต่อภูเขาลั่วพั่วอย่างลับๆ เหมือนกัน? หรือว่าภูเขาตะวันเที่ยงที่กำลังจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่างแห่งนี้ การจุดธูปแสดงความเคารพอยู่ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยนปีแล้วปีเล่า สิ่งที่จุดไปล้วนเป็นควันธูปปลอมทั้งหมด? บรรพชนแต่ละยุคแต่ละสมัยที่มีภาพเหมือนแขวนอยู่ถูกคนกราบไหว้แต่กลับยังขี้เหนียวขนาดนี้ ไม่ยินดีจะปกป้องคนรุ่นหลังเลยสักนิด? ไม่อย่างนั้นเหตุใดต้องตกอยู่ในสภาพที่เจอกับศัตรูรายล้อมอยู่รอบด้าน หันไปทางใดก็เจอกับคู่อาฆาตเช่นนี้ด้วย?
ส่วนภูเขาลั่วพั่วแห่งนั้น สรุปแล้วมีพันธมิตรบนภูเขากี่คนกันแน่? มารดามันเถอะ ไหนบอกว่าภูเขาลั่วพั่วเป็นเพียงแค่พรรคเล็กที่อยู่ใต้อาณัติของเว่ยซานจวิน ได้แต่คอยช่วยภูเขาพีอวิ๋นหาเงินล้างเงิน (เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย) อย่างไรเล่า?
ส่วนตัวของเพ่ยเซียงเอง กลับกลายเป็นว่ารู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ภูตจิ้งจอกที่ขอบเขตหยุดชะงักอยู่ที่ก่อกำเนิดมานานผู้นี้ จนกระทั่งบัดนี้ที่ได้เปิดเผยสถานะผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วอย่างชัดเจน ฉีกหน้ากับนครลมเย็นต่อหน้าผู้คนอย่างจริงจัง จิตแห่งมรรคาของนางกลับกลายเป็นว่าใสกระจ่างขึ้นมาหลายส่วน ถึงกับมีลางว่าคอขวดคลายตัว เป็นเหตุให้จิตใจของเพ่ยเซียงจมจ่อมอยู่กับท่วงทำนองอันลี้ลับของโอกาสบนมหามรรคาส่วนนั้น หางจิ้งจอกที่อยู่เบื้องหลังกระจายตัวออกมาโดยไม่อาจควบคุม เห็นเพียงว่ากายธรรมเซียนดินของก่อกำเนิดถึงกับขยายใหญ่ดุจยอดเขา หางใหญ่ยักษ์เจ็ดหางส่ายสะบัดไปตามลมช้าๆ พร้อมลากเอาลำแสงพร่างพราวเจิดจ้าออกมาเป็นระลอก ประดุจภาพมายาในความฝัน
ผู้ถวายงานภูเขาลั่วพั่วที่ป่าวกระกาศว่า ‘นามแฝง’ คืออวี้เต้าเสวียนคนนั้น ดูจากท่าทางแล้วก็เหมือนว่าจะเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบอีกคนหนึ่ง?
ไม่ว่าใคร หากแยกออกมาคนเดียวก็ล้วนมากพอจะทำให้คนหวาดผวาพรั่นพรึง แต่วันนี้ไม่เหมือนกัน สิ่งเหล่านี้กลับดูเหมือนว่าจะไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจแล้ว
สิ่งที่ทำให้แขกทุกคนของแจกันสมบัติทวีปที่มาร่วมงาน หรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนของทวีปอื่นที่อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำชมงานพิธีครั้งนี้รู้สึกสะท้านสะเทือนไปถึงจิตวิญญาณ คือการปรากฏตัวของสองคนสุดท้ายต่างหาก
เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ!
หนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน?
เค่อชิงเว่ยจิ้น
เซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่บอกชื่อแซ่และตำแหน่งของตัวเองคนนี้ คือบุคคลอันดับหนึ่งบนวิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปอย่างสมชื่อ เวลานี้เขายืนพิงราวรั้วอยู่บนเรือข้ามฟากลำหนึ่งของต้าหลีที่จอดอยู่ใกล้กับยอดเขาอีเซี่ยน
ไปสังหารปีศาจที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ถามกระบี่ต่อเทียนจวินเซี่ยสือสองครั้ง สามารถพูดได้ว่าขอบเขต ชื่อเสียงบารมีและพลังสังหารของเว่ยจิ้น แค่เขาคนเดียวก็เท่ากับสำนักอักษรจงแห่งหนึ่งได้แล้ว
หากไม่เป็นเพราะนิสัยของเว่ยจิ้นเฉยเมย ปลีกตัวสันโดษเหมือนนกกระเรียนเดียวดายที่โบยบินอยู่บนนภา ร่องรอยไม่หยุดนิ่งเหมือนเมฆคล้อยมากเกินไป ขอแค่เขายินดีก่อตั้งสำนักก็สามารถทำได้สำเร็จอย่างง่ายๆ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางขาดแคลนลูกศิษย์ อาณาเขตขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีป ตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ทุกคน สมมติว่าพวกเขาสามารถเลือกภูเขาได้เอง ย่อมต้องสละทิ้งสำนักกระบี่หลงเฉวียนและภูเขาตะวันเที่ยง หันไปเลือกติดตามเว่ยจิ้นฝึกกระบี่กันเป็นแน่
เหตุผลก็เรียบง่ายยิ่ง วิถีกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปก็เป็นเว่ยจิ้นที่ยกให้สูงขึ้น
เป็นเว่ยจิ้นที่ทำให้ผู้ฝึกตนของสามทวีปรู้ว่า บนยอดเขาแจกันสมบัติทวีปของข้าก็มีเซียนกระบี่ที่มาดองอาจกล้าหาญ ไม่แพ้ให้กับทวีปใด
ส่วนทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่แห่งนั้น สตรีที่สะพายกล่องกระบี่ คือหนิงเหยา?
หนิงเหยาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่และใต้หล้าแห่งที่ห้าคนนั้น?
เป็นไปไม่ได้ พูดถึงแค่เรื่องที่นางไปอยู่ใต้หล้าใหม่เอี่ยม จะมาที่ไพศาลได้อย่างไร?
ศาลบุ๋นแหกกฎเพื่อนางหรือ? หรือว่าเป็นนางที่อาศัยความสามารถของตัวเองพกกระบี่บินทะยานมา?
ดังนั้นใช้ก้นคิดก็ยังรู้ได้ว่า เกินครึ่งต้องเป็นคนที่ชื่อเดียวกันแซ่เดียวกันอย่างแน่นอน
แล้วนับประสาอะไรกับที่การปรากฏตัวและการทะยานลมหยุดยืนนิ่งของสตรีสะพายกระบี่คนนี้ล้วนไม่มีความเคลื่อนไหวรุนแรงอะไร ถึงขั้นที่ว่ายังสู้เซียนกระบี่สามคนอย่างหมี่อวี้ สุยโย่วเปียนและอวี๋เต้าเสวียนไม่ได้ด้วยซ้ำ
——