กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 834.2 ประหนึ่งลากเรือกลวง
เฉินผิงอันเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนถามว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า ดูเหมือนว่าครั้งนี้จำนวนคนจะมากเป็นพิเศษ ดูท่าแล้วมีถึงประมาณสามหมื่น?”
ผู้ถวายงานเฒ่าพยักหน้ารับ “เพราะหากนับย้อนขึ้นมาจะเป็นกลุ่มที่สอง ดังนั้นจำนวนจึงค่อนข้างมาก”
อันที่จริงเดิมทีผู้ถวายงานเฒ่าไม่เต็มใจจะพูดคุยด้วยมากนัก เพียงแต่แขกไม่ได้รับเชิญคนนี้เอ่ยคำว่า ‘จำนวนคน’ ไม่ได้ใช้ถ้อยคำประเภทว่าวิญญาณหรือภูตผีอะไร ผู้เฒ่าถึงได้ยินดีคุยด้วย
อาณาเขตทิศเหนือของต้าหลี ในสถานที่มังกรลุกผงาดมักจะมีพิธีขมากรรมธรณีธาราที่หน่วยแปลคัมภีร์ของเมืองหลวงเป็นผู้ดำเนินงานและพิธีบวงสรวงสวรรค์ที่หน่วยจงซวีเป็นผู้รับผิดชอบถูกจัดขึ้นทุกปี เพื่อนำพาวิญญาณที่ตายดับไปแล้วซึ่งอยู่บนซากปรักสนามรบให้หวนกลับคืนมาตุภูมิทางทิศเหนือ จัดมานานหลายปีแล้ว ไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่สิ้นสุดลง นั่นเป็นเพราะคนของกองทัพชายแดนต้าหลีที่ไปรบตายต่างบ้านต่างเมืองมีมากเกินไปจริงๆ หลายปีมานี้ราชสำนักต้าหลีได้ฮ่องเต้เป็นผู้ออกราชโองการ กรมพิธีการเป็นผู้นำในการเตรียมการด้านต่างๆ กรมคลังควักเงิน กรมกลาโหมส่งคนมาดูแลความปลอดภัย ลำพังเพียงแค่กองทัพหยินข้ามดินแดนที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรขบวนแล้วขบวนเล่าก็ต้องเปิดเส้นทางขุนเขาสายน้ำที่สิ้นเปลืองทรัพยากรไปนับไม่ถ้วนถึงสามเส้นแล้ว
ทุกครั้งที่ออกเดินทางจะต้องมีวิญญาณเร่ร่อนที่ตายอยู่บนสนามรบหลายพันหรืออาจถึงหมื่นกว่าดวงที่ต้องหยุดพักตอนกลางวัน หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกแสงแดดชำระล้างเศษซากดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ จะไปพักพิงอยู่ในค่ายกลขุนเขาสายน้ำที่ผู้ฝึกลมปราณของต้าหลีสร้างขึ้นรายทาง ออกเดินทางเฉพาะยามค่ำคืนเท่านั้น มีทั้งภิกษุสมณศักดิ์สูงที่ท่องคัมภีร์ไปตลอดทาง ถือบาตรนำทาง แล้วก็มีเจินเหรินลัทธิเต๋าคอยท่องคาถา แกว่งกระดิ่งชักนำ ยิ่งมีผู้ฝึกลมปราณจากกองโหราศาสตร์และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีคอยอยู่สองข้างทาง ป้องกันไม่ให้วิญญาณเร่ร่อนหนีกระจัดกระจายไปที่อื่น บวกกับความร่วมมือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำ เทพอภิบาลเมืองและศาลบุ๋นบู๊ของแต่ละสถานที่ ถึงได้ทำให้เรื่องนี้ไม่เคยเกิดข้อผิดพลาดใหญ่ ไม่ไปรบกวนชาวบ้านในโลกคนเป็น
เล่าลือกันว่ารองเจ้ากรมกลาโหมของเมืองหลวงคนหนึ่งที่มาจากกองทัพชายแดนเคยข่มขู่ขุนนางกรมคลังอย่างเปิดเผยว่า อย่ามาพูดเรื่องความลำบากใจอะไรกับข้าผู้อาวุโส เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษา ต่อให้กรมคลังของพวกเจ้าต้องทุบหม้อขายเหล็ก รื้อถอนวัสดุต่างๆ ของห้องในที่ว่าการออกมาแลกเป็นเงินก็ต้องรับรองว่าวิญญาณของทหารชายแดนต้าหลีที่ตายไปทั้งหมดจะไม่ต้องติดค้างอยู่ในซากปรักสนามรบนานเกินไปจนเป็นเหตุให้วิญญาณแหลกสลาย ด้วยเรื่องนี้กรมกลาโหมยังตั้งใจดึงคนออกมาห้าหกคน ทุกวันจะต้องไป ‘ทำงาน’ ชั่วคราวอยู่ในที่ว่าการกรมคลัง รับหน้าที่คอยเฝ้าสังเกต ตรวจสอบความคืบหน้าของเรื่องนี้ การทะเลาะโต้เถียงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นประจำ
นอกจากผู้ฝึกตนผู้ถวายงานของต้าหลี นักปราชญ์วิญญูชนของสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อ ยอดฝีมือสองลัทธิพุทธเต๋าที่คอยนำทางไปตลอดทางแล้ว ก็ยังมีอาจารย์แห่งผืนดินของกองโหราศาสตร์ วิญญาณวีรบุรุษศาลบุ๋นบู๊ของเมืองหลวง ศาลเทพอภิบาลเมืองประจำนครหลวง ศาลเทพผืนดินแห่งนครหลวง แต่ละคนต่างก็มีหน้าที่รับผิดชอบคอยรับดวงวิญญาณจากท่าเรือของแต่ละสถานที่
เฉินผิงอันยืนอยู่บนหัวกำแพงเมือง มองไกลๆ ไปยังภาพการเดินทางยามค่ำคืนนั้น
บ้านเมืองสงบสุข คนในอดีตอยู่ที่ใด ขุนเขาสายน้ำยาวไกล หมอกและควันแผ่ไกลสุดลูกหูลูกตา
การพบเจอกันในขุนเขาสายน้ำครานี้กลับมีความต่างระหว่างเป็นและตาย มีหยินและหยางมากางกั้น
ก็จริง จะมีแต่การเพียงพบเจอก็เหมือนเคยรู้จักกันมานาน ยิ้มแย้มพูดคุยกันอย่างอาลัยอาวรณ์มากมายขนาดนั้นได้อย่างไร
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เห็นว่าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์กลุ่มของซ่งซวี่ที่อยู่ห่างไปไกลทะยานลมออกเดินทางไกลไปแล้ว คาดว่าคงจะไปช่วยเร่งการเดินทาง พยายามไปถึงเส้นทางปรโลกเส้นนั้นให้ได้โดยเร็วที่สุด ทุกคนพุ่งตัวออกไปว่องไวราวสายฟ้าแลบ ไม่ได้จงใจปิดบังร่องรอย ผู้ฝึกกระบี่ซ่งซวี่เหยียบอยู่บนกระบี่ลากเส้นยาวสีทองที่ยาวมากตามมาด้านหลัง อาจารย์ค่ายกลหันโจ้วจิ่นคล้ายกำลังเดินอยู่ ทุกก้าวที่ก้าวออกไป พริบตาเดียวก็ห่างไปหลายลี้ ใต้ฝ่าเท้ามีริ้วคลื่นลมปราณกระเพื่อมออกมาเป็นวงๆ ประหนึ่งดอกราตรีที่เบ่งบานยามค่ำคืน นอกจากนี้เต้าลู่อย่างเก๋อหลิ่ง ผู้ฝึกตนสำนัการทหารอวี๋อวี๋ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อลู่ฮุย เณรน้อยโฮ่วแจว๋ก็พากันร่ายวิชาอภินิหารของตัวเองออกเดินทางไกลกันอย่างรีบร้อน
เฉินผิงอันกลายร่างเป็นแสงกระบี่สิบแปดเส้น บนหัวกำแพงก็เหมือนมีบุปผาผลิบานในฉับพลัน ห่างออกไปหลายสิบลี้ เฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้นด้วยฝีเท้าที่โซเซเล็กน้อย จากนั้นใช้วิชากระบี่หลบหนีซึ่งยังใช้ได้ไม่คล่องออกเดินทางต่ออีกครั้ง สุดท้ายหยุดลอยตัวยืนนิ่งอยู่ตรงจุดสูงแห่งหนึ่ง ใช้ยันต์หลากหลายชนิดซึ่งมียันต์รอยหิมะเป็นหนึ่งในนั้นช่วยอำพรางลมปราณให้กับตัวเอง ไปนั่งยองอยู่บนกิ่งไม้บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่ง หลุบตาลงมองเส้นทางล่างภูเขาเส้นนั้น
ลู่ฮุย โฮ่วแจว๋ เก๋อหลิ่งที่มาจากลัทธิขงจื๊อ ลัทธิพุทธและลัทธิเต๋า เห็นได้ชัดว่าคุ้นเคยกับการนำทางมานานแล้ว พวกเขาจึงพลิ้วกายลงตรงหน้าสุดของเส้นทางไปปรโลกที่มีกองทัพหยินข้ามผ่านดินแดนเดินขบวนมา เดินทางไปพร้อมกับผู้ฝึกลมปราณต้าหลีในสายของตัวเอง และยังมีแม่นางน้อยสำนักการทหารแซ่อวี๋เสาค้ำยันแคว้นที่ไม่ยอมถูกทิ้งให้อยู่เบื้องหลัง เดินเคียงบ่าไปพร้อมกับวิญญาณวีรบุรุษศาลบู๊กลุ่มหนึ่งที่มาจากเมืองหลวงและชานเมืองหลวง
เส้นทางที่นำพาดวงวิญญาณไปส่งข้ามดินแดนสายนี้กว้างขวางอย่างมาก พอจะมองเห็นได้เลือนรางว่าแบ่งออกเป็นสี่กลุ่ม จำนวนคนกลุ่มที่อยู่ด้านหลังอวี๋อวี๋และวิญญาณวีรบุรุษศาลบู๊เยอะที่สุด กินอาณาเขตไปเกือบครึ่งทาง
ซ่งซวี่กับหันโจ้วจิ่นหาบุรุษหนุ่มคนหนึ่งที่คุมขบวนอยู่ด้านหลังเจอ คนผู้นี้ควบม้าเดินอยู่ในกองทัพม้าเหล็กต้าหลี คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดอายุไม่ถึงร้อยปีคนหนึ่ง
มองเห็นคนทั้งสอง ทหารม้านายนี้ก็เพียงแค่พยักหน้าให้ หันโจ้วจิ่นหยิบยันต์ม้าเกราะออกมาสองแผ่น ขี่ม้าเดินไปพร้อมกับซ่งซวี่ หันโจ้วจิ่นใช้เสียงในใจสอบถามสตรีคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวต่อกัน “เกิดอะไรขึ้น?”
เพราะก่อนหน้านี้หันโจ้วจิ่นสังเกตเห็นว่าภิกษุสมณศักดิ์สูงและเจินเหรินลัทธิเต๋าที่นำขบวนในคืนนี้ต่างก็เป็นคนแปลกหน้า อีกทั้งสีหน้ายังเหนื่อยล้าคล้ายบาดเจ็บไม่เบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณวีรบุรุษของศาลบู๊ทั้งหลายที่ยามก้าวเดินไปข้างหน้า นางถึงขั้นมองเห็นความเสียหายของร่างทองพวกเขา ถึงกับมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าว่าเป็นสะเก็ดแสงดาวที่วับหายไปท่ามกลางม่านราตรี
ผู้ฝึกตนหญิงสหายร่วมงานยากจะปกปิดสีหน้าเหนื่อยล้า เอ่ยว่า “ครั้งนี้จำนวนที่ชักนำมาเยอะเกินไป อีกอย่างก่อนหน้านี้ที่ว่าการกรมพิธีการยังออกคำสั่งเด็ดขาดมาข้อหนึ่ง เป็นลายมือของใต้เท้าเจ้ากรมเอง ถ้อยคำที่ใช้เฉียบขาดยิ่ง บอกว่าเส้นทางปรโลกสายนี้เผาผลาญปราณวิญญาณระหว่างทางมากเกินไป สร้างความปั่นป่วนให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำมากกว่าที่คาดการณ์ไว้อย่างน้อยสองส่วนแล้ว เห็นได้ชัดว่าโทษที่พวกเราทำงานไม่ดี กังวลว่าการเดินทางยามค่ำคืนครั้งสุดท้ายจะเกิดเรื่องไม่คาดฝัน ใต้เท้าเจ้ากรมถึงกับพูดขนาดนี้แล้ว พวกเรายังจะทำอย่างไรได้อีก ก็ได้แต่แข็งใจ ไม่สนใจตบะที่ถูกลดทอน ไม่อย่างนั้นการประเมินของสองกรมอย่างพิธีการและอาญาคราวหน้า ไม่ว่าใครก็อย่าหวังว่าจะรอดตัวไปได้”
ซ่งซวี่ถาม “ฮว่าจิ้ง ระหว่างทางมีคนมาก่อกวนหรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดตอบด้วยสีหน้าเฉยชา “กลับไปอ่านรายงานเอาเอง”
ซ่งซวี่เคยชินกับท่าทีเช่นนี้ของอีกฝ่ายแล้ว หยวนฮว่าจิ้งผู้นี้มีฉายาว่าเย่หลาง คือผู้นำของผู้ฝึกลมปราณอีกห้าคนซึ่งเป็นภูเขาเล็กอีกลูกหนึ่ง
นิสัยของทั้งสองฝ่ายเข้ากันไม่ค่อยได้ เวลาปกติจึงมักจะขัดคอกันอยู่เสมอ มีเพียงอยู่บนสนามรบเท่านั้นถึงจะร่วมมือกันได้อย่างไร้ช่องโหว่
หยวนฮว่าจิ้งขมวดคิ้วน้อยๆ พบว่าวิญญาณบนสนามรบหลายสิบตนที่อยู่บนเส้นทางเบื้องหน้าเกิดร่องรอยว่าจิตวิญญาณจะสลายหายไปจึงตวาดเสียงหนัก “ตู้เจี้ยน เจ้าตาบอดรึ?”
ฝ่ายหลังคือคนหนุ่มที่สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากแห้งแตกมีเลือดซึม แต่งกายเหมือนทหารม้า เขาเหน็ดเหนื่อยหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปนานแล้ว เดิมทีกำลังนั่งงีบหลับอยู่บนหลังม้าพลางบำรุงลมปราณไปด้วย เป็นเพราะจิตใจอ่อนล้าถึงขีดสุดจริงๆ แต่พอได้ยินคำพูดของหยวนฮว่าจิ้งก็ลุกขึ้นอย่างไม่ลังเล ดีดปลายเท้าพุ่งตัวไปเบื้องหน้า ยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูง บิดหมุนข้อมือหนึ่งที ระหว่างฟ้าดินก็มีเส้นด้ายที่มองดูอ่อนนุ่มหลายเส้นปรากฎขึ้นมา เขายกมือขึ้นเบาๆ พริบตาเดียวเส้นด้ายก็มารวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล แสงสีทองส่องประกายระยิบระยับ ถึงกับเป็นเข็มทิศที่ส่องแสงอัญมณีเรืองรองชิ้นหนึ่ง เส้นแสงสาดส่องลงบนพื้นดินที่พวกวิญญาณหยินเดินกันอยู่
ทหารม้าหนุ่มคอยทะยานลมพลางใช้ฝ่ามือถือประคองเข็มทิศปกป้องพื้นที่หนึ่งไปทั้งอย่างนี้ ขอแค่มีลางว่าดวงวิญญาณดวงใดจะสลายหายไปก็จะมีแสงศักดิ์สิทธิ์สาดส่องไปคุ้มกัน
ซ่งซวี่เอ่ยเตือน “อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี”
หยวนฮว่าจิ้งกล่าวอย่างเฉยชา “ดูเหมือนว่ายังไม่ถึงคราวที่โอสถทองอย่างเจ้าจะมาเจ้ากี้เจ้าการ”
กลุ่มของหยวนฮว่าจิ้งนี้มีกันทั้งหมดห้าคน นอกจากผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดอย่างเขาแล้ว ยังมีผู้ฝึกตนผีคนหนึ่ง ผู้ฝึกลมปราณสำนักหยินหยางคนหนึ่ง ส่วนอีกสองคนล้วนมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนอิสระ
เห็นได้ชัดว่าจิตสังหารของพวกเขาเข้มข้นกว่าภูเขาลูกเล็กอย่างพวกซ่งซวี่หกคน
ซ่งซวี่ไม่ถือสา กลับกลายเป็นฝ่ายเล่าเรื่องที่อิ่นกวานหนุ่มเข้ามาเมืองหลวงให้หยวนฮว่าจิ้งฟัง เล่าเรื่องที่พวกเขาพบเจอกัน จากนั้นก็พูดถึงความประหลาดของเฟิงอี๋ที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาของพวกเขา
หยวนฮว่าจิ้งพยักหน้า “แสงกระบี่หลายเส้นของหนิงเหยาก่อนหน้านี้ ข้ามองเห็นแล้ว”
ซ่งซวี่ลังเลเล็กน้อย แต่ก็ยังเปิดปากเอ่ยเตือนว่า “เรื่องส่วนรวมและเรื่องส่วนตัวต้องแยกแยะให้ชัดเจน”
แม่ทัพทหารม้าข้างกายผู้นี้มีชาติกำเนิดจากสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้น และน้องชายแท้ๆ ของหยวนฮว่าจิ้งก็คือบุตรอนุภรรยาสกุลหยวนที่แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับทายาทหญิงสายตรงของสกุลสวี่นครลมเย็น
หยวนฮว่าจิ้งหัวเราะหยัน “แค่เพราะฮ่องเต้แซ่ซ่งก็สามารถยื่นมือมายุ่งเป็นวงกว้างได้ขนาดนี้เชียวรึ?”
ซ่งซวี่สะอึกอึ้งไปชั่วขณะ แต่จู่ๆ ก็หัวเราะขึ้นมา “เจ้าควรจะพูดคุยกับเฉินอิ่นกวานให้ดีจริงๆ”
หยวนฮว่าจิ้งเปิดปากชวนคุยก่อนอย่างที่หาได้ยาก “พวกเจ้าหกคนร่วมมือกันก็ยังรับมือเขาได้ยากมากหรือ?”
ซ่งซวี่พยักหน้า “อวี๋อวี๋บอกแล้วว่ามีแต่จะถูกผ่าเหมือนแตงถูกหั่นเหมือนผัก หลังจบเรื่องก็มีการทบทวนเหตุการณ์กันไปรอบหนึ่ง ลู่ฮุยบอกว่าอาศัยตัวอักษรที่เฉินผิงอันพูดออกมา ไม่มีประโยชน์ต่อสถานการณ์การต่อสู้แม้แต่น้อย สามารถมองข้ามไปได้เลย”
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “ทางฝั่งของจ้าวเหยาแห่งกรมอาญายังหาตัวเลือกที่เหมาะสมไม่ได้หรือ? หากเป็นโจวไห่จิ้งผู้นั้น ข้ารู้สึกว่าน้ำหนักยังไม่พอ”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “เจิ้งเฉียนผู้นั้นมีสถานะเป็นอย่างไร ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้เสียหน่อย รองเจ้ากรมจ้าวจึงได้แต่ถอยมาเลือกอันดับรอง อาศัยการถามหมัดระหว่างอวี๋หงกับนางมายืนยันเรื่องคุณสมบัติให้แน่ชัด”
หยวนฮว่าจิ้งขมวดคิ้ว “ข้าไม่เห็นดีในตัวผู้ฝึกยุทธหญิงโจวไห่จิ้งผู้นี้”
ซ่งซวี่กล่าวอย่างจนใจ “ไม่อย่างนั้นจะให้ไปหาผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอายุน้อยมาจากไหนล่ะ อีกทั้งยังจำเป็นต้องเป็นคนที่มีหวังจะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบด้วย? หากจะพูดถึงเรื่องโชคชะตาบู๊ พวกเราก็แค่ด้อยกว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางเท่านั้น ซิ่วเหนียงที่กรมอาญาสมัครรับตัวมาก่อนหน้านี้ไม่มีปณิธานในเรื่องนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่ในสายตาของข้า นางกับโจวไห่จิ้งก็พอๆ กัน อีกอย่างถึงอย่างไรนางก็เป็นคนของอุตรกุรุทวีป ไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร”
ตำแหน่งผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ว่างอยู่ อันที่จริงในอดีตมีตัวเลือกที่เหมาะสมอยู่ แต่เขากลับตายไปก่อนวัยอันควรที่ทะเลสาบซูเจี่ยน
ไม่อย่างนั้นหากสิบสองแผนภูมิดินมีการชดเชยช่องว่างได้อย่างสมบูรณ์ ตามการอนุมานที่ละเอียดรอบคอบของกรมอาญาและกองโหราศาสตร์ ผู้ฝึกลมปราณและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสิบสองคนที่อายุไม่ถึงร้อยปีก็จะสามารถผนึกกำลังกันสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งได้แล้ว
จุดที่เป็นกุญแจสำคัญที่สุดนั้นอยู่ที่ว่าพวกเขามีวิธีการที่ร้อยเรียงต่อเนื่องกันให้ใช้ไม่ขาดสาย รับรองว่าฝ่ายตัวเองจะไม่มีใครตายสักคนเดียว ถึงขั้นที่ว่าไม่มีใครขอบเขตถดถอยด้วย
น่าเสียดายที่ตาค่ายกลซึ่งเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริงกลับอยู่ที่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งยังตัดสินใจเลือกคนไม่ได้พอดี
ไม่อย่างนั้นในสงครามของเมืองหลวงแห่งที่สองครั้งก่อน คนที่พวกเขาสังหารย่อมไม่มีทางเป็นแค่ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกระโจมทัพขอบเขตหยกดิบสองคนเท่านั้น
หัวเผ่าปีศาจสองหัวนี้ก็ล้วนเป็นกระบี่บินของหยวนฮว่าจิ้งที่ตัดมาได้พอดี
พวกเขาสิบเอ็ดคนนี้ล้วนเป็นนักเดินทางยามค่ำคืน ก่อนจะก่อตั้งสำนักในอนาคต ถูกกำหนดมาแล้วว่าชื่อเสียงจะไม่มีทางเลื่องลือได้
หยวนฮว่าจิ้งพลันหันหน้ามองไปยังภูเขาลูกหนึ่ง เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ไยต้องปิดบังอำพราง? ชอบหลบดูเรื่องสนุกมากนักหรือ?”
เฉินผิงอันได้ยินแล้วก็เพียงแค่เหลือบตามองผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่อายุไม่มากคนนั้น ไม่ได้สนใจคำท้าทายของอีกฝ่าย
พอมาถึงที่นี่เฉินผิงอันก็เริ่มโคจรช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่สำคัญห้าแห่งและปราณวิญญาณในภูเขาทายาทลูกใหญ่แห่งต่างๆ แล้ว
หยวนฮว่าจิ้งหัวเราะหยัน “ในเมื่อเลือกที่จะนิ่งดูดายก็รบกวนไปให้ไกลๆ หน่อย อย่ามาอยู่ขวางหูขวางตาคนที่นี่”
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่ช่วยคุ้มครองรายทางล้วนต้องเผาผลาญควันธูปบริสุทธิ์ที่สะสมมาอย่างยากลำบากไป ถึงขั้นที่ว่าร่างทองต้องถูกขัดกร่อน
ส่วนผู้ฝึกลมปราณ นอกจากปราณวิญญาณที่สะสมไว้แห้งขอดลงแล้ว ยังถูกผลาญตบะไปด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ทันระวังก็อาจจะต้องสูญเสียผลบุญที่มองไม่เห็นซึ่งสะสมไว้
ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างหยวนฮว่าจิ้งที่มองดูเหมือนไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ แต่แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขาเองก็จำเป็นต้องใช้ปราณกระบี่คอยคุ้มกันกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกองนี้ ต้องเผาผลาญพลังของเขาไปทุกเวลานาทีเช่นกัน
ดังนั้นงานอย่างการเดินทางบนเส้นทางสู่ปรโลกนี้ ไม่ว่าจะสำหรับใครก็ล้วนเป็นงานยากลำบากที่เปลืองแรงแล้วยังไม่ได้ประโยชน์ หลังจบเรื่องที่ว่าการต่างๆ ของราชสำนักต้าหลีย่อมต้องมีการชดเชยให้ แต่หากจะคิดเล็กคิดน้อยกันขึ้นมาจริงๆ ก็ยังขาดทุนมากกว่าอยู่ดี
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ กลับยังคงเป็นได้เช่นนี้ ก็แค่ภาระหน้าที่ที่ต้องทำซึ่งเป็นเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดเท่านั้น
สตรีที่ขี่ม้าเคียงข้างหันโจ้วจิ่นก็คือผู้ฝึกตนผี นางใช้เสียงในใจสอบถาม “เจอกับอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นแล้ว รูปโฉมของเขาเป็นเช่นไร?”
——