กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 831.4 ฝึกฝน
คนหนุ่มยกหลังมือขึ้นเช็ดหัวตา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น พูดเสียงสั่นว่า “อาจารย์ ต่อให้เดือนหนึ่งดื่มแค่ครั้งเดียว ข้าก็รับไม่ไหวหรอกนะ เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดเสียที?”
ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “รอให้เจ้าเป็นขุนนางใหญ่แล้ว ถึงคราวที่เจ้าต้องเลี้ยงเหล้าคนอื่นก็สามารถดื่มน้อยลงได้แล้ว หากอารมณ์ดี แล้วสุราก็ดีด้วย จะดื่มให้มากหน่อยก็ได้”
คนหนุ่มหันหน้าไปอาเจียนแห้งๆ ไม่หยุด ก่อนจะวักน้ำในลำคลองขึ้นมา ก้มหน้าบ้วนปาก แล้วนั่งลงบนพื้น อาเจียนจนอาเจียนไม่ออกแล้ว ในที่สุดก็รู้สึกดีขึ้นได้บ้าง
ผู้เฒ่านั่งลงบนขั้นบันไดด้านข้าง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คนพูดกันว่าสวรรค์ไม่ขัดขวางคนที่แสวงหาหนทางร่ำรวย แต่มักจะขัดขวางไม่ให้คนอยู่เฉยสุขสบาย ในวงการขุนนาง แน่นอนว่ามีแต่จะยิ่งไม่ว่าง ชินไปแล้วก็ดีเอง แต่ว่ามีอยู่ประโยคหนึ่ง เป็นอาจารย์คุมสอบเคอจวี่ของข้าที่เคยพูดกับข้า ก็เป็นคำพูดหลังจากงานเลี้ยงสุราผ่านพ้นไปเหมือนวันนี้เช่นกัน ท่านผู้อาวุโสบอกว่า ต่อให้อ่านตำราอีกมากแค่ไหน หากยังไม่รู้จักใกล้ชิดผู้คน ไม่รู้จักสังเกตสถานการณ์รอบด้าน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเป็นขุนนางเลย เพราะปัญญาชนไม่ควรถูกเวลาในการอ่านตำราเบียดบัง และควรอาศัยการอ่านตำรามาทำความเข้าใจกับโลกใบนี้”
พูดมาถึงตรงนี้ก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ดังนั้นเจ้าหนูเจ้าต้องคืนเงินด้วย”
คนหนุ่มที่เดิมทีก็หน้าแดงก่ำอยู่แล้วยิ่งรู้สึกอับอายขายหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ เงินค่าเหล้าคงได้แต่ต้องติดไว้ก่อนแล้ว”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “ไม่ต้องรีบร้อน รอให้มีเงินก่อนค่อยใช้คืน ร่างกายเจ้ายังแข็งแรงดี เงินเดือนน้อยนิดแค่นั้นของเจ้าก็เก็บไว้ก่อนเถอะ เก็บเอาไว้เป็นเงินแต่งภรรยา พักอาศัยอยู่ในเมืองหลวงไม่ใช่เรื่องง่าย หากคิดจะแต่งสาวงามในพื้นที่มาเป็นภรรยาก็ยิ่งต้องใช้เงิน”
เห็นว่าคนหนุ่มยังมีสีหน้าลำบากใจโดยไม่จำเป็น ผู้เฒ่าก็ยิ้มเอ่ยว่า “วิญญูชนก่อร่างสร้างตัว ความยากจนไม่ใช่เรื่องน่าอาย”
ขุนนางหนุ่มลุกขึ้นยืนโงนเงน ประสานมือคารวะ เอ่ยขอบคุณผู้เฒ่าอย่างไร้เสียง
ความน้อยเนื้อต่ำใจก่อนหน้านี้ยังหลงเหลืออยู่ เพียงแต่ว่าไม่ได้มากมายขนาดนั้นอีกแล้ว
ผู้เฒ่ากับคนหนุ่มเดินไปบนถนนด้วยกัน ดึกมากแล้ว แต่ก็ยังคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
งานเลี้ยงสุราอีกงานหนึ่งก็สิ้นสุดลงแล้วเช่นกัน
บุรุษยิ้มถามว่า “เป็นอย่างไร?”
เทพธิดาทั้งสองคนต่างก็ยิ้มเอียงอาย เป็นพวกนางที่เข้าใจผู้อาวุโสในสำนักคนนี้ผิดไปจริงๆ แต่จะโทษว่าพวกนางคิดมากก็ไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่พูดถึงแค่เรื่องที่มานั่งดื่มสุราเป็นเพื่อนบุรุษ หากแพร่ออกไปก็ไม่ได้น่าฟังสักเท่าไร
บัณฑิตที่เป็นหยวนไหว้หลางของกรมอาญาคนนั้นเป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงอย่างแท้จริง เรื่องที่คุยในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องขนบธรรมเนียมของบ้านเกิด แน่นอนว่าก็มีคำพูดตามมารยาทในวงการขุนนางด้วย ยกตัวอย่างเช่นหวังว่าพรรคที่พวกนางอยู่ พวกเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลจะลงจากภูเขากันมาบ่อยๆ นอกจากจะหาประสบการณ์ในโลกโลกีย์แล้ว ก็จะได้สร้างความผาสุกให้กับบ้านเกิด ปกป้องคุ้มครองชาวบ้านในพื้นที่ด้วย
กลางน้ำในลำคลองมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชุดเขียวตนหนึ่งทะยานน้ำหยุดลอยตัวนิ่ง เงยหน้ามองแสงไฟในเหลาสุราบนฝั่งของลำคลองชางผูตลอดทั้งเส้น
เทพลำคลองชางผูอย่างเขา เนื่องจากช่วงของลำคลองไม่ยาว ระดับขั้นของตำแหน่งจึงไม่สูง เป็นแค่ระดับหก และนี่ยังเป็นเพราะอยู่ใต้เบื้องพระบาทของโอรสสวรรค์ด้วย ไม่อย่างนั้นแค่ดูแลน่านน้ำน้อยนิดที่ถูกเพื่อนร่วมงานล้อว่า ‘ถังน้ำไม่กี่ใบ’ นี้ หากเอาไปไว้ในท้องถิ่น คิดจะชิงตำแหน่งพ่อปู่ลำคลองที่ระดับขุนนางอยู่ในช่วงปลายแถวมาครองก็ยังไม่มีหวัง
เผ่าพันธุ์น้ำในจวนตนหนึ่งที่อยู่ข้างกายรีบโบกมือขับไล่กระแสน้ำเหม็นคาวหลายขุมนั้นทิ้งไป หลีกเลี่ยงไม่ให้เปื้อนชุดขุนนางของนายท่านเทพวารีบ้านตนให้สกปรก จากนั้นก็ถูมือยิ้มเอ่ย “นายท่าน ถนนเส้นนี้ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ ทุกวันส่งเสียงอึกทึกจอแจตั้งแต่เช้าจรดค่ำเช่นนี้ หากเป็นข้า ข้าคงทนไม่ไหวแล้ว ยังคงเป็นนายท่านที่ใจกว้าง ในท้องของอัครเสนาบดีสามารถถ่อเรือได้จริงๆ หากนายท่านไปเป็นขุนนางในราชสำนักจะไม่ยิ่งร้ายกาจมากกว่านี้หรือ อย่างน้อยเริ่มต้นก็ต้องได้เป็นขุนนางหลักของกรมแห่งหนึ่ง”
เทพลำคลองหัวเราะหึหึ “คงไม่ใช่ว่าไปขอเหล้าคนอื่นดื่มมาเยอะ เมาแล้วก็เลยพูดจาเหลวไหลหรอกกระมัง?”
เฝ้าอยู่ที่นี่มานานหลายร้อยปี ถึงอย่างไรนับตั้งแต่วันแรกที่ต้าหลีก่อตั้งแคว้นก็เป็นเทพวารีของลำคลองชางผูเส้นนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงแทบจะเคยเห็นจักรพรรดิ อัครเสนาบดี ขุนนางบุ๋นบู๊แทบทุกคนของต้าหลีมาหมดแล้ว มีทั้งพวกคนที่กำเริบเสิบสาน ใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ละโมบถึงขีดสุด มีทั้งพวกแม่ทัพผู้กล้าที่ปกป้องดินแดน ยามเข้าเมืองหลวงก็ยิ่งต้องจับกลุ่มกันมา
คนที่ทำให้เทพลำคลองชางผูท่านนี้จดจำได้ลึกซึ้งที่สุดค่อนข้างจะประหลาดสักหน่อย ไม่ใช่ว่าใครสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไร หรือใครเป็นโจรขบถขุนนางชั่วที่พยายามจะแย่งชิงบัลลังก์ อีกทั้งชื่อเสียงเกียรติยศยังเหม็นฉาวโฉ่อะไร แต่เป็นเมื่อช่วงเวลาร้อยกว่าปีล่าสุดที่ผ่านมานี้ มีพวกคนที่พกหยกประดับห้อยเอวราคาถูกที่คุณภาพย่ำแย่ ฝีมือการแกะสลักก็ยิ่งห่วยจนแทบทนมองไม่ได้ ซึ่งทำลายภาพลักษณ์ของชุดขุนนาง รองเท้าขุนนางเก่าแก่อย่างร้ายแรง
ต่อให้จนถึงทุกวันนี้ โดยเฉพาะคนของตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ ขุนนางหลายคนที่เข้าร่วมการประชุมในท้องพระโรง ทั้งชุดคลุมขุนนางและรองเท้าขุนนางต่างก็เปลี่ยนกันไปครั้งแล้วครั้งเล่า มีเพียงหยกพกเท่านั้นที่ยังคงไม่เปลี่ยน
ราวกับว่านี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรข้อหนึ่งของวงการขุนนางต้าหลี
ได้ยินว่ามีการประชุมครั้งหนึ่งที่คนซื่อบื้อคนหนึ่งซึ่งมีชาติกำเนิดจากตระกูลสูง แต่เข้ามาในวงการขุนนางทีหลัง มีวันหนึ่งได้เปลี่ยนมาใช้หยกประดับที่มีมูลค่าควรเมือง
ผลคือนายท่านผู้เฒ่ากวนช่างตาแหลมยิ่งนัก เป็นคนแรกที่สังเกตเห็น จึงเรียกพรรคพวกเรียกสหายมา พวกขุนนางสำคัญที่อยู่ใจกลางของราชสำนักกลุ่มใหญ่พากันมาล้อมวงดูเรื่องสนุกของขุนนางหนุ่มผู้นั้น แต่ละคนล้วนอิจฉายิ่งนัก บ้างถามราคา บ้างเอ่ยชมเชยว่าฝีมือแกะสลักช่างดียิ่งนัก ทำให้ขุนนางหนุ่มผู้นั้นอายจนแทบจะเอาหน้าแทรกแผ่นดินหนี
ภายหลังกลางดึก คนหนุ่มก็มาที่นี่ก่อน อาศัยสุราดับความทุกข์ พอเห็นว่ารอบด้านไร้ผู้คนจึงแผดเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ บอกว่าจิ้งจอกเฒ่าพวกนี้รวมกลุ่มกันสร้างความสะอิดสะเอียนให้คนอื่น รังแกคนอื่น ทรัพย์สินของคนเขาสะอาดบริสุทธิ์ หยกพกที่ซื้อมา ทำไมถึงจะห้อยไม่ได้
ภายหลังขุนนางกรมกลาโหมต้าหลีที่เคยเป็นหนุ่ม แล้วก็ไม่หนุ่มอีกต่อไปผู้นี้ แล้วยังเป็นขุนนางบุ๋น ได้รบตายอยู่ในสนามรบเมืองหลวงแห่งที่สองท่ามกลางศึกพิทักษ์เมืองครั้งหนึ่ง
การประชุมในท้องพระโรงครั้งหนึ่งของเมืองหลวง หลังจากสิ้นสุดการประชุม พวกผู้เฒ่าแก่หง่อมทั้งหลาย พวกคนแก่ที่เคยหัวเราะเยาะคนหนุ่มว่าซื่อบื้อ ได้จับกลุ่มกันเดินออกมา จากนั้นไปยืนกุมมืออยู่ในมุมหนึ่งนอกวังหลวง
พวกคนแก่ที่หูตาฟ้าฝาง ฟันโยกฟันหลุดกันมานานแล้วไม่ได้พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังอีกต่อไป แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร คล้ายกำลังรับฟังเสียงเหล็กเสียงหยกแตกอยู่เงียบๆ
ดังนั้นเทพลำคลองชางผูผู้นี้จึงรู้สึกจากใจจริงว่ามีเพียงเมืองหลวงต้าหลีร้อยปีนี้เท่านั้นที่ประหนึ่งเหล้าหมักซึ่งทำให้คนเมามายได้อย่างแท้จริง
ราวกับว่าคนหนุ่มแต่ละรุ่นเคยดื่มเหล้าไปมากเท่าไร ในราชสำนักบนสนามรบของต้าหลีก็จะมีความห้าวเหิมมากเท่านั้น
แสงกระบี่เล็กบางเส้นหนึ่งพุ่งวาบมาถึง
ในสถานที่ที่แสงไฟสว่างไสวแห่งนี้ แม้กระทั่งเทพเซียนก็ยังยากจะคาดเดาถึงแสงกระบี่นี้
แม้แต่เทพวารีชางผูก็ยังสัมผัสไม่ถึง
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหัวกำแพงแห่งหนึ่งที่ห่างจากตรอกเล็กมาไม่ไกล เก็บรวบแสงกระบี่ไว้ในชายแขนเสื้อ เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ใบหน้าประดับยิ้มน้อยๆ
ลุกขึ้นยืน พลิ้วกายลงบนถนนใหญ่ ไปพบกับรองเจ้ากรมผู้เฒ่าต่งหู
ในวังหลวงของต้าหลี
ฮ่องเต้ ไทเฮา นั่งหันหน้าเข้าหากันในห้องเล็กแห่งหนึ่ง ข้างกายซ่งเหอยังมีสตรีรูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่งนั่งอยู่ นางมีนามว่าอวี๋เหมี่ยน สถานะสูงศักดิ์เป็นถึงฮองเฮาต้าหลี มาจากสกุลอวี๋เสาค้ำยันแคว้น
ไม่มีขุนนางบุ๋นบู๊คนใดของต้าหลีมาร่วมปรึกษา ราวกับว่าเป็นแค่การคุยเล่นกันของคนในครอบครัวเท่านั้น
ในมือของอวี๋เหมี่ยนถือพัด ร่างโน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย เอนกายพิงโต๊ะช่วยโบกพัดพัดลมให้กับฮ่องเต้เบาๆ เนื่องจากห้องไม่ใหญ่ และคืนนี้ก็ไม่ได้เปิดหน้าต่าง ไอร้อนจึงมีอยู่ไม่น้อย
สกุลอวี๋คือสกุลที่เมื่อเทียบกับบรรดาแซ่สกุลเสาค้ำยันแคว้นทั้งหมดแล้วถือว่าอยู่ห่างไกลจากวงการขุนนางมากที่สุด ตอนนี้ในนามก็ดูแลแค่เรื่องของผ้าแพรต่วน เรื่องชาที่ผลิตจากทางการทั้งหมดในท้องถิ่นของต้าหลี
เมื่อเทียบกับ ‘แม่สามี’ ที่อยู่ข้างกายแล้ว ลูกสะใภ้สกุลซ่งอย่างอวี๋เหมี่ยนผู้นี้ชื่อเสียงไม่สมคำเล่าลือเลยจริงๆ ถึงขั้นที่ว่าในราชสำนักนางไม่มีคำเรียกขานว่า ‘เพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรม’ อะไรด้วยซ้ำ
อย่างมากสุดก็แค่เข้าร่วมงานบวงสรวง หรือไม่ก็คุยเล่นกับพวกฮูหยินตราตั้งทั้งหลายที่เข้าวังมาเท่านั้น
ซ่งเหอถามเสียงเบา “เสด็จแม่ ไม่อาจมอบเศษกระเบื้องชิ้นนั้นออกไปได้เลยหรือ?”
เรื่องในบ้านและเรื่องของแคว้นไม่อาจเอามาปะปนกัน อีกทั้งสิ่งที่สกุลซ่งต้าหลีต้องการได้มาล้วนเป็นของที่อยู่ในกระเป๋าทั้งหมดแล้ว แล้วไยต้องทำให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนเพียงแค่เพราะเรื่องเล็กเท่านี้
เก็บเอาไว้ทำไม? ไม่มีประโยชน์อะไรเลยแม้แต่น้อย
ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นที่กองโหราศาสตร์ส่งข่าวมา ได้ถือโอกาสคัดลอกภาพขุนเขาสายน้ำที่โรงเตี๊ยมกั้วอวิ๋นของภูเขาตะวันเที่ยงส่งเข้าวังมาพร้อมกันด้วย จากนั้นก็ส่งมอบมาให้เขาที่เป็นฮ่องเต้
ซ่งเหอแค่มองการกระทำของเฉินผิงอันในเวลานั้นก็รู้ทันทีว่าเรื่องนี้ต้องเป็นปัญหาที่ไม่เล็กอย่างแน่นอน
สตรีพลันเอ่ยอย่างเดือดดาล “เรื่องในบ้านของโอรสสวรรค์ไม่ใช่เรื่องของบ้านเมืองตั้งแต่เมื่อไหร่?! เป็นถึงจักรพรรดิของแคว้นหนึ่ง เป็นเจ้าเหนือหัวของปวงประชา หลักการตื้นเขินแค่นี้ก็ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าด้วยหรือ?”
นางยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมากดลงบนโต๊ะ “เขาเฉินผิงอันเป็นราษฎรของต้าหลี จากเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนในปีนั้น เจอโชคดีครั้งใหญ่ ได้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองไปสองสามถุงจึงซื้อภูเขาลั่วพั่วมาได้ ภายหลังจึงตั้งสำนักเป็นของตัวเอง หลายปีที่ผ่านมานี้ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาเคยทำสีหน้าดีๆ ให้ราชสำนักต้าหลีเห็น ในพื้นที่ของจังหวัดหลงโจว เขายังถึงขั้นจงใจไม่เห็นหัวตั้งแต่ที่ว่าการผู้ตรวจการ ไปจนถึงผู้ว่า เจ้าเมือง นายอำเภอ ล้วนไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา เคยไปมาหาสู่กันสักนิดไหม?”
“ภูเขาลั่วพั่วก่อตั้งสำนัก ถึงขั้นที่ว่าไม่อาศัยราชสำนักต้าหลีของพวกเรา ทำให้สกุลซ่งต้าหลีของพวกเราเสียหน้าไปถึงศาลบุ๋นแผ่นดินกลางโน่น! นี่ก็คือความจริงใจของเขาเฉินผิงอันอย่างนั้นหรือ?!”
“เหอะ ถึงกับดึงเอาจู๋หวงไปดื่มชาด้วยกันที่ศาลบรรพจารย์ยอดเขาอีเซี่ยน นี่เพิ่งผ่านไปแค่ไม่กี่ปีภูเขาลั่วพั่วก็กล้าบังอาจไร้มารยาทเช่นนี้แล้ว หากผ่านไปอีกสักสองสามปีก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมาดื่มชาที่นี่แล้วหรือ? ฮ่องเต้ ท่านคิดจะให้ข้าช่วยยกน้ำส่งชาให้เขาด้วยหรือไม่?”
ฮ่องเต้ได้แต่ยิ้มฝืดเฝื่อน
ส่วนฮองเฮาต้าหลีก็คอยก้มหน้าหลุบตา แสดงท่าทีอ่อนโยนอยู่ตลอดเวลา
นางวางพัดลงเบาๆ เงียบเชียบไร้เสียง หยิบส้มลูกหนึ่งออกมาจากในถาดกระเบื้อง ห้านิ้วเรียวราวกับต้นหอม นิ้วเรียวบางปอกเปลือกส้มสีเหลืองนวล จากนั้นยื่นส่งให้ฮ่องเต้เบาๆ
อันที่จริงสตรีออกเรือนแล้วไม่ค่อยถูกใจลูกสะใภ้คนนี้เท่าใดนัก ว่าง่ายรู้ความมากเกินไป โอนอ่อนผ่อนตามมากเกินไป เก็บประกายเฉียบคมมากเกินไป พูดง่ายๆ ก็คือเหมือนตนตอนอายุน้อยมากเกินไป
ทว่างานแต่งครั้งนี้เป็นอดีตฮ่องเต้ที่จัดการเอาไว้ให้ ราชครูเป็นคนดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรม นางหรือจะกล้าพูดคำว่าไม่?
ยิ่งพูดสตรีออกเรือนแล้วก็ยิ่งโมโห นางตบโต๊ะ “ซ่งเหอ อย่าลืมล่ะว่าความเลื่อมใสในด้านบู๊ก็คือรากฐานของแคว้นต้าหลีเรา!”
นางหันหน้าไปทางอวี๋เหมี่ยน “เจ้าออกไป”
ฮองเฮาลุกขึ้นยืนทันใด บอกลาอย่างนอบน้อม จากนั้นหยิบพัดกลมด้ามนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ซ่งเหอขมวดคิ้วน้อยๆ ทำท่าจะดึงมือของนาง นางกลับขยับนิ้วส่ายเบาๆ
ซ่งเหอยิ้มอย่างรู้ใจ จึงไม่ขัดขวางการจากไปของนางอีก
สตรีออกเรือนแล้วแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการกระทำเล็กๆ ของลูกสะใภ้ ได้แต่หัวเราะหยันอยู่ในใจ นางจิ้งจอก! เป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์เสียอีก
รอกระทั่งอวี๋เหมี่ยนจากไป สตรีออกเรือนแล้วก็ไม่มีท่าทางเป็นเดือดเป็นแค้นอีกต่อไป นางพูดด้วยสีหน้ามืดทะมึนว่า “อย่าลืมล่ะว่าตัวอักษรสองคำว่าเหอมู่ เฉินผิงอันก็รู้เรื่องนี้ด้วย อีกอย่างเจ้ารู้สึกว่าเขาใกล้ชิดสนิทสนมกับเจ้าที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อนมากกว่า หรือสนิทกับ ‘ซ่งมู่’ ที่เป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปีมากกว่า?! แล้วก็ยิ่งอย่าลืมล่ะว่า ในศาลของลำน้ำใหญ่ ตอนนั้นคนที่เฉินผิงอันซึ่งมีชีวิตหวนกลับมาบ้านเกิดเดินทางมาด้วยคือซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง คือซ่งมู่อ๋องเจ้าเมืองที่พิทักษ์เมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลี ไม่ใช่ฝ่าบาท!”
ฮ่องเต้เงียบงัน
สตรีออกเรือนแล้วยิ้มกล่าว “ฮ่องเต้อย่าได้สนใจอีกเลย ข้ารู้ว่าควรจะพูดคุยกับเฉินผิงอันอย่างไร”
อวี๋เหมี่ยนฮองเฮาต้าหลีเดินเนิบช้าอยู่ในระเบียง ห่างไปไม่ไกลด้านหลังมีนางกำนัลสองสามคนของนางติดตามมา ฝีเท้าของพวกนางเบามาก ทุกย่างก้าวล้วนเป็นไปตามกฎระเบียบ แต่ไม่ว่าใครก็ล้วนมีสีหน้าราวกับว่ากำลังเดินเหยียบอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
บางครั้งอวี๋เหมี่ยนจะถามถึงเรื่องราวและบุคคลที่น่าสนใจของถ้ำสวรรค์หลีจู ฮ่องเต้ก็จะเลือกเรื่องบางอย่างมาเล่าให้ฟัง เรื่องหนึ่งในนั้น นางจดจำได้อย่างลึกล้ำ ได้ยินมาว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มที่กินข้าวของพวกเพื่อนบ้านเติบโตมา หลังจากร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้ว ภูเขาลั่วพั่วกับร้านในตรอกฉีหลงก็ยังคงดูแลพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงในอดีตอยู่เหมือนเดิม ทุกครั้งที่มีคนผ่าฟืนมาพักเท้าที่หน้าประตูภูเขาของภูเขาลั่วพั่วก็จะต้องมีแม่นางน้อยชุดดำที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูยกน้ำชาออกมาให้ ตอนกลางวันยังมีการเอาโต๊ะมาวางไว้ข้างทางโดยเฉพาะ ตอนกลางคืนถึงจะเก็บกลับไป
ดังนั้นอันที่จริงนางจึงมีความรู้สึกที่ดีต่อภูเขาลั่วพั่วอยู่หลายส่วน เพราะนางรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมเหมือนกับบ้านเดิมของนางอยู่มาก
แต่นางคิดอย่างนี้แล้วจะอย่างไรเล่า นางคิดอย่างไร ไม่สำคัญเลยสักนิดนี่นา
นางหันหน้าไปมองม่านราตรี ดวงจันทร์ลอยอยู่กลางนภา ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้อากาศจะมืดสลัว จะฟ้าโปร่งหรือจะมีลมพัดแรงฝนเทกระหน่ำ
นางรู้แค่หลักการเหตุผลข้อเดียว
ตระกูลร่ำรวยมักจะมีญาติที่ยากจนไปมาหาสู่ด้วยเสมอ หากญาติที่ยากจนไม่เคยต้องกลับไปมือเปล่า ก็คือตระกูลที่ซื่อสัตย์จริงใจ
เดินผ่านประตูสูง ชาวบ้านไม่มีเร่งรีบเดินผ่านเหมือนต้องการหลบหายนะ ก็คือครอบครัวที่สั่งสมคุณความดี
นอกตรอกเล็กของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มกล่าว “ให้รองเจ้ากรมต่งรอนานแล้ว”
เมื่อครู่ต่งหูมองเห็นเงาร่างชุดเขียวบนถนนก็รีบลุกขึ้นยืนทันที รอกระทั่งได้ยินประโยคนี้ หัวใจก็บีบรัดตัวทันใด
และประโยคที่สองของคนหนุ่มที่มีสถานะมากมายคนนี้กลับยิ่งทำให้อารมณ์ของต่งหูซับซ้อนมากกว่าเดิม ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือควรเป็นกังวลกันแน่
เพราะเฉินผิงอันยิ้มเอ่ยว่า “รบกวนรองเจ้ากรมต่งแจ้งไปทางวังหลวงสักคำว่า หากจะพูดคุยกันจริงๆ ก็ให้สตรีผู้นั้นมาคุยกันที่นี่ ไม่อย่างนั้นข้าก็คงต้องไปเป็นแขกที่บ้านของนางแล้ว”
ต่งหูถามเสียงเบา “จะทำแบบนี้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองสารถีอายุมากที่คล้ายกำลังงีบหลับ ถามว่า “เกลียดขี้หน้าข้าหรือ?”
ต่งหูรู้สึกหัวโตเป็นสองเท่าตัว ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้สารถีผู้นั้นไม่ได้มองเจ้าเฉินผิงอันสักครั้งเลยนะ
สารถีเฒ่าลืมตาขึ้น เอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี “จริงดังคาด เป็นผู้อาวุโสที่ปีนั้นเปิดปากพูดเป็นคนที่สอง”
สารถีเฒ่ากระตุกมุมปาก “ฝึกฝนฝีมือหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันกำลังจะพูด แต่กลับเงยหน้าพรวดขึ้นฉับพลัน เห็นเพียงว่ากลางอากาศเหนือตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปพลันมีน้ำวนลูกหนึ่งปรากฏขึ้น จากนั้นก็มีแสงกระบี่พุ่งตรงดิ่งมาที่เมืองหลวงต้าหลี
เฉินผิงอันจึงรู้ว่าตอนนั้นที่ตัวเองเป็นฝ่ายออกมาจากโรงเตี๊ยมนั้นคิดถูกแล้ว ไม่อย่างนั้นคนที่โดนตีต้องเป็นตนแน่นอน
เพราะว่าคนที่ออกกระบี่คือหนิงเหยาที่ฟุบตัวนอนอยู่บนโต๊ะ นางยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด แล้วดันมาเห็นสารถีที่อาศัยว่าอายุมากกว่ามารังแกคนอื่นผู้นี้อีก ฝึกฝนฝีมือ ฝึกฝนกับมารดาเจ้าสิ
——