กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 832.1 เหวินเซิ่งเชิญเจ้านั่งลง
แสงกระบี่บนม่านฟ้าเส้นนั้นพุ่งลงมาเป็นเส้นตรง ดิ่งลงมายังโลกมนุษย์
ผลคือสารถีเฒ่าผู้นั้นคล้ายหุ่นไม้ที่ยืนนิ่งไม่ขยับ ฮึกเหิมห้าวหาญ ยืนบื้ออยู่ที่เดิมรับแสงกระบี่เส้นนั้นไว้อย่างจัง เพียงแค่ยกสองมือชูขึ้นสูงฝืนรับกระบี่เอาไว้
ถึงอย่างไรในสายตาของหลิวเจียก่อกำเนิดผู้เฒ่าที่รับผิดชอบเฝ้าตรอกเล็กก็คือเขามีมาดองอาจเช่นนี้ พลันรู้สึกนับถือสุดใจ คิดไม่ถึงว่าในเมืองหลวงต้าหลีจะซุกซ่อนวีรบุรุษที่มีเรี่ยวแรงพอจะชักดึงขุนเขาสายน้ำเช่นนี้อยู่ด้วย มีโอกาสต้องไปดื่มเหล้ากับเขาสักหน่อยแล้ว
นาทีถัดมาสารถีผู้เฒ่าก็ถูกกระบี่หนึ่งโจมตีจนร่างทะลุพื้นดินลงไป เรือนกายฝังอยู่ใต้ดินของเมืองหลวงต้าหลีลึกหลายสิบลี้ บนถนนปรากฏเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่เท่าปากบ่อ เนื่องจากแสงกระบี่เฉียบคมเกินไป พื้นดินรอบด้านจึงถึงกับไม่มีรอยแตกร้าวแม้แต่น้อย
ทว่าในสายตาของเฉินผิงอัน ไหนเลยจะเรียบง่ายเพียงเท่านี้ อันที่จริงตอนที่เกิดน้ำวนบนม่านฟ้า สารถีผู้เฒ่าก็เริ่มโคจรวิชาอภินิหารบางอย่างแล้ว เป็นเหตุให้เรือนกายเหมือนนครแก้วใสแห่งหนึ่ง เหมือนกับสถานประกอบพิธีกรรมที่เกิดจากการประกอบรวมกันของแก้วใสนับพันนับหมื่นชิ้น ผู้เฒ่าที่เลือกจะแฝงตัวมานานเหมือนเฟิงอี๋เทพแห่งสายลมต้องไม่มีทางยินดีฝืนรับแสงกระบี่เส้นนั้นเอาไว้แน่นอน
ขณะเดียวกันสารถีผู้เฒ่าก็เหลือบมองไปยังทิศทางของเมืองหลวงแห่งที่สองที่อยู่ภาคกลาง เห็นได้ชัดว่ากำลังรอคอยให้แสงกระบี่ของที่นั่นเปล่งแสง กระบี่ปะทะกระบี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ป๋ายอวี้จิงจำลองของต้าหลีถึงทำราวกับว่ามองไม่เห็น เห็นชัดๆ กันอยู่ว่านี่คือการออกกระบี่ของเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ไม่คิดจะจัดการบ้างหรือ?!
ดังนั้นชั่วพริบตาที่แสงกระบี่หล่นลงมาจากน้ำวน สารถีผู้เฒ่าจึงหดย่อพื้นที่อย่างไม่ลังเล ก้าวเดียวก็ออกไปจากเมืองหลวง ปรากฏตัวอยู่ในพื้นที่ที่ห่างจากเมืองหลวงไปร้อยลี้ จากนั้นเรือนกายก็เหมือนแก้วใสที่ระเบิดแตกดังเพล้ง กลายร่างเป็นลำแสงหลากสีหลายร้อยเส้นแล้วกระจายกันออกไป หลบหนีไปสี่ด้านแปดทิศ ผลคือในน้ำวนบนม่านฟ้ากลับมีแสงกระบี่ที่ปราณสังหารเข้มข้นอีกหลายร้อยเส้นปรากฎขึ้นมา แต่ละเส้นล้วนชี้ไปยังทิศทางที่เรือนกายลำแสงของสารถีผู้เฒ่าหลบหนีไปอย่างแม่นยำ บีบให้สารถีเฒ่าได้แต่รวบรวมแสงแก้วใสกลับคืนมาเป็นเรือนกายอีกครั้ง จากนั้นก็แข็งใจหดย่อขุนเขาสายน้ำอีกรอบ หวนกลับมายังพื้นที่เดิมบนถนนของเมืองหลวง เพราะมีเพียงแสงกระบี่เส้นแรกที่จิตสังหารเบาที่สุด ปราณสังหารเจือจางมากที่สุด
ราวกับว่าหนิงเหยาผู้นั้นกำลังใช้เหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดกับสารถีเฒ่า ไม่หนี ก็คือต้องรับกระบี่ หนี ก็คือการถามกระบี่
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที ในเมืองหลวงแห่งหนึ่ง เกรงว่านอกจากเฉินผิงอันและเฟิงอี๋ที่เงยหน้าชมเรื่องสนุกจากศาลเทพอัคคีแล้ว คงไม่มีใครสามารถสัมผัสได้ถึงการ ‘พลิกกลับไปกลับมาร้อยพันตลบ’ ของสารถีผู้เฒ่าคนนี้อีก
ใต้พื้นดิน สารถีเฒ่ายืนลอยตัวอยู่กลางอากาศ สวมเสื้อเกราะสีทอง มือเท้าล้วนมีเจียวหลงสีทองขดตัวรัดพัน ใต้ฝ่าเท้าของผู้เฒ่ามีกระแสน้ำวนที่เกิดจากเลือดสดสีทองไหลมารวมตัวกัน เรือนกายของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลถึงกับถูกกระบี่หนึ่งผลาญจิตแห่งเทพไปมากมายถึงเพียงนี้
เวลานี้ผู้เฒ่าคล้ายยืนอยู่ในก้นบ่อน้ำแห่งหนึ่ง เป็นบ่อกระบี่ที่สมชื่ออย่างแท้จริง ปราณกระบี่เล็กบางจำนวนนับไม่ถ้วนตัดสลับกัน ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์จนแทบจะกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง เป็นเหตุให้ปากบ่อเข้มข้นเหมือนน้ำสีเงินไหลริน ในนั้นยังซุกซ่อนวิถีกระบี่ที่โคจรไม่หยุดนิ่งเอาไว้ด้วย นี่เป็นเหตุให้ผนังทรงกลมของบ่อน้ำถึงกับเกิดร่องรอยของการ ‘กลายเป็นมรรคา’ ประเภทหนึ่ง หากไปวางไว้บนภูเขา นี่ก็คือร่องรอยเซียนอย่างสมชื่อ ถึงขั้นที่ว่าสามารถมองเป็นคัมภีร์กระบี่ชั้นสูงบทหนึ่งที่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่รุ่นหลังซึ่งตั้งใจศึกษาทำความเข้าใจไปได้นานนับร้อยปี!
หญิงสาวสะพายกล่องกระบี่คนหนึ่งยืนอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่เล็กบางราวกับลำธาร ในเมื่อร่างกายอยู่นอกเหนือจากห้าธาตุ รากภูเขาและดินที่อยู่เบื้องล่างเมืองหลวงต้าหลีแน่นอนว่าไม่อาจพันธนาการร่างกายของนางได้ นางขี่กระบี่หยุดลอยตัวนิ่ง จิตของหนิงเหยาแค่ขยับไหวเล็กน้อย ร่องรอยการจำแลงมรรคาเวทกระบี่ของบ่อน้ำก็พลันแหลกสลาย จากนั้นจึงถามว่า “ฝึกฝนฝีมือกันหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันเพิ่งจะถามหมัดกับเฉาสือที่สวนกงเต๋อศาลบุ๋นไป ช่วงเวลาอันใกล้นี้จึงไม่เหมาะจะลงมือ ตัวเขาเองเป็นเหมือนถังยา การออกกระบี่ที่ภูเขาตะวันเที่ยงคือการชำระบัญชีแค้นที่สะสมมานานหลายปี หนิงเหยาไม่สะดวกจะขัดขวาง แต่ในเมืองหลวงต้าหลี เฉินผิงอันแค่ต้องการมาขอคำอธิบายจากไทเฮาเหนียงเนียงของต้าหลีเท่านั้น ดังนั้นจะเป็นเฟิงอี๋ก็ดี สารถีก็ช่าง ไม่ว่าใครก็ตาม ขอแค่คิดจะลงมือกับเฉินผิงอัน ก็ต้องถามนางก่อนว่าจะตอบตกลงหรือไม่
สารถีเฒ่าถามเสียงหนัก “เจ้าอยู่ที่ใต้หล้าห้าสีเคยฆ่าเทพชั้นสูงหรือ?!”
หนิงเหยาย้อนถาม “ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร?”
เป็นสองประโยคที่สารถีเฒ่าพูดกับเฉินผิงอัน
หนิงเหยาได้มอบกลับคืนไปให้สารถีเฒ่าผู้นี้พอดี
สารถีเฒ่าเงียบไปพักใหญ่ “ข้าแค่ประมือกับเฉินผิงอัน เจ้าที่เป็นคนต่างถิ่นเป็นคนนอกมายุ่งอะไรด้วย?”
อันที่จริงความหมายของสารถีเฒ่าก็คือ เมืองหลวงต้าหลีแห่งนี้ ข้าจะพลิกบัญชีเก่ากับเฉินผิงอันก็ดี หรือจะฝึกปรือฝีมือกับเขาก็ช่าง อย่างน้อยคืนนี้ก็ไม่มีทางมีใครตายแน่ เจ้าหนิงเหยาเป็นคนต่างถิ่นคนหนึ่ง มายุ่งอะไรด้วย แล้วนับประสาอะไรกับที่เจ้าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสีแล้ว ทุกการออกกระบี่ในใต้หล้าไพศาลก็ควรช่างน้ำหนักกฎเกณฑ์แห่งฟ้าส่วนนี้ให้ดี รวมไปถึงโรคภัยที่จะทิ้งไว้เบื้องหลังหลังจากที่ ‘ปณิธานฟ้า’ ของมหามรรคาที่มองไม่เห็นของสองใต้หล้าปะทะกันด้วย!
ผลคือไม่พูดประโยคนี้ยังดี ปณิธานกระบี่บนร่างของหนิงเหยายังถือว่าราบเรียบ ปราณสังหารไม่เข้มข้น รอกระทั่งคำพูดประโยคนี้หลุดออกจากปากของสารถีเฒ่า เขาก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติทันที ราวกับว่าหนิงเหยาผู้นี้รับฟังคำพูดเข้าหู รับความหมายตามตัวอักษรเข้าไป แต่กลับฟังความนัยในคำพูดของสารถีเฒ่าไม่ออก
หนิงเหยาหรี่ตาลง ยิ้มบางๆ “ผู้อาวุโสพูดประโยคที่เป็นธรรม”
ข้ากับเจ้าหมอนั่นไม่ได้เป็นอะไรกัน
มาสู่ขอที่บ้าน ถ้อยคำของแม่สื่อ มอบหนังสือหมั้นส่งของขวัญกลับคืน ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยทำอะไรสักอย่างเลยจริงๆ
หากจะบอกว่าตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ยังมีเหตุผลร้อยแปด เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่รักษาคำพูดอะไรทำนองนั้น รอกระทั่งเขากลับคืนบ้านเกิดอย่างปลอดภัยแล้ว ตนถึงกับพกกระบี่มาเยือนไพศาลแล้ว เจ้าหมอนั่นก็ยังแกล้งโง่อยู่แบบนี้ ถ่วงเวลาแล้วถ่วงเวลาอีก ข้าชอบเขาจึงไม่พูดอะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องบางอย่าง จะให้สตรีพูดได้อย่างไร ควรจะเปิดปากพูดอย่างไร?
แต่เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้มาเตือนเรื่องพวกนี้กับข้าหนิงเหยา?
นาทีถัดมา
ร่างของสารถีเฒ่าก็ถูกกระบี่หนึ่งซัดจนลอยพ้นออกมาจากพื้นดิน หนิงเหยาใช้อีกกระบี่กระแทกอีกฝ่ายให้ออกไปจากแจกันสมบัติทวีป หล่นร่วงลงในมหาสมุทรใหญ่ ร่างของสารถีเฒ่าเอนปักลงในทะเลกว้าง เกิดเป็นพื้นดินไร้น้ำขนาดมหึมา เหมือนปากถ้วยขนาดใหญ่ คลื่นลูกยักษ์ซ้อนตัวหลายชั้นซัดออกไปสี่ด้านแปดทิศ ปั่นป่วนโชคชะตาน้ำในพื้นที่รัศมีพันลี้ได้อย่างสิ้นเชิง
สารถีเฒ่าคุกเข่าข้างเดียว กระอักเลือดไม่หยุด เลือดล้วนเป็นสีทองทั้งหมด แต่ผู้เฒ่าก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่า จุดที่ร่างของตนร่วงลงมาถึงกับเป็นกุยซวีที่ถูกซ่อนแฝงไว้แห่งหนึ่ง เป็นที่ตั้งของสุสานใจกลางมหาสมุทร? และคงไม่ใช่ว่าสถานที่แห่งนี้ แท้จริงแล้วเชื่อมโยงไปยังใต้หล้าใหม่เอี่ยมแห่งนั้นหรอกนะ?!
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงที่หนิงเหยาสังหารไปตอนอยู่ใต้หล้าห้าสี คือหนึ่งในสิบสองเทพชั้นสูงใต้อาณัติของผู้สวมเสื้อเกราะ เทพตาเดียว?
ไม่อย่างนั้นซากปรักพื้นที่บรรพกาลแห่งนี้และแผนการของเปลี่ยวร้างที่แม้แต่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางก็ยังไม่ค้นพบ นางจะมองออกในปราดเดียวได้อย่างไร?
หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์ “ถอยไป อย่าขวางการออกกระบี่”
สารถีเฒ่าเหมือนได้รับอภัยโทษ พลันหนีหายไปในเสี้ยววินาที ตัดสินใจแล้วว่าจะหลบเลี่ยงประกายเฉียบคมของนาง ไม่กลับไปที่ต้าหลีเด็ดขาด
หนิงเหยาขยับเส้นสายตาไปเล็กน้อย หรี่ตาลงเอ่ยว่า “ให้เจ้ากลับมาที่เมืองหลวงต้าหลี มารำลึกความหลังกับใครบางคนให้ดี เจรจาสำเร็จ ต่างคนต่างเดินคนละทาง เจรจาไม่สำเร็จ เจ้าก็เชิญหนีไปได้ตามสบาย ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล พื้นที่ลับปริแตก จะไปหลบซ่อนตัวที่ไหนก็เชิญ หากหาตัวเจ้าไม่เจอก็ถือว่าข้าแพ้”
หนิงเหยาขี่กระบี่มาหยุดลอยอยู่เหนือมหาสมุทรใหญ่ เอ่ยแค่สองคำว่า “มานี่”
ใต้หล้าห้าสี แสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายก่อตัวกลายเป็นแสงกระบี่เส้นหนึ่ง และระหว่างใต้หล้าสองแห่งก็ราวกับเนตรสวรรค์เบิกขึ้น ม่านฟ้าของสองใต้หล้ามีจุดหนึ่งที่เหมือนประตูใหญ่เปิดอ้า ช่วยหลีกทางให้กับแสงกระบี่เส้นนั้น
มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งเดินทางไกลหมายจะมาเป็นแขกที่ไพศาล
นี่ต่างหากถึงจะเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าแห่งหนึ่งตามความหมายที่แท้จริง
แสงกระบี่เส้นนั้นหอบหุ้มเอามหามรรคาที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดมาด้วย พุ่งมายังกลางมหาสมุทรใหญ่ของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้
กายธรรมใหญ่ยักษ์ของผีขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากสุสานกลางทะเล มันร้องคำราม เท้าหนึ่งเหยียบลงตรงก้นบึ้งของมหาสมุทรใหญ่ มือข้างหนึ่งคว้าจับไปทางเรือนกายของสตรีที่เล็กเท่าเมล็ดงา
การปรากฏตัวของแสงกระบี่เส้นนั้นเป็นเหตุให้ทั่วทั้งใต้หล้าไพศาลสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน เพียงแต่ว่าแสงกระบี่เจิดจ้านั้นกลับดับหายไปในชั่วพริบตา ฟ้าดินจึงกลับคืนมาเป็นม่านราตรีอีกครั้ง
อันที่จริงพกกระบี่มาเยือนไพศาล เรื่องหลายอย่างที่ทำลงไปเกิดจากความคิดในความเป็นสตรีของหนิงเหยา
ยกตัวอย่างเช่นนางจงใจไม่เห็นความสำคัญเรื่องที่ตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ตอนอยู่กับเขา หนิงเหยาก็ยิ่งไม่เคยพูดเรื่องวงในของใต้หล้าห้าสี บุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าใหม่เอี่ยม? ใครกัน?
หรือยกตัวอย่างเช่นตอนอยู่ภูเขาตะวันเที่ยง นางเองก็เข้าร่วมงานพิธีเหมือนกัน อันที่จริงแค่ปล่อยกระบี่หนึ่งออกไป อย่าว่าแต่หยวนเจินเย่ เจ้าสำนักจู๋หวงอะไรเลย ต่อให้เป็นขุนเขาสายน้ำพันลี้ทั่วทั้งภูเขาตะวันเที่ยง บอกว่าหายก็หายไปได้เลย
ขอแค่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก เดินทางไปด้วยกัน หนิงเหยาไม่เคยแย่งชิงความมีหน้ามีตากับเขา ยกตัวอย่างเช่นครั้งนี้ถูกเขาพาไปเยี่ยมเยือนคนรู้จัก นางล้วนพูดแค่ประโยคเดียวว่าหนิงเหยาผู้ฝึกกระบี่ หรือไม่ก็หนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน ไม่อย่างนั้นก็บอกแค่ชื่ออย่างเดียว
เพราะถึงอย่างไรกว่าเฉินผิงอันจะกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้ก็ลุ่มๆ ดอนๆ เจออุปสรรคมาตลอดทาง ไม่ง่ายเลย
ทว่าชีวิตนี้ของนางหนิงเหยา การฝึกกระบี่กลับง่ายดายเหลือเกิน
พอคิดถึงเรื่องนี้ นางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่หงุดหงิดมากถึงเพียงนั้นอีกแล้ว จึงขี่กระบี่หวนกลับไปยังแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ความเร็วไม่มากนัก หลีกเลี่ยงไม่ให้ใครบางคนคิดไปไกล
ส่วนผีขอบเขตบินทะยานที่ไม่รู้ว่าวางแผนอะไรตัวนั้นได้ถูกหนึ่งกระบี่ของนางทำให้บาดเจ็บสาหัสไปแล้ว ทั้งยังทิ้งร่องรอยเอาไว้ จากนี้ก็มอบให้ศาลบุ๋นเป็นผู้จัดการกันเองแล้วกัน
บนถนนของเมืองหลวง เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงสังเกตเห็นว่ามือกระบี่ชุดเขียวแซ่เฉินที่เป็นเจ้าขุนเขาคนนั้นก้มหน้าตามองจมูกจมูกมองใจอยู่ตลอดเวลา ท่าทางอยู่ในกฎระเบียบจนเหมือนคนขี้ขลาดที่เจอผีบนถนนยามค่ำคืน
ส่วนเรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นติดต่อกันเป็นพรวนในวันนี้ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าต่งที่เป็นเพื่อนบ้านกันมาหาคนที่นี่ สารถีเฒ่าแค่เจอหน้าบุรุษคนนั้นก็ไม่ถูกชะตากันทันที ผลคือสารถีเฒ่าเพิ่งจะพูดว่าฝึกฝีมือ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ถูกคนอื่นมาฝึกฝีมือให้แทน
จ้าวตวนหมิงเองก็คร้านจะคิดหาสาเหตุให้มากความ แค่รู้สึกว่าภาพบรรยากาศของวิถีกระบี่ที่น่าครั่นครามนั้นหากไม่ใช่เซียนกระบี่ใหญ่ที่เป็นขอบเขตเซียนเหริน ให้ตายอย่างไรก็คงสร้างความครึกโครมสะเทือนฟ้าขนาดนี้ออกมาไม่ได้กระมัง?
เฉินผิงอันที่คอยจับตามองทางป๋ายอวี้จิงอยู่ตลอดเวลาถอนใจโล่งอก รู้สึกประหลาดใจอย่างมาก ไม่เข้าใจว่าเหตุใดทางฝั่งนั้นถึงไม่ออกกระบี่ขัดขวาง แต่ในเมื่อเป็นเรื่องดี ตอนนี้ก็ไม่ต้องคิดให้มากแล้วว่าเพราะอะไร เขาหันหน้ามายิ้มเอ่ย “เจ้าชื่อจ้าวตวนหมิง? เป็นลูกหลานสกุลจ้าวแห่งเขตเทียนสุ่ย?”
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่สนิทสนมกับรองเจ้ากรมฝ่ายซ้ายคนหนึ่งของกรมพิธีการได้ขนาดนี้ ความเป็นไปได้ที่ใหญ่ที่สุดคือเป็นคนที่มาจากตรอกอี้ฉือหรือไม่ก็ถนนฉือเอ๋อร์ นอกจากนี้สกุลจ้าวเทียนสุ่ยเสาค้ำยันแคว้นก็มีความสัมพันธ์ลึกล้ำกับกองทัพชายแดนของต้าหลี มีลูกหลานในตระกูลมาฝึกตนอยู่ที่นี่ อยู่ใกล้กับหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นขนาดนี้ ก็พอจะอธิบายได้
จ้าวตวนหมิงเอ่ยอย่างกังขา “ผู้อาวุโสท่านคือ?”
เดิมทีเฉินผิงอันนึกว่าเด็กหนุ่มจะเดาสถานะของตนออกแล้ว เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ต่งหูก็เรียกตนว่า ‘เจ้าขุนเขาเฉิน’
เพียงแต่ว่าพอคิดถึงก่อนหน้านี้ที่ถูกขวางทาง ดูเหมือนว่าจะไม่อาจประเมินการมีมนุษย์สัมพันธ์กับผู้อื่นของอาจารย์และศิษย์ที่เฝ้าประตูคู่นี้สูงเกินไปได้?
เฉินผิงอันจึงได้แต่แนะนำตัวเอง “ข้ามาจากภูเขาลั่วพั่ว แซ่เฉิน”
จ้าวตวนหมิงอึ้งค้างอยู่กับที่ พึมพำว่า “เป็นไปไม่ได้กระมัง ผีขี้เหล้าเฉาบอกว่าเจ้าขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่วท่านนั้นรูปโฉมหล่อเหลาเสียจนทุกครั้งที่ออกจากบ้าน พวกแม่นางน้อยที่บ้านเกิดเห็นเข้าล้วนต้องกรีดร้องเสียงแหลม ได้ยินมาว่ายังมีสตรีที่เป็นลมหมดสติไปด้วย”
เจ้าตะพาบผีขี้เหล้าเฉาผู้นี้ ทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำล้วนแช่ตัวอยู่ในถังเหล้า ไม่เคยพูดจามีสติแม้แต่ครึ่งประโยคจริงเสียด้วย เฉินผิงอันที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้หล่อเหลาจนวัวตายควายล้มเสียที่ไหน? แล้วยังบอกด้วยว่า ‘รูปโฉมหล่อเหลาทั้งยังสง่างาม องอาจผึ่งผาย ได้เห็นแล้วต้องลืมความสามัญ ขอแค่สตรีบนโลกได้พบเจอเขาจิตใจก็จะหลุดลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้ช่วยภูเขาตั้งชื่อว่าภูเขาลั่วพั่ว’?!
ท่านปู่เจ้าเถิดเฉาเกิงซิน ทำให้ข้าไม่อาจเดาสถานะของเฉินผิงอันออกในทันที วันหน้าจะต้องกลับไปคิดบัญชีกับเจ้าแน่ จะต้องขอเหล้าเจ้าดื่มจนเจ้าล้มละลายเลยทีเดียว
เฉินผิงอันยังคงรักษารอยยิ้มน้อยๆ เอาไว้ “มีโอกาสจะต้องช่วยขอบคุณผู้ตรวจการเฉาที่เอ่ยถ้อยคำดีๆ แทนข้าสักหน่อย”
เฉาเกิงซินผีขี้เหล้าผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ ทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาของจังหวัดหลงโจวคนก่อน ดังนั้นเฉาเกิงซินจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยมกับพวกแซ่สกุลใหญ่ของอำเภอไหวหวงและพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เซียนซือทำเนียบของแต่ละฝ่ายในเขตหลงโจว เมื่อเทียบกับอู๋ยวนนายอำเภอคนแรกในประวัติศาสตร์ของถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว เฉาเกิงซินเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตามได้ดียิ่งกว่า ดังนั้นจึงถูกมองเป็นคนในพื้นที่มากกว่า คนหนุ่มมีความสามารถที่มาจากเมืองหลวงผู้นี้ ในช่วงเวลาหลายปีนั้น ดูเหมือนว่าเรื่องที่เขาทำก็คือการไม่ทำอะไรเลย ทุกวันเอาแต่หิ้วกาเหล้าไปขานชื่อในที่ว่าการ เขากับภูเขาลั่วพั่วจึงไม่ได้สนิทสนมอะไรกัน
พูดถึงแค่เว่ยป้อ จูเหลี่ยน ต่างก็รู้สึกดีต่อผู้ตรวจการคนนี้มาก สำหรับผู้ตรวจการคนใหม่ที่เข้ามาแทนที่เฉาเกิงซิน ต่อให้จะเป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูงของเมืองหลวงเหมือนกัน แต่คำวิจารณ์ที่เว่ยป้อมีให้กลับกลายเป็นว่าไม่รู้จักวางตัวอยู่ในวงการขุนนาง ไม่คู่ควรแม้แต่จะถือเหล้าให้ผู้ตรวจการเฉาของพวกเราด้วยซ้ำ
เฉินผิงอันหันหน้าไปเอ่ยเตือนรองเจ้ากรมผู้เฒ่า “รองเจ้ากรมต่ง?”
ต่งหูถอนหายใจ ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าขุนเขาเฉินตัดสินใจเช่นนี้จริงๆ หรือ?”
ให้ไทเฮาของต้าหลีมาหาถึงที่ เป็นเรื่องที่ทำให้คนลำบากใจอย่างมาก ต่อให้จะแค่ช่วยนำความไปบอกแทนเฉินผิงอัน ต่งหูก็ยังรู้สึกว่าถือไว้ก็ร้อนลวกมือ พูดไปก็ร้อนลวกปาก
หนึ่งเพราะสารถีเฒ่าคนนั้นไม่มีบันทึกอยู่ในเอกสารลับกรมพิธีการของตน ดังนั้นต่งหูจึงไม่รู้ขอบเขต ความเป็นมาของอีกฝ่าย รู้แค่ว่าเป็นหนึ่งในผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์ของสกุลซ่งต้าหลี สองคือเรื่องบางอย่างอาศัยเพียงพละกำลังบนภูเขาอย่างเดียวก็ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่อาจแก้ไขปัญหาได้อย่างถ่องแท้
——