กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 828.4 เดินทางไปเยือนเมืองหลวงยามค่ำคืน
หร่วนฉงหันหน้าไปมอง หลิวเสี้ยนหยางรีบคีบอาหารให้อาจารย์ทันที “ฝีมือทำอาหารของอาจารย์เห็นได้ชัดว่าได้นำศาสตร์การหลอมกระบี่มาใช้ ฝีมือถึงได้เชี่ยวชาญเพียงนี้!”
เซอเยว่เริ่มเข้าใจแล้วว่าเหตุใดหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่ยี่หระสิ่งใดถึงได้มีคนชอบมากมายขนาดนี้ เพราะอริยะหร่วนสำนักการทหารผู้นี้ค่อนข้างจะคร่ำครึหัวโบราณ ต่งกู่ลูกศิษย์ใหญ่ก็เอาอย่าง เคารพอาจารย์มากเกินไป เป็นเหตุให้วางตัวระมัดระวังสำรวมเกินกว่าเหตุ ส่วนสวีเสี่ยวเฉียวนั้นมีนิสัยเงียบขรึม ไม่ชอบพูดคุย เซี่ยหลิงมีกลิ่นอายเซียนล่องลอยเกินไป อยู่ห่างจากฝุ่นธุลีในโลกีย์ ไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับกิจธุระทั้งหลาย หากไม่มีหลิวเสี้ยนหยาง คาดว่าอาหารมื้อนี้ทุกคนคงกินกันอย่างเงียบเชียบ กินเสร็จก็แยกย้ายกันไป
หร่วนฉงเอ่ยต่อว่า “วันหน้าต่งกู่ดูแลเรื่องรายรับรายจ่ายของคลังสมบัติ สวีเสี่ยวเฉียวรับผิดชอบดูแลกฎของศาลบรรพจารย์ เซี่ยหลิงชอบฝึกตน หากยินดีแบ่งความสนใจออกมาก็สามารถรับลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพิ่มหลายๆ คนได้ ลูกศิษย์ของลูกศิษย์บนภูเขามีน้อยไปสักหน่อย เป็นเหตุให้เรื่องที่วันหน้าควรจะไปมาหาสู่กับผู้ฝึกตนบนภูเขาและราชสำนักต้าหลีอย่างไร พวกเจ้าก็ต้องปรึกษากันเอาเองแล้ว แล้วก็ไม่ใช่ว่าหลิวเสี้ยนหยางเป็นเจ้าสำนักแล้วก็จำเป็นต้องแบกรับเรื่องนี้เพียงลำพัง”
พูดคุยแค่ไม่กี่คำ หร่วนฉงก็คุยเรื่องใหญ่ในสำนักเสร็จรวดเดียว
หร่วนฉงหยิบตะเกียบขึ้นมา เอ่ยว่า “กินข้าว”
ออกคำสั่งเสร็จ ทุกคนก็ก้มหน้าก้มตากินข้าว
นอกจากคำพูดชวนตลกขบขันของหลิวเสี้ยนหยางที่พูดแทรกมาเป็นระยะแล้ว บนโต๊ะก็ไม่มีคำพูดใดๆ อีก เซอเยว่รู้สึกเลื่อมใสหลิวเสี้ยนหยางในจุดนี้มากนัก ไม่ว่าจะพูดอะไรหรือทำอะไรล้วนไม่เคยอึดอัดขัดเขิน
หร่วนฉงเป็นคนแรกที่กินอิ่ม วางตะเกียบลง ก่อนจะลุกขึ้นยืนได้เอ่ยว่า “เสี้ยนหยาง นับแต่วันนี้ไปเจ้าก็คือเจ้าสำนักแล้ว ดังนั้นไม่ต้องบอกกล่าวกับข้าทุกเรื่อง วันหน้าข้าจะสนใจแค่เรื่องหลอมกระบี่อย่างเดียวแล้ว”
จากนั้นจึงหันไปมองลูกศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามคนที่เหลือ หร่วนฉงเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ไม่ว่าจะรับหน้าที่อะไรในสำนัก เป็นสหายร่วมสำนักก็ควรมีท่าทีของสหายร่วมสำนัก ความเคยชินที่สกปรกบางอย่างตอนอยู่ข้างนอก วันหน้าอย่าได้พาขึ้นมาบนภูเขาด้วย”
พูดจบหร่วนฉงก็เดินออกนอกห้อง ทะยานลมจากไป
พอหร่วนฉงจากไป ต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวก็มีการพูดคุยกันบ้าง กลับกลายเป็นหลิวเสี้ยนหยางที่เริ่มเคี้ยวอาหารอย่างละเอียด ไม่พูดคุยอะไรแล้ว
กินอาหารมื้อนี้เสร็จ สวีเสี่ยวเฉียวก็รับหน้าที่เก็บจานชามและตะเกียบ เซอเยว่ก็ช่วยด้วย สวีเสี่ยวเฉียวมีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อแม่นางอวี๋คนนี้
หลิวเสี้ยนหยางยกขานั่งไขว่ห้าง คาบไม้จิ้มฟันทำท่าเหมือนนายท่านใหญ่ รอกระทั่งแม่นางสองคนไปที่ห้องครัวแล้วก็เอานิ้วเคาะผิวโต๊ะเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดี “เหล่าต่งอ่า เสี่ยวเซี่ยอ่า พวกเจ้าสองคนต่างก็อายุไม่น้อยกันแล้ว เริ่มหาภรรยากันได้แล้วนะ ไม่อย่างนั้นเจ้าสำนักอย่างข้าต้องเผชิญหน้ากับพวกคนโสดกลุ่มใหญ่อยู่ทุกวัน คงต้องละอายใจอย่างมาก ในใจรู้สึกไม่ใคร่จะดี”
เซี่ยหลิงยิ้มเอ่ย “ศิษย์พี่ต่ง หากรู้แต่แรกว่าพอคนบางคนได้เป็นเจ้าสำนักแล้วจะทำตัวทุเรศแบบนี้ ท่านก็น่าจะช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักมาบ้างนะ? หรือไม่พวกเราสองคนเปลี่ยนใจไปขอร้องอาจารย์ดีไหม? เดี๋ยวข้าช่วยพูดโน้มน้าวศิษย์พี่สวีเอง ท่านรับผิดชอบไปตอแยอาจารย์ ถึงเวลานั้นคิดจะเปลี่ยนเจ้าสำนัก ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของข้าวมื้อเดียวเท่านั้น”
ต่งกู่พยักหน้า “ในใจรู้สึกไม่ใคร่จะดีอยู่บ้างจริงๆ”
หลิวเสี้ยนหยางร้องเพ้ย “พวกเจ้าสองคนเนี่ยนะคิดจะไปก่อคลื่นลมมรสุมกับช่างหร่วน?”
หลิวเสี้ยนหยางผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาลูบเส้นผมตรงจอนหู “อีกอย่าง จะเล่าความลับให้พวกเจ้าฟัง สายตาที่ศิษย์พี่หญิงสวีมองข้า ไม่ปกติมาตั้งนานแล้ว”
สวีเสี่ยวเฉียวที่อยู่ในห้องครัว อยู่ดีไม่ว่าดีก็เจอหายนะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝันเช่นนี้จึงอับอายจนพานเป็นความโกรธ “หลิวเสี้ยนหยาง เจ้าอยากตายหรือ?! ต่อให้ปากไม่มีหูรูด ชอบพูดจาเหลวไหลแค่ไหนก็น่าจะมีขอบเขตบ้างสิ! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะฉีกปากเจ้าให้เละเลย?”
หลิวเสี้ยนหยางพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ข้าบอกว่าสายตาที่ศิษย์พี่มองศิษย์น้องเหมือนพี่สาวแท้ๆ มองน้องชายแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานแล้วได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ช่างมีเมตตาช่างอ่อนโยนยิ่งนัก ทำให้ในใจข้าอบอุ่นเหลือเกิน นี่ก็ผิดด้วยหรือ?”
เซอเยว่กระตุกชายแขนเสื้อของสวีเสี่ยวเฉียว เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าไปสนใจเขาเลย เขาเอาแต่ฝันอยู่ทุกวัน สมองเลยไม่ค่อยเต็มเต็งเท่าไร”
สวีเสี่ยวเฉียวพูดกลั้วหัวเราะอย่างฉุนๆ “ไม่ถือสาเขาแล้ว วันหน้าแม่นางอวี๋เจ้าก็ควบคุมหลิวเสี้ยนหยางให้มากหน่อย หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาทำตัวไร้แก่นสาร เป็นอันธพาล เอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ”
เซอเยว่รู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดแม่นางคนนี้ถึงไม่รู้จักพูดบ้างเลยนะ ตัวคนไม่เลว แต่ตาไม่มีแววไปสักหน่อย
หลิวเสี้ยนหยางลุกขึ้นยืน “ข้าต้องไปภูเขาพีอวิ๋นสักรอบ ใช้สถานะของเจ้าสำนักไปพูดคุยธุระบางอย่าง พวกเจ้าทำธุระของตัวเองกันไปเถอะ”
กล่าวจบก็ตบไหล่เซี่ยหลิง “เสี่ยวเซี่ย ตั้งใจฝึกตนนะ อย่าอารมณ์ร้อน อย่าหยิ่งยโส”
เซี่ยหลิงกุมหมัดยิ้มกล่าว “จะเชื่อฟังเจ้าสำนัก”
หลิวเสี้ยนหยางยังติดใจไม่เลิกจึงทำท่าจะไปตบไหล่ศิษย์พี่ใหญ่แล้วเอ่ยสั่งสอนสักสองสามประโยคด้วย ต่งกู่กลับโบกมือขึ้นมาซะก่อน “ให้มันน้อยๆ หน่อยเถอะ”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะร่าเดินออกจากห้องไป ถามว่า “แม่นางอวี๋ พวกเราลงเขาไปด้วยกันไหม?”
เซอเยว่ส่ายหน้า “ไม่ล่ะ ข้าต้องกลับไปที่ร้าน”
หลิวเสี้ยนหยางจึงไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นเพียงลำพัง พูดคุยเรื่องหนึ่งกับเว่ยป้อ
เว่ยป้ออึ้งตะลึง นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก เขาจึงทั้งไม่ส่ายหน้าแล้วก็ไม่ตอบตกลง ได้แต่ถามว่า “นี่คือความหมายของอริยะหร่วนเองหรือ?”
หลิวเสี้ยนหยางตบอก พูดกลั้วหัวเราะดังลั่น “ซานจวินใหญ่เว่ยเจ้าอย่าสนใจเลย ถึงอย่างไรสำนักกระบี่หลงเฉวียนในทุกวันนี้ ข้าหลิวเสี้ยนหยางก็เป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจแล้ว”
เว่ยป้อถามอย่างคลางแคลง “หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวเสี้ยนหยางหัวเราะฮ่าๆ “ตอนนี้ข้าคือเจ้าสำนักคนใหม่แล้ว ข้ายังตัดสินใจเองไม่ได้อีกหรือ?”
เว่ยป้อนิ่งคิดไปพักหนึ่ง หลิวเสี้ยนหยางหุบยิ้ม พยักหน้า เว่ยป้อถอนหายใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เข้าใจแล้ว จะจัดการให้ทันที ทางฝั่งของราชสำนักต้าหลี ข้าจะช่วยอธิบายให้เอง”
หลิวเสี้ยนหยางเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “สหายอย่างเว่ยซานจวิน ต่อให้จุดโคมตามหาก็ยากที่จะหาเจอ”
วันนี้กลุ่มยอดเขาที่อยู่ในแถบภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกของสำนักกระบี่หลงเฉวียน นอกจากภูเขาสามลูกที่เช่ามาจากภูเขาลั่วพั่วที่ยังอยู่ที่เดิมแล้ว ภูเขาลูกอื่นๆ ซึ่งรวมถึงภูเขาเสินซิ่วล้วนถูกเว่ยป้อซานจวินขุนเขาเหนือที่เรียกรวมเหล่าเทพภูเขาของภูเขาทายาท ให้มาร่วมกันร่ายวิชาอภินิหารเคลื่อนย้ายไปยังอาณาเขตของอดีตขุนเขากลางจนหมด
นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ในอาณาเขตของถ้ำสวรรค์หลีจูเก่าก็จะไม่มีสำนักกระบี่หลงเฉวียนอะไรอีกแล้ว วันหน้าจะเหลือแค่ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นสำนักอักษรจงเพียงแห่งเดียว
ตอนที่เว่ยป้อกำลังง่วนวุ่นวาย หลิวเสี้ยนหยางก็นั่งยองอยู่บนยอดเขาพีอวิ๋นตลอดเวลา สองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ คีบต้นหญ้าไว้ในปาก
อันที่จริงนี่ก็คือความต้องการของหร่วนฉงผู้เป็นอาจารย์ เพียงแต่เขาไม่เอ่ยออกมาก็เท่านั้น
……
กำแพงเมืองปราณกระบี่ จั่วโย่วที่สวมชุดของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อนั่งขัดสมาธิ วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า สายตามองตรงไปข้างหน้า
เฉาจวิ้นที่ข้ามมหาสมุทรเร่งรุดเดินทางมาถึงที่นี่มีท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง มาถึงก็นั่งแปะอยู่ห่างไปไม่ไกล หอบหายใจฮักๆ พอลมหายใจสงบลงได้บ้างแล้วก็หันไปยิ้มเอ่ยทักทาย “อาจารย์จั่ว!”
จั่วโย่วพยักหน้ารับเบาๆ
เฉาจวิ้นรออยู่นาน เห็นว่าจั่วโย่วยังคงไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากพูดก็แข็งใจเอ่ยเรียก “อาจารย์จั่ว?”
จั่วโย่วถามอย่างสงสัย “มีเรื่องอะไรหรือ?”
ตัวอ่อนเซียนกระบี่แห่งทักษินาตยทวีปผู้นี้ หลังจากที่จิตแห่งกระบี่ได้รับความเสียหายก็ยังกล้าส่งกระบี่บนสนามรบสองแห่งอย่างที่แจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป วันนี้ยังกล้ามาที่นี่ ดูท่าคงคิดจะออกกระบี่ต่อใต้หล้าเปลี่ยวร้าง?
ความประทับใจที่จั่วโย่วมีต่อคนผู้นี้เปลี่ยนเป็นดีขึ้นหลายส่วน
เฉาจวิ้นรู้สึกหัวโตขึ้นมาสองเท่า ไหนเฉินผิงอันผู้นั้นบอกว่าเจ้าที่เป็นศิษย์พี่ของเขาให้ข้ามาฝึกกระบี่กับเจ้าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไงเล่า? นี่ก็จะไม่ยอมรับเสียแล้ว?
แต่หากจะให้เขาร่ายเหตุผลกับจั่วโย่วก็อย่าเลยดีกว่า
เฉาจวิ้นถามอย่างระมัดระวัง “อาจารย์จั่วลืมอะไรไปหรือไม่?”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “เป็นผู้ฝึกกระบี่ มีอะไรก็พูดมาตรงๆ”
เฉาจวิ้นพูดหน้าม่อย “เฉินผิงอันแนะนำให้ข้ามาที่นี่ มาฝึกกระบี่กับอาจารย์จั่ว”
ไม่กล้าพูดความจริงด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันเจ้าตะพาบผู้นั้นเป็นศิษย์น้องของจั่วโย่ว แต่ตนกลับไม่ใช่
จั่วโย่วพยักหน้า “ได้สิ”
เฉาจวิ้นผ่อนลมหายใจโล่งอก อัดอั้นก็ส่วนอัดอั้น แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้มาเสียเที่ยว เพียงแต่ในใจอดสบถด่าไม่ได้ เจ้าอิ่นกวานชาติสุนัข
“ศิษย์น้องของข้าคนนั้นบอกเจ้าว่าให้เจ้ามาที่นี่เป็นคำแนะนำของข้าใช่หรือไม่?”
จั่วโย่วหัวเราะ ยื่นมือข้างหนึ่งออกมากดฝักกระบี่เบาๆ แค่รอให้อาเหลียงสร้างความครึกโครมที่ทางทิศใต้สักเล็กน้อย ตนก็สามารถออกกระบี่ตามไปได้แล้ว
ส่วนการถ่ายทอดเวทกระบี่ให้กับเฉาจวิ้น อันที่จริงไม่ได้มีปัญหาใดๆ เลย สภาพจิตใจ คุณสมบัติและนิสัยใจคอของเฉาจวิ้นในทุกวันนี้ เมื่อเทียบกับผู้มีพรสวรรค์อายุน้อยของทักษินาตยทวีปในอดีตคนนั้น เรียกได้ว่าเป็นคนละคนกันแล้ว
เฉาจวิ้นเหลือบมองการกระทำที่ยื่นมือไปกดฝักกระบี่ของจั่วโย่วแล้วรีบส่ายหน้าอย่างแรง พูดอย่างหนักแน่นว่า “ไม่มีเรื่องแบบนั้นสักหน่อย!”
จั่วโย่วหันหน้าไปมอง ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “จริงหรือ? เจ้าพูดความจริงมา”
เฉาจวิ้นจึงแข็งใจตอบว่า “เฉินผิงอันเคยบอกว่าอาจารย์จั่วให้ข้ามาจริงๆ”
จั่วโย่วทอดสายตามองไปยังทิศไกล ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ไม่เลว ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เกรงใจศิษย์พี่เลยจริงๆ”
เฉาจวิ้นอึ้งตะลึง จั่วโย่วก็เป็นคนที่พูดล้อเล่นเป็นด้วยหรือ?
……
ทางทิศเหนือสุดของภูเขาตะวันเที่ยง กลางม่านราตรีของคืนหนึ่งมีศิลาแบ่งอาณาเขตถูกตั้งขึ้นอย่างเงียบเชียบ ‘ภูเขาลั่วพั่วห่างไปทางทิศเหนือสองแสนลี้’
เรือข้ามทวีปลำหนึ่งที่มีชื่อว่าเฟิงยวนเดินทางมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง กำลังชะลอจอดลงที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวอย่างเชื่องช้า
ส่วนเมืองหลวงต้าหลีที่ไม่มีการห้ามออกจากเคหะสถานยามค่ำคืนก็มีแสงไฟส่องสว่างราวกับเวลากลางวัน คนสองคนไม่จำเป็นต้องส่งมอบเอกสารผ่านด่านก็สามารถเข้ามาในเมืองได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ตรงหน้าประตูเมืองถึงกับไม่มีการสอบถามสักคำ เพราะชายหนุ่มหญิงสาวที่ดูเหมือนจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขาคู่นี้ต่างก็แขวนป้ายผู้ถวายงานไท่ผิงที่กรมอาญาแจกจ่ายให้
เมืองหลวงต้าหลีที่พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกัน คืนนี้แค่มีป้ายสงบสุขปลอดภัยเพิ่มมาสองแผ่น อันที่จริงไม่ใช่เรื่องที่สะดุดตานัก
หนิงเหยามองไกลๆ ไปยังวังหลวงต้าหลีแห่งนั้น ตราผนึกขุนเขาสายน้ำแต่ละชั้นล้วนไม่เลว นางถามว่า “ต่อจากนี้จะไปที่ไหน? หากป๋ายอวี้จิงจำลองออกกระบี่ ข้าจะรับไว้เอง เจ้าแค่ไปอธิบายเหตุผลกับคนในวังหลวงก็พอ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่รีบร้อน ไปหาอาหารมื้อดึกกินกันก่อนดีไหม?”
หนิงเหยาพยักหน้า “ตามใจเจ้า”
หาร้านขายอาหารมื้อดึกร้านหนึ่งได้ เฉินผิงอันก็นั่งลง สั่งเกี๊ยวน้ำมาสองชาม หยิบตะเกียบไม้ไผ่สองคู่ออกมาจากกระบอกไม้ไผ่ ยื่นส่งให้หนิงเหยาคู่หนึ่ง เฉินผิงอันถือตะเกียบในมือ เป่าลมเบาๆ ใส่เกี๊ยวน้ำที่ควันร้อนลอยกรุ่นถ้วยนั้น ยิ้มเอ่ยเตือนนางตามจิตใต้สำนึกว่าระวังร้อน เพียงแต่เพิ่งจะพูดออกไปก็หลุดขำตัวเอง หันไปทำหน้าทะเล้นใส่นางแทน ก่อนจะก้มหน้าคีบอาหารเข้าปากหนึ่งคำแล้วเริ่มเคี้ยวช้าๆ หนิงเหยาหันหน้ามามอง เนิ่นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับ รอกระทั่งเฉินผิงอันเงยหน้ามองมากลับมองเห็นเพียงขนตาของนางเท่านั้น
รอจนหนิงเหยากินเสร็จถึงสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีมองมาที่ตน
หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่ค่อยอิ่มเท่าไร สั่งอีกถ้วยดีไหม?”
เฉินผิงอันโบกมือเป็นวงกว้าง “ในกระเป๋ามีเงิน กินเกี๊ยวน้ำมากหน่อยจะเป็นไรไป”
ลูกค้าโต๊ะข้างๆ นินทาในใจไม่หยุด ดูเจ้าทำท่าโอ้อวดเข้าสิ ต้องเป็นคนในยุทธภพที่ตกอับเพียงไหนถึงพูดจาห้าวเหิมได้กะอีแค่กินเกี๊ยวน้ำเพิ่มอีกชามหนึ่ง?
พอหันไปมองสตรีที่ยิ้มตาหยีก็ให้รู้สึกเสียดายที่นางหน้าตางดงามซะเปล่า ดันเป็นสตรีที่ตาไม่มีแววเสียได้ ถึงได้มาใช้ชีวิต ท่องอยู่ในยุทธภพกับบุรุษยากจนเช่นนี้
——