กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 827.2 เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต
แต่เพียงไม่นานจู๋หวงก็หยุดพูด เพราะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญมาเยือน ประหนึ่งนกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ หลังจากที่นางเผยกายก็สะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง ประสานมือคารวะเฉินผิงอัน เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์ จากนั้นเถียนหว่านบรรพจารย์หญิงแห่งยอดเขาจูอวี๋ผู้นี้ก็นั่งแปะลงไปกับพื้น ยิ้มหวานมองจู๋หวงราวกับหญิงบ้าที่ธาตุไฟเข้าแทรก หยิบเอากระจก ตลับผงประทินโฉมออกมาจากในชายแขนเสื้อแล้วเริ่มละเลงลงบนใบหน้า โคลงศีรษะเอ่ยว่า “คนที่ไร้เหตุผลถึงได้รำคาญเหตุผล ถ้าอย่างนั้นก็จะใช้เหตุผลทำให้เจ้ารำคาญจนตายไปเลย เจ้าจะทำอะไรข้าได้?”
จู๋หวงคร้านจะมองเถียนหว่านที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ผู้นี้ให้เสียสายตา เพียงแค่หยิบป้ายหยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ เซียนเหรินที่อยู่บนยอดกระบี่ก่อนหน้านี้อย่างมากสุดก็ประคองตัวได้แค่หนึ่งก้านธูป ตอนนี้ก็เป็นเวลาก้านธูปใหม่อีกก้านหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าลำบากใจ “ของขวัญหนักเกินไปแล้ว”
เถียนหว่านกุมท้องหัวเราะก๊าก ทิ้งตัวนอนไปด้านหลังแล้วกลิ้งตลบไปมาอยู่บนพื้น ดั่งกิ่งบุปผาสะเทือนไหว ชวนให้คนสะอิดสะเอียนอย่างถึงที่สุด
จู๋หวงเหลือบมองเถียนหว่าน ถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าว “มาทำไมกัน อีกเดี๋ยวข้าก็จะตามไปทันเรือข้ามฟากอยู่แล้ว”
นาทีถัดมาจู๋หวงก็สังเกตเห็นว่าตรงโต๊ะฝั่งตรงข้ามกับเถียนหว่านมีสตรีสะพายกระบี่คนหนึ่งเผยตัว มือนางกุมฝักกระบี่ ใช้ปลายฝักกระบี่ดันแผ่นหยกที่อยู่บนโต๊ะ “ทุ่มไหแตกให้แหลกอย่างไร?”
นางกดฝักกระบี่เบาๆ แผ่นหยกก็แตกคาที่
ในใจจู๋หวงตกตะลึงพรึงเพริดสุดขีด ได้แต่รีบม้วนชายแขนเสื้อพยายามจะรวบรวมปณิธานกระบี่ที่กระจายออกไปส่วนนั้นกลับมา คิดไม่ถึงว่าสตรีผู้นั้นจะใช้ฝักกระบี่เคาะโต๊ะเบาๆ แค่ไม่กี่ที ปณิธานกระบี่ซับซ้อนที่ตัดสลับกันก็เหมือนได้รับการอภัยโทษ มองข้ามการควบคุมทางจิตของจู๋หวง กลับเป็นเหมือนผู้ฝึกตนที่ทำตามคำสั่งของบรรพจารย์จึงสลายหายไปในทันที วิถีกระบี่แต่ละเส้นถูกดึงออกมาจนบนโต๊ะเหมือนบุปผาผลิบาน มองเห็นเส้นสายได้อย่างชัดเจน
‘เถียนหว่าน’ รีบลุกขึ้นยืนคารวะ “คารวะอาจารย์แม่”
หนิงเหยาพยักหน้าเบาๆ อดไม่ไหวเอ่ยว่า “เปลี่ยนหน้ากากใหม่เถอะ”
“รับคำสั่ง!” ชุยตงซานรีบถอนเวทอำพรางตาออก กลับคืนมาเป็นเด็กหนุ่มชุดขาวอีกครั้ง
เถียนหว่านถูกเขาดึงจิตวิญญาณออกมานานแล้ว เท่ากับว่านางได้เดินบนทางสายเดิมที่ปีนั้นชุยตงซานเคยเดินผ่านด้วยตัวเองมาก่อน จากนั้นจิตวิญญาณครึ่งหนึ่งของเถียนหว่านก็ถูกชุยตงซานลบความทรงจำทั้งหมดทิ้งไป เอาไปไว้ในคนกระเบื้องที่มีรูปโฉมเป็นเด็กสาว ดินน้ำของพื้นที่หนึ่งเลี้ยงดูคนได้หมื่นคน ‘ประหนึ่งบุปผาถือกำเนิดเติบโต’
หนิงเหยาเอ่ยกับเฉินผิงอัน “พวกเจ้าคุยกันต่อเถอะ”
เฉินผิงอันยิ้มรับ “ได้ แค่ไม่กี่ประโยคก็คุยกันเสร็จแล้ว”
หนิงเหยาเดินไปตรงราวรั้ว ชุยตงซานนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ครั้งนี้นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ไม่ได้เล่นสนุกอย่างก่อนหน้านี้อีก
จู๋หวงนั่งนิ่งไม่ขยับ ถึงขั้นไม่กล้ารวบรวมปณิธานกระบี่มาอีกครั้ง หางตาเหลือบไปเห็นแผ่นหยกที่ปริแตก เจ้าสำนักผู้นี้รู้สึกเหมือนหัวใจแหลกสลาย
โชคดีที่ตอนมาอำพรางร่องรอย อีกทั้งยังสกัดกั้นฟ้าดินของระเบียงชมทัศนียภาพแห่งนี้ ไม่ถึงขั้นเปิดเผยเรื่องที่ตนมาพบหน้าเฉินผิงอันออกไป ไม่อย่างนั้นหากเซี่ยหย่วนชุ่ยผู้เป็นอาจารย์ลุงเห็นภาพนี้เข้า ไม่แน่ว่าอาจเกิดความคิดที่จะชิงตำแหน่งเจ้าสำนักของเขาไปเลยก็ได้
ไม่ว่าจิตใจและขอบเขตของเจ้าสำนักแต่ละรุ่นของภูเขาตะวันเที่ยงจะเป็นเช่นไร การที่สามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งได้อย่างมั่นคงก็ล้วนอาศัยแผ่นหยกแผ่นนี้ทั้งสิ้น
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง ยิ้มเอ่ย “มาที่นี่เพื่อรอให้เจ้ามาหาก็เพราะมีเรื่องหนึ่ง ซึ่งยังต้องให้เจ้าจู๋หวงเลือกเอง”
ก่อนหน้านี้ดื่มชาอยู่ในศาลบรรพจารย์บนยอดเขาอีเซี่ยน คือให้จู๋หวงเลือกระหว่างภูเขาตะวันเที่ยงกับหยวนเจินเย่
จู๋หวงกล่าว “ล้างหูรอฟังแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ตัวเลือกเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่างภูเขาตะวันเที่ยง เจ้าสามารถเลือกคนใดคนหนึ่งจากสามคนนี้ เถาแยนโป หลิวจื้อเม่า หยวนป๋าย”
คนหนึ่งคือเทพเจ้าแห่งโชคลาภคนก่อนที่กำลังจะถูกคำสั่งให้ปิดภูเขาชิวลิ่งนานร้อยปี คนหนึ่งคือผู้ถวายงานอันดับหนึ่งสำนักเจินจิ้งที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ อีกคนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ของยอดเขาตุ้ยเซวี่ยที่ยังไม่ได้ถูกตัดชื่อออกอย่างเป็นทางการ
จู๋หวงหลุดหัวเราะพรืด พูดอย่างไม่ใคร่จะแน่ใจนัก “หลิวจื้อเม่า? สกัดคงคาเจินจวินแห่งสำนักเจินจิ้งน่ะหรือ?”
ชุยตงซานยื่นมือมาตบตรงหัวใจ พึมพำกับตัวเองว่า “แค่ฟังว่ายังสร้างสำนักเบื้องล่างได้ ในใจของผู้ฝึกตนยอดเขาจูอวี๋อย่างข้าก็เบิกบานดุจบุปผาบานสะพรั่งแล้ว”
จู๋หวงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เอ่ยว่า “เพิ่งจะประชุมศาลบรรพจารย์กันไป ข้ายึดอำนาจใหญ่ในการปกครองของเถาแยนโปมาแล้ว ภูเขาชิวลิ่งต้องปิดภูเขาร้อยปี”
จู๋หวงยิ้มเจื่อนเอ่ยต่ออีกว่า “ส่วนหยวนป๋าย จิ้นซานจวินแห่งขุนเขากลางหรือจะยอมปล่อยคน? แล้วนับประสาอะไรกับที่จิตใจของหยวนป๋ายเด็ดเดี่ยว เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเองอย่างมาก ในเมื่อเขาป่าวประกาศแล้วว่าออกจากภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว เกรงว่าคงยากที่จะเปลี่ยนใจกระมัง?”
ชุยตงซานจุ๊ปาก “โอ้โห เจ้าสำนักจู๋ช่างดูถูกตัวเองเสียจริง ปีนั้นสามารถใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง ใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ เอ่ยโน้มน้าวหยวนป๋ายที่เป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่งให้มาเป็นเค่อชิงบ้านตนแล้วค่อยเป็นผู้ถวายงาน ทำให้หยวนป๋ายไม่สนใจความเป็นความตาย ยอมผิดต่อจิตแห่งกระบี่ แต่ก็ต้องไปถามกระบี่กับหวงเหอให้ได้ เวลานี้เพิ่งจะเห็นว่าหยวนป๋ายมีความคิดเป็นของตัวเอง? หรือจะบอกว่าเจ้าสำนักจู๋อายุมากแล้วก็เลยขี้หลงขี้ลืมมากตามไปด้วย?”
เฉินผิงอันผลักถ้วยชาไปให้ชุยตงซาน สั่งสอนยิ้มๆ “พูดจากับเจ้าสำนักจู๋แบบนี้ได้ยังไง”
ชุยตงซานรับถ้วยชามาด้วยสองมือ กระดกหน้าดื่มรวดเดียวหมด
ในใจจู๋หวงตัดสินใจได้แล้ว จึงถามคำถามสุดท้าย “เพียงแค่นี้? เจ้าสำนักเฉินยังมีอะไรอยากจะสั่งความอีกหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แค่นี้แหละ”
จู๋หวงถอนหายใจ เอ่ยว่า “รบกวนเจ้าขุนเขาเฉินมีอะไรก็พูดมาตรงๆ พูดคำเดียวให้ข้าเข้าใจได้เลย”
เฉินผิงอันเอ่ย “มีแค่นี้จริงๆ”
จู๋หวงส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่เชื่อ ลังเลอยู่ชั่วขณะก็ยกชายแขนเสื้อขึ้น เพียงแต่ว่าเพิ่งจะมีการกระทำนี้ เด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วก็เอาสองมือยันพื้น ขยับถอยไปด้านหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก โหวกเหวกไม่หยุด “อาจารย์โปรดระวัง จู๋หวงผู้นี้เปลี่ยนสีหน้าไม่จำคน คิดจะใช้อาวุธลับทำร้ายคนแล้ว! ไม่อย่างนั้นก็คงเลียนแบบการขว้างแก้วให้สัญญา คิดจะออกคำสั่งแก่เหล่าผู้กล้า อาศัยว่ามากคนมากกำลัง คิดจะรุมซ้อมพวกเราอยู่ในถิ่นบ้านตัวเอง…”
เฉินผิงอันเอ่ย “หุบปาก”
ชุยตงซานร้องอ้อหนึ่งที ย้อนกลับมานั่งที่เดิม
จู๋หวงหยิบตำราหยกที่มีประวัติยาวนานปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ทันใดนั้นประกายแสงพร่างพราวก็ส่องระยิบระยับ “นี่ก็คือของขวัญขอขมาที่จู๋หวงมีต่อภูเขาลั่วพั่ว ตำราหยกบูชาดินเจ็ดเล่ม ได้มาจากขุนเขาโบราณมากมายในแจกันสมบัติทวีป เดิมทีคิดจะหล่อหลอม เอามาใช้เป็นวัตถุที่วางไว้เป็นรากฐาน เป็นสมบัติพิทักษ์ภูเขาของภูเขาใต้อาณัติทั้งหลายของสำนักเบื้องล่าง ช่วยรวบรวมโชคชะตาภูเขาสายน้ำมา หากยังไม่พอ ข้าสามารถพาเจ้าขุนเขาเฉินไปเยือนคลังสมบัติรอบหนึ่ง ให้ท่านเลือกของได้ตามใจชอบ”
เฉินผิงอันโบกมือ “อย่าเลย”
จู๋หวงไม่พูดไม่จา เพียงแค่จ้องเซียนกระบี่หนุ่มแห่งภูเขาลั่วพั่วผู้นี้เขม็ง ระดมกำลังใหญ่โตมาถามกระบี่ต่อภูเขาตะวันเที่ยงเช่นนี้ นอกจากจะแก้แค้นแล้ว เจ้าเฉินผิงอันต้องยังมีจุดประสงค์อย่างอื่นอีกกระมัง?! หรือว่าเพียงแค่มาอาละวาดก่อเรื่องเพื่อทิ้งภาพจำว่าภูเขาลั่วพั่วเป็นพวกชอบโอ้อวดอำนาจบารมี กำเริบเสิบสาน ชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ต่อบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปเท่านั้น? ใจคนในใต้หล้า ชมเรื่องสนุกไม่รังเกียจหากเป็นเรื่องใหญ่ แต่เมื่อชมเรื่องสนุกจบแล้วก็มักจะชอบเจ้ากี้เจ้าการ วิจารณ์คนอื่นในทางลบเสมอ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พูดถึงแค่เรื่องเดียว ทางฝั่งของยอดเขาฉงจือนั่น วันหน้าเจ้าก็ควบคุมดูแลให้มากหน่อย จะปล่อยให้โชคดีได้เดินขึ้นเขา บังเอิญโชคดีได้ฝึกตนก็เลยคิดแต่อยากจะอุ่นเตียงอย่างไม่มีศักดิ์ไม่มีฐานะให้บรรพจารย์ของยอดเขาต่างๆ หรือไม่ก็ถูกส่งไปเป็นอนุภรรยาของพวกขุนนางล่างภูเขา แน่นอนว่าหากตัวเองยินดีทำเช่นนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ละคนย่อมมีโชคด้านคู่ครองต่างกันไป แต่คนที่ไม่เต็มใจทำเช่นนี้ จะดีจะชั่วภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าก็ควรจะมอบโอกาสให้พวกนางได้ส่ายหน้าปฏิเสธ แล้วยังไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจ้ายอดเขาอาฆาตแค้น นับแต่นี้ไปการฝึกตนต้องเจอกับธรณีประตูทุกหนทุกแห่ง เจอกับด่านปีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน”
จู๋หวงลุกขึ้นตาม พยักหน้าเอ่ย “วันหน้าข้าจะจับตามองยอดเขาฉงจือด้วยตัวเอง ยังมีอะไรอีก?”
เหลิ่งฉี่เจ้ายอดเขา วันหน้านางสามารถสงบใจฝึกตนได้แล้ว ส่วนกิจธุระน้อยใหญ่ของยอดเขาฉงจือก็อย่าได้มายุ่งเกี่ยวอีกเลย
ส่วนตัวเลือกเจ้ายอดเขา ดูเหมือนว่าหลิ่วอวี้จะไม่เลว? เพราะตอนนั้นหลิวเสี้ยนหยางถามกระบี่หลายครั้ง แต่กลับค่อนข้างเกรงใจนางแค่คนเดียว ทุกวันนี้หลิ่วอวี้เป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่คอขวดขอบเขตประตูมังกร จะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์หรือไม่? อย่างมากก็แค่ปล่อยตำแหน่งเจ้ายอดเขาว่างไว้สักสองสามปี รอให้นางเลื่อนเป็นโอสถทองก่อนก็แล้วกัน อันที่จริงคุณสมบัติในการฝึกตนของหลิ่วอวี้ดีเยี่ยม เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับอู๋ถีจิงและอวี่หลิ่นแล้ว นางถึงได้ไม่ดูโดดเด่นมากนัก ผู้ฝึกกระบี่ที่มีหวังจะเลื่อนเป็นโอสถทองภายในเวลาหกสิบปี เป็นเจ้ายอดเขาของยอดเขาฉงจือก็มากพอเหลือแหล่ อีกทั้งตอนที่เหลิ่งฉี่เป็นสาว เดิมทีก็เคยมีความสัมพันธ์ที่ไม่อาจบอกกล่าวใครได้กับอาจารย์ลุงเซี่ยหย่วนชุ่ยมาก่อน ดังนั้นหลายปีที่ผ่านมานี้ผู้ฝึกกระบี่สายยอดเขาฉงจือถึงได้เดินตามติดยอดเขาหม่านเยว่ทุกย่างก้าว
เฉินผิงอันขมวดคิ้วน้อยๆ “ไม่มีแล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูกแล้ว ข้ากับภูเขาตะวันเที่ยงของพวกเจ้าไม่มีอะไรให้ต้องคุยกันจริงๆ”
จู๋หวงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะคิดเสียว่าพูดคุยกับเจ้าสำนักเฉินรู้เรื่องแล้ว?”
ภูเขาตะวันเที่ยงทั้งแห่ง มีแค่จู๋หวงคนเดียวเท่านั้นที่รู้ชัดเจนดีที่สุดว่าคนหนุ่มตรงหน้านี้รับมือยากเพียงใด
หากมีแค่การถามกระบี่ ต่อให้เจ้าเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ฟันคนตายไปกลุ่มใหญ่ ทำลายภูเขาไปมากมาย แล้วจะอย่างไร?
จู๋หวงยังต้องกลัวเรื่องนี้ด้วยหรือ? ก็แค่เสียดายเงินทองเท่านั้น
กลัวก็แต่ว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งจะตอแยพัวพันไม่ยอมเลิกรา เป็นเหตุให้ภูเขาตะวันเที่ยงเหมือนถูกคนจำแค้นข้ามคืนในทุกๆ วัน
ชุยตงซานนวดคลึงปลายคาง จุ๊ปากยิ้มเอ่ย “น่าเสียดายพวกเทพธิดาทั้งหลายบนยอดเขาฉงจือ คาดว่าเวลานี้คงยังด่าว่าอาจารย์ใช้อำนาจรังแกคนอื่น ทำลายกิจการใหญ่พันปีของภูเขาตะวันเที่ยงพวกนาง ทำให้พวกนางไม่อาจเงยหน้ามองคนได้”
จู๋หวงยิ้มกล่าว “อาจารย์ของเจ้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้หรอก เพราะสิ่งที่เจ้าขุนเขาเฉินสนใจอย่างแท้จริงคือในอนาคตผู้ฝึกตนหญิงของยอดเขาฉงจือจะกล้าส่ายหน้า พูดคำว่าไม่หรือไม่ แต่เจ้าขุนเขาเฉินวางใจได้เลย ขนบธรรมเนียมของยอดเขาฉงจือในอนาคตจะไม่ถึงขั้นทำให้พวกนางลำบากใจเช่นนี้อีกแล้ว”
ชุยตงซานเอ่ยชื่นชม “มีเพียงศัตรูเท่านั้นที่ถึงจะเป็นคนรู้ใจที่แท้จริง เจ้าสำนักจู๋พูดแค่ไม่กี่คำก็แทนน้ำลายหลายถังใหญ่ของพวกผู้ฝึกตนบนยอดเขาทั้งหลายของภูเขาตะวันเที่ยงได้แล้ว”
ชุยตงซานเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว เรือนกายส่องประกายแสงวับวาว สุดท้ายทิ้งเนื้อหนังมังสาของเถียนหว่านไว้ที่เดิม เด็กหนุ่มชุดขาวหันหน้ากลับมา ยกสองนิ้วชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง บอกเป็นนัยแก่สตรีที่มีวิญญาณครึ่งเดียวว่า สิ่งที่เจ้าคิดเจ้าเห็น ก็คือสิ่งที่ข้าคิดข้าเห็น หากไม่เชื่อ พวกเราสองคนจะเอาเรือนกายนี้ของเจ้าเป็นสถานที่ถามมรรคา ต่างคนต่างร่ายวิชาอภินิหาร ประลองกลอุบายกันดูก็ได้
จู๋หวงมองเด็กหนุ่มชุดขาวแวบหนึ่ง แล้วจึงหันไปมองเถียนหว่านที่คล้ายจะกลับคืนสู่สภาพเดิมอีกครั้ง
ต่อให้เป็นจู๋หวงก็ยังอดอึ้งตะลึงไม่ได้ เด็กหนุ่มชุดขาวที่นิสัยประหลาด คำพูดและการกระทำล้วนเหลวไหลผู้นี้ แน่นอนว่าเวทคาถาต้องยอดเยี่ยม ทว่าวิธีการกลับสกปรกมากจริงๆ
เฉินผิงอันเดินออกไปหลายก้าวแล้ว แต่กลับหยุดยืนนิ่งกะทันหัน
เส้นเอ็นหัวใจของจู๋หวงพลันบีบรัดตัว
เฉินผิงอันหันหน้ามาพูด “นึกเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ยังต้องรบกวนเจ้าสำนักจู๋อีกรอบ”
จู๋หวงกล่าว “เชิญพูดมาได้เลย”
เฉินผิงอันถาม “ไม่ทราบว่าภูเขาตะวันเที่ยงแห่งนี้ห่างจากภูเขาลั่วพั่วมากแค่ไหน?”
จู๋หวงคิดแล้วก็ตอบว่า “ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ทะยานลมเดินทางก็ห่างกันประมาณสองแสนลี้ ทำไมเจ้าขุนเขาเฉินถึงถามเช่นนี้?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “ถ้าอย่างนั้นก็ขอเจ้าสำนักจู๋ช่วยตั้งป้ายศิลาไว้ตรงริมขอบอาณาเขตทิศเหนือของภูเขาตะวันเที่ยง ด้านบนแกะสลักแค่ประโยคเดียวว่า ภูเขาลั่วพั่วห่างไปทางทิศเหนือสองแสนลี้”
สีหน้าของจู๋หวงเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน แม้แต่คลังสมบัติซึ่งเป็นพื้นที่ต้องห้ามยังสามารถพาเฉินผิงอันไปเที่ยวชม ยอมให้เฉินผิงอันเลือกเอาสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินชิ้นใดไปก็ได้ ทว่าศิลาแบ่งเขตที่ก้อนหนึ่งราคาไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะกลับเป็นเรื่องที่ทำได้ยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์
เฉินผิงอันเอ่ยเตือนว่า “จู๋หวง ข้าไม่ได้กำลังปรึกษากับเจ้าอยู่”
จู๋หวงเงียบคิดไปพักหนึ่งก็หัวเราะขึ้นมา พยักหน้าตอบว่า “เรื่องเล็กน้อย”
หลังจากเฉินผิงอันถอนเวทอำพรางตาออกก็หดย่อพื้นที่ จับมือทะยานลมไปทางทิศเหนือพร้อมหนิงเหยา ไล่ตามเรือข้ามฟากเรือมังกรลำนั้นไป
ชุยตงซานกระโดดผลุงลุกขึ้นยืน ร่ายบันไดเมฆสุดยอดวิชาที่เรียนรู้มาจากยุทธภพล่างภูเขา กระโดดปีนขึ้นสู่ที่สูงพลางยิ้มพูดหน้าทะเล้น “เจ้าสำนักจู๋ ข้าไม่ได้เอาอะไรไปแม้แต่น้อย จากไปมือเปล่า ห้ามอาฆาตแค้นข้านะ พี่หญิงเถียน ภูเขาเขียวไม่เปลี่ยนสายน้ำใสไหลยาว พวกเราสองพี่น้องจากลากันตรงนี้เถอะ”
เถียนหว่านที่ได้รับอิสระชั่วคราวหัวเราะหยัน จากลาอะไรกัน ควรบอกว่าทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมกันตลอดเวลาถึงจะถูก
เด็กหนุ่มชุดขาวสะบัดชายแขนเสื้อ หมุนตัวกลายร่างเป็นรุ้งยาวสีขาวหิมะเส้นหนึ่งที่กรีดผ่าอากาศ ประหนึ่งเซียนเหรินที่ท่องเที่ยวไปอย่างอิสระเสรี
หลังจากคนทั้งสามจากไปแล้ว จู๋หวงถึงถามเสียงเบาว่า “ไปหลงกลติดกับเขาได้อย่างไร?”
——