กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 833.2 ราชครูเฉินผิงอัน
บนถนน ผู้ฝึกตนผู้ถวายงานทั้งหลายในที่ว่าการกรมโยธาของราชสำนักต้าหลีกำลังพาคนมาซ่อมแซมถนนอยู่ทางฝั่งนั้น พอเห็นเซียนกระบี่ชุดเขียวก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
หากเป็นราชวงศ์ล่างภูเขาทั่วไปย่อมต้องถูกปล่อยทิ้งไว้ข้ามคืน
เมืองหลวงต้าหลีคือสถานที่ที่โชคดีที่สุด เพราะมีซิ่วหู่
ระยะเวลาสั้นๆ แค่ร้อยปีก็ช่วยสร้างกองทัพม้าเหล็กชายแดนให้กับราชวงศ์ต้าหลี สามารถเอาชีวิตรอดในสถานการณ์ที่ต้องตาย แม้ตกอยู่ในภาวะจนตรอกก็ยังเอาตัวรอดได้ ช่วงชิงชัยชนะมาจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบ มีบางครั้งที่พ่ายแพ้ในการสู้รบ แม่ทัพบู๊ล้วนตายทั้งหมด
จ้าวตวนหมิงโผล่หัวออกมาจากมุมตรอก รองเจ้ากรมจ้าวผู้นี้ เมื่อก่อนแค่เคยมองอยู่ไกลๆ สองสามที ที่แท้ก็หน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ พูดประโยคที่มีนโนธรรมสักหน่อย หากเป็นด้านการต่อสู้ คาดว่ารองเจ้ากรมจ้าวร้อยคนก็คงสู้เซียนกระบี่เฉินคนเดียวไม่ได้ แต่หากพูดถึงหน้าตา พี่ใหญ่เฉินสองคนก็ยังไม่แน่ว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้
จ้าวเหยาทักทายขุนนางกรมโยธาของต้าหลีคนหนึ่งที่สนิทสนมกันก่อน จากนั้นก็นั่งยองอยู่ข้าง ‘ปากบ่อน้ำ’ มองอยู่สองสามทีถึงได้เดินมาทางตรอกเล็ก ประสานมือคารวะเฉินผิงอัน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะเจ้าขุนเขาเฉิน”
เฉินผิงอันยิ้มพลางส่ายหน้า “ล้วนเป็นคนบ้านเดียวกัน ต้องเกรงใจอะไร เรียกอาจารย์อาก็พอแล้ว”
เด็กหนุ่มที่เงี่ยหูตั้งใจแอบฟังอยู่ตลอดรู้สึกว่ายามที่พี่ใหญ่เฉินพูดคุยกับคนนอก ค่อนข้างมีนัยยะชวนให้ขบคิดนะ
จ้าวเหยาถาม “แม่นางหนิงยังไม่กลับมาหรือ?”
เฉินผิงอันยืดคอยาวมองไปยังสองฝั่งของถนน ห่างไปค่อนข้างไกลถึงจะมีต้นไม้ใหญ่ที่กิ่งไม้สูง
จ้าวเหยายิ้มกล่าว “สาวงามแสนดีย่อมเป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม จิตใจเลื่อมใสชื่นชมที่จ้าวเหยามีต่อแม่นางหนิง ฟ้าดินเป็นพยาน ไม่มีอะไรไม่กล้ายอมรับ แล้วก็ไม่มีอะไรให้ไม่กล้าพบเจอผู้คน เจ้าขุนเขาเฉินอย่าได้จงใจทำเช่นนี้เลย”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า ใช้ภาษาถิ่นของบ้านเกิดอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูเอ่ยประโยคที่ตีให้ตายเด็กหนุ่มก็ฟังไม่เข้าใจกับจ้าวเหยา ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นคำพ้องเสียงของภาษาทางการต้าหลีก็จะได้ประโยคว่า…โตวอินเปียนเลอะ หว่อซื่อฉือเหยียนล่างเหยียน เซี่ยซินเซ่อ (ประโยคนี้เป็นแค่การนำคำพ้องเสียงหลายคำมารวมกันเป็นประโยค ซึ่งไม่สามารถแปลเป็นคำที่มีความหมายได้)…นี่มันบ้าบออะไรกับอะไรกัน จ้าวตวนหมิงฟังแล้วมึนงงไปหมด
หนิงเหยากลั้นขำ นางรู้ว่าเฉินผิงอันพูดอะไร เพราะปีนั้นเคยฟังภาษาถิ่นของเมืองเล็กมาก่อน ภายหลังนางจึงจดจำคำที่พ้องเสียงทั้งหมดเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นประโยคนี้ เฉินผิงอันกำลังสั่งสอนจ้าวเหยาว่า ดึกดื่นแล้ว ยังออกมาเที่ยวเล่นทำตัวเสเพลอยู่อีก ระวังหน่อย (โตวต้าหว่านซ่างเลอะ ไหซื่อฉือหวานล่างหวานเตอะ เสี่ยวซินเตี่ยน)
นี่ถือเป็นวลีติดปากของบ้านเกิดพวกเขาสองคนที่ผู้อาวุโสในตระกูลมักจะใช้ด่าเด็กรุ่นเยาว์ที่ดื้อรั้นเกเร
เน่อสิงเหย่อิ่นสือ ทาลาซื่อ?
มาหาเจ้ามีธุระ มีธุระอะไร? (ไหลจ่าวหนี่โหย่วซื่อ เสินเมอะซื่อ?)
เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงฟังแล้วเหมือนตกลงไปในเมฆหมอก ทว่าหนิงเหยาที่อยู่ในโรงเตี๊ยมกลับลุกขึ้นมานั่งแล้ว เท้าคางด้วยมือข้างเดียว ฟังอย่างเพลิดเพลิน นางล้วนฟังเข้าใจนี่นะ
จ้าวเหยาพลันใช้ภาษาทางการของต้าหลีเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งจะได้ข่าวหนึ่งมา อาจารย์ปู่มาถึงป๋ายอวี้จิงจำลอง เริ่มนั่งลงถกกถามรรคกับคนอื่นแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าย่อมต้องรู้ก่อนเจ้าอยู่แล้ว”
โต้เถียงกันสนุกนักหรือ? ยังดี ถึงอย่างไรก็ต้องชนะ นี่จึงเป็นเหตุให้สำหรับอาจารย์ของตนแล้ว รสชาติธรรมดาจริงๆ
ความน่าสนใจที่ใหญ่ที่สุดยังอยู่ที่ว่า โต้เถียงกันไปเพื่ออะไร
อริยะคืออะไร คือการใช้ความรู้มาประคับประคองใจคนให้เที่ยงตรง ใช้มรรคกถามาปะชุนซ่อมแซมฟ้าดิน
สิ่งที่คนผู้หนึ่งผสานมรรคาด้วยคือแจกันสมบัติทวีป ใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป
แผ่นดินใหญ่ของสามทวีป พืชพรรณก่อกำเนิดเติบโต บุปผาผลิบานสีสดงามสะพรั่ง ต้นไม้แห้งเหี่ยวได้เจอกับวสันตฤดู โชคชะตาน้ำรวมตัว รากฐานภูเขาประสานเป็นหนึ่ง ฤดูร้อนอากาศแผดเผา จุดที่แห้งแล้งสวรรค์ประทานฝนรสหวาน
ภาพบรรยากาศฟ้าดินนี้ ทุกวันนี้เฉินผิงอันที่ยังคงถูกใต้หล้าไพศาล ‘สยบกำราบ’ อย่างที่มองไม่เห็น แน่นอนว่าย่อมสัมผัสได้เร็วกว่าจ้าวเหยา
จ้าวเหยาที่อดทนข่มกลั้นมานานเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน สรุปแล้วเจ้าจะมาเอาชนะคะคานอะไรกับข้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “เห็นเจ้าแล้วมันขัดตา”
จ้าวเหยาเอ่ยอย่างฉุนๆ ปนขัน “แม่นางหนิงไม่ได้ชอบข้าเสียหน่อย เจ้าจะขัดตากับผายลมอะไร”
เฉินผิงอันร้องเอ๊ะหนึ่งที “ใต้หล้านี้ถึงกับมีศิษย์หลานที่พูดจาแบบนี้กับอาจารย์อาด้วยหรือ?”
จ้าวเหยาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เอ่ยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว คืนนี้ข้าก็แค่มาเพื่อพบเจอกับอาจารย์อาน้อยที่คุณความเหนื่อยยากสูงส่งอย่างเจ้าเท่านั้น”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “อันที่จริงก็ไม่จำเป็น เป็นขุนนางของเจ้าดีๆ ไป หลายๆ เรื่องอย่าเข้าไปยุ่งเกี่ยว อย่างน้อยก็อย่าเพิ่งเข้าไปยุ่งตอนนี้”
นี่เป็นประโยคจากใจจริง ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ยังคงหวังว่าคนวัยเดียวกันที่เดินออกไปจากเมืองเล็กของบ้านเกิดจะมีชีวิตที่ดีอยู่ข้างนอก ไม่ต้องถึงขั้นตกอับหมดหวังมากเกินไปนัก
จ้าวเหยาโบกมือ หมุนกายแล้วเดินจากไปทันที
เฉินผิงอันเปิดปากเอ่ย “จ้าวเหยา พูดประโยคนอกเรื่องสักคำ เจ้ากับกรมพิธีการมีความสัมพันธ์กันอย่างไร หากความสัมพันธ์นับว่าพอใช้ได้ เจ้าช่วยทำเรื่องที่ค่อนข้างเปลืองแรงแต่ไม่ได้ประโยชน์สักเรื่องได้ไหม ยกตัวอย่างเช่นให้ผู้ฝึกตนบนภูเขาใช้เวทตระกูลเซียนรวบรวมภาษาถิ่นของแต่ละสถานที่ในหนึ่งทวีป เอามาจดลงบันทึกให้ดี เพราะตำราสามารถจัดพิมพ์ใหม่ได้ แต่ภาษาถิ่นหากหายไปก็จะไม่เหลืออยู่แล้วจริงๆ และเรื่องนี้บางทีอาจเกี่ยวพันกับโชคชะตาบุ๋นของแคว้น ไม่ถือว่าเป็นการเหนื่อยเปล่าไปเสียหมด เจ้ามีความคิดอย่างไร?”
จ้าวเหยาหันหน้ามายิ้มบางๆ “ราชสำนักลงมือทำนานแล้ว ขุนนางที่เรียบเรียงก็คือข้า ถือว่าทำงานควบสองอย่าง สามารถรับเงินเดือนได้สองส่วน”
จุ๊ๆ แค่นี้ก็คิดว่าสามารถกู้คืนศักดิ์ศรีกลับมาได้แล้วหรือ? เด็กน้อยไปหน่อยหรือไม่? จอมยุทธ์น้อยที่เพิ่งหัดบิน ไม่รู้น้ำลึกของยุทธภพกันจริงๆ
เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันพยักหน้ารับ พูดด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม “เติบใหญ่แล้ว”
จ้าวเหยาเดินจากไปทันทีไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
รอกระทั่งใต้เท้ารองเจ้ากรมอาญาเดินจากไปไม่เหลือเงาแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้เดินอาดๆ ออกมาจากตรอก ยกนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน ยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่เฉินพูดคุยกับคนอื่น ร้ายกาจยิ่ง!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อย่าเรียนรู้เรื่องแบบนี้ ไม่มีความหมายอะไรหรอก วันหน้าก็ตั้งใจฝึกตนของเจ้าให้ดี”
เด็กหนุ่มพลันถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เซียนกระบี่เฉิน ท่านรู้สึกว่าในอนาคตข้าสามารถเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้ล่ะ?”
จ้าวตวนหมิงสีหน้าหม่นหมอง เอ่ยเสียงเบา “อาจารย์บอกว่าการที่ข้าฝ่าทะลุขอบเขตในการฝึกตนเร็วขนาดนี้ เพราะเป็นการเบิกใช้ล่วงหน้า อย่าเห็นว่าข้าอายุไม่มากก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรแล้ว แต่ชั่วชีวิตนี้หากไม่ผิดไปจากที่คาด อันที่จริงอย่างมากสุดข้าก็เป็นได้แค่โอสถทองคนหนึ่งเท่านั้น”
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง มองเด็กหนุ่มแห่งเมืองหลวงที่แอบดื่มสุราไปไม่น้อยผู้นี้ด้วยสีหน้าอ่อนโยน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าประโยคถัดมาของเฉินผิงอันจะยิ่งทำให้อารมณ์ของเด็กหนุ่มดิ่งลงมากกว่าเดิม เพราะขนาดเซียนกระบี่ท่านหนึ่งก็ยังพูดแล้วว่า “อย่างน้อยที่สุดดูจากตอนนี้ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบได้ยากมาก โอสถทอง ก่อกำเนิดก็ยังมีธรณีสูง มีด่านใหญ่ที่ก้าวข้ามไปได้ยากยิ่งกว่าผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ก็เหมือนว่าเจ้ากำลังใช้หนี้ เพราะก่อนหน้านี้การฝึกตนของเจ้าราบรื่นเกินไป ทุกวันนี้เจ้าเพิ่งจะอายุเท่าไรเอง สิบสี่ หรือว่าสิบห้า? ก็เป็นขอบเขตประตูมังกรแล้ว ดังนั้นก่อนหน้านี้อาจารย์ของเจ้าจึงไม่ได้หลอกเจ้า”
เด็กหนุ่มเงียบงัน
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มเอ่ยอีกประโยคว่า “จ้าวตวนหมิง เจ้ารู้สึกว่าคืนนี้ได้พบเจอข้าโดยบังเอิญ ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่เล็กไม่ใหญ่เรื่องหนึ่งหรือไม่?”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้า นั่นมันก็แน่อยู่แล้ว อิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าขุนเขาเฉินที่สามารถทำให้ผีขี้เหล้าเฉาพูดคุยได้มากขึ้นหลายประโยค โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นบุรุษของหนิงเหยา คนผู้หนึ่งที่สามารถทำให้จ้าวเหยา ‘ฉู่เซียง’ (อีกชื่อเรียกหนึ่งของบัณฑิตทดลองปฏิบัติราชการประจำสำนักราชบัณฑิตหลวง หรือผู้ช่วยในสภาขุนนาง สถานะสูงส่ง) แห่งต้าหลีสะอึกอึ้งพูดไม่ออกในทุกเรื่อง! ก่อนหน้าวันนี้ แม้แต่ฝันเด็กหนุ่มก็ยังไม่รู้สึกว่าตัวเองจะได้พบเจอกับเฉินผิงอัน แล้วยังสามารถพูดคุยกับเขาได้นานขนาดนี้ ได้ดื่มเหล้ากินถั่วลิสงด้วยกัน
เฉินผิงอันถามอีกว่า “นี่ก็ไม่ใช่เรื่องไม่คาดฝันหรอกหรือ?”
ดวงตาจ้าวตวนหมิงเป็นประกายวาบ “ก็จริงนะ!”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คนที่เป็นอาจารย์ในใต้หล้านี้ แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาที่จริงจังตั้งใจอย่างอาจารย์ของเจ้า ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีใครที่ไม่อยากให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของตนเป็นศิษย์เก่งกว่าครู จ้าวตวนหมิง เจ้าจงตั้งใจฝึกตนไปให้ดี อย่าเอาแต่จับจ้องห้าขอบเขตบนที่อยู่ใกล้สุดขอบฟ้าก่อน ไม่อย่างนั้นยิ่งคิดก็จะยิ่งรู้สึกย่ำแย่ ตอนนี้เจ้าต้องคอยเตือนตัวเองด้วยประโยคหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นว่า ‘อาจารย์ ท่านอดทนรอไปก่อนเถอะ สักวันหนึ่ง ศิษย์จะต้องมอบเรื่องไม่คาดฝันให้กับท่าน’ จ้าวตวนหมิง เจ้ามีใจเช่นนี้หรือไม่?”
ดวงตาของเด็กหนุ่มใสกระจ่าง พยักหน้ารับด้วยสีหน้าหนักแน่น “มีได้สิ! ก็แค่ความคิดเท่านั้น ไม่เห็นจะยาก”
เฉินผิงอันตบไหล่ของเด็กหนุ่ม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะบอกเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ตอนที่ข้าโตเท่าเจ้า สะพานแห่งความเป็นอมตะได้ขาดสะบั้น จำต้องฝึกหมัดทุกวันเพื่อรักษาชีวิตรอด ถึงเพิ่งจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหนึ่ง แล้วลองมามองข้าในวันนี้ ถือว่าเป็นเรื่องไม่คาดฝันหรือไม่?”
จ้าวตวนหมิงกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “ไม่ได้หลอกข้านะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก ขยับเท้าเดินไปทางโรงเตี๊ยม “ก่อนหน้านี้เจ้าขอเหล้าจากข้าสองกา ข้าไม่ได้มอบให้ เหลือค้างไว้ก่อน รอให้วันใดเจ้าเลื่อนเป็นก่อกำเนิดและหยกดิบแล้ว ข้าค่อยเลี้ยงเหล้าเจ้า”
เด็กหนุ่มมองแผ่นหลังคนชุดเขียวแล้วตะโกนถามเสียงดัง “เฉินผิงอัน พูดเป็นคำพูดหรือไม่?!”
มือกระบี่ชุดเขียวไม่ได้หันตัวกลับ เพียงแค่ยกมือขึ้นกำเป็นหมัดเบาๆ “มือกระบี่เช่นข้า สุราไม่หลอกยุทธภพที่สุด”
ในโรงเตี๊ยม หนิงเหยาก้มหน้าลง วางคางไว้บนหลังมือ ขนตาขยับกระพือเบาๆ
……
ในวังหลวง
รองเจ้ากรมพิธีการต่งหูรายงานบทสนทนาในตรอกเล็กให้ฮ่องเต้และไทเฮาเหนียงเนียงฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
ก่อนหน้านี้สตรีออกเรือนแล้วเดินไปเปิดหน้าต่างจึงยืนอยู่ตรงหน้าต่างตลอด
ฮ่องเต้พยักหน้ายิ้มรับ ไทเฮาเองก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ต่งหูจึงรู้ว่าคืนนี้ไม่มีเรื่องของตนแล้ว
เพียงแต่ว่าเดินไปถึงหน้าประตูห้อง ต่งหูพลันหยุดเท้า หันหน้ามาประสานมือคารวะฮ่องเต้ก่อน รองเจ้ากรมผู้เฒ่าค่อยยืดตัวขึ้น “ฝ่าบาท กระหม่อมเคยป่วยหนักตอนปีที่หกของรัชสมัยหยวนโซ่ว ตอนนั้นถึงกับจำต้องลาออกจากการเป็นขุนนาง ถึงได้กล้าทำหน้าหนาขอเทียบอักษรฝึก อบรมตนเอง ดูแลครอบครัว ปกครองบ้านเมือง ใต้หล้าสงบสุขมาจากราชครูชุยฉาน”
ซ่งเหอยิ้มกล่าว “เราย่อมทราบเรื่องนี้ นอกจากเจ้า ราชครูก็ไม่เคยมอบเทียบอักษรให้ใคร ดังนั้นตอนนั้นนี่จึงเป็นเรื่องเล่าอันดีงามในราชสำนักเรื่องหนึ่ง เราก็อิจฉาเหมือนกัน”
ภายหลังขุนนางกรมพิธีการต้าหลีไปที่ถ้ำสวรรค์หลีจู คนที่ช่วยราชสำนักคัดลอกอักษรซุ้มป้ายนั้นก็คือต่งหู
สตรีออกเรือนแล้วหันหน้ามา หัวเราะหยันเอ่ยว่า “รองเจ้ากรมต่ง แอบชี้แนะอย่างลับๆ รึ? ไหนลองว่ามาสิ วงการขุนนางต้าหลี แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเคารพกฎข้อที่ราชครูเป็นผู้ตั้งมาโดยตลอด บุ๋นและบู๊ บู๊และบุ๋น ล้วนพูดแค่คำพูดที่สองฝ่ายฟังเข้าใจ”
คนปวกเปียกในวงการขุนนางที่แม้แต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดหลิวเจียก็ยังรู้อย่างต่งหูผู้นี้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คืนนี้เผชิญหน้ากับการซักถามของไทเฮา กลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่ากล้าที่จะยืดเอวตรงตอบนาง “ในเมื่อไทเฮาทรงถามขึ้นมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นกระหม่อมก็จะพูดให้ตรงไปตรงมาเสียหน่อย ฝึกอบรมตน ดูแลครอบครัว ปกครองบ้านเรือน ใต้หล้าสงบสุข สี่เรื่องนี้แน่นอนว่าลำดับขั้นตอนจะวุ่นวายไม่ได้ อีกทั้งหนักเบา ดีร้าย เล็กใหญ่ ก็ล้วนมีการแบ่งแยกอย่างชัดเจน”
สตรีออกเรือนแล้วทำท่าจะเปิดปากพูด ฮ่องเต้ซ่งเหอกลับพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าอ่อนโยนก่อนแล้ว “รองเจ้ากรมต่ง เจ้ากลับจวนไปพักผ่อนก่อนเถอะ คืนนี้รบกวนเจ้าแล้ว”
ต่งหูถวายบังคมฮ่องเต้ แล้วจึงถอยออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบ
ซ่งเหอพูดเสียงเบาว่า “เสด็จแม่อย่าโกรธเลย รองเจ้ากรมต่งก็แค่พูดประโยคที่รองเจ้ากรมพิธีการคนหนึ่งสมควรพูด”
สตรีออกเรือนแล้วพยักหน้า เดินออกมาจากหน้าต่าง กลับมานั่งที่เดิมอย่างชดช้อย ยิ้มกล่าวว่า “ไม่สมควรขุ่นเคืองต่งหูให้เสียอารมณ์จริงๆ ตัวคนไม่เลว ละเอียดรอบคอบ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นขุนนางได้ไม่แย่ การที่การผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนในที่ว่าการกรมพิธีการมีระบบระเบียบ ต่งหูก็เป็นคนที่มีคุณความชอบจริงๆ”
ซ่งเหอผ่อนลมหายใจโล่งอก
แม้จะพูดอย่างนี้ กลัวก็แต่ว่าเรื่องของการอวยยศย้อนหลังให้กับต่งหูในอนาคตคงจะเกิดอุปสรรคที่ไม่เล็กแน่แล้ว
เสด็จแม่มักจะทำอะไรเช่นนี้เสมอ มักจะทำให้คนหาข้อบกพร่องใหญ่โตอะไรไม่เจอ ไม่มีอะไรพอที่จะวิจารณ์ได้ แต่บางครั้งก็จะทำให้คนรู้สึกว่าขาดอะไรบางอย่างไป
ซ่งเหอฉีกส้มออกมาหนึ่งกลีบ เอ่ยว่า “อาจารย์เหวินเซิ่งไปถึงป๋ายอวี้จิงจำลองก็ถกกถามรรคกับท่านผู้นั้น เป็นพระคุณต่อขุนเขาสายน้ำสามทวีปซึ่งมีแจกันสมบัติทวีปเป็นหนึ่งในนั้น นี่ก็หมายความว่าศาลบุ๋นต้องถือโอกาสนี้มามองต้าหลีเพิ่มมากขึ้นอีกหน่อย”
สตรีออกเรือนแล้วยิ้มกล่าว “ตื่นเต้นอะไร นี่ไม่ควรจะเป็นเรื่องดีหรอกหรือ? มีหนิงเหยาที่ไม่เคารพกฎของต้าหลีก่อน ออกกระบี่ฟันคนส่งเดชอยู่ในพื้นที่สำคัญอย่างเมืองหลวง ภายหลังก็มีเหวินเซิ่งที่มาเยือนแจกันสมบัติทวีป หรือว่ายังจะบีบคั้นคนอื่นอีก? อิ่นกวานอายุน้อยอารมณ์พลุ่งพล่าน ระหว่างที่ประชุมในศาลบุ๋นสามารถอาศัยคุณความชอบอันน้อยนิดและสถานะของสายบุ๋นพูดจาไร้ยำเกรงกับทุกคน ตีกับคนหนึ่งแล้วยังไปตีกับอีกคนหนึ่งได้ ทว่าชื่อเสียงเรื่องความโอหังกำแหงกลับใกล้จะใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว แต่เหวินเซิ่งที่เป็นอริยะซึ่งมีรูปปั้นตั้งวางอยู่ในอันดับที่สี่ของสายบุ๋น ถึงอย่างไรก็ควรจะใช้เหตุผลดีๆ กระมัง?”
ซ่งเหอกล่าว “เฉินผิงอันประสบความสำเร็จอย่างในทุกวันนี้ได้ เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย แม้ว่าจะไม่เคยพบหน้า แต่ข้ายินดีที่จะมีใจเคารพนับถือคนผู้นี้”
สตรีออกเรือนแล้วยิ้มตาหยีพลางพยักหน้ารับ “ก็ใช่น่ะสิ นี่คือความใจกว้างของฮ่องเต้อย่างเจ้า หากใจแคบเป็นไส้ไก่สิถึงจะไม่เหมาะสม เอาเป็นว่าเจ้าอย่าได้กลัวเขาก็แล้วกัน”
ซ่งเหอไร้คำพูดตอบโต้ วางส้มกลีบนั้นใส่ปาก เคี้ยวเบาๆ รสฝาดเล็กน้อย
หลังจากรองเจ้ากรมผู้เฒ่าออกมาจากวังหลวงก็ยังคงนั่งโดยสารรถม้าคันเดิมเพียงแต่เปลี่ยนสารถี กลับไปยังจวนที่พัก
หลิวเจียยิ้มถาม “ใต้เท้าต่ง อารมณ์ไม่ดี? เจอเรื่องใหญ่มาหรือ?”
ต่งหูไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน เกือบจะอดไม่ไหวผรุสวาทออกไปแล้ว เจ้าจะไปรู้กะผายลมอะไร ยิ้มทำบ้าบอคอแตกอะไร หากไม่ระวังแม้เพียงนิด ราชสำนักต้าหลีของพวกเราก็ต้องเปลี่ยนฟ้าแล้ว!
——