กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 827.3 เครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต
เถียนหว่านไม่เหลือสีหน้าประจบสอพลออย่างในอดีตอีกต่อไป จ้องมองเศษสวะของภูเขาตะวันเที่ยงผู้นี้ด้วยสายตาคมกล้า สีหน้าของนางเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “จู๋หวง แนะนำเจ้าว่าดูแลแผงลอยเละเทะของตัวเองให้ดีเถอะ ภูเขาลั่วพั่วไม่ใช่สวนลมฟ้า เฉินผิงอันเองก็ไม่ใช่หลี่ถวนจิ่ง อย่าคิดว่ามรสุมสงบลงแล้ว ส่วนข้า ขอแค่เจ้ารู้กาลเทศะสักหน่อย ในทางส่วนตัวอย่าได้สืบเสาะอะไรส่งเดชอีก ข้าก็จะยังเป็นบรรพจารย์หญิงของยอดเขาจูอวี๋ เป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองกับยอดเขาอีเซี่ยน”
จู๋หวงอดทนจนผ่านเรื่องไม่คาดฝันใหญ่เทียมฟ้าที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นพรวนมาได้ จึงไม่คิดจะถือสาเถียนหว่านที่นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมมากอีก ยิ้มเอ่ยว่า “ซูเจี้ยกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น รวมไปถึงอู๋ถีจิงลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นเจ้าที่พาขึ้นเขามา รายละเอียดจะจัดการอย่างไร เจ้าก็เป็นคนตัดสินใจเองเถอะ”
เถียนหว่านเอ่ยอย่างเฉยชา “รีบคืนสถานะผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ให้ซูเจี้ยทันที นางยังมีคุณสมบัติที่จะฝึกกระบี่ได้ต่อ ข้าจะช่วยเหลือนางอย่างลับๆ ส่วนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นให้เก็บเข้าคลังสมบัติ ในนามยังคงเป็นของภูเขาตะวันเที่ยง เมื่อไหร่ที่ต้องเอามาใช้ ข้าจะไปเอามาเอง ส่วนอู๋ถีจิงที่ออกจากภูเขาไปแล้ว เจ้าไม่ต้องสนใจ วาสนาอาจารย์และศิษย์ของพวกเจ้าหมดสิ้นลงแล้ว เรียกร้องไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยให้ในอนาคตภูเขาตะวันเที่ยงมีเว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนศาลลมหิมะเพิ่มมาอีกคนก็เป็นได้”
จู๋ถวงถาม “ถ้าอย่างนั้นสามเรื่องอย่างรายงานข่าวของสำนัก รายงานขุนเขาสายน้ำและบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำล่ะ?”
เถียนหว่านหัวเราะหยัน “แน่นอนว่าย่อมต้องรบกวนเจ้าสำนักให้เชิญยอดฝีมือคนอื่นมาทำแล้ว”
อันที่จริงตอนนี้คนที่จู๋หวงอยากตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวมากที่สุดก็คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของเยี่ยนฉู่บนยอดเขาสุ่ยหลงคนนั้น
เถียนหว่านหันหน้ามามองเจ้าสำนักที่เมื่อวานยังมีปณิธานฮึกเหิม คิดวางแผนเล่นงานทั้งทวีป เอ่ยเย้ยหยันว่า “จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ใช่หรือไม่ว่าคนที่ถามกระบี่ แท้จริงแล้วคือใครกันแน่?”
จู๋หวงนั่งลงแล้วก็ผายมือออกมา ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่สู้นั่งลงดื่มชาคุยกันไปช้าๆ?”
เถียนหว่านทะยานลมกลับไปที่ยอดเขาจูอวี๋ที่นกไม่มาเกาะโดยตรง จู๋หวงหัวเราะเย้ยหยันตัวเอง เก็บปณิธานกระบี่พวกนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง จากนั้นเรียกเถ้าแก่เนี้ยะหนีเยว่หรงมาดื่มชาเป็นเพื่อนตน
หนีเยว่หรงนั่งลงบนเบาะรองนั่ง ดื่มชาด้วยความรู้สึกที่ทรมานกว่ากลืนมีดเสียอีก
จู๋หวงพลันโยนคำถามหนึ่งออกไป “หนีเยว่หรง หากปีนั้นเจ้าสามารถเลือกได้ อีกทั้งไม่ว่าจะเลือกอย่างไรก็ไม่ต้องมีเรื่องให้กังวลภายหลัง เจ้าจะยังเลือกเป็นเมียน้อยบนภูเขาของเยี่ยนฉู่อีกหรือไม่?”
หนีเยว่หรงหน้าซีดขาวไร้สีเลือด จู๋หวงโน้มตัวมาด้านหน้า ถึงกับช่วยรินชาเพิ่มให้นาง จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าเป็นมิตรว่า “ไม่ต้องตื่นเต้น ข้าแค่อยากฟังความจริงเท่านั้น”
หนีเยว่หรงเหงื่อแตกเต็มศีรษะ ตอบเสียงสั่นว่า “สามารถเข้าตาผู้คุมกฎเยี่ยน แม้ว่าจะไม่มีฐานะ หนีเยว่หรงไม่มีความไม่พอใจใดๆ หลายปีที่ผ่านมานี้ผู้คุมกฎเยี่ยนช่วยดูแลข้า ดูแลหอกั้วอวิ๋นและยอดเขาชิงอู้มาหลายครั้ง”
จู๋หวงยิ้มพลางพยักหน้ารับ คำตอบของนางคืออะไร เดิมทีก็ไม่สำคัญอยู่แล้ว สิ่งที่จู๋หวงต้องการก็มีแค่อาการหวาดกลัวเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งบางๆ เช่นนี้ของนาง ดังนั้นจู๋หวงจึงถามอีกว่า “เจ้าคิดว่าหยวนป๋ายเป็นเจ้าสำนักของสำนักเบื้องล่าง สำหรับสำนักพวกเราแล้วเป็นเรื่องดีหรือเป็นเรื่องร้าย?”
หนีเยว่หรงฝืนใจตอบว่า “เจ้าสำนักปราดเปรื่อง”
จู๋หวงยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นหากให้เจ้ารับผิดชอบหน้าที่ดูแลคลังสมบัติของสำนักเบื้องล่าง เจ้าจะทำอย่างไร?”
ความคิดของหนีเยว่หรงเปล่งประกายวาบ เอ่ยว่า “ข้ากับยอดเขาสุ่ยหลงจะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแม้แต่น้อย หลังจากนี้ก็มีแต่จะไปมาหาสู่กันแค่เรื่องส่วนรวมเท่านั้น ไม่มีมิตรภาพส่วนตัวอะไรอีก”
จู๋หวงถามต่อว่า “หากเจ้าอยู่ที่สำนักเบื้องล่างแล้วได้กุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือ วันใดหมายตาลูกศิษย์ของสำนักเบื้องล่างที่รูปโฉมหล่อเหลา ถูกชะตากับเขามาก เจ้าจะทำอย่างไร? จะเลียนแบบเยี่ยนฉู่ ใช้ผลประโยชน์และอำนาจบารมีมาล่อลวงเขาหรือไม่?”
หนีเยว่หรงรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า วันนี้เจ้าสำนักผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือไร เหตุใดถึงเอาแต่ถามคำถามประหลาดพวกนี้ หนีเยว่หรงจึงพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “หากทั้งสองฝ่ายเป็นเจ้ายินยอมข้าพร้อมใจก็ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากัน หากอีกฝ่ายมีคนรักอยู่แล้ว แตงที่ฝืนเด็ดออกมาย่อมไม่หวาน ไม่กล้าบังคับฝืนใจ”
แน่นอนว่าหนีเยว่หรงย่อมกลัวเจ้าสำนักที่อยู่ตรงหน้านี้มาก แต่กับเซียนกระบี่อายุน้อยที่สวมกวานดอกบัว สวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียวคนนั้น หนีเยว่หรงก็ยังหวาดผวาไม่คลายอยู่เหมือนกัน มักจะรู้สึกว่านาทีถัดไป คนผู้นั้นจะคลี่ยิ้มบางๆ มาปรากฎตัวอยู่ในอาณาเขตของภูเขาตะวันเที่ยงได้ทุกเมื่อราวกับเข้าไปในดินแดนไร้ผู้คน จากนั้นก็มายืนอยู่ข้างกายตน ไม่พูดอะไร แล้วก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วคนผู้นั้นคิดอะไรอยู่ ยิ่งไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะทำอะไรต่อ
จู๋หวงถอนหายใจ ความกังวลในใจไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลงกลับยังเพิ่มมากขึ้น
ดูท่าการถามกระบี่ในวันนี้สิ่งที่อำมหิตที่สุดจะไม่ใช่เวทกระบี่ทั้งหลายของเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยาง แต่เป็นสมุดบัญชีที่หลิวเสี้ยนหยางควักออกมาตอนเดินขึ้นเขา
เห็นได้ชัดว่านั่นมีแต่จะเป็นฝีมือของเจ้าขุนเขาเฉิน!
เพราะหลิวเสี้ยนหยางแค่มองก็รู้ว่าเป็นคนเกียจคร้าน ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแบบนี้ ส่วนเฉินผิงอันที่อายุน้อยๆ กลับมีกลอุบายลึกล้ำ ดูเหมือนว่าจะมีความอดทนในการลงมือมากที่สุด ขาดก็แค่ไม่ได้ขอตำแหน่งผู้คุมกฎไปจากภูเขาตะวันเที่ยงเท่านั้น คนผู้หนึ่งกลายเป็นเซียนกระบี่กับเป็นเจ้าสำนัก โดยเฉพาะเจ้าสำนักที่ก่อสำนักตั้งพรรคขึ้นมาเอง คือสองเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
จู๋หวงพลันตบโต๊ะแตก ทำเอาหนีเยว่หรงตกใจหมอบกราบอยู่กับพื้น
จู๋หวงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหยุดอยู่ข้างราวรั้ว หันหน้าไปมองทางทิศเหนือ เลือกตำแหน่งเหมาะๆ
หากศิลาแบ่งเขตถูกตั้งขึ้น เมื่อไหร่ถึงจะถึงคราวสิ้นสุด?!
ทางฝั่งของท่าเรือป๋ายลู่ เหวยเลี่ยงเดินอยู่บนทางเล็กริมต้นกกต้นอ้อเพียงลำพัง ถอนสายตากลับมาจากหอกั้วอวิ๋น ยิ้มเอ่ยเสียงเบาว่า “การแยกร่างครั้งหนึ่ง หยุดลงแต่พอสมควร ถึงจุดที่เหมาะสมพอดี”
กลับไปถึงเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มเอ่ยกับอวี๋เยว่ “ผู้ถวายงานอวี๋”
โดยทั่วไปแล้วเฉินผิงอันไม่ได้เกรงใจคนอื่นอย่างนี้ แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นผู้ถวายงานคนใหม่
เจ้าขุนเขาหนุ่มไม่ได้เรียกเค่อชิง แต่เรียกว่าผู้ถวายงาน อวี๋เยว่อดไม่ไหวหัวเราะดังลั่น มีประโยคนี้ของอิ่นกวาน หัวใจที่ค้างเติ่งของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าก็วางลงพื้นได้แล้ว กลับไปดื่มเหล้าด้วยกันอีกทีจะทำให้ตาเฒ่าผูโมโหตายไปเลย
จากนั้นเฉินผิงอันก็บอกว่าจะประชุม หมี่ลี่น้อยรีบร้อนนำทาง เลือกห้องที่ใหญ่ที่สุดบนเรือมังกร เฉินผิงอันเลือกนั่งบนเก้าอี้ติดกับหน้าประตู ทุกคนก็เลือกที่นั่งกันตามสบาย ไม่มีการแบ่งสถานะสูงต่ำหรือพิถีพิถันเรื่องลำดับศักดิ์อะไร
หมี่ลี่น้อยง่วนทำงานของตัวเอง บนโต๊ะทุกตัวต่างก็วางเมล็ดแตงเอาไว้เล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรวันนี้ออกจากบ้านก็พกมาไม่เยอะ ต้องแบ่งๆ กันอย่างจำกัดจำเขี่ยแล้วล่ะนะ
รอกระทั่งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วเดินวนครบหนึ่งรอบก็สังเกตเห็นว่าพอมาถึงเผยเฉียนและห่านขาวใหญ่ ในมือตัวเองเหลือเมล็ดแตงแค่ไม่กี่เมล็ด นางก็ยกมือเกาแก้ม เดินกลับไปที่เดิม เอ่ยขอโทษพวกพ่อครัวเฒ่า โจวอันดับหนึ่งและหมี่อันดับรองก่อน แล้วแบ่งเมล็ดแตงกลับมาเล็กน้อย เอามาเพิ่มให้เผยเฉียนและห่านขาวใหญ่
ชุยตงซานเปิดปากก่อนใคร บอกว่าโจวอันดับหนึ่งของพวกเราจะกลับใบถงทวีปแล้ว เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พอดีเลย สามารถพาเฉาฉิงหล่างไปด้วยกัน หากราบรื่นล่ะก็ พยายามให้เป็นปลายปีนี้ หรืออย่างช้าสุดฤดูใบไม้ผลิของปีหน้า พวกเราก่อตั้งสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็นทางการที่เขตทิศเหนือของใบถงทวีป”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบตกลง ถึงอย่างไรก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว
เฉินผิงอันเอ่ยต่อว่า “หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น รอให้พวกเรากลับไปถึงภูเขาลั่วพั่ว เรือข้ามทวีปเฟิงยวนของราชวงศ์เสวียนมี่ก็น่าจะไปถึงท่าเรือหนิวเจี่ยวแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็เอาเรือลำนี้กลับไปที่ใบถงทวีปพร้อมกันเลย มีเรือข้ามทวีปเฟิงยวนลำนี้ ในอนาคตพวกเราก็จำเป็นต้องบุกเบิกเส้นทางข้ามทวีปเป็นของตัวเอง ทางบกจะไปอย่างไร ทางทะเลจะไปอย่างไร ควรจะคบค้าสมาคมกับราชวงศ์และภูเขาตระกูลเซียนที่เป็นทางผ่านอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีสนิทกับท่าเรือใหญ่แต่ละแห่งที่ต้องผ่าน ล้วนจำเป็นต้องชั่งน้ำหนักอย่างละเอียด ห้ามให้มีข้อบกพร่องแม้แต่น้อย ตงซานกับเผยเฉียน พวกเจ้าไปช่วยที่นั่น วันหน้ายังต้องกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว ทำตามแผนการที่วางไว้ก่อนหน้านี้ อาจารย์จ้ง หมี่อวี้ สุยโย่วเปียน ชุยเหวยจำเป็นต้องไปตั้งรกรากฝึกตนอยู่ที่นั่น อาจารย์จ้งช่วยเฉาฉิงหล่างควบคุมทิศทางโดยรวม เผยเฉียนรับผิดชอบไปมาหาสู่กับตำหนักพยัคฆ์เขียวและเรือนฉ่าวถังภูเขาผูซาน ตงซานจับตามองภูเขาทั้งหลายอย่างพวกอารามจินติ่ง ส่วนเซียนกระบี่ใหญ่หมี่ของพวกเรา…”
พูดมาถึงตรงนี้เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร หันไปแทะเมล็ดแตง หมี่อวี้รีบวางเมล็ดแตงในมือลง ยืดเอวตั้ง “ถึงอย่างไรข้าล้วนฟังคำสั่งจากอาจารย์จ้ง ให้ออกกระบี่ฟันคน หรือว่าให้ทำหน้าหนาไปสานสัมพันธ์กับผู้อื่นล้วนยินดีทำไม่มีเกี่ยงงอน”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ไม่กล้าออกคำสั่งต่อหมี่อันดับรองอย่างส่งเดชหรอก”
อวี๋เยว่อัดอั้นตันใจนัก อิ่นกวานก็เรียกเจ้าว่าเซียนกระบี่ แล้วยังเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ด้วยไม่ใช่หรือ ไม่เห็นเจ้าจะอับอายจนพานเป็นความโกรธเสียหน่อย ทำไม ผู้ถวายงานอันดับรองรังแกผู้ถวายงานทั่วไปงั้นหรือ?
เฉินผิงอันมองไปทางหงเซี่ย เอ่ยว่า “สุยโย่วเปียนไม่อยู่บนเรือ หงเซี่ย รบกวนเจ้าบอกนางสักคำ ไปถึงใบถงทวีปแล้วก็ให้นางรับผิดชอบประสานงานกับสำนักกุยหยกและพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา”
หงเซี่ยรีบลุกขึ้นยืนรับคำสั่งทันที
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากครั้งหน้ายังทำตัวห่างเหินแบบนี้ หมี่ลี่น้อยห้ามแจกเมล็ดแตงให้นางแล้ว”
หงเซี่ยนั่งลง รู้สึกเขินอายเล็กน้อย
หมี่ลี่น้อยกำลังนั่งแกว่งขาอยู่บนเก้าอี้ตัวสูง พอได้ยินก็เกาแก้ม “เจ้าขุนเขา ครั้งหน้าข้าจะพกเมล็ดแตงไว้ในกระเป๋าให้เยอะๆ เลย”
พี่หญิงหงเซี่ยพูดง่ายขนาดนั้น แม้ว่าเมล็ดแตงอะไรนั่นจะไม่มีค่าแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครก็ไม่เสียดาย แต่หากมีเพียงพี่หญิงหงเซี่ยที่ในมือไม่มีเมล็ดแตง นางจะขายหน้าถึงเพียงใด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็รับผิดชอบเป็นคนเตือนหงเซี่ยว่าคราวหน้าอย่าลุกขึ้นยืนพูดอีก”
หมี่ลี่น้อยพอได้ยินว่ามีภาระหน้าที่ก็ยิ้มปากกว้างทันใด พยักหน้ารับอย่างแรง “ตกลงๆ วันหน้าทุกครั้งก่อนที่จะประชุม ข้าจะเอ่ยเตือนพี่หญิงหงเซี่ยคำหนึ่ง”
หมี่อวี้เหล่ตามองเซียนกระบี่ผู้เฒ่าอวี๋แล้วยิ้มเสแสร้ง “ผู้ถวายงานอวี๋ แค่มาเยือนก็ได้แทะเมล็ดแตงเลยนะ ร้ายกาจนัก บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ไม่ใช่ว่าใครก็ได้รับการปฏิบัติแบบนี้หรอกนะ”
อวี๋เยว่อึ้งตะลึง แทะเมล็ดแตงบนภูเขาลั่วพั่วก็เป็นเรื่องที่มีความพิถีพิถันด้วยหรือ?
หมี่ลี่น้อยก็ยิ่งยกสองมือกอดอก ขมวดคิ้วเล็กสองข้าง หรือว่าเมล็ดแตงถุงแล้วถุงเล่าที่ตนซื้อมา แท้จริงแล้วเป็นการเก็บสมบัติล้ำค่ามาได้ ความจริงคือมันแพงมาก?
จากนั้นก็ให้ผู้คุมกฎฉางมิ่งตั้งกฎสำนักอย่างละเอียด พยายามให้เรียบง่ายหน่อย ไม่ต้องยิบย่อยเกินไป
หลังจากนั้นก็ปรึกษากันถึงชื่อของสำนักเบื้องล่าง เฉินผิงอันให้ทุกคนช่วยกันคิด เฉินหลิงจวินพูดอย่างเปี่ยมไปด้วยเหตุผลชอบธรรม “ความสามารถในการตั้งชื่อของนายท่าน หากบอกว่าตัวเองเป็นที่สองในใต้หล้าก็ไม่มีใครกล้าบอกว่าเป็นที่หนึ่ง คนที่เป็นที่สามก็ต้องรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ นึกอยากให้ตัวเองเป็นที่สี่…”
ชุยตงซานโยนเปลือกเมล็ดแตงไปทางเฉินหลิงจวิน “มีแต่เจ้าที่แข็งแกร่งซื่อตรง ไม่ประจบสอพลอที่สุดใช่ไหม?”
ผลคือชุยตงซานถูกเผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างถองเข้าให้ ชุยตงซานจึงหันหน้าไปถลึงตาใส่เด็กชายชุดเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
เฉินหลิงจวินโมโหแล้ว ยื่นมือไปรับเปลือกเมล็ดแตงมาแล้วขว้างกลับคืนไป เจ้าถูกเผยเฉียนตีเกี่ยวผายลมอะไรกับข้าผู้อาวุโสด้วย ก่อนหน้านี้ตอนอยู่บนหัวเรือถูกเจ้าถีบไปทีหนึ่ง ยังไม่ได้คิดบัญชีกับห่านขาวใหญ่อย่างเจ้าเลย ข้ากับเว่ยป้อเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องเชียวนะ เป็นคนรุ่นเดียวกัน ดังนั้นที่เจ้าถีบใช่ก้นของข้าที่ไหน คือหน้าของซานจวินใหญ่เว่ยต่างหาก ตอนนี้อยู่ต่อหน้านายท่านของข้า อาจารย์ของเจ้า พวกเราสองคนมาขีดเส้นแบ่งแล้วประลองฝีมือกันให้ดีๆ ไปเลย
เฉินผิงอันไม่สนใจการก่อกวนของพวกเขา นิ่งคิดไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “หวังว่าภูเขาลั่วพั่วของพวกเราจะเป็นภูเขาลั่วพั่วอย่างในวันนี้ตลอดไป หวังว่านะ”
หลังการประชุมสิ้นสุดลง เฉินผิงอันแค่บอกให้ชุยตงซานกับเจียงซ่างเจินอยู่ต่อ
หนิงเหยานั่งอยู่ด้านข้าง แทะเมล็ดแตงต่อ
เฉินผิงอันกล่าวว่า “หลังจากที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแตก ข้าก็ยังรวบรวมเศษซากได้ไม่ครบ ส่วนที่ยังเหลืออยู่ข้างนอกมากสุดคือหกชิ้น น้อยสุดคือสี่ชิ้น”
เจียงซ่างเจินกับชุยตงซานต่างก็มีสีหน้าเคร่งเคียด
หนิงเหยาเองก็วางเมล็ดแตงในมือลง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้ข้อเดียวที่พอจะมั่นใจได้ก็คือที่ไทเฮาของต้าหลีต้องมีอยู่ชิ้นหนึ่งแน่นอน เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หอกั้วอวิ๋นถูกข้าจับพิรุธได้ นอกจากนี้ก็มีความเป็นไปได้มากที่โจวจื่อจะมอบให้ผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉชิ้นหนึ่ง ตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาก็อาจมีเก็บไว้ ส่วนสำนักฉงหลินของอุตรกุรุทวีปก็อาจจะมีหรืออาจจะไม่มี ข้าจะไปถามเองให้รู้แน่ชัด ส่วนสกุลลู่สำนักหยินหยางของแผ่นดินกลางกลับบอกได้ยาก ดูจากตอนนี้ สิ่งที่ข้าพอจะคิดได้ก็คือเบาะแสพวกนี้ พวกเจ้าไม่ต้องทำท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจเช่นนี้ ต้องรู้ว่าสะพานแห่งความเป็นอมตะของข้าเคยขาดมาก่อน ภายหลังผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ เรือนกายในเวลานี้กลับกลายเป็นเรื่องดี ต่อให้เศษของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตจะตกอยู่ในมือของคนอื่น อันที่จริงก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการฝึกตนของข้ามากนัก มีแต่จะทำให้ข้ามีโอกาสได้สืบสาวเบาะแสเสียอีก”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเยือนเมืองหลวงต้าหลีกันสักรอบ”
——