กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 825.3 เทพอยู่บนฟ้า แสงกระบี่ร่วงหล่นลงมา
ขณะเดียวกันเท้าหนึ่งของกายธรรมวานรเฒ่าก็จมลงไปในพื้นดิน มันตวาดเบาๆ หนึ่งที ก่อนจะกระดกปลายเท้ายกตวัดเอารากภูเขาที่ถูกเหยียบหักของภูเขาเล็กลูกหนึ่งให้ลอยขึ้นมากลางอากาศ แล้วขว้างเข้าใส่เซียนกระบี่ชุดเขียวตามหลังยอดเขาอวี่เจี่ยวไป
วานรเฒ่าย้ายภูเขาที่นิสัยดุร้ายกำเริบแล้วดึงเอายอดเขาเล็กใต้อาณัติอีกสองลูกออกมาทั้งราก กำไว้ในมือข้างละลูกแล้วขว้างเข้าใส่เจ้าลูกกระต่ายที่ไม่รู้จักกลัวตายผู้นั้น
กายธรรมใหญ่โตมโหฬารของวานรเฒ่าก้าวหนึ่งก้าวข้ามขุนเขาสายน้ำ อีกหนึ่งก้าวเหยียบลงบนยอดเขาของอดีตขุนเขาใหญ่ที่ปริแตกของแคว้นเล็กทางทิศใต้ลูกหนึ่ง สายตามองตรงไปข้างหน้า
เฉินผิงอันประกบสองนิ้วต่างกระบี่ฟันผ่ายอดเขาอวี่เจี่ยวที่พุ่งเข้ามาแสกหน้า โบกชายแขนเสื้อมือซ้ายสะบัดภูเขาที่เดิมทีหยุดแน่นิ่งไม่ขยับให้กลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม จากนั้นเอาสองนิ้วจิ้มลงเบาๆ อีกสองที ถึงกับทำให้ภูเขาเล็กใต้อาณัติสองลูกหยุดลอยอยู่กลางอากาศได้
คนชุดเขียวพลิ้วกายลงบนยอดสูงสุดของยอดเขาชิงอู้อย่างเชื่องช้า
เผยเฉียนรีบทิ้งตัวลงพื้นมายืนอยู่ข้างกายอาจารย์พ่อ ไม่อย่างนั้นจะดูไม่มีมารยาท
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร วันนี้เดรัจฉานเฒ่ากินข้าวไม่อิ่ม ออกหมัดนุ่มนิ่ม แค่ต้องทิ้งระยะห่างจากเขาเล็กน้อย เรื่องของการขว้างภูเขาส่งเดชก็ยิ่งเหมือนเมล็ดต้นหลิวโปรยปราย ไม่มีแรงมากเท่าตอนหมี่ลี่น้อยของพวกเราโยนเมล็ดแตงด้วยซ้ำ”
แม่นางน้อยชุดดำได้ยินก็ยิ้มปากกว้างจนหุบไม่ลง กอดไม้เท้าเดินป่าไว้ในอ้อมอก รีบยกสองมือมาป้องปาก ขนคิ้วบางๆ กับดวงตาที่หรี่ลง ดีใจใหญ่เท่าโต๊ะเลยทีเดียว
นางร้ายกาจขนาดนั้นเสียที่ไหน ไม่ใช่สักหน่อย ไม่ใช่สักหน่อย เจ้าขุนเขาคนดีพูดเหลวไหล พวกเจ้าอย่าได้เชื่อเชียวนะ แต่หากจะเชื่อจริงๆ ข้าก็ไม่มีวิธีที่ทำให้พวกเจ้าไม่เชื่อแล้วล่ะ
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “วันนี้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาไม่ต้องลงมือ บารมีและชื่อเสียงก็ขจรไกลแล้ว”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะฮ่าๆ “ชื่อเสียงจอมปลอม ล้วนเป็นชื่อเสียงจอมปลอมทั้งสิ้น”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ใช้เสียงในใจพูดคุยกับเผยเฉียน “จับตามองทางยอดเขาอีเซี่ยน ใครกล้าโผล่ออกมา เจ้าก็ต่อยให้ถอยกลับไป”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ทราบแล้ว”
เฉินผิงอันกระทืบพื้นเบาๆ เรือนกายพลันออกไปจากยอดเขาชิงอู้ เงียบเชียบไร้สำเนียง เมื่อเทียบกับการใช้แรงงัดภูเขาสายน้ำอย่างสมชื่อของวานรเฒ่าชุดขาวแล้ว การกระทำของเขาก็เรียกได้ว่าไร้พลังอำนาจใดๆ ให้เอ่ยถึง
คนชุดเขียวพุ่งผ่านภูเขาสองลูกที่เหมือนถูกร่ายเวทกักร่าง ลากภูเขาเดินไป คุมเชิงอยู่กับกายธรรมของวานรเฒ่าที่เหยียบอยู่บนขุนเขาอยู่ไกลๆ
เวลาอีกครึ่งก้านธูปที่เหลือกำลังจะหมดลง
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “วางใจเถอะ ทางฝั่งของยอดเขาอีเซี่ยน อย่างน้อยที่สุดเถาจื่อต้องลงมือแน่ จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกันบนถนนฝูลวี่ ข้าก็รู้แล้วว่านางเป็นคนเฉลียวฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ทว่าบรรพจารย์หยวนหากเจ้ายังคงใช้มาดของผู้ไร้ศัตรูทัดทานเดินกร่างอยู่บนภูเขาสายน้ำเช่นนี้ นางจะช่วยทวงความยุติธรรมให้เจ้าได้อย่างไร? สามหมัด สามหมัดสุดท้าย บรรพจารย์หยวนจงชั่งน้ำหนักดูให้ดี จะให้คนนอกดูเรื่องสนุกต่อไป หรือจะให้คนในมองสายสนกลในออกก็ตามใจเจ้า”
หลังจากพูดจบก็โยนภูเขาสองลูกที่ลากมาด้วยไปยังสองสถานที่ ช่วยเสริมยอดเขาให้กับภูเขาใต้อาณัติของยอดเขาโปอวิ๋นและยอดเขาอวี่เจี่ยว
วานรเฒ่าชุดขาวพลันเก็บร่างกายธรรม ยืนอยู่บนยอดเขา วานรเฒ่าสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เพียงแค่การหายใจเข้าออกที่ธรรมดาสามัญอย่างถึงที่สุดนี้ก็มีลมแรงพัดกระโชกอยู่ระหว่างยอดเขาทั้งหลาย พายุลมกรดพัดหอบก้อนเมฆให้ม้วนตัวถาโถม พัดทำลายต้นไม้ริมหน้าผาให้หักโค่น หยวนเจินเย่ที่ยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขากวาดตามองรอบด้าน ขุนเขาสายน้ำพันลี้หมอบกราบกรานอยู่ใต้ฝ่าเท้า ในสายตาที่มองเห็นมีเพียงชุดสีเขียวที่เกะกะสายตาอย่างถึงที่สุด
เหมือนอย่างที่เจ้าลูกนังแพศยาของตรอกหนีผิงกล่าว ยังสามารถปล่อยหมัดได้อีกประมาณสามหมัดจริงๆ
มรรคกถาและปณิธานหมัดทั่วร่างของหยวนเจินเย่ผสานกลมกลืนกัน ราวกับว่าตบะหลายพันปีได้กลายเป็นฟ้า ปณิธานหมัดที่สะสมขัดเกลามาพันปีกลายเป็นดิน ฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์คือสะพานแห่งความเป็นอมตะที่รวมสองเป็นหนึ่ง สุดท้ายจึงไต่ไปถึงขอบเขตลี้ลับมหัศจรรย์ที่ฟ้าดินรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
เป็นความห้าวเหิมสูงสุดในชีวิต หมัดแรกที่ปล่อยออกไป ใช้อาการบาดเจ็บมาแลกชีวิต เทียบเท่าได้กับหมัดที่ปณิธานอยู่บนยอดเขาสูงสุดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง
เจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนเจ้าควรล้มลุกคลุกคลานอยู่ในดินโคลนไปตลอดชีวิต โชคดีได้ครองอำนาจ แต่ดันไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า ไม่รู้จักหลักการที่ต้องไปแอบเสวยสุขอยู่เงียบๆ ยังกล้ามาโอ้อวดตัวที่ภูเขาตะวันเที่ยง ถ้าอย่างนั้นก็จะต่อยหมัดเดียวให้กระดูกในร่างเจ้าแหลกเละ หล่นร่วงลงในโลกมนุษย์ จุดจบมีแต่จะอนาถยิ่งกว่าผู้ฝึกตนหญิงของยอดเขาหม่านเยว่ที่ถูกหลี่ถวนจิ่งทิ้งศพให้ตากแห้งอยู่บนลานกว้างของสวนลมฟ้า
หากเกิดเรื่องไม่คาดคิดก็ยังมีหมัดที่สองในการรับรองแขก เท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตเซียนเหริน
หมัดสุดท้าย เซียนกระบี่อะไร เจ้าขุนเขาอะไร ไปตายซะ!
ทางฝั่งของยอดเขาอีเซี่ยน ใบหน้าเถาแยนโปเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เซียนกระบี่ของยอดเขาทั้งหลาย บวกกับเค่อชิงและผู้ถวายงาน คนจำนวนเกือบร้อยคน แต่กลับมีผู้ฝึกกระบี่ของภูเขาตะวันเที่ยงแค่เจ็ดแปดคนเท่านั้นที่ส่ายหน้า
นอกจากนี้ล้วนพยักหน้ากันทั้งหมด ต่างก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของจู๋หวง
ตามกฎของศาลบรรพจารย์ อันที่จริงนับตั้งแต่บัดนี้ไป หยวนเจินเย่ก็ไม่ใช่ผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยงอีกแล้ว
จู๋หวงกล่าว “หยวนเจินเย่ หยุดมือเถอะ แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้เป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาตะวันเที่ยงอีกต่อไป แต่ข้ายินดีขอร้องภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเราจะต้องจ่ายค่าตอบแทนเช่นไร ก็รับรองว่าวันนี้จะให้เจ้าเดินออกไปจากอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงโดยที่ยังมีชีวิตอยู่ให้ได้ หลังจากนี้ก็ขอเชิญเจ้าออกไปจากแจกันสมบัติทวีปซะ”
ขณะเดียวกันจู๋หวงก็ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเซียนกระบี่ชุดเขียว “เจ้าขุนเขาเฉิน ขอแค่ในอนาคตหยวนเจินเย่ออกจากมหาสมุทร พยายามจะเดินทางไกลไปเยือนทวีปอื่น ข้าจะเป็นผู้นำพาเซี่ยหย่วนชุ่ยและเยี่ยนฉู่ร่วมมือกับภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าสังหารวานรตัวนี้ซะ!”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงแค่ยิ้มตาหยี ไม่ได้ปฏิเสธ แล้วก็ไม่ได้ตอบตกลง
หยวนเจินเย่เองก็ไม่สะทกสะท้าน วานรเฒ่าชุดขาวหันหน้าไปมองยอดกระบี่แวบหนึ่ง ใบหน้าของวานรเฒ่าไม่มีอารมณ์ใดๆ
บางทีอาจเป็นเพราะเศร้าโศกมากเกินจนจิตใจด้านชาไปแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะบรรพจารย์ย้ายภูเขาที่แบกรับโชคชะตาของหนึ่งทวีปเอาไว้มีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม รู้สึกว่ายังมีหนทางที่จะพลิกกลับสถานการณ์
สิ่งที่วานรเฒ่าชุดขาวมองเห็นในสายตา สิ่งที่คิดอยู่ในใจ คือปีนี้ต้นอู๋ถงในภูเขาต้นนั้น ยังไม่ทันเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ใบของมันก็ร่วงลงมาแล้ว
ช่วงเวลาในอดีต บุปผาบาน บุปผาร่วง ใบไม้เป็นสีเขียว ใบไม้เป็นสีเหลือง ล้วนไม่มีใครมารบกวน มีเพียงเสียงแกรกกรากยามไม้กวาดกวาดพื้นเท่านั้น
เท้าหนึ่งของหยวนเจินเย่เหยียบยอดเขาทั้งลูกให้แหลกกระจาย พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม บุกเข้าสังหารคนชุดเขียวที่ลอยตัวอยู่ในจุดสูง
ปณิธานหมัดที่สมบูรณ์แบบของทั้งร่าง ราวกับว่าจะสูงยิ่งกว่าขุนเขาเสียอีก
หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ประหนึ่งบ่อสายฟ้าระเบิดแตกแล้วสาดยิงไปทั่ว
แทบทุกคนต่างก็ต้องเงยหน้ามองตามจิตใต้สำนึก เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวโดนหมัดนั้นต่อยจนร่างหายวับไปจากจุดเดิมในเสี้ยววินาที
ในฐานะเป็นฝ่ายที่ปล่อยหมัด หยวนเจินเย่ถึงกับไถลกรูดห่างออกไปสิบกว่าจั้ง ชายแขนเสื้อสองข้างแหลกยับ แขนที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นเป็นมัดกลายมาเป็นเนื้อเหวอะเลือดโชก เส้นเอ็นและกระดูกโผล่ออกมา น่าสยดสยอง จากนั้นวานรเฒ่าชุดขาวก็พลันไต่ร่างขึ้นสูง ร้องคำรามอย่างเดือดดาล ปล่อยหมัดที่สองออกไปยังม่านฟ้า
บนฟ้าเหนือขุนเขาสายน้ำพันลี้มีเพียงเสียงฟ้าร้องดังครืนๆ ต่อเนื่องติดต่อกันไม่ขาดสาย แต่กลับมองไม่เห็นคนชุดเขียว
เสียงอสนีบาตดังกัมปนาทราวกับอยู่ใกล้เพียงริมหู ผู้ฝึกตนหลายคนที่ขอบเขตไม่สูงพอจำต้องยกมือขึ้นอุดหู พยายามโคจรปราณวิญญาณในร่างมาปกป้องจิตแห่งมรรคาสุดชีวิต
พวกผู้ฝึกตนเซียนดินที่อยู่ร่วมงานพิธีตามยอดเขาทั้งหลายพากันร่ายวิชาอภินิหาร ช่วยผู้ฝึกตนที่เจ็บปวดทรมานข้างกายสลายริ้วกระเพื่อมของปณิธานหมัดที่พากันร่วงกราวลงมาราวสายฝน
หยวนเจินเย่เอาสองมือไพล่หลัง กระดูกและเนื้อของหมัดทั้งสองหลอมละลาย เยื่อแก้วหูแตกยับไปแล้ว ผมเผ้ายุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง เส้นผมสีขาวหิมะริมจอนหูถูกเลือดสดที่ไหลออกมาจากรูหูอาบย้อมให้แดงฉานติดแนบอยู่ด้วยกัน
ทางฝั่งของหอถิงเจี้ยนของยอดเขาอีเซี่ยนมีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ท่านปู่หยวน ข้าจะช่วยท่านเอง!”
มีสตรีรูปโฉมงดงามสวมชุดสีม่วงคนหนึ่งคล้ายไม่สนใจความเป็นความตาย ถึงกับเตรียมจะขี่กระบี่ทะยานไปยังม่านฟ้าเพียงลำพัง
เพียงแต่ว่านางเพิ่งจะขี่กระบี่ลอยพ้นพื้นมาแค่สิบกว่าลี้ก็ถูกหญิงสาวที่มวยผมทรงกลมกลางศีรษะทะยานลมแหวกอากาศมาถึง ยื่นมือไปกุมลำคอของนางแล้วพลันกระชากนางลงจากกระบี่ยาว จากนั้นโยนนางไปไว้บนลานกว้างของหอถิงเจี้ยน กลิ้งตลบอยู่เจ็ดแปดรอบ เถาจื่อที่สภาพทุลักทุเลเตรียมจะบังคับกระบี่กลับเข้าฝัก แต่กลับถูกผู้ฝึกยุทธหญิงยื่นมือมากุมคมกระบี่เอาไว้ บิดเบาๆ หนึ่งทีแล้วโยนกระบี่ยาวที่หักออกเป็นสองท่อนไปไว้บนพื้นข้างกายเถาจื่อ
ผู้ฝึกตนที่มาเข้าร่วมงานพิธีครั้งนี้ฉลาดขึ้นแล้ว ไม่เลือกเก็บเมล็ดงาโยนแตงโมทิ้งอีก (เปรียบเปรยว่าเลือกเอาเรื่องที่ไม่สำคัญมาแทนเรื่องที่สำคัญ) เหลือบตามองความเคลื่อนไหวที่หอถิงเจี้ยนแวบสองแวบก็มองไปยังจุดสูงพร้อมกับวานรเฒ่าชุดขาวต่อ
คนผู้นั้นรับหมัดสองหมัดไปแล้วก็ยังไม่เอาคืน
ขนาดนี้แล้วก็ยังไม่ตาย?
คำตอบก็ชัดเจนมากแล้ว คนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่ตาย กลับกันยังสบายดีอย่างยิ่ง ไม่มีความเสียหายเลยแม้แต่น้อย
บนม่านฟ้า คนชุดเขียวคล้ายเดินลงบันไดมาอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์
เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวหยุดเท้า ยกรองเท้าผ้าขึ้นแล้ววางลงเบาๆ จากนั้นก็บิดหมุนปลายเท้าคล้ายกำลังพูดว่า เหยียบเจ้าหยวนเจินเย่ให้ตายก็เหมือนกับบดขยี้มดตัวหนึ่งเท่านั้นแหละ
หยวนเจินเย่ถลึงตากว้าง สองหมัดที่เหลือเพียงกระดูกสีขาวโพลนกำเป็นหมัดแน่น แหงนหน้าร้องคำรามอย่างเดือดดาล “สรุปแล้วเจ้าเป็นใครกันแน่?!”
มันไม่เชื่อเด็ดขาดว่าคนชุดเขียวที่เดินลงมาจากฟ้าผู้นี้จะเป็นเจ้าลูกผสมขาเปื้อนโคลนที่ดีแต่อวดฉลาดคนนั้น!
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ช่างเตาเผาของตรอกหนีผิงในปีนั้น เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วในปัจจุบัน ก็ล้วนแซ่เฉินนามผิงอันไม่ใช่หรือ ไม่อย่างนั้นจะยังเป็นใครได้อีก?”
เฉินผิงอันยกสองมือขึ้น ตรงกลางฝ่ามือสองข้างแบ่งออกเป็นดวงตะวันหนึ่งดวง ดวงจันทร์หนึ่งดวงที่ก่อตัวกันลอยขึ้นมา
ดวงตะวันส่องแสงเจิดจ้า แสงจันทร์สุกสกาวสว่างไสว
ดวงตะวันลอยขึ้นสูงดวงจันทร์ลดต่ำลง ดวงอาทิตย์ตกดวงจันทร์ลอยขึ้น เป็นวงโคจรซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลายเป็นวงกลมสีทองที่ทอประกายรัศมีอันเคร่งขรึม คล้ายวิถีโคจรของมหามรรคาเส้นหนึ่งที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลาดตระเวนไปตามฟ้าดิน
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมืออีกครั้ง ดวงดาวแห่งชะตาชีวิตที่เป็นห้าธาตุก็ก่อกำเนิดขึ้นมา ห้าสีสัน โอบล้อมวนรอบดวงตะวันจันทราอย่างช้าๆ
ดวงตะวัน ดวงจันทร์และดวงดาวประหนึ่งได้รับคำสั่งจึงวนล้อมรอบคนผู้หนึ่ง ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ลอยตัวอยู่ด้วยกัน ทางช้างเผือกลอยอยู่กลางอากาศ หมุนเวียนไปตามวิถีโคจรแห่งฟ้า
หลังจากนั้นก็คือภาพขุนเขาสายน้ำภาพแล้วภาพเล่า แจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีป อุตรกุรุทวีป ผลุบๆ โผล่ๆ บ้างก็เป็นภาพสี บ้างก็เป็นภาพขาวดำ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำแต่ละตนได้รับการแต้มนัยน์ตา ควบม้าชมบุปผาเปล่งวูบวาบอยู่ในม้วนภาพ ในบรรดานั้นยังมีภูเขาห้อยหัวที่เดินทางไกลไปยังใต้หล้ามืดสลัวรวมอยู่ด้วย
เพียงชั่วพริบตา คนชุดเขียวก็ไปยืนอยู่เบื้องหน้า ดุจดั่งองค์เทพที่อยู่บนฟ้า
ต่อให้เป็นเจียงซ่างเจินก็ยังจิตใจส่ายไหว อดไม่ไหวถามว่า “น้องชุย นี่เป็นเวทกระบี่บทใดกัน?!”
ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แน่นอนว่าเป็นเวทกระบี่ แต่ก็ถือว่าเป็นวิชาหมัดที่อาจารย์คิดค้นขึ้นมาเองด้วย ได้ทั้งวิชาหมัดและวิชากระบี่ ไม่แบ่งฝักฝ่าย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว หมื่นปีที่ผ่านมา ปราณโชติช่วงในใต้หล้า ถือเป็นยอดเขา”
ชุยตงซานโบกชายแขนเสื้อสีขาวหิมะ “ก็อาจารย์ของข้านี่นะ ไม่มีอะไรให้ต้องตกอกตกใจหรอก”
ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะสามารถดึงระยะห่างบนวิถีวรยุทธกับเฉาสือให้ขยับเข้ามาใกล้ได้อย่างไร?
ก็อาศัยชั้นของปราณโชติช่วงขอบเขตสิบที่ในอดีตไม่เคยมีมาก่อนและในอนาคตก็จะไม่ปรากฎอีกนี้นี่เอง
สีหน้าเผยเฉียนสดใสแช่มชื่น ดูเอาเถอะ ยังคงเป็นตนที่ฉลาดเฉลียวจริงดังคาด อาจารย์พ่อสอนหมัดได้ แต่ป้อนหมัดน่ะ ทำไม่ได้เด็ดขาด
เทวบุตรมารนอกโลกที่ยืมเนื้อหนังของสือโหรวมาสวมใส่ อดไม่ไหวต้องนำวิชาการแสดงเก่ามาใช้ มันชูแขนสูงตะโกนเสียงดัง บรรพบุรุษอิ่นกวานเยี่ยมยุทธล้ำโลก เวทกระบี่ไร้ผู้ใดต่อกรได้ ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงไปตายซะเถอะ เต๋าเหล่าเอ้อเจ้าจงเป็นอันดับสองพันปีหมื่นปีไปแต่โดยดี…
แต่เด็กชายผมขาวที่สิงร่างของสือโหรวผู้นี้ในที่สุดก็รู้แล้วว่าควรจะร่ายเวทสกัดกั้นฟ้าดิน ไม่ปล่อยให้คำพูดของตัวเองหลุดรอดออกไป เป็นความบกพร่องเดียวในความสมบูรณ์แบบ รู้สึกว่าไม่สาแก่ใจมากพอ เพราะถึงอย่างไรบรรพบุรุษอิ่นกวานก็ไม่ได้ยินถ้อยคำจากใจที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจนี้
เซอเยว่เหลือบมองดวงจันทร์ดวงนั้น เพ่งสมาธิจ้องมองอย่างละเอียด สุดท้ายก็ถอนหายใจ แม้จะบอกว่าพอเจ้าหมอนั่นกลับมาบ้านเกิดแล้ว ตอนที่อยู่ที่ร้านตีเหล็กริมลำคลอง คงเพราะเห็นแก่หลิวเสี้ยนหยาง จึงคืนแก่นดวงจันทร์ครึ่งส่วนมาให้นาง ทว่าอิ่นกวานหนุ่มผู้นี้ทั้งจิตใจและฝีมือล้วนดำมืดอำมหิต บัณฑิตมีสมองอย่างไรกันแน่ ไม่ว่าเรียนอะไรก็เป็นไปหมด หรือจะบอกว่าพอตนกลับไปถึงเมืองเล็กก็ควรไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนสักสองสามวันบ้าง?
เซอเยว่ถาม “วานรเฒ่าตัวนี้จะหนีหรือไม่?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่หรอก ตายทั้งกายและจิตใจ”
——