กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 829.1 อิสระเสรี
กินอาหารมื้อดึกกันอิ่มแล้ว เฉินผิงอันก็พาหนิงเหยาไปเดินเล่น เที่ยวชมเมืองหลวงยามค่ำคืน แล้วก็ไม่ได้บอกว่าจะต้องไปที่ไหน แค่เลือกถนนที่แสงไฟสว่างไสว เดินเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย ข้างกายมีพ่อค้าเข็นรถเดินผ่าน บ้างก็ขายขนมหวานที่ทำจากรากบัว กระจับตากแห้งชุบน้ำตาล ด้านหลังรถเข็นประเภทนี้มักจะมีพวกเด็กๆ ที่น้ำลายสออยากกินติดตามมาด้วย การค้าของเมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง จึงมีการขุดโพรงน้ำแข็งน้อยใหญ่ไว้ให้พวกพ่อค้าโดยเฉพาะ ทุกๆ ครั้งที่ถึงหน้าหนาวก็จะเจาะโพรงสะสมก้อนน้ำแข็ง หน้าร้อนจึงจะเอาออกมาขาย
ตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนทั้งสองก็เคยเดินเล่นเคียงข้างกันเช่นนี้มาก่อน เพียงแต่ว่าการเดินเล่นในเวลานั้นยากที่จะบอกว่าจิตใจผ่อนคลายได้อย่างแท้จริง
เดินผ่านศูนย์ฝึกยุทธขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เฉินผิงอันก็อดไม่ไหวยิ้มเอ่ยว่า “ปีนั้นหลังจากศึกที่เมืองหลวงแห่งที่สองสิ้นสุดลง แจกันสมบัติทวีปก็ได้ทำการประเมินปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธใหญ่สี่คน เพราะเผยเฉียนอายุน้อยที่สุด แล้วยังเป็นสตรี บวกกับที่ลำดับรายชื่อเป็นรองแค่ซ่งจ่างจิ้ง ดังนั้นจึงมีชื่อเสียงมากกว่าอาจารย์อย่างข้าเสียอีก”
ในเมืองมีศูนย์ฝึกยุทธอยู่มากมาย พรรคทั้งหลายในยุทธภพต่างก็เลี้ยงชีพกันอยู่ที่นี่ หากอยู่ในเมืองหลวงแล้วมีชื่อเสียง คิดจะออกไปแตกกิ่งก้านสาขาตั้งพรรคเพิ่มตามจังหวัดและเขตการปกครองต่างๆ ก็ง่ายแล้ว เฉินผิงอันจึงรู้ว่าในบรรดานั้นมีอาจารย์หมัดของศูนย์ฝึกยุทธคนหนึ่งที่เนื่องจากในอดีตตอนอยู่เมืองหลวงแห่งที่สอง หลังจากเฝ้าตอรอกระต่ายมาหลายวันหลายคืน ในที่สุดก็คว้าจับโอกาส โชคดีได้ประลองฝีมือกับปรมาจารย์ใหญ่เจิ้ง แม้จะบอกว่าเป็นแค่เรื่องของสี่หมัด และนี่ยังเป็นเพราะ ‘เจิ้งซาเฉียน’ ที่อายุน้อยๆ แต่กลับมากด้วยคุณธรรมผู้นั้นยอมต่อให้เขาก่อนสามหมัด แต่รอกระทั่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่โดนต่อยไปหมัดเดียวก็เอามาคุยโวจนน้ำลายแตกฟองผู้นี้กลับมาถึงเมืองหลวง เด็กหนุ่มและพวกอันธพาลทั้งหลายในเมืองหลวงที่พกเงินถุงใหญ่มาหวังกราบไหว้อาจารย์ขอเรียนวิชาก็เกือบจะเบียดกันจนธรณีประตูศูนย์ฝึกยุทธทรุด ผู้คนมากมายเบียดเสียด ว่ากันว่าอาจารย์หมัดท่านนี้ยังนำใบไม้ทองถุงหนึ่งที่เป็นค่ายาซึ่งปรมาจารย์ใหญ่ ‘เจิ้งชิงหมิง’ มอบให้ในเวลานั้นไปบูชาไว้เป็นอย่างดี เรื่องแรกที่ทำหลังจากตื่นนอนในศูนย์ฝึกยุทธทุกวันไม่ใช่เดินนิ่งฝึกหมัด แต่เป็นจุดธูปกราบไหว้
หนิงเหยาทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันถาม “อยากพูดเรื่องที่เผยเฉียนเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งแล้วหรือ?”
หนิงเหยารักษาสัญญา จึงไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อแล้วเดินเนิบช้า “อันที่จริงข้ารู้ตั้งนานแล้ว เจอเบาะแสตอนที่อยู่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆา แต่เผยเฉียนปิดบังเรื่องนี้ไว้ตลอด คาดว่านางคงมีความกังวลบางอย่าง ข้าถึงไม่ยินดีจะเปิดโปง เพราะถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ใครที่จะสามารถรับเอาปณิธานกระบี่ที่โจวเฉิงมอบให้ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้ ดังนั้นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เผยเฉียนฟูมฟักออกมาได้ ความไม่คาดฝันต้องมีแน่อยู่แล้ว แต่ก็ไม่ถึงขั้นรู้สึกว่าแปลกประหลาดอะไรมากนัก”
มีประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกไป ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนนี่นะ
หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “อีกไม่นานเผยเฉียนก็จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองตัวจริงคนหนึ่งแล้ว”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ได้ ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวลงมา เตรียมจะดื่มเหล้าเล็กน้อยเพื่อฉลองสักหน่อย
คิดไม่ถึงว่าหนิงเหยาจะเอ่ยอีกว่า “กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นของเผยเฉียนไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด ถึงกับสามารถแบ่งหนึ่งออกเป็นเจ็ด หากไม่ทันระวังก็จะมีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตก่อนกำเนิดเพิ่มมาหลายชนิด นี่เป็นเรื่องที่หาได้ยากมาก ในประวัติศาสตร์ก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ ส่วนมีกระบี่บินที่คล้ายคลึงกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสคนใดบ้าง เจ้าชอบจดจำเรื่องพวกนี้ ต้องรู้ชัดเจนกว่าข้าแน่นอน ดังนั้นไม่ว่าจะอิงตามกฎเกณฑ์เดิมที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้กำหนดขอบเขตของกระบี่บิน หรือเป็นระดับขั้นแบบใหม่ที่เจ้ากำหนดขึ้นในคฤหาสน์หลบร้อน ไม่ว่าจะจับคู่เข่นฆ่าหรือจู่โจมบนสนามรบ กระบี่บินที่ยังไม่ทราบชื่อของเผยเฉียนเล่มนี้ก็น่าจะอยู่ในอันดับหนึ่งได้เลย”
อย่างถึงที่สุด ถึงกับ หายาก
นี่เป็นคำศัพท์ที่หลุดออกมาจากปากของหนิงเหยา
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ที่เดิม ไม่ได้ดื่มเหล้าเลยสักอึก
‘ป๋ายลู่’ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเฉินซานชิวก็ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตซึ่งเป็นพรสวรรค์สองชนิด ชนิดหนึ่งในนั้นยังเกี่ยวข้องกับโชคชะตาบุ๋นด้วย
ในประวัติศาสตร์หมื่นปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ที่ได้ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองสามเล่มมีมากกว่าผู้ฝึกกระบี่ที่กระบี่บินหนึ่งเล่มมีวิชาอภินิหารสองสามชนิดมากนัก หากคิดคำนวณแค่บนหน้ากระดาษอย่างเดียว สถานการณ์สองอย่างนี้คล้ายไม่มีอะไรแตกต่าง แต่แท้จริงแล้วกลับต่างราวฟ้ากับเหว
ยกตัวอย่างเช่นเฉามู่แม่นางน้อยที่ติดตามเซี่ยซงฮวาไปฝึกตน นางก็ครอบครองกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มอย่าง ‘พางถัว’ ‘หงหนี’ ส่วนเหยาเสี่ยวเหยียนที่เฉินผิงอันพามาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ยิ่งมีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสามเล่ม ‘ชุนซาน’ ‘จูหว่าง’ ‘หนีซาง’ เพียงแต่ว่าวิชาอภินิหารของกระบี่บินเหยาเสี่ยวเหยียนล้วนเน้นด้านการป้องกัน หล่อเลี้ยงบำรุงร่างกาย ดังนั้นระดับขั้นของกระบี่บินทั้งสามเล่มต่างก็ไม่สูง แต่ในทางส่วนตัวเฉินผิงอันมั่นใจเรื่องหนึ่งว่า ในบรรดาตัวอ่อนเซียนกระบี่เก้าคน เหยาเสี่ยวเหยียนที่นิสัยขี้อาย หลังจากเปลี่ยนสถานที่ในการฝึกกระบี่แล้ว มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่นางจะไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนที่ในอนาคตขอบเขตจะสูงที่สุด พลังพิฆาตจะมากที่สุด แต่ต้องเป็นคนที่ได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแน่นอนที่สุด
กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตมีสงครามเกิดขึ้นต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่มีทางอดทนรอคอยให้ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่งค่อยๆ เติบโตไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ทว่ากระบี่บินที่ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสองชนิดขึ้นไป ก็เหมือนอย่างที่หนิงเหยาบอก มีน้อยจนนับนิ้วได้จริงๆ หมื่นปีที่ผ่านมา บันทึกเอกสารของคฤหาสน์หลบร้อน รวมกันแล้วมีไม่ถึงสิบเล่ม เจ้าของกระบี่บินทุกเล่ม ภายหลังล้วนกลายมาเป็นเซียนกระบี่ที่พลังพิฆาตโดดเด่น ผลงานทางการสู้รบเกริกก้องเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
คนหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกกระบี่ที่มีชื่อเสียงที่สุด ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน จงหยวน
จงหยวนที่ถูกผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ในยุคหลังหลายคนหยอกล้อด้วยประโยคที่ว่า ‘จงหยวนไม่ร้ายกาจเท่าข้า’
แค่กระบี่บินเล่มเดียวก็ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่น่าเหลือเชื่อถึงสี่ชนิด ประเด็นสำคัญคือสามโจมตีหนึ่งป้องกัน ร่วมมือกันได้อย่างแนบแน่นไร้ช่องโหว่
แต่จุดที่ทำให้เฉินผิงอันเลื่อมใสอย่างแท้จริงอยู่ที่ว่าจงหยวนอาศัยการเข่นฆ่าในสงครามใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า อาศัยการมานะหลอมกระบี่ปีแล้วปีเล่า ช่วยให้กระบี่บินเล่มที่เดิมทีระดับขั้นอยู่แค่ลำดับรองทยอยตามหาวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่สอดคล้องกับมหามรรคาเพิ่มมาได้อีกสามชนิด ในความเป็นจริงแล้ววิชาอภินิหารชนิดแรกสุดของกระบี่บินไม่สะดุดตานัก และสุดท้ายจงหยวนก็กลายมาเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาอย่างยาวนานที่สุด
เฉินผิงอันเอ่ย “ปีนั้นไม่รู้ว่าเหตุใดเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสถึงได้ให้ข้าพาเด็กๆ พวกนั้นกลับมาที่ไพศาลด้วยกัน เจ้าต้องการพาพวกเขาไปที่นครบินทะยานหรือไม่? ทางฝั่งของศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ข้าจะเป็นคนจัดการให้เอง”
เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนที่มีอาจารย์ อีกทั้งยังเป็นคนที่รู้จักกับหลี่เซิ่งด้วย
แล้วนับประสาอะไรกับที่หลี่เซิ่งก็บอกเองแล้วว่าหากมีเรื่องก็ให้ไปร้องทุกข์ที่ศาลบุ๋นบ่อยๆ อย่าได้หน้าบางเกินไป ไม่ต้องสนใจว่าจะสำเร็จหรือไม่ เชิญร้องระบายทุกข์ได้ตามสบาย
หนิงเหยาส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นการจัดการของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ถ้าอย่างนั้นก็ให้ฝึกกระบี่อยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วเถอะ หากใต้หล้าไพศาลแห่งนี้มีแค่สำนักกระบี่หลงเซี่ยงเพียงแห่งเดียว ยังไม่ค่อยพอเท่าไร”
หมี่อวี้ ชุยเหวย ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่บ้านตน อ้อ ยังมีเซียนกระบี่หญิงขอบเขตก่อกำเนิดอย่างสุ่ยโย่วเปียนอีกคนหนึ่ง แล้วยังแซ่เดียวกับสุยจิ่งเฉิงของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงด้วย บังเอิญยิ่งนัก
เฉินผิงอันพยักหน้า เด็กๆ พวกนั้นยังอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วชั่วคราว รอให้คราวหน้าที่ใต้หล้าห้าสีเปิดประตูอีกครั้ง ผู้ฝึกกระบี่ทั้งเก้าคนจะอยู่หรือจะไปก็อยู่ที่การเลือกของพวกเขา ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ล้วนยินดีต้อนรับทั้งสิ้น
แรกเริ่มเฉินผิงอันอยากจะรับพวกเขาเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด เพียงแต่ว่าภายหลังชุยตงซานแนะนำว่าอย่าให้เด็กๆ พวกนี้อายุน้อยมาก แต่กลับลำดับอาวุโสสูงเกินไป ทางที่ดีที่สุดคือใช้สถานะของลูกศิษย์ทำเนียบรุ่นที่สามของยอดเขาจี้เซ่อมาฝึกตนในภูเขาและลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์ เฉินผิงอันจึงทำตามความคิดเห็นนี้ของชุยตงซาน
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “มีคนมองไกลๆ มาทางนี้ ไม่สนใจสักหน่อยหรือ?”
บนหลังคาแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลมีคนหกคนนั่งอยู่ ล้วนเป็นเซียนดินอายุน้อย แต่ภาพบรรยากาศในการฝึกตนล้วนหนักแน่น น่าจะเป็นพวกคนที่ผ่านการเข่นฆ่ามาอย่างยาวนาน ในแจกันสมบัติทวีปนอกจากภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ไม่มีภูเขาลูกใดที่สามารถครอบครองคนรุ่นเยาว์มากความสามารถที่บนร่างแบกรับโชคชะตาไว้ถึงหกคนในเวลาเดียวกัน ดังนั้นหากไม่ผิดไปจากที่คาดก็น่าจะเป็นนักรบเดนตายที่องค์กรลับบางอย่างของต้าหลีเป็นผู้ตั้งใจอบรมบ่มเพาะออกมา
เฉินผิงอันสัมผัสได้นานแล้ว แต่กลับส่ายหน้า “ถึงอย่างไรก็ไม่มีจิตสังหาร ไม่ต้องไปสนใจหรอก”
แจกันสมบัติทวีปมีสถานที่อยู่สามแห่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนต่างถิ่นจะเป็นมังกรข้ามแม่น้ำอย่างไร ทางที่ดีที่สุดก็อย่าได้เห็นขอบเขตของตัวเองเป็นเรื่องสำคัญนัก
หนึ่งคืออาณาเขตหลงโจวอดีตถ้ำสวรรค์หลีจู หลิ่วชื่อเฉิงแห่งนครจักรพรรดิขาวมีความทรงจำที่ลึกล้ำต่อสถานที่แห่งนี้อย่างมาก
ต่อมาก็คือเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีที่ตั้งอยู่ใกล้กับลำน้ำใหญ่ภาคกลาง ราชครูชุยฉานได้ทิ้งป๋ายอวี้จิงจำลองไว้ที่เมืองหลวงแห่งที่สองนี้ ทุกวันนี้คนที่คุมค่ายกลกระบี่แทนต้าหลี มิอาจทราบนาม สำหรับผู้ฝึกตนตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีปแล้ว จุดที่แปลกประหลาดที่สุดยังคงเป็นค่ายกลกระบี่แห่งนี้ที่พอย้ายไปทางใต้แล้วก็ไม่ได้ย้ายกลับมายังเมืองหลวงต้าหลีที่อยู่ทิศเหนืออีก บางทีการทำแบบนี้อาจสิ้นเปลืองมากเกินไปสำหรับกรมคลังของต้าหลี แน่นอนว่าก็อาจจะเป็นเพราะราชครูมีแผนการที่ลึกล้ำอย่างอื่น นี่จึงเป็นเหตุให้ความสัมพันธ์ระหว่างฮ่องเต้ต้าหลีและอ๋องเจ้าเมืองซ่งมู่ยิ่งคลุมเครือไม่ชัดเจน หรือว่าจะเป็นเหมือนซ่งจ่างจิ้งกับอดีตฮ่องเต้ที่เป็นพี่น้องที่รักใคร่ปรองดอง สนิทสนมไร้ช่องว่างจริงๆ?
จากนั้นก็คือเมืองหลวงต้าหลีแห่งนี้แล้ว ในฐานะสถานที่สำคัญอันดับหนึ่งของแคว้น ในเมืองหลวงลำพังเพียงแค่ศาลเทพอภิบาลเมืองก็มีถึงห้าแห่ง แน่นอนว่าศาลเทพอธิบาลเมืองของเมืองหลวงต้องเป็นสถานที่อันดับหนึ่งในเมืองหลวงอย่างสมชื่อ และยิ่งเป็นศูนย์บัญชาการณ์ของศาลเทพอธิบาลเมืองนับพันแห่งของราชวงศ์ต้าหลี ทุกปีจะต้องมีเทพอภิบาลเมืองของสถานที่ต่างๆ มาขานชื่อและเข้าประชุมที่นี่ แต่ศาลแห่งผืนดินที่มีคำว่า ‘เมือง’ ด้วยนั้น ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่อยู่ที่เมืองหลวงแห่งที่สองทางทิศใต้
นอกจากนี้เมืองหลวงยังมีจวนอีกมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ตามหมู่ชาวบ้าน ทั้งมีเบื้องหลังเป็นที่ว่าการของทางการ แต่กลับไม่เปิดเผยสถานะอย่างชัดเจน แล้วก็มีความเกี่ยวข้องกับบนภูเขา แต่กลับไม่แสดงมาดของตระกูลเซียนออกมาอย่างเด่นชัด เดินเล่นอย่างผ่อนคลายสั้นๆ ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เฉินผิงอันก็เห็นสถานที่ที่ ‘น้ำลึก’ หลายแห่งแล้ว
ระหว่างนี้เฉินผิงอันกับหนิงเหยาเดินผ่านอารามเต๋าขนาดเล็กแห่งหนึ่ง บานประตูไม่ใหญ่ ทาสีแดงกระดำกระด่างเหมือนมีอายุมายาวนาน ไม่ได้ติดภาพเทพทวารบาลหลิงกวานของลัทธิเต๋า เพียงแค่แขวนกรอบป้ายขนาดเล็กที่มองดูแล้วใหม่เอี่ยมอย่างมาก ‘ที่ว่าการเที่ยงตรงแห่งเมืองหลวง’ กลอนคู่ที่แขวนก็ใช้ถ้อยคำวางโตไม่เบา ‘ต้นสนและต้นป่ายจวนสีทองหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคล คิดถึงหลิงซวีสถานที่ฝึกตนบรรพกาล’
ท่ามกลางม่านราตรี หน้าอารามเต๋าขนาดเล็กไม่มีรถม้าจอดอยู่ เฉินผิงอันเหลือบมองป้ายศิลาที่ตั้งอยู่ด้านล่างขั้นบันได คนที่ตั้งป้ายศิลาคือลูกศิษย์ซานต้งผู้รับยศต้าเต้าซื่อเจิ้งแห่งเมืองหลวง อู๋หลิงจิ้งหัวหน้าหน่วยจงซวีแห่งเขตเซ่อจวิ้น
หนิงเหยามองไม่ออกว่ามีความรู้อะไรซ่อนอยู่ เฉินผิงอันจึงช่วยอธิบายให้ฟัง ตัวอักษรสี่ตัวที่เป็นบทนำ คำว่าลูกศิษย์ซานต้งคือพูดถึงระบบสายเต๋าของคนที่ตั้งป้ายศิลา เต้าเจิ้งคือตำแหน่งขุนนางตำแหน่งใหม่ที่ต้าหลีก่อตั้ง มีหน้าที่รับผิดชอบให้ความช่วยเหลือที่ว่าการกรมพิธีการคัดเลือกนักพรตตัวสำรองที่มีความเชี่ยวชาญด้านคัมภีร์และเคารพกฎระเบียบเป็นอย่างดี จะมอบหนังสือรับรองการออกบวชให้แล้วย้ายเอกสารลงบันทึกไว้ที่กรมขุนนาง ส่วนต้าเต้าซื่อเจิ้งก็ยิ่งมีประวัติความเป็นมา ราชสำนักต้าหลีก่อตั้งหน่วยจงซวี แขวนชื่ออยู่ใต้นามของกรมพิธีการ คอยดูแลกิจการงานของลัทธิเต๋าในหนึ่งทวีป แล้วยังทำหน้าที่เซ่นไหว้ห้าขุนเขาและเทพแห่งลำน้ำ รวมถึงเรื่องเอกสารรับรองการออกบวช เอกสารประจำตัวของนักพรตในเมืองหลวงและเขตต่างๆ อู๋หลิงจิ้งหัวหน้าหน่วยจงซวีที่มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตเซ่อจวิ้นต้าหลีผู้นี้ คิดดูแล้วน่าจะเป็นคนรับผิดชอบหน่วยจงซวีของเมืองหลวงต้าหลีในทุกวันนี้ ดังนั้นถึงได้มีคุณสมบัติรับยศ ‘ต้าเต้าซื่อเจิ้ง’ ดูแลเต้าเจิ้งหลายสิบคนในหนึ่งแคว้นของต้าหลี สรุปก็คือเมื่อมีหน่วยจงซวี กิจธุระของลัทธิเต๋าทุกอย่างในอาณาเขตของต้าหลี สำนักโองการเทพก็ไม่ต้องยื่นมือเข้าแทรกอีก
เฉินผิงอันคิดดูแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าในบรรดาผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนของแจกันสมบัติทวีปมีนักพรตชื่ออู๋หลิงจิ้งอยู่ด้วย
พูดง่ายๆ ก็คือ สถานที่เล็กๆ อย่างนี้ แต่กลับทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลกิจธุระทุกอย่างของลัทธิเต๋าและสามารถพันธนาการนักพรตทุกคนในเมืองหลวงต้าหลีได้
นอกจากนี้ราชสำนักยังก่อตั้งหน่วยแปลคัมภีร์ เมื่อหลายปีก่อนฮ่องเต้ซ่งเหอยังมอบสถานะ ‘ตรีปิฏกาจารย์’ ให้กับภิกษุอายุน้อยคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นใต้อาณัติของต้าหลี ก่อตั้งหน่วยแปลคัมภีร์ในเมืองหลวงด้วยเวลาไม่ถึงสิบปี ต้าหลีก็รวบรวมภิกษุสมณศักดิ์สูงหลายสิบคนให้มาร่วมกันแปลคัมภีร์แปดสิบกว่าบทแล้ว ในดินแดนพุทธะสุขาวดี ภิกษุที่ได้รับสถานะตรีปิฏกาจารย์ ก็คือพระพุทธะ ทุกรูปล้วนเชี่ยวชาญด้านคัมภีร์ กฎหมาย ทฤษฎี เป็นเหตุให้ภิกษุที่เข้าร่วมการอภิปรายของสามลัทธิล้วนเป็นภิกษุสมณศักดิ์สูงที่ได้ครอบครองสถานะตรีปิฏกาจารย์ด้วย
เพียงแค่ป้ายหินที่ไม่สะดุดตาป้ายนี้ หากไปอยู่ในสายตาของคนมีใจที่เชี่ยวชาญกฎเกณฑ์ในวงการขุนนางก็จะมีความหมายลึกล้ำมากเป็นพิเศษ
หนิงเหยาถามชวนคุยว่า “ต้าหลีคิดจะประคับประคองสายลัทธิพุทธและระบบลัทธิเต๋าที่เป็นของราชสำนักตัวเองขึ้นมาหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ภายในเป็นเช่นนี้ แต่ในนามกลับไม่ค่อยชัดเจนมากนัก ดังนั้นนักพรตและภิกษุของหน่วยจงซวีและหน่วยแปลคัมภีร์ในเมืองหลวงต่างก็ไม่ได้รับเงินเดือนจากราชสำนัก เพราะเป็นเพียงตำแหน่งว่างเปล่า ระดับขั้นในวงการขุนนางจึงไม่สูง เต้าเจิ้งของหนึ่งมณฑลก็เป็นแค่ระดับห้าชั้นโท หากจะพูดถึงตำแหน่งขุนนางย่อมเทียบกับเซวี๋ยเจิ้ง (ผู้ที่ตรวจสอบดูแลเรื่องการศึกษา) ของแต่ละมณฑลไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าหากอิงตามกฎหมายของต้าหลี เต้าเจิ้ง เซิงเจิ้งในพื้นที่ต่างก็ไม่ถือว่าเป็นขุนนางน้ำใสด้วยซ้ำ”
——