กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 832.2 เหวินเซิ่งเชิญเจ้านั่งลง
เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ย “อีกเดี๋ยวพอรองเจ้ากรมต่งเข้าวังไปรายงานก็แค่พูดกับนางไปอย่างนี้ จะมาหรือไม่มาก็เป็นเรื่องของนาง”
ต่งหูเหลือบมองรถม้าแล้วก็ได้แต่ยิ้มเจื่อน สารถีไม่อยู่แล้ว ตนก็ขับรถม้าไม่เป็นเสียด้วย
หลิวเจียก่อกำเนิดผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูยิ้มเอ่ย “ข้าจะช่วยทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ นี่ให้เอง วันหน้ามีการประเมินขุนเขาสายน้ำของที่ว่าการกรมพิธีการ รองเจ้ากรมผู้เฒ่าต่งช่วยพูดดีๆ ถึงข้าสักสองสามคำก็แล้วกัน”
ต่งหูหัวเราะอย่างฉุนๆ “ฝันไปเถอะ ตวนหมิง เจ้ามาช่วยท่านปู่ต่งบังคับรถ!”
จ้าวตวนหมิงส่ายหน้า “ท่านปู่ต่ง ข้าต้องเฝ้าประตู ปลีกตัวไปไม่ได้”
หลิวเจียเก็บลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวที่วางไว้กลางตรอกเล็กมา ไม่ยอมให้ต่งหูปฏิเสธก็ไปเป็นสารถีให้ชั่วคราว รองเจ้ากรมผู้เฒ่าจึงได้แต่บอกลาเฉินผิงอันแล้วนั่งโดยสารรถม้ากลับไป
เพียงแต่ว่าสุดท้ายต่งหูเอ่ยประโยคหนึ่งที่นอกเหนือจากคำพูดในวงการขุนนาง “เฉินผิงอัน มีเรื่องอะไรก็พูดคุยกันดีๆ เจ้าและข้าต่างก็เป็นคนต้าหลี ยิ่งรู้ดีว่าสถานการณ์ที่ภายนอกสงบสุขไร้เรื่องราวของแจกันสมบัติทวีปอย่างในทุกวันนี้ได้มาไม่ง่ายเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เอ่ยประโยคหนึ่งว่าคงไม่ไปส่งอาจารย์ผู้เฒ่าต่งแล้ว จากนั้นก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงผนัง คอยหันหน้าไปมองม่านฟ้าทางทิศตะวันตกอยู่เป็นระยะ
ยังคงรู้สึกเป็นห่วงหนิงเหยาอยู่บ้าง
ตรงจุดที่มหาสมุทรและพื้นดินของแจกันสมบัติทวีปเชื่อมต่อกัน ผู้เฒ่าหยุดชะงัก เฟิงอี๋ปรากฎตัวพร้อมรอยยิ้มหวาน
สารถีเฒ่ามีสีหน้าอัดอั้น ทะยานลมหยุดลอยนิ่ง อดกลั้นอยู่นานถึงได้หลุดปากเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า “คนหนุ่มสาวสมัยนี้!”
แต่ประโยคครึ่งหลัง ผู้เฒ่ากลับอดกลั้นเอาไว้ไม่พูดออกมา แต่ละคนนิสัยแย่ไม่แพ้กันเลยจริงๆ!
เฟิงอี๋ยกมือขึ้นบิดหมุนเชือกหลากสีที่หล่อหลอมขึ้นมาจากแก่นของร้อยบุปผาในใต้หล้าเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “รอไปก่อนเถอะ เรื่องในปีนั้นยังไม่ยุติ เห็นแก่ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันในอดีต ข้าก็จะแนะนำเจ้าด้วยความหวังดีสักประโยค อย่าได้คิดจะหนีไปหลบที่ศาลบรรพจารย์สำนักการทหารของแผ่นดินกลางเลย ด้วยนิสัยนั้นของหนิงเหยา นางเอ่ยเตือนเจ้าไปแล้ว เจ้ายังไม่ฟังคำแนะนำ ถ้าอย่างนั้นนางต้องไปหาเจ้าถึงที่แน่ ผลลัพธ์ไม่ผลลัพธ์อะไร นางไม่ใช่เฉินผิงอัน ถึงอย่างไรบ้านเกิดของนางก็เหลือแค่ซากปรักแล้ว”
สารถีผู้เฒ่าเหลือบตามองสหายในวันวานที่ทำท่ามีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นคนนี้ เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “มีแต่เจ้าที่มั่นคงที่สุด ไม่ว่าใครก็ไม่ล่วงเกิน”
เฟิงอี๋ทำหน้าตกตะลึงแบบที่ไร้ซึ่งความจริงใจ “ผูกบุญสัมพันธ์เป็นมิตรกับคนอื่นยังไม่มั่นคง กลับกลายเป็นคนที่พัดลมกระพือไฟอย่างพวกเจ้าที่มั่นคงกว่า ใต้หล้ามีหลักการเหตุผลเช่นนี้ด้วยหรือ?
สารถีผู้เฒ่าเหลือบตามองไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เอ่ยเสียงเบาว่า “สองคนที่เปิดปากช้ากว่าพวกเรา ทุกวันนี้ไปหลบอยู่ที่ไหน?”
คนที่รู้เรื่องวงใน รู้เรื่องใหญ่ของใต้หล้ามากที่สุด บางทีอาจเป็นโจวจื่อผู้นั้น ส่วนเรื่องเล็กก็น่าจะเป็นเฟิงเจียอี๋เทพแห่งสายลมตรงหน้าผู้นี้แล้ว
เฟิงอี๋ส่ายหน้า
สารถีผู้เฒ่าเอ่ยปลงอนิจจังด้วยความเสียใจเล็กน้อย “เวลาสั้นๆ แค่ห้าสิบปี อดีตจะนับเป็นอะไรได้ นั่นเป็นเวลาแค่ชั่วกะพริบตาของเจ้าและข้าเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่าฟ้าดินกลับพลิกคว่ำคะมำหงายเสียแล้ว เจ้าว่าตอนนั้นพวกเราจะลำบากทำอย่างนั้น จนเป็นเหตุให้ทุกวันนี้ถูกเจ้าตัวน้อยสองคนที่อายุไม่ถึงห้าสิบปีเล่นงานแบบนี้ไปไย”
เฟิงอี๋ไม่ชอบฟังถ้อยคำน่าเบื่ออย่างการพลิกเปิดปฏิทินเหลืองของคนรุ่นเดียวกันพวกนี้มากที่สุด ชีวิตสงบสุขหมื่นปีที่ผ่านมาไม่ได้นอนเสวยสุขอยู่บนสมุดคุณความชอบหรอกหรือ? ดังนั้นนางจึงหัวเราะหยันเอ่ยว่า “จะมอบเหตุผลที่ปีนั้นฉีจิ้งชุนพูดกับข้าให้เจ้าฟังเปล่าๆ ไม่เก็บเงิน ‘หากได้เปรียบแล้วยังทำเหมือนขาดทุน สามารถคิดในใจได้ แต่ปากต้องพูดให้น้อยหน่อย’”
สารถีเฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “แค่บ่นไม่กี่คำจะเป็นไรไป?”
เฟิงอี๋ยกสองนิ้วขึ้นหมุนเบาๆ มีลมเย็นกลุ่มหนึ่งไล่ตามมา นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แน่นอนว่าข้าย่อมไม่เป็นไร ไปล่ะๆ ในเมื่อคุยกันไม่รู้เรื่องก็อย่าคุย ข้าไปหาเหล้าดื่มดีกว่า”
ห่างออกไปไกลมาก แสงกระบี่เส้นหนึ่งเหมือนสายรุ้งที่พุ่งมา ระหว่างนั้นก็มีเสียงใสเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้น “ผู้เยาว์หนิงเหยาขอขอบคุณเฟิงอี๋”
……
กลางอากาศเบื้องบนเหนือเมืองหลวงแห่งที่สอง บนยอดหอเรือนของป๋ายอวี้จิงจำลองมีแขกไม่ได้รับเชิญคนหนึ่งเร่งรุดเดินทางมาจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก่อนหน้านี้ตอนที่แสงกระบี่บนม่านฟ้าเส้นนั้นกำลังจะหล่นไม่หล่นลงมา แขกผู้นี้ก็เริ่มทำตัวหน้าไม่อายแล้ว
เห็นเพียงว่ามีซิ่วไฉเฒ่าคนหนึ่งใช้สองมือกอดรั้งแขนของบุคคลไร้ขอบเขตท่านนั้นเอาไว้ “อย่านะ อย่านะ ทุกครั้งที่ออกกระบี่จากที่นี่เป็นแค่แสงกระบี่ที่พุ่งสวบๆ ออกไปจริงๆ หรือ? ไม่ใช่เลย! ล้วนเป็นเงินทั้งนั้น”
ข้ากับแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าสนิทกันมากขนาดนี้ แต่รวมๆ กันแล้วก็ยังมีลูกศิษย์ผู้สืบทอดอยู่แค่ไม่กี่คน มีใครบ้างที่ไม่มีคุณความชอบต่อแจกันสมบัติทวีปของพวกเจ้า ถอยไปพูดหมื่นก้าว อย่าไม่เห็นเงินเป็นเงินสิ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าเหยียบย่ำเงินเทพเซียนเช่นนี้
คนเฝ้าหอที่เดิมทีเรือนกายล่องลอยมองไม่เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง คาดว่าคงเห็นเหวินเซิ่งผู้นี้ต่างไปจากคนอื่นอยู่บ้าง จึงยอมแหกกฎเผยกาย ที่แท้ก็เป็นอาจารย์ผู้เฒ่ารูปร่างผอมแห้งที่สวมกวานสูงรัดเข็มขัดเส้นใหญ่ผู้นั้นนั่นเอง
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ศาลบุ๋นของพวกเจ้าเชี่ยวชาญการใช้เหตุผลที่สุด ไม่สู้เหวินเซิ่งแต่งข้ออ้างที่ฟังขึ้นมาสักข้อหนึ่ง?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นแค้น “ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน ผู้อาวุโสไม่ได้แค่พบหน้าก็รู้สึกเหมือนสนิทสนมมานานกับลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า สามารถถือว่าเป็นสหายต่างวัยกันได้หรอกหรือ? ความสัมพันธ์ควันธูปส่วนนี้ เจ้าตัดใจพูดว่าจะทิ้งก็ทิ้งได้ลงคอเชียวหรือ? ข้าว่าไม่ได้หรอกนะ”
เห็นใครก็เรียกเขาว่าผู้อาวุโส ในบรรดาลูกศิษย์สืบทอดสายเหวินเซิ่ง ยังคงเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายที่ได้รับการถ่ายทอดแก่นแท้จากอาจารย์ไปมากที่สุดจริงๆ อะไรที่เรียกว่าศิษย์ผู้รู้ใจ ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง หลักการเหตุผลมากมายไม่ต้องให้อาจารย์เอื้อนเอ่ยก็เข้าใจความหมายที่แท้จริงของมัน นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าเป็นศิษย์แห่งความภาคภูมิใจได้อย่างแท้จริง
ดังนั้นมีหรือที่ซิ่วไฉเฒ่าจะไม่ลำเอียง?
เจ้าจั่วโย่วจะยังน้อยใจไปทำไม หัดเรียนรู้จากจวินเชี่ยนให้มากเข้าสิ
อาจารย์ผู้เฒ่ากล่าว “เป็นข้าจำผิดหรือว่าเหวินเซิ่งแก่แล้วเลอะเลือนกันแน่ เจ้าเด็กนั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมของทะเลสาบซูเจี่ยน คนที่ทำเรื่องนี้ได้สำเร็จอย่างแท้จริงคือราชสำนักต้าหลีกับสำนักเจินจิ้งต่างหาก”
“อยู่กับผู้อาวุโสที่ความรู้สูงส่งดุจเทวดา ได้รับการยอมรับว่าคุยเก่งที่สุด เรียกเหวินเซิ่งไม่ใช่การด่าคนหรอกหรือ เรียกซิ่วไฉเฒ่าก็พอแล้ว ตัดคำว่าเฒ่าออก เปลี่ยนมาเป็นคำว่าหนุ่มก็จะสนิทกันมากขึ้นแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ากอดแขนข้างนั้นของผู้อาวุโสเอาไว้ตลอดเวลา หัวเราะฮ่าๆ เอ่ยว่า “อีกอย่างคำพูดประโยคนี้ของผู้อาวุโสพูดแล้วก็ให้รู้สึกผิดบาปยิ่งนัก ทุกเรื่องล้วนยากตอนเริ่มต้นเสมอ ข้าไม่เชื่อว่าแม้แต่หลักการเหตุผลเล็กน้อยเท่านี้ผู้อาวุโสก็ยังไม่เข้าใจ”
อาจารย์ผู้เฒ่าไม่มัวโต้เถียงเรื่องไร้สาระพวกนี้กับซิ่วไฉเฒ่า ซิ่วไฉเฒ่าจึงตวาดเบาๆ หนึ่งที กดลมปราณลงสู่จุดตันเถียนแล้วทิ้งตัวไปด้านหลัง กำแขนของผู้อาวุโสเอาไว้แน่น
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “มีเหตุผลหน่อย!”
ถูกซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนเช่นนี้ แสงกระบี่ที่ปรากฏอยู่ตรงม่านฟ้าของแจกันสมบัติทวีปก็ได้ร่วงลงในเมืองหลวงต้าหลีแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าแห่งศาลบุ๋น ลู่เฉินแห่งป๋ายอวี้จิง ความสามารถในการตอแยกวนใจผู้อื่น เรียกว่าเป็นหยกคู่ได้เลย
ซิ่วไฉเฒ่ายืดคอยาวออกไปมองดู หมดเรื่องชั่วคราวแล้ว คนก็จัดการไปแล้ว จึงรีบปล่อยมือทันที แล้วกระโดดผลุงไปด้านหลัง สะบัดชายแขนเสื้ออย่างแรง “เฉินผิงอันใช่คนของแจกันสมบัติทวีปหรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “แต่หนิงเหยาที่ออกกระบี่กลับเป็นคนต่างถิ่น ตามกฎที่ชุยฉานตั้งไว้ ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานต่างถิ่นคนหนึ่ง กล้าลงมือโดยพลการก็มีจุดจบแค่อย่างเดียว”
หากไม่ทำลายป๋ายอวี้จิงจำลองให้แหลกสลาย อาศัยความสามารถของตัวเองจากไป ก็ต้องหลบเลี่ยงแสงกระบี่ เผ่นหนีไปไกล สามารถหนีได้ก็ถือว่ามีความสามารถ ถึงอย่างไรวันหน้าหากขยับเข้าใกล้แจกันสมบัติทวีปอีก ต้าหลีก็จะต้อนรับด้วยมารยาททุกครั้ง
ซิ่วไฉเฒ่าพูดจาอย่างมีเหตุผลชอบธรรม “แม่หนูหนิงเป็นคนรักของลูกศิษย์คนสุดท้ายของข้า!”
อาจารย์ผู้เฒ่าขมวดคิ้วกล่าว “ตอนนี้ยังไม่ใช่”
ซิ่วไฉเฒ่าก้มหน้าค้อมเอว “หึ บังเอิญจริงๆ”
แล้วก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ถึงกับเป็นหนังสือหมั้นฉบับหนึ่ง
อย่ามองว่าตัวอักษรไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว ซิ่วไฉเฒ่าต้องดึงตัวอริยะปราชญ์ของศาลบุ๋นมาตั้งหลายคน ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันใคร่ครวญหาถ้อยคำ เรียบเรียงอย่างระมัดระวัง ถึงได้มีหนังสือหมั้นที่ใช้ถ้อยคำได้อย่างเฉียบแหลมงดงามฉบับนี้
มีชิ้นเดียวในใต้หล้าอย่างแน่นอน
ซิ่วไฉเฒ่าส่งหนังสือหมั้นมาให้ พึมพำว่า “เด็กสองคนนี้ อันที่จริงต่างก็ไม่เคยแลกเทียบและของขวัญกันมาก่อน เจ้าตะพาบเฒ่าเฉินชิงตูพูดไม่เป็นคำพูด เหยาชิงเต้าก็วางหน้าไม่ลง ได้แต่รอให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสส่งของหมั้นมาให้แล้วยังจะทำอย่างไรได้อีก โชคดีที่ปีนั้นข้าเคารพเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมือง มีครั้งใดบ้างที่พบเขาแล้วไม่ฉีกยิ้มหน้าบาน ยิ้มกว้างจนหน้าข้าชาไปหมดแล้ว ต้องไปดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของเฉินผิงอันหลายชาม อาการถึงจะดีขึ้น หากรู้แต่แรกว่าเฉินชิงตูไร้คุณธรรมในยุทธภพเช่นนี้ ข้าก็คงไปสู่ขอที่จวนหนิงและตระกูลเหยาด้วยตัวเองแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพลันเต้นผางพูดเสียงดัง “ตอนนี้ดีแล้ว ขอบเขตบินทะยานของแจกันสมบัติทวีปบ้านพวกเจ้าเองเป็นคนออกกระบี่ ทั้งทางส่วนรวมและส่วนตัวแล้วล้วนถือว่ามีเหตุผล เจ้ายังจะมาควบคุมกะผายลมอะไรอีก”
หางตาเหลือบไปมอง แม่หนูหนิงส่งกระบี่ออกไปอีกสองทีแล้ว ดีๆๆ สาแก่ใจยิ่งนัก
อาจารย์ผู้เฒ่ายื่นหนังสือหมั้นส่งคืนให้กับซิ่วไฉเฒ่าจอมตื๊อ
เพื่อลูกศิษย์คนสุดท้ายแล้ว ซิ่งไฉเฒ่าก็แทบอยากจะเอาหน้าเหี่ยวๆ ของตัวเองลงไปแนบพื้นแล้วจริงๆ
ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายต่างก็ไปจากแจกันสมบัติทวีปแล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าไม่มีเรื่องก็ตัวเบา ก่อนหน้านี้หนิงเหยาออกกระบี่ไปสามที เขาจึงคร้านจะถือสาอะไรอีก
อาจารย์ผู้เฒ่าถามชวนคุย “ไม่มีอะไรอยากจะกำชับจั่วโย่วบ้างหรือ?”
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยอย่างอัดอั้น “จะให้พูดอะไรเล่า ไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่าง ลูกศิษย์ปีกกล้าขาแข็งแล้วก็ไม่เชื่อฟังอาจารย์แล้ว”
อาจารย์ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด รู้สึกไม่เป็นธรรมแทนจั่วโย่วที่บอกว่าตัวเอง ‘ไม่เก่งทั้งเรียนหนังสือและฝึกกระบี่’ อยู่บ้าง พูดถึงใครล้วนเอ่ยเช่นนี้ได้ แต่พูดถึงจั่วโย่ว? เจ้าที่เป็นอาจารย์ มโนธรรมถูกสุนัขคาบไปกินแล้วหรือไร
ซิ่วไฉเฒ่าเอ่ยเสียงเบาว่า “ต่อให้ตัดใจไม่ลงแค่ไหนก็ไม่อาจห้ามไม่ให้ลูกศิษย์ทำเรื่องที่สมควรทำได้”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ย “ในที่สุดก็พูดจาอย่างที่บัณฑิตสมควรพูดบ้างแล้ว”
……
เด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงมุมของตรอก หยิบถั่วลิสงแห้งอบเกลือออกมาอีกกำใหญ่ กินไปพลางแอบมองประเมินเจ้าขุนเขาเฉินที่เต็มไปด้วยเรื่องเล่าอันน่าตื่นตาตื่นใจผู้นั้นไปด้วย
เส้นทางวรยุทธของเซียนกระบี่หนุ่มคล้ายด้ายหนึ่งเส้นที่ร้อยเรียงเอาถ้ำสวรรค์หลีจูและกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้ด้วยกัน
เฉินผิงอันหันหน้ามองไกลๆ ไปทางทิศตะวันตกของแจกันสมบัติทวีป ขอบเขตไม่พอ สนามรบห่างจากมหาสมุทรไกลเกินไป จึงมองไม่เห็น
เลยหันมาคุยเล่นกับเด็กหนุ่มแทน “ตามวิธีอธิบายคำของอาจารย์ผู้เฒ่าสวี่ คำว่า ‘จ้าว’ คือโน้มเอียง คือเริ่มต้น คือส่องแสง ขณะเดียวกันก็มีความหมายว่าเส้นทางงดงาม ดึงดูดให้คนเกิดความเคลิบเคลิ้ม สุดท้ายมีความงดงามของยามที่ดวงตะวันจันทราพร้อมใจกันส่องแสงแก่ใต้หล้า ปฏิบัติตัวเที่ยงตรง ประหนึ่งวิญญูชนถือหยก จิตใจใสสว่าง สะสมบุญกุศลคุณความดีเอาไว้ย่อมดีกว่าทิ้งเงินทองไว้ให้ลูกหลาน ดังนั้นชื่อของเจ้าจึงดีมาก”
เด็กหนุ่มเบิกตากว้าง “แซ่ของข้าบวกกับชื่อสองตัว รวมกันแล้วแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ?!”
เซียนกระบี่พูดจาก็ควรต้องมีความรับผิดชอบบ้างกระมัง? คงไม่ใช่แค่ว่าคว้าเด็กตัวเท่าก้นคนหนึ่งมาคุยด้วยได้ก็พูดจาเหลวไหลเพื่อหวังจะตีสนิทหรอกนะ?
จ้าวตวนหมิงเช็ดปาก พอได้ยินเฉินผิงอันพูดเช่นนี้ เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าลำพังอาศัยแค่ชื่อนี้ของตนก็ต้องได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแน่นอนแล้ว
เฉินผิงอันหันหน้าไปเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ผู้อาวุโสในตระกูลเจ้า และยังมีอาจารย์ที่โรงเรียน ล้วนไม่เคยบอกเรื่องนี้กับเจ้าหรือ?”
จ้าวตวนหมิงโอดครวญ “ตอนที่อาจารย์สอนหนังสือในห้องเรียนครั้งแรกก็คงจะพูดอยู่ แต่ข้ากลับพลาดไป ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดถึงพลาดไป เฮ้อ เรื่องในวันวานไม่อาจหวนคืน อย่าไปพูดถึงเลยจะดีกว่า”
ตอนเด็กมักจะถูกฟ้าผ่าบ่อยๆ มีครั้งหนึ่งที่เด็กชายแบกถุงหนังสือไปอย่างอารมณ์ดี ระหว่างที่กระโดดโลดเต้นไปบนเส้นทางที่ไปยังโรงเรียนของตระกูล เสียงเปรี้ยงดังหนึ่งทีก็ล้มลงไปนอนกองกับพื้นแล้ว
อีกครั้งหนึ่งคือตอนออกจากบ้านไปดูโคมไฟ ครั้งที่สามคือตอนเดินขึ้นสู่ที่สูงไปชมสายฝน ถึงท้ายที่สุดหากเจอกับอากาศอึมครึมเหมือนฝนจะตกเมื่อไหร่ก็ไม่มีใครยินดีมายืนข้างกายเขาอีกแล้ว
แต่จ้าวตวนหมิงใคร่ครวญดูแล้ว ด้วยโชคชะตาที่ ‘โชคร้ายผ่าหัว’ นี้ของตน นั่นต้องไม่ใช่ครั้งสุดท้ายอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันยื่นมือออกไป แบฝ่ามือออก เด็กหนุ่มก็เทถั่วลิสงแห้งอบเกลือให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติ
จ้าวตวนหมิงเอ่ย “ก่อนหน้านี้ข้าขวางพวกท่านไม่ให้เข้ามาในตรอก ท่านเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ขนาดนี้คงไม่จดจำความแค้นหรอกกระมัง”
ดูเหมือนว่าจะขาดตัวอักษรไปคำหนึ่ง
เฉินผิงอันก้มหน้ากัดเปลือกถั่วลิสงแห้งอบเกลือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แค่เจ้าเอ่ยประโยคนี้ ข้าก็ไม่จดลงบัญชีแล้ว”
จ้าวตวนหมิงเห็นคนผู้นั้นกัดเปลือกคายเปลือกถั่วลิสงอย่างคุ้นเคย เด็กหนุ่มก็พูดกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าขุนเขาเฉิน คิดไม่ถึงว่าท่านจะเข้ากับคนง่ายขนาดนี้ ไม่เหมือนเซียนกระบี่เลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ จะถือว่าเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร ที่บ้านเกิดของภรรยาข้าได้แค่ถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่เท่านั้น หากเรียกว่าเซียนกระบี่ก็คือการจงใจด่าคนแล้ว”
จ้าวตวนหมิงจดจำเรื่องวงในที่หลุดออกมาจากปากของอิ่นกวานหนุ่มเรื่องนี้เอาไว้ ที่แท้เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ได้รับความสำคัญเลยสักนิด เผด็จการจริงเสียด้วย!
เดี๋ยวคราวหน้าจะต้องเอาไปโอ้อวดเจ้าผีขี้เหล้าเฉาให้ได้ เด็กหนุ่มนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่สะใภ้ล่ะ? ทำไมไม่เห็นมาที่นี่กับพี่ใหญ่เฉินด้วย? หรือว่าคนเมื่อครู่ที่ออกกระบี่ก็คือพี่สะใภ้? นิสัยช่าง…เยี่ยมนัก! พี่ใหญ่เฉินช่างโชคดีจริงๆ ขอข้าพูดจากใจจริงสักประโยคนะ ไม่ใช่ว่าพอรู้ตัวตนของพี่ใหญ่เฉินแล้วถึงได้เอ่ยประจบอะไรจริงๆ แต่เป็นก่อนหน้านี้ครั้งแรกที่เห็นก็รู้สึกแล้วว่าพวกท่านสองคนคือคู่สร้างคู่สม”
คำพูดประโยคนี้เปลี่ยนเฉินผิงอันและคนรักของเขาให้เป็นพี่ใหญ่และพี่สะใภ้ที่ตัวเองเก็บมาได้เปล่าๆ ไปทันที
เฉินผิงอันอืมๆๆ ตอบรับไม่หยุด เด็กหนุ่มคนนี้เข้าใจพูดยิ่งนัก ถ้าอย่างนั้นก็พูดเยอะๆ หน่อย ส่วนเรื่องที่ถูกจ้าวตวนหมิงตีสนิทก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่เฉินผิงอันแอบเลิกเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ยิ้มพลางเขย่าถั่วลิสงในมือ บอกเป็นนัยกับอีกฝ่ายว่ามองแค่พอสมควรก็พอแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงเด็กหนุ่มคนนี้
——