กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 830.2 คนเก่าเรื่องเก่าที่ระเบียงบ้านเกิด
มนุษย์ถือกำเนิด ดวงตะวันลอยขึ้น ขึ้นเขาช้า ลงเขาเร็ว เมื่อเข้าไปในกลุ่มยอดเขาสูงชัน เพิ่งปีนข้ามภูเขาลูกหนึ่ง ภูเขาอีกลูกก็ปรากฏขวางทาง
ทุกคนที่เกิดมาก็มองโลกในแง่ดี ล้วนเป็นราชาในโลกที่เป็นอัตวิสัย
ถ้าเช่นนั้นคนที่เกิดมาก็มองโลกในแง่ร้ายก็ยิ่งจำเป็นต้องสร้างบ้านเรือน สร้างศาลาท่าเรือไว้บดบังลมฝน ไว้หยุดเท้าพักผ่อนในฟ้าดินเล็กบนสภาพจิตใจ
หนิงเหยาหันหน้ามาถาม “ได้ยินหมี่ลี่น้อยเล่าว่า พี่สาวอย่างหยวนเป่าชอบเฉาฉิงหล่าง น้องชายอย่างหยวนไหลก็ชอบเฉินยวนจี”
คาดว่าหมี่ลี่น้อยน่าจะเป็นคนคาบข่าวตัวใหญ่ที่สุดบนภูเขาลั่วพั่วแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีข่าวเล็กๆ ข่าวใดที่นางไม่รู้ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่ทุกวันจะต้องออกลาดตระเวนภูเขาตรงเวลา
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างกระจ่างแจ้ง “มิน่าเล่าเวลาที่หยวนเป่าพูดคุยอยู่บนภูเขาถึงได้ปากคมกริบ คำพูดคำจาคาดคั้นคนอื่น เกินครึ่งคงจะอาศัยสิ่งนี้มาดึงดูดความสนใจจากเฉาฉิงหล่าง หยวนไหลชอบอ่านหนังสือเฝ้าประตูอยู่ตรงตีนเขา ข้าก็ว่าแล้ว ในเมื่อไม่ได้ชอบหนังสือนิยายรักประโลมโลกพวกนั้นของเจิ้งต้าเฟิง แล้วจะทำอย่างนั้นไปไย ที่แท้ก็เพื่อไปเฝ้ามองสตรีที่รักนี่เอง เจ้าตัวดี อายุไม่มากแต่กลับฉลาดก่อนวัย เก่งกว่าเจ้าขุนเขาอย่างข้าเยอะเลย”
หนิงเหยาถาม “วันหน้าเจ้าจะยังจับตามองภูเขาตะวันเที่ยงต่อไปหรือไม่? หกสิบปี หนึ่งร้อยปี?”
เฉินผิงอันอดไม่ไหวหัวเราะพลางส่ายหน้า “อันที่จริงไม่ต้องให้ข้าคอยจับตามองหรอก”
นี่คือหลักการเดียวกับหลี่กระดอนน้ำของหอเซียนจิ่วเจินแห่งแผ่นดินกลางและเค่อชิงอันดับหนึ่งของสำนักใหญ่แห่งอุตรกุรุทวีปคนนั้น โดนซ้อมแล้วรู้จักหลาบจำ
ก็เหมือนว่าเคยมีแขกชั่วร้ายมาเยือนถึงบ้าน ก่อนจะจากไปยังจงใจทิ้งรองเท้าคู่หนึ่งไว้ในบ้านของคนอื่น อันที่จริงพวกแขกล้วนไม่สนใจว่าจะต้องเอากลับไปหรือไม่ แต่เจ้าบ้านกลับไม่คิดเช่นนี้
หนิงเหยาลุกขึ้นนั่ง เฉินผิงอันรินน้ำชาส่งมาให้ นางรับถ้วยมาดื่มชาหนึ่งอึก ถามว่า “ภูเขาลั่วพั่วจะปิดประตูผนึกภูเขาเท่านั้นหรือ? ไม่อาจเอาอย่างช่างหร่วนของสำนักกระบี่หลงเฉวียน รับตัวคนมาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเข้าทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ต่อให้ดูแลคนที่เพิ่มขึ้นมาหลายสิบคนหรืออาจถึงขั้นร้อยกว่าคนได้ไหว แต่กลับถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจควบคุมใจคนได้ ข้าไม่เป็นห่วงพวกจูเหลี่ยน ฉางมิ่ง แต่ที่เป็นห่วงคือพวกเด็กๆ อย่างหน่วนซู่ หมี่ลี่น้อยและเฉินหลิงจวิน รวมไปถึงพวกคนหนุ่มสาวอย่างเฉินยวนจี เจี่ยงชวี่ จิ่วเอ๋อร์ พอคนบนภูเขามีมากเข้า จิตใจคนก็ซับซ้อน อย่างมากสุดก็แค่ครึกครื้นชั่วครั้งชั่วคราว หากไม่ทันระวังก็จะกลายเป็นความไม่สนุกแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วก็ยังไม่ขาดคน ทางฝั่งของสำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป พวกหมี่อวี้กลับสามารถรับลูกศิษย์มาเพิ่มได้”
ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ไม่ใช่เจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยง เจิ้งจวีจงสามารถมองจุดที่เล็กละเอียดของใจคนทั่วทั้งนครจักรพรรดิขาวได้อย่างถ้วนทั่ว อู๋ซวงเจี้ยงสามารถถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับผู้ฝึกตนทุกคนในตำหนักสุ้ยฉูได้
เฉินผิงอันหรือจะมีความสามารถเช่นนี้
ไม่เพียงแค่ว่าเปรียบเทียบกับผู้ฝึกตนใหญ่สองคนนี้แล้วมีความต่างทางขอบเขตเท่านั้น ที่มากกว่านั้นยังเป็นสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน เมื่อเทียบกับเจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยงแล้วยังด้อยกว่าไม่น้อย
ตัวอ่อนผู้ฝึกตนที่เวลานี้กรูกันไปยังอาณาเขตของหลงโจวเพื่อตามหาโชควาสนาเซียน ไม่กล้าพูดว่าทั้งหมด พูดแค่เกินครึ่ง ต้องเป็นพวกที่มุ่งไปเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์แน่นอน ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนเซียนไม่ใช่เรื่องง่าย อยากแสวงหามรรคาทำตามความปรารถนาในใจให้สำเร็จย่อมไม่มีปัญหาใดๆ แต่เรื่องที่เฉินผิงอันกังวล แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่เหมือนกับเจ้าขุนเขา เจ้าสำนักทั่วไป ยกตัวอย่างเช่นบางทีถึงท้ายที่สุด เมล็ดแตงของหมี่ลี่น้อยแบ่งอย่างไรก็ล้วนจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ทำให้ใจคนไม่นิ่ง เกิดเป็นคลื่นใต้น้ำบนภูเขาลั่วพั่ว สุดท้ายคนที่เสียใจก็คือหมี่ลี่น้อย ถึงขั้นที่ว่าอาจทำให้แม่นางน้อยยากที่จะแบ่งเมล็ดแตงได้อย่างเบิกบานใจอีกชั่วชีวิต ความใกล้ชิดและความห่างเหินมีความต่าง อย่างไรก็ต้องปกป้องจุดที่ทำให้จิตใจของข้าสงบซึ่งหาได้ยากยิ่งบนภูเขาลั่วพั่วเอาไว้ก่อน ถึงจะสามารถไปสนใจวาสนาและการฝึกตนของคนอื่นได้
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยว่า “ตอนที่ข้ารู้สึกว่าวัตถุวิเศษบนภูเขาชิ้นหนึ่งไม่มีค่ามากขนาดนั้น ก็จำเป็นต้องทบทวนตัวเองให้ดีและเตือนตัวเองให้มาก”
หนิงเหยามองเขา ไม่หาเงินก็นับเงิน นับเงินเสร็จแล้วค่อยหาเงินใหม่ ตั้งแต่เด็กมาก็หลงใหลในเงินทองจนทำให้หนิงเหยาได้เปิดโลกกว้าง จนถึงทุกวันนี้หนิงเหยาก็ยังจำได้ดีว่าคืนวันนั้น เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานสะพายตะกร้าใบใหญ่ไปเก็บก้อนหินในลำคลองหลงซวี
เฉินผิงอันเอ่ยเยาะเย้ยตัวเอง “ตอนเด็กยากจนจนกลัว”
หนิงเหยาส่ายหน้า นางรู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้เลย ชอบในเงินทองก็ส่วนชอบในเงินทอง แต่ขอแค่ตัวเฉินผิงอันเองสามารถกินอิ่มสวมใส่เสื้อผ้าอบอุ่น เขาก็คือคนที่ไม่ได้ต้องการ ‘ของนอกกาย’ มากนัก
เฉินผิงอันพลันลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าต้องไปพบขุนนางใหญ่กรมพิธีการที่ตรอกนั่นสักหน่อย บางทีหลังจากนี้ข้าอาจไปดูหนังสือที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นด้วย ไม่ต้องรอข้า เจ้ารีบพักผ่อนเถอะ”
หนิงเหยาไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว หดย่อพื้นที่ไปจากโรงเตี๊ยมอย่างเงียบเชียบ ไปโผล่ในตรอกเงียบสงบแห่งหนึ่งที่ไม่มีแสงไฟ
หนิงเหยากลับไปนอนฟุบบนโต๊ะอีกครั้ง ขมวดคิ้วน้อยๆ เป็นเจ้าที่จะไปดูหนังสือเอง ข้าไม่ได้พูดอะไรเลยนะ เจ้าจะเอาอย่างไรอีก
ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินฝีเท้าเร่งร้อนออกมาจากวังหลวง หลังจากขึ้นรถม้าคันหนึ่ง เสียงล้อรถบดถนนก็ดังไปตลอดทาง เดิมทีจะไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าพอเข้าใกล้จุดหมาย รถม้ากลับเปลี่ยนเส้นทางเล็กน้อย สารถีที่รับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของต้าหลีบอกว่าจะไปที่เรือนพักของราชครูชุยฉาน เฉินผิงอันไปรออยู่ที่นั่นแล้ว
ก่อนหน้านี้ตรงมุมตรอกที่เฉินผิงอันถูกขวางเอาไว้ ห่างกันเพียงเส้นบางๆ กั้นขวาง ในตรอกเล็กที่มองดูเหมือนมืดสลัว แท้จริงแล้วกลับเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่ง คือลานกว้างหยกขาวขนาดสามไร่ ถูกขนานนามให้เป็นสถานประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอยบนภูเขา เซียนดินสามารถเอาเก็บมาใส่ไว้ในช่องโพรงลมปราณ หลังเอาออกมาก็เอามาตั้งวางไว้ เป็นสมบัติหนักบนภูเขาที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครองเหมือนกับวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่น ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดกำลังนั่งเข้าฌาน ผู้ฝึกตนมีใครบ้างที่ไม่นึกอยากให้สิบสองชั่วยามของหนึ่งวันเปลี่ยนเป็นยี่สิบสี่ชั่วยาม? (หนึ่งชั่วยามสมัยโบราณคือสองชั่วโมง ยี่สิบสี่ชั่วยามจึงเท่ากับสี่สิบแปดชั่วโมง) ทว่าผู้ฝึกตนหนุ่มขอบเขตประตูมังกรคนนั้น คืนนี้กลับฝึกหมัดเดินนิ่ง ระหว่างที่ปล่อยหมัดก็ส่งเสียงฮื่อฮ่าออกมาด้วย ในสายตาของเฉินผิงอัน กระบวนท่านั้นช่างสมกับเป็นนักสู้ในยุทธภพจริงๆ บาดตายิ่งนัก พอๆ กับวิชากระบี่มารคลั่งที่เผยเฉียนคิดค้นในปีนั้น
ผู้ฝึกตนเฒ่ายังคงไม่อาจสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของแขกไม่ได้รับเชิญบางคนที่ขยับเข้ามาใกล้ หลังจากโคจรลมปราณครบรอบเล็กแล้วก็รู้สึกรำคาญเสียงเอะอะของลูกศิษย์ จึงได้แต่ลืมตาขึ้นมาตวาดดุ “ตวนหมิง จงรู้จักทะนุถนอมช่วงเวลาในการฝึกตนให้ดี อย่าได้สิ้นเปลืองเวลากับเรื่องพวกนี้ หากเจ้ายินดีจะเรียนวิชาหมัดจริงๆ ก็รบกวนช่วยไปหาอาจารย์มาสอน ถึงอย่างไรบ้านเจ้าก็ไม่ขาดเงินอยู่แล้ว ต่อให้จะไม่มีคุณสมบัติในการเรียนวรยุทธแค่ไหน หาผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลสักคนให้แข็งใจสอนวิชาหมัดแก่เจ้าก็ไม่ใช่เรื่องยาก อย่างไรก็ดีกว่าให้เจ้าคอยปล่อยหมัดหวังปาทิ่มแทงตาของข้าผู้อาวุโสอยู่ทุกวัน”
เด็กหนุ่มแซ่จ้าว นามว่าตวนหมิง ปฏิบัติตนถูกต้องเที่ยงตรง จิตแห่งมรรคาสว่างไสว ช่างเป็นชื่อที่ความหมายดียิ่งนัก น่าเสียดายเสียงพ้องของชื่อช่างน่าอาย เด็กหนุ่มรู้สึกมาโดยตลอดว่าหากตนแซ่หลี่ก็คงดี หากคนอื่นเอาชื่อตนไปล้ออีกก็ง่ายเลย แค่บอกชื่อออกไปก็จะสามารถกอบกู้ชื่อเสียงกลับคืนมาได้แล้ว
เด็กหนุ่มมีชาติกำเนิดจากตระกูลชั้นสูงอันดับหนึ่งของต้าหลี สกุลจ้าวแห่งเทียนสุ่ย หนึ่งในแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้นแห่งต้าหลี อีกทั้งจ้าวตวนหมิงยังเป็นบุตรชายที่เกิดจากเรือนหลักของภรรยาเอกด้วย
ในบรรดาแซ่ของเสาค้ำยันแคว้นทั้งหมดของต้าหลี หยวน เฉา กวน คืออันดับหนึ่ง จากนั้นก็เป็นตระกูลอวี๋และตระกูลจ้าวแห่งเทียนสุ่ย ตามมาด้วยสกุลชิวแห่งฝูเฟิง สกุลหม่าแห่งโผหยาง สกุลเยี่ยนแห่งจื่อจ้าว ความต่างล้วนมีไม่มาก
จ้าวหมิงตวนปล่อยหมัดพลางถามไปด้วยว่า “อาจารย์ ท่านว่าโจวไห่จิ้งผู้นั้นอายุเท่าไร? อายุห้าสิบหกแล้วจริงหรือ มองแล้วไม่เหมือนเลยนะ ก่อนหน้านี้เห็นนางไกลๆ จุ๊ๆๆ ช่างดูแลตัวเองได้ดียิ่งนัก ข้ากับเจ้าผีขี้เหล้าเฉาต่างก็ชอบนางมาก ข้ากับผีขี้เหล้าเฉานัดหมายกันเรียบร้อยแล้วว่าวันหน้าหากโจวไห่จิ้งต่อยตีกับคนอื่นที่ศาลเทพอัคคี เขาจะต้องช่วยข้าหาตำแหน่งดีๆ ให้ข้าได้ไปชมอยู่ใกล้ๆ ผู้ฝึกยุทธถามหมัด หากสตรีสสวมชุดเดินทางยามค่ำคืนด้วยล่ะก็ หึหึ”
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “วันหน้าเจ้าไปคลุกคลีกับเจ้าบ้ากามเฉาให้น้อยๆ หน่อย ปรมาจารย์ใหญ่ด้านวรยุทธอย่างโจวไห่จิ้ง วิชาหมัดเข้าขั้นสุดยอดแล้วถึงสามารถคงความงามเอาไว้ได้ ลำพังแค่ดูจากรูปโฉมก็ไม่อาจแยกแยะอายุที่แท้จริง พอๆ กับผู้ฝึกลมปราณอย่างพวกเรา อีกอย่างจำไว้นะว่า ข้าจะไม่ขวางไม่ให้เจ้าไปชมการต่อสู้ แต่จะต้องควบคุมดวงตาของตัวเองให้ดี ได้ยินมาว่านิสัยของโจวไห่จิ้งแย่มาก ไม่ได้พูดง่ายอย่างเจิ้งเฉียนเลยสักนิด”
เด็กหนุ่มเก็บหมัดยืนนิ่ง แสยะปากยิ้มเอ่ยว่า “อายุไม่ใช่ปัญหา สตรีอายุมากกว่าสามปีได้กอดอิฐทองกลับบ้าน อาจารย์ท่านลองคำนวณดูสิว่าข้าสามารถกอดอิฐทองได้กี่ก้อน?”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “ด้วยฝีมือการคำนวณของเจ้า ยังสามารถฝึกตนได้ ก็ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี”
ลูกศิษย์คนนี้ดวงแข็งอย่างแท้จริง ก่อนที่จะฝึกตน ตอนเป็นเด็กอยู่ดีๆ ก็ถูกฟ้าผ่าสามครั้ง แต่กลับยังไม่ตาย
จ้าวตวนหมิงลูบคลึงปลายคาง “เป็นสี่ปรมาจารย์ใหญ่ด้านวรยุทธที่ผ่านการประเมินเหมือนกัน ชื่อของโจวไห่จิ้งอยู่รั้งท้าย แต่ไม่ว่าจะรูปร่างหรือหน้าตาก็ล้วนงามกว่าเจิ้งเฉียนผู้นั้น”
เฉินผิงอันซ่อนตัวยืนอยู่บนหัวกำแพงที่ห่างไปไม่ไกล เดิมทีความสนใจส่วนใหญ่อยู่ที่รถม้าคันนั้นมากกว่า แต่ก็ถือโอกาสจดจำคำพูดประโยคนี้ของเด็กหนุ่มเอาไว้ด้วย
ส่วนบนหลังคาของหอเรือนสูงอย่างหอเทียนลู่ ผู้ฝึกตนเหล่านั้นยังคงยืนอยู่ที่เดิม เฉินผิงอันจึงเหลือบมองหลายครั้งหน่อย
ทุกคนต่างห้อยป้ายแผ่นหนึ่งไว้ที่เอว แต่กลับไม่ใช่ป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ที่ว่าการกรมอาญาเป็นผู้แจกจ่ายให้ แกะสลักตัวอักษรแค่ตัวเดียว ล้วนเป็นตัวอักษรที่เลือกมาจากสิบสองแผนภูมิดิน
ดูจากท่าทางแล้ว ในบรรดาคนหกคนนี้จะมีคนของลัทธิขงจื๊อ พุทธ เต๋าอยู่อย่างละคน ผู้ฝึกกระบี่หนึ่งคน ผู้ฝึกตนสายยันต์หนึ่งคน ผู้ฝึกตนสำนักการทหารหนึ่งคน
อีกทั้งต่างก็มีเงินกันอย่างมาก ไม่พูดถึงเสื้อผ้าที่อยู่ด้านนอกสุด ด้านในของทุกคนล้วนสวมใส่เสื้อเกราะจิงเหว่ยที่ระดับขั้นสูงที่สุดในบรรดาเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหาร จากนั้นจึงสวมชุดคลุมอาคมไว้ข้างนอกอีกหนึ่งชิ้น ราวกับว่าอาจต้องเปิดฉากเข่นฆ่ากับคนอื่นได้ทุกเมื่อ
เวลานี้ดูเหมือนจะมีคนเริ่มตั้งตัวเป็นเจ้ามือแล้ว
หญิงสาวคนหนึ่งที่นอกจากจะสวมเสื้อเกราะและชุดคลุมอาคมแล้ว ยังสวมชุดอวิ๋นจิ่นคอกลมที่ผลิตมาจากหน่วยเจี้ยนคังจิ่น นางแบมือออก ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นเจ้ามือแล้ว เป็นเจ้ามือ เดิมพันว่าเซียนกระบี่เฉินผู้นั้นคืนนี้ไม่ไปที่วังหลวง จ่ายหนึ่งต่อหนึ่ง”
อีกห้าคนที่เหลือต่างพากันโยนเงินเทพเซียนออกมา เงินร้อนน้อยมากที่สุด เงินฝนธัญพืชสองเหรียญ แล้วก็มีคนที่ให้เงินเกล็ดหิมะแค่เหรียญเดียว คือผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มีลักษณะเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง สวมเสื้อคลุมผ้าโปร่งลายดอกถักด้วยขนนกสีทอง แสงจันทร์เย็นตา ผืนผ้าส่องประกายแวววาวราวน้ำไหล
หญิงสาวคนนั้นหยิบเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นออกมาแล้วถามอย่างสงสัยว่า “แค่นี้เองหรือ?”
แม่นางน้อยยกสองแขนกอดอก เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “วันนี้กูไหน่ไนไม่มีเงินแล้วจริงๆ”
นักพรตหนุ่มนั่งขัดสมาธิ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “หลายปีมานี้เก็บสะสมเงินสินเดิมไว้มากขนาดนั้น เอาออกมาสิ เดิมพันมากก็ได้มาก”
ภิกษุน้อยที่หน้าตาหมดจด สวมเสื้อคลุมทอสีเรียบ สองมือพนม “พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองให้วันนี้ดวงในการเดิมพันของศิษย์ดีต่อไป”
มีเพียงผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เงียบขรึม โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกไปแล้วก็เอนตัวนอนหลับตาทำสมาธิบำรุงกระบี่บินต่อไปอีกครั้ง
ผู้ฝึกตนหกคนนี้ มีทั้งคนที่มาจากแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้น แล้วก็มีคนที่พ่อแม่เป็นคู่รักบนภูเขา ยิ่งมีคนที่ชาติกำเนิดยากจนมาจากหมู่ชาวบ้าน ล้วนเป็นคนที่หน่วยจานกานกรมอาญาของต้าหลีตั้งใจค้นหามา คนที่อายุมากที่สุดก็แค่เก้าสิบปี อายุน้อยที่สุดเพิ่งจะสิบกว่าขวบ นอกจากพวกเขาแล้วมีคนรวมทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน สิบสองแผนภูมิดินทุกวันนี้มีเพียงตำแหน่งเดียวที่ว่างเปล่า ขาดผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไปคนหนึ่ง พวกเขาไม่มีผู้ถ่ายทอดมรรคาที่แน่นอน ไม่มีสถานะทำเนียบศาลบรรพจาร์อย่างเป็นทางการ แต่คนที่สอนหมัดให้ ในบรรดาปรมาจารย์ใหญ่หลายคน คนหนึ่งในนั้นก็มีซ่งจ่างจิ้ง เพียงแต่ว่าชี้แนะไม่มาก แค่สองสามครั้งเท่านั้น นอกจากนี้ก็ยังมีจอมยุทธพเนจรสำนักโม่ มือกระบี่สวี่รั่ว คนที่ช่วยถ่ายทอดศาสตร์การมองลมปราณให้กับพวกเขาคืออดีตซานจวินขุนเขาเก่าหลายท่านของต้าหลี นอกจากนี้ยังมียอดฝีมืออีกหลายคนที่อำพรางตัวตน ระบบสืบทอดไม่แน่ชัด ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่กรมพิธีการและกรมอาญาก็ยังไม่อาจควบคุมพวกเขาได้
คนหกคนที่อยู่ตรงนี้ ทุกคนล้วนมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุ ได้ครอบครองดินห้าสีของห้าขุนเขาใหม่แห่งแจกันสมบัติทวีป โชคชะตาน้ำของลำน้ำใหญ่ฉีตู้ เงินเหรียญทองแดงแก่นทองที่ต้องใช้จำนวนมหาศาล รวมไปถึงต้นไหวและไฟในน้ำชนิดหนึ่ง
ทุกคนล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนระดับสูงสุดของแจกันสมบัติทวีป นอกจากไม่กี่คนที่อายุน้อยที่สุดแล้ว ผู้ฝึกตนที่เหลือล้วนเคยเข้าร่วมสงครามใหญ่ครั้งนั้นและเคยลอบฆ่ากระโจมทัพของเปลี่ยวร้างอยู่หลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่นนักพรตหนุ่มที่อายุเก้าสิบกว่าปีคนนั้น ตอนที่อยู่บนสนามรบของลำน้ำใหญ่ก็ ‘เคยตาย’ ไปแล้วสองครั้ง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้อาศัยรากฐานมหามรรคาที่ไม่ธรรมดา ถึงขั้นที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้ต้าหลีช่วยจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิต เขาก็แค่ต้องเปลี่ยนเนื้อหนังมังสา ไม่จำเป็นต้องขอบเขตถดถอยก็สามารถฝึกตนต่อไปได้
เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากหัวกำแพง มาโผล่ตรงมุมตรอก ไม่ปิดบังลมปราณอีกต่อไป รอคอยการมาถึงของรองเจ้ากรมพิธีการคนนั้นอย่างเงียบเชียบ อันที่จริงเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว คือต่งหูรองเจ้ากรมผู้เฒ่า
ก่อกำเนิดผู้เฒ่าเก็บลานประกอบพิธีกรรมแห่งนั้นมา ยืนอยู่ตรงปากตรอกพร้อมกับลูกศิษย์จ้าวตวนหมิง ผู้เฒ่าขมวดคิ้วเอ่ย “มาอีกแล้วหรือ?”
สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ที่สามารถมาเดินเล่นได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ? คนหนุ่มของทุกวันนี้เหตุใดถึงไม่เชื่อฟังกันบ้างเลย จะต้องรอให้ตัวเองเจอกับความยากลำบากเสียก่อนถึงจะรู้จักหลาบจำอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “รบกวนการฝึกตนของเซียนซือผู้เฒ่าแล้ว ข้ามารอคนอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าพูดคุยเสร็จแล้วก็จะสามารถกลับเรือนไปอ่านตำราได้แล้ว”
ผู้ฝึกตนส่ายหน้า คร้านจะพูดอะไรให้มากความ อย่างมากสุดหากกลับไปแล้วทางที่ว่าการของกรมอาญาถามถึง ก็บอกว่าเป็นพวกคนในยุทธภพที่ตาไม่มีแวว ไม่ต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
ผู้เฒ่าพลันหยุดยืนนิ่ง หันหน้าไปมอง เห็นเพียงว่าพอรถม้าคันนั้นจอดลงก็มีรองเจ้ากรมต่งจากกรมพิธีการเดินลงมา
เฉินผิงอันเป็นฝ่ายประสานมือคารวะก่อน “คารวะอาจารย์ผู้เฒ่าต่ง”
ต่งหูรีบยื่นมือออกไปทำท่าประคองแขนของเจ้าขุนเขาหนุ่ม “เจ้าขุนเขาเฉิน อย่าทำแบบนี้ อย่าทำแบบนี้”
รองเจ้ากรมผู้เฒ่าคลี่ยิ้มแล้วก็แข็งใจเอ่ยว่า “ขอถามเจ้าขุนเขาเฉิน ท่านมาเยือนเมืองหลวงเพราะต้องการสิ่งใด?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “แล้วฝ่าบาทมีพระประสงค์อย่างไรเล่า?”
ต่งหูถามอย่างระมัดระวังว่า “นี่ก็ต้องดูที่ความต้องการของเจ้าขุนเขาเฉินแล้ว”
ห่างไปไกลบนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง มีสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่งที่ใช้สองนิ้วหิ้วกาเหล้าปรากฏตัว หญิงสาวที่เพิ่งตั้งตัวเป็นเจ้ามือเก็บเงินผู้อื่นคลี่ยิ้มหวานเอ่ยเรียก “เฟิงอี๋”
น้ำเสียงของสตรีนุ่มนวลตามธรรมชาติ นางยิ้มเอ่ยว่า “พวกเจ้าใจกล้าไม่น้อย ถึงกับเล่นพนันกันใต้เปลือกตาของคนอื่นเขา”
หญิงสาวถามอย่างตกตะลึง “เฟิงอี๋ เขาสังเกตเห็นพวกเรานานแล้วหรือ?”
ทางตรอกเล็กแห่งนี้ พอเฉินผิงอันได้ยินคำเรียกว่า ‘เฟิงอี๋’ ก็ถึงกับเอ่ยขออภัยรองเจ้ากรมผู้เฒ่า บอกว่าเขาไปแปบเดียวเดี๋ยวกลับมา แล้วร่างก็พลันเปล่งวูบหายไป ตรงดิ่งไปที่หลังคาเรือน
คนชุดเขียวพลิ้วกายมาปรากฏตัว ยืนอยู่บนชายคาที่ตวัดงอน
คืนที่อายุสิบสี่ปี ตอนนั้นสะพานแบบคานที่สร้างทับสะพานหินโค้งยังไม่ถูกราชสำนักต้าหลีรื้อทิ้ง เฉินผิงอันกับอาจารย์ฉีเดินไปด้วยกันบนสะพาน ก่อนจะเดินไป ตอนนั้นนอกจากเสียงของผู้เฒ่าที่อยู่ในเรือนด้านหลังร้านยาตระกูลหยางแล้วเขายังได้ยินเสียงของคนอื่นด้วย
สตรีหันมามองเฉินผิงอัน ยิ้มถาม “มีธุระหรือ?”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง “ตอนเป็นเด็กหนุ่มไม่รู้ประสา แค่เคยได้ยินเสียงแต่ไม่เคยเห็นหน้า คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของผู้อาวุโสที่นี่”
——