กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 826.1 เจ้าสำนักไท่ซ่าง
เรือข้ามฟากเรือมังกรลำหนึ่งที่มีชื่อว่าฟานโม่ถอนตราผนึกออกที่ริมขอบอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงแล้วเคลื่อนตัวกลับทิศเหนือช้าๆ
ทางฝั่งของเรือข้ามฟากนี้ ทุกคนของภูเขาลั่วพั่วพากันพลิ้วกายลงมา
มีเพียงสุยโย่วเปียนที่ไม่ได้ขึ้นมาบนเรือ นางเลือกที่จะขี่กระบี่เดินทางไกลเพียงลำพัง
หงเซี่ยยืนอยู่กับเพ่ยเซียง คนหนึ่งคือเผ่าพันธุ์น้ำที่เดินลงน้ำกลายเป็นเจียวได้สำเร็จ คนหนึ่งคือเจ้าแห่งแคว้นหู ต่างก็มีชาติกำเนิดเป็นภูต และทุกวันนี้ต่างก็ฝึกตนอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว อีกทั้งทุกครั้งที่มีการประชุมบนยอดเขาจี้เซ่อก็มักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่เข้าพวก ดังนั้นทั้งสองฝ่ายจึงมีชีวิตพึ่งพากันและกัน ต่อให้ไม่มีอะไรพูดคุยกัน แต่ก็มักจะมายืนอยู่ด้วยกันอย่างที่ไม่อาจควบคุมได้ ส่วนโอกาสการฝ่าทะลุขอบเขตของเพ่ยเซียงก่อนหน้านี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่เห็นเป็นสำคัญ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ตัวเพ่ยเซียงเองก็ยังไม่รู้สึกว่ามีค่าอะไรให้พูดถึง เพราะต่อให้พรุ่งนี้นางเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ แต่แล้วจะอย่างไรเล่า?
จูเหลี่ยนเรือนกายงองุ้ม เอาสองมือไพล่หลัง กำลังพูดคุยยิ้มแย้มอยู่กับอาจารย์จ้งชิว
หมี่ลี่น้อยถือไม้เท้าเดินป่าอยู่ในมือ วิ่งวนอยู่รอบกายเผยเฉียนไม่หยุด พูดเจื้อยแจ้วบอกว่าตอนนั้นตนทะยานลมหยุดยืนอยู่กับศิษย์พี่เล็ก นางเหมือนกับหัวไชเท้าที่ถูกปักเสียบอยู่ในสวนไม่มีผิดเพี้ยน ยืนนิ่งไม่ขยับ มั่นคงอย่างมาก ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีความตื่นเต้นเล็กเท่าเม็ดฝนเลยแม้แต่น้อย
เฉินหลิงจวินเริ่มสำแดงวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ลี้ลับมหัศจรรย์บางอย่างอีกครั้ง เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตหยกดิบที่มีนามแฝงว่าอวี๋เต้าเสวียนผู้นั้น ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันถูกคออย่างยิ่ง
คนผู้หนึ่งบอกว่าตัวเองอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือและอุตรกุรุทวีป ได้รับความนิยมอย่างมาก แค่บอกชื่อของเขาไป ดื่มเหล้าก็ไม่ต้องจ่ายเงิน
คนหนึ่งบอกว่าตัวเองอยู่ในหลิวเสียทวีปและธวัลทวีปก็ถือว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับน้องจิ่งชิงแล้วยังเป็นรองอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนฮูหยินเจ้าขุนเขาที่นายท่านของตนยังไม่ได้สู่ขอมาอยู่ที่บ้านคนนั้น ตอนที่หนิงเหยาขึ้นเรือมา เฉินหลิงจวินก็ขยับออกห่างไปเล็กน้อย ไถลฝีเท้าดุจเมฆคล้อยน้ำไหลไปสองสามก้าว ดุจดั่งปลาที่แหวกว่ายผ่านฝูงชน แล้วเอาสองมือกุมหมัดอย่างนอบน้อม ค้อมกายลงต่ำสุดจนก้นกระดกขึ้นสูง กำลังจะเปิดปากพูด ผลกลับถูกเท้าหนึ่งของชุยตงซานถีบมาจึงหน้าคะมำลงไปนอนคว่ำอยู่กับพื้น เฉินหลิงจวินจึงไม่ลุกขึ้นเสียเลย เพียงร้องตะโกนเสียงดังว่า “จิ่งชิงคารวะฮูหยินเจ้าขุนเขา”
หนิงเหยาเอ่ยอย่างจนใจ “ลุกขึ้นมาพูดกันเถอะ”
เฉินหลิงจวินหลุดปากพูดไปว่า “เรียนฮูหยินเจ้าขุนเขา บนพื้นนี่ก็เย็นดี”
ใต้หัวเข่าของบุรุษมีทองคำ ยิ่งคุกเข่าก็ยิ่งมีเยอะ
ในอดีตตอนที่เผยเฉียนอยู่ต่อหน้าจูอวี้ที่หน้าประตูจวนหนิงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หนิงเหยายังพอจะฝืนปรับตัวเข้ากับขนบธรรมเนียมของภูเขาลั่วพั่วได้บ้าง
อันที่จริงนางเองก็ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กชายชุดเขียวจากเฉินผิงอันมาไม่น้อย
ทุกครั้งที่พูดถึงเฉินหลิงจวิน หนิงเหยาถึงขั้นสามารถมองเห็นยุทธภพที่ไม่ขาดแคลนสุราดีจากในสีหน้าและแววตาของเฉินผิงอัน
บางทีเฉินหลิงจวินเองอาจไม่รู้ว่า ยุทธภพที่เขาท่องผ่านมาได้ชดเชยความรู้สึกขาดแคลนในใจของเจ้าขุนเขาหนุ่มไปไม่น้อย ราวกับว่าในยุทธภพแห่งอื่นที่เฉินผิงอันทำได้เพียงเดินสวนไหล่ผ่านไป ไม่อาจไปเยือนได้ แต่อย่างน้อยก็เคยเห็นมาก่อน ที่นั่นมีสหายนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง เสียงชนจอกดังไม่ขาดสาย ดื่มเหล้าชามใหญ่ กินเนื้อชิ้นโต บุญคุณความแค้นล้วนสาแก่ใจ
เด็กชายชุดเขียวกำลังจะลุกขึ้น ห่านขาวใหญ่ตัวนั้นก็ทำท่าจะยกเท้าถีบเขาอีกครั้ง
เฉินหลิงจวินจึงตั้งท่าหมัดยกสองมือขึ้นป้องกัน ชุยตงซานวางเท้าแล้วหมุนตัวกลับ แต่แล้วจู่ๆ ก็หันขวับกลับมาออกหมัด เฉินหลิงจวินกระโดดผลุงหลบไปด้านข้าง สองมือวาดท่าหมัดอย่างคล่องแคล่ว สุดท้ายสองคนสบตากัน ต่างคนต่างพยักหน้า ยืนนิ่งพร้อมกัน ยกชายแขนเสื้อขึ้นทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน ยอดฝีมือประมือกัน ประลองบุ๋นอันตรายกว่าประลองบู๊มากนัก ฆ่าคนไร้รูปลักษณ์ ความรู้ใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้า
เจียงซ่างเจินยืนพิงราวรั้วอยู่ด้านข้างเพียงลำพัง ชุยตงซานเดินมาอยู่ข้างกายเขา เขย่งปลายเท้าฟุบตัวบนราวรั้ว “เตรียมจะกลับแล้วหรือ?”
เจียงซ่างเจินพยักหน้า “เหวยอิ๋งเป็นเจ้าสำนักได้ไม่มีปัญหา แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้าใจเรื่องการหาเงิน อีกอย่างเขาเองก็ไม่สะดวกจะเจ้ากี้เจ้าการกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา จำเป็นต้องให้ข้าออกหน้ากดหัวคนมากมายด้วยตัวเอง สอนมือต่อมือให้พวกเขารู้ว่าควรจะค้อมเอวเก็บเงินอย่างไร หลังจากนั้นรอให้การเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วเสร็จสิ้น ข้าก็คิดว่าจะไปเยือนซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่สักหน่อย บัญชีเก่าบางอย่าง ถึงเวลาต้องชำระกันได้แล้ว”
เรือมังกรในเวลานี้ขาดเพียงเจ้าขุนเขาของภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น
เจียงซ่างเจินหันหน้าไปมองเค้าโครงของภูเขาตะวันเที่ยงแวบหนึ่ง “เจ้าขุนเขายังเกรงใจอยู่มาก หากเป็นข้าจะเอาบัญชีเล่มนั้นมากางต่อหน้าทุกคน แล้วให้จู๋หวงพูดจาให้ชัดเจน อธิบายเหตุผลไปตามความจริงว่าเหตุใดต้องตัดชื่อของผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาออก”
ชุยตงซานหัวเราะหึหึ “ถือเป็นจุดจบที่บรรพจารย์ย้ายขุนเขาของพวกเราอาศัยความสามารถช่วงชิงมา เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่ชอบทำตัวเป็นเต่าหดหัวอย่างพวกเซี่ยหย่วนชุ่ยแล้วยังมีมาดองอาจมากกว่า แพ้ก็แพ้ ตายก็ตาย เปิดเผยตรงไปตรงมา”
เจียงซ่างเจินกระตุกมุมปาก “เดินกร่างอยู่ในภูเขาสายน้ำของทวีปหนึ่งอย่างไรยำเกรง ก่อกรรมทำเข็ญมาเป็นพันปี ทั้งทางแจ้งทางลับ บนภูเขาล่างภูเขา คนที่ตายด้วยน้ำมือของมันอย่างน้อยก็ต้องมีหลายพันคน แต่ดันทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้ยิน แค่เห็นว่าวันนี้ตายอย่างกล้าหาญ กลับกลายเป็นว่าต้องยกนิ้วโป้งให้ มองมันเป็นวีรบุรุษแล้ว? หากข้าจำไม่ผิด ในบรรดาตระกูลเซียนที่มาร่วมงาน ในอดีตคนที่เคยเสียเปรียบและเจอกับความทุกข์ยากใหญ่หลวงด้วยน้ำมือของหยวนเจินเย่ไม่ได้มีแค่สำนักสองสำนักหรอกนะ”
ชุยตงซานยังคงทำหน้าทะเล้น “โจวอันดับหนึ่ง เจ้าพูดคุยเช่นนี้น่าเบื่อแล้วนะ อะไรที่เรียกว่าความครึกครื้น ก็คือพวกผู้ฝึกตนหญิงของยอดเขาฉงจือที่จำต้องลดสถานะอันสูงศักดิ์ของตนลงมา ทนไม่ไหวก็ได้แต่รอความตาย ทนจนผ่านมาได้ก็ต้องรอคอยมองเรื่องสนุกของคนอื่นตาปริบๆ อย่างไรล่ะ”
เจียงซ่างเจินเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ช่วยคนถือโคมยามค่ำคืน ช่วยกางร่มให้คนอื่นยามฝนตก ถึงเวลาก็มีแต่จะถูกรังเกียจว่าไฟในโคมไม่สว่างพอ ถูกคนบ่นว่าน้ำฝนทำให้รองเท้าเปียก”
ชุยตงซานสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ “เจ้าต้องคิดเช่นนี้ หากไม่มีใจคนที่เป็นแบบนี้ แล้วผู้แข็งแกร่งจะลุกผงาดขึ้นมาได้อย่างไร?”
บนเส้นทางชีวิตคน ความผิดพลาดที่แท้จริง ความผิดและความสูญเสีย ไม่ใช่โอกาสที่เดินสวนไหล่ผ่านไปอะไร ไม่ใช่ผู้สูงศักดิ์ที่พลาดโอกาสไปต่อหน้าต่อตาอะไร แต่เป็นความผิดพลาดที่เดิมทีมีโอกาสแก้ไขให้ถูกต้อง แต่พอพลาดไปแล้วก็คือความสูญเสีย
เจียงซ่างเจินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หลักการเหตุผลข้อนี้ทำให้จิตใจที่เป็นดั่งคนแก่ของข้าเหมือนไม้แห้งเหี่ยวเจอกับวสันตฤดู กลับคืนไปเป็นหนุ่มน้อยผู้หล่อเหลาอีกครั้ง”
ชุยตงซานพูดชวนคุย “นอกจากบ้านเกิดของอาจารย์ข้าอย่างอำเภอไหวหวงแล้ว อันที่จริงยังมีสถานที่ดีๆ อีกสองแห่งที่เรียกได้ว่าถ้ำเทพเซียน ผืนป่าหยกทอง”
เจียงซ่างเจินถามอย่างใคร่รู้ “ยังมีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือ?”
ชุยตงซานเอ่ย “ใต้หล้ามืดสลัว สถานที่ที่เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่งมีผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่มีชื่อเรียกว่าเด็กหนุ่มอู่หลิงปรากฎขึ้นมากลุ่มใหญ่ คนที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือหวังหยวนลู่ที่ถูกป๋ายอวี้จิงมองเป็นโจรข้าวสาร อีกคนหนึ่งที่เลื่อนเป็นหนึ่งในสิบตัวสำรองรุ่นเยาว์เช่นเดียวกัน อันที่จริงก็มีชาติกำเนิดจากที่นั่น ส่วนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง จู๋เชี่ยลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหลิวชา และยังมีสองคนในร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาทัวเยว่ รวมไปถึงอีกหลายคนที่อายุน้อยยิ่งกว่า ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่คุณสมบัติด้านการฝึกตนล้วนดีเยี่ยม ต่างก็เป็นคนที่เดินออกมาจากสถานที่เล็กๆ”
เจียงซ่างเจินถาม “มีคนจงใจเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้าอยู่เบื้องหลังด้วยอย่างตั้งใจ?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “เรื่องที่ง่ายจะถูกสวรรค์ลงทัณฑ์เช่นนี้ กำลังคนมิอาจทำได้ อย่างมากสุดก็คือคอยชี้นำอยู่ด้านข้าง ถือโอกาสเติมน้ำมัน ตัดไส้ตะเกียง ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้”
เจียงซ่างเจินถาม “เจ้าขุนเขาของพวกเราจากมาแล้วย้อนกลับไปอีก คิดจะทำอะไร?”
ชุยตงซานกะพริบตาปริบๆ เจียงซ่างเจินหมุนตัวกลับมา เริ่มเขียนตัวอักษรลงในฝ่ามือ ชุยตงซานก็ทำเช่นเดียวกัน รอกระทั่งคนทั้งสองแบฝ่ามือแล้วเอามากุมกัน ทั้งสองคนก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ใจสื่อถึงใจ วีรบุรุษย่อมมีความเห็นคล้ายคลึงกัน
คนทั้งสองต่างก็เขียนตัวอักษรสี่คำ
เจ้าสำนักไท่ซ่าง
……
ศาลบรรพจารย์บนยอดกระบี่ไม่มีเหลือ ยอดเขาเซียนเหรินสะพายกระบี่ก็แหลกยับ ยอดเขาอวี่เจี่ยวเปลี่ยนยอดเขาใหม่ ภูเขาเล็กใต้อาณัติเก่าใหม่ทั้งหลายถูกถอนดึงออกมาพร้อมราก ภูเขาสายน้ำส่วนตัวในรัศมีพันลี้ของหนึ่งสำนัก โชคชะตาภูเขาสายน้ำวุ่นวายไร้ซึ่งระเบียบ
ทะเลสาบคลายร้อนของภูเขาชิวลิ่ง เวลานี้ระดับน้ำต่ำเตี้ยจนเหมือนลำธาร ยอดเขาหม่านเยว่ถูกบุกเบิกเส้นทางถ้ำภูเขาสายใหม่ ยอดเขาฉงจือทั้งโดนกระบี่จากเฉาจวิ้นไปสามที แล้วยังเหมือนถูกแสงกระบี่เรืองรองของหมี่อวี้ชำระล้างไปอีกรอบ เผ่าพันธุ์น้ำที่ยอดเขาสุ่ยหลงตั้งใจเลี้ยงเอาไว้ ก่อนหน้านี้ถูกข้องราชามังกรใบนั้นสยบกำราบจนตัวสั่นสะท้าน กระจกโบราณสมบัติพิทักษ์ภูเขาของยอดเขาโปอวิ๋นไม่ทันได้เก็บเอาไป ก่อนหน้านี้ถูกคนหมุนเล่นตามใจคล้ายกลองป๋องแป๋งในมือของเด็กคนหนึ่ง เมฆรวมตัวเมฆสลายออก เป็นเหตุให้ยอดเขาโปอวิ๋นเดี๋ยวๆ ก็ถูกม่านราตรีมืดสลัวปกคลุม เดี๋ยวๆ ก็สว่างไสวราวกับทิวากาล…
ผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงที่ขัดขวางการเดินขึ้นเขาถามกระบี่จากหลิวเสี้ยนหยาง คนที่ตายไปมีไม่มาก แต่คนที่บาดเจ็บมีหลายสิบคน ขวัญกำลังใจก็ยิ่งดิ่งลงเหว
ผู้ถวายงานหยวนป๋ายทรยศออกจากยอดเขาตุ้ยเซวี่ย หันไปสวามิภักดิ์กับจิ้นชิงซานจวินขุนเขากลาง ป่าวประกาศว่าจะนั่งเรือโดยสารหวนกลับมาตุภูมิเดิม
อู๋ถีจิงที่ถูกมองว่าเป็น ‘เว่ยจิ้นน้อยแห่งแจกันสมบัติทวีป’ ‘หลี่ถวนจิ่งคนที่สอง’ หายตัวไปไม่รู้ร่องรอย ว่ากันว่าเถียนหว่านแห่งยอดเขาจูอวี้ได้รับจดหมายหนึ่งฉบับ ศิษย์ทรยศอย่างอู๋ถีจิงผู้นี้ด่าอาจารย์อย่างจู๋หวงไว้ในจดหมายไม่เหลือชิ้นดี ด่าว่าเขาไม่ใช่คน ไม่คู่ควรกับสถานะผู้ฝึกกระบี่ วันหน้าหากสองอาจารย์และศิษย์ได้พบเจอกันอีกครั้งจะยังคงเป็นอาจารย์และศิษย์กันในนาม แต่ให้เขาอู๋ถีจิงเป็นอาจารย์ ส่วนเจ้าจู๋หวงมาเป็นลูกศิษย์
ต่งหูรองเจ้ากรมพิธีการเมืองหลวงต้าหลีไม่ต้องคิดไม่ตกอีกแล้วว่าจะขึ้นหรือไม่ขึ้นเขาดี ยกพู่กันเขียนจดหมายลับฉบับหนึ่ง เป่าน้ำหมึกให้แห้งเบาๆ ตัวอักษรแบบบรรจงนี้ของเขาเขียนอย่างตรงกฎเกณฑ์เข้มงวด ทั้งมีระเบียบ ทั้งมีท่วงทำนองแห่งการประพันธ์อยู่อีกหลายส่วน เป็นเหตุให้ในอดีตวงการขุนนางและวงการการประพันธ์ของต้าหลีต่างก็มีคำกล่าวขานที่ไพเราะว่า ‘คล้ายลายมืออันเฉียบคมของซิ่วหู่’ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายตาสบายใจจริงๆ หลังจากต่งหูรายงานสถานการณ์ให้ใต้เท้าเจ้ากรมในที่ว่าการกรมพิธีการทราบเรื่องแล้ว รองเจ้ากรมผู้เฒ่าไร้เรื่องก็ตัวเบา ออกคำสั่งให้เรือข้ามฟากเดินทางขึ้นเหนือ ทั้งคนทั้งเรือพากันล่องไปท่ามกลางเมฆขาวอย่างเอ้อระเหย
ในขณะที่เว่ยจิ้นจะออกไปจากเรือข้ามฟาก อวี๋ฮุ่ยถิงก็ถามขึ้นว่า “อาจารย์อาเว่ยจะไปพบอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นหรือ?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า “ไม่พบ คนผู้นี้พฤติกรรมในการดื่มเหล้าแย่เกินไป เจอเขาแล้วล้วนไม่มีเรื่องดีใดๆ”
ปีนั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ร้านเหล้าขายเหล้า ก็เป็นเขาเว่ยจิ้นที่ถูกหลอกเอาเงินซื้อเหล้าไปมากที่สุด
อวี๋ฮุ่ยถิงกลับรู้ดีอยู่ในใจว่าหากอาจารย์อาเว่ยที่หยิ่งทระนงในตัวเองไม่เห็นอิ่นกวานคนนั้นเป็นสหายก็ไม่มีทางพูดแบบนี้ได้แน่นอน
งานพิธีเฉลิมฉลองที่เดิมทีจัดขึ้นเพื่ออวยพรบรรพจารย์ย้ายขุนเขาที่เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน กลับต้องมามีจุดจบที่น่าอนาถเช่นนี้ เจ้าสำนักจู๋หวงยังต้องมาเก็บกวาดซากเละเทะด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นแผงลอยที่เละเทะแค่ไหน จะดีจะชั่วก็ยังมีแผงลอย ยังคงเป็นตระกูลเซียนอักษรจงที่กำลังจะก่อตั้งสำนักเบื้องล่าง
จู๋หวงกุมหมัดคารวะฟ้าดินสี่ทิศและแขกที่มาร่วมพิธีบนยอดเขาต่างๆ อย่างนอบน้อม คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ยกเลิกงานพิธี วันนี้ทำให้ทุกท่านมาเสียเที่ยว หลังจบเรื่องภูเขาตะวันเที่ยงจะต้องชดเชยและมีของขวัญตอบแทนกลับคืนให้แน่นอน”
เหลิ่งฉี่เจ้ายอดเขาฉงจือได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักให้บอกพวกผู้ฝึกตนหญิงจากตรอกฮวามู่ทั้งหลายที่หน้าเผือดสีให้รีบยกโต๊ะทุกตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
จู๋หวงถอนสายตากลับมา ใช้เสียงในใจเอ่ยกับเจ้าแห่งยอดเขาทุกคน “แขกที่ไปจากภูเขาตะวันเที่ยงนับแต่นี้ ไม่ว่าใครก็ห้ามขัดขวาง ห้ามแสดงความไม่พอใจใดๆ ห้ามพูดจาล่วงเกินแม้แต่ครึ่งคำ ต่อให้ต้องเสแสร้งก็ต้องแสร้งทำหน้ายิ้มให้ข้าให้ได้ ผู้คุมกฎเยี่ยน เจ้าส่งคนไปตามยอดเขาต่างๆ จับตามองคนทุกคนที่ทำหน้าที่ส่งแขก หากพบใครที่ละเมิดข้อห้ามให้ตัดชื่อออกจากทำเนียบหยกทองทั้งหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น หากมีแขกยินดีอยู่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงต่อ พวกเจ้าก็ส่งคนไปรับรองให้ดี จดจำน้ำใจส่วนนี้ไว้ให้แม่นยำ สหายยามยากก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง จำต้องทะนุถนอมเห็นค่าให้มาก”
จู๋หวงร่ายเวทมองลมปราณมองภาพบรรยากาศของกลุ่มภูเขานอกยอดเขาอีเซี่ยน ระเกะระกะไร้ระเบียบ พลังต้นกำเนิดเสียหายอย่างหนัก แต่จู๋หวงก็ยังไม่หมดอาลัยตายอยากเพราะเหตุนี้ กลับกันยังมีอารมณ์เอ่ยสัพยอกกับเซียนกระบี่ผู้เฒ่าข้างกายที่ต่างคนก็ต่างมีความคิดกันไปคนละอย่าง “น่าเสียดายที่งานพิธียังไม่ทันเริ่มต้นก็ถูกเจ้าขุนเขาเฉินและเซียนกระบี่หลิวขึ้นเขามาถามกระบี่ ไม่อย่างนั้นพวกเรารับของขวัญร่วมอวยพรมา จะดีจะชั่วก็ยังพอจะชดเชยหลุมบ่อทั้งหลายได้บ้าง การซ่อมแซมหลังจากนี้คงไม่ถึงขั้นรื้อตะวันออกมาเสริมตะวันตกจนยุ่งวุ่นวายมากเกินไป จำต้องยักย้ายเงินที่เตรียมไว้ใช้ในการเลือกที่ตั้งสำนักเบื้องล่างออกมาหมุนก่อนแล้ว”
——