กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 834.3 ประหนึ่งลากเรือกลวง
หันโจ้วจิ่นยิ้มเอ่ย “ดีมาก มีมาดสง่างาม เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของเซียนกระบี่”
ผีหญิงเบ้ปาก “แต่ในเมื่อเขาก็มาแล้ว กลับทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ ข้าคงไม่เลื่อมใสเขาเหมือนในอดีตอีกแล้ว”
หันโจ้วจิ่นยิ้มอธิบาย “เขาเป็นเซียนกระบี่นี่นะ ต่อให้จะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่วิชาหมัดยอดเยี่ยมเลิศล้ำ แต่จะทำอะไรได้เล่า”
ผีสาวพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ก็จริงนะ! มีเหตุผล!”
เพียงแต่ว่าในใจอดเสียดายไม่ได้
ทำไมกันเล่า ผีสาวจะมีความเพ้อฝันบ้างไม่ได้เลยหรือ บุรุษหนุ่มคนบ้านเดียวกัน ยินดีเฝ้าหัวกำแพงเมืองอย่างเดียวดายเพื่อหญิงคนรักนานหลายปี จะยังไม่ยอมให้นางเลื่อมใสเขาบ้างเลยหรือ
นี่ก็คือนิสัยของนาง วันหน้าเจอหน้ากัน ไม่พูดไม่จาก็จะกระโจนเข้าใส่เหมือนเสือโหยเขมือบลูกแกะ เหล่าเหนียงได้พูดจาแทะโลมเท่าไรก็เท่านั้น
เฉินผิงอันที่อยู่บนกิ่งไม้ของยอดเขา ในที่สุดก็มองสถานการณ์ของวิญญาณหยินสามหมื่นตนบนสนามรบออกอย่างละเอียดแล้ว
นาทีถัดมา แสงกระบี่พร่างพราวเส้นหนึ่งแหวกผ่าม่านราตรี
สาดสะท้อนไปยังเส้นทางบนพื้นดิน สว่างไสวราวกับเวลากลางวัน เห็นชัดเจนทุกซอกทุกมุม เพียงแต่ว่าจุดที่ผิดไปจากปกติที่สุดก็คือปราณกระบี่เส้นนั้นยิ่งใหญ่ไพศาลถึงเพียงนี้ ทว่าภูตผีวิญญาณหยินทั้งหลายที่อยู่บนเส้นทางสู่ปรโลกกลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย กลับกันยังกลายเป็นว่าผีที่สติปัญญาขุ่นมัวไปนานแล้วกลับมีสายตาสว่างสดใสเพิ่มขึ้นจากปกติหลายส่วนซึ่งไม่สมเหตุสมผลเลยสักนิด
จุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดพลันมีภาพยามาของขุนเขาลูกหนึ่งเหมือนกายธรรมร่างทองของผู้ฝึกตนตั้งตระหง่านขึ้นบนเส้นทาง
ใต้ฝ่าเท้าของพวกคนนำทางอย่างพวกวิญญาณวีรบุรุษแห่งศาลบุ๋นบู๊ อวี๋อวี๋ เณรน้อยโฮ่วแจว๋มีริ้วกระเพื่อมเป็นระลอก คลื่นแสงจันทร์ยามราตรีส่องประกายระยิบระยับ ราวกับว่ามี…เส้นทางสายน้ำที่ราบเรียบดุจกระจกเพิ่มมาอีกเส้นหนึ่ง
เป็นสถานการณ์ยิ่งใหญ่อันดีงามที่ขุนเขาสายน้ำอิงแอบแนบชิดกัน ลมปราณในภูเขาเปี่ยมล้น ปราณวิญญาณของสายน้ำก็เอ่อท้น
ไม่เพียงเท่านี้ เณรน้อยโฮ่วแจว๋พลันก้มหน้าลงแล้วหันหน้ามองไปก็ต้องค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าในขบวนผีหลายลี้ที่ทอดยาวไปด้านหลังตน ใต้ฝ่าเท้าของพวกมันล้วนมีคัมภีร์สีทองบทหนึ่งปรากฏขึ้น
เมื่อภูตผีวิญญาณหยินทั้งหลายเดินไปบนทางเส้นนี้ ทุกก้าวย่างจะต้องมีดอกบัวสีทองผลิบาน ส่ายไหวอย่างมีชีวิตชีวาอยู่ใต้ฝ่าเท้า
เส้นทางเบื้องใต้ฝ่าเท้าของลู่ฮุยลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อและวิญญาณหยินที่ติดตามมาด้านหลังมีตัวอักษรสีขาวหิมะที่เกิดจากการหล่อหลอมกวีชายแดนบทแล้วบทเล่า ตัวอักษรร้อยเรียงกันเป็นประโยค ประโยคร้อยเรียงกันเป็นบทกวี บทกวีกลายมาเป็นเส้นทาง
ใต้ฝ่าเท้าของเต้าลู่เก๋อหลิ่งและเจินเหรินลัทธิเต๋าทั้งหลายก็มีคาถาเต๋าที่ลี้ลับมหัศจรรย์บทแล้วบทเล่า เป็นเหตุให้ตลอดทั้งเส้นทางส่องประกายแก้วใสเจ็ดสี
ส่วนอวี๋อวี๋ก็ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าบนเส้นทางเบื้องหน้าตน ท่ามกลางสีสันของน้ำ ปรากฎเป็นกระบี่บินจำลองขนาดใหญ่เท่าลำเรือหลายต่อหลายลำ เรียงรายปูแผ่กลายเป็นเส้นทาง
ภาพเหตุการณ์ผิดปกติไม่ได้เกิดขึ้นแค่นี้ เมื่อคนชุดเขียวที่อยู่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุดเริ่มเดินขึ้นเขาไปช้าๆ พริบตานั้นบนร่างของเขาก็มีเส้นด้ายสีทองมากมายสาดยิงออกมา ล่องลอยออกไปชักนำวิญญาณวีรบุรุษสามหมื่นกว่าดวงที่รบตายบนสนามรบมาทีละตน
หนึ่งคนเดินขึ้นเขา ลากคนเบื้องหลังให้เดินไปข้างหน้า
ใช้การผลาญของบุญกุศล หล่อหลอมออกมาเป็นด้ายยาวแห่งผลกรรมจำนวนนับไม่ถ้วน นำมาชักนำวิญญาณหยินสามหมื่นดวงที่อยู่ด้านหลัง คนชุดเขียวเดินนำอยู่ด้านหน้า
หลังจากนั้นแผ่นหลังที่เดินขึ้นเขาของคนชุดเขียว ยิ่งนานฝีเท้าของเขาก็ยิ่งก้าวเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายทะยานลมไปเหมือนเรือกลวงลำหนึ่ง เหมือนเรือข้ามฟากลำหนึ่ง คนคนหนึ่งนำพาวิญญาณวีรบุรุษสามหมื่นดวงเดินขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน บินทะยานพุ่งไปข้างหน้าด้วยความว่องไวเหนือเกินการคาดการณ์ เร่งรุดไปยังงานพิธีขมากรรมธรณีธาราและพิธีบวงสรวงสวรรค์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำกลุ่มใหญ่และผู้ฝึกลมปราณของฝ่ายต่างๆ เวลานี้คล้ายจะไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ
แค่ต้องตามไปอย่างเดียว
ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่หยวนฮว่าจิ้งที่จิตแห่งมรรคาแข็งแกร่งก็ยังต้องอึ้งงันไร้คำพูด
ซ่งซวี่กลับยิ้มอย่างเข้าใจ อิ่นกวานช่าง ‘คุยเก่ง’ จริงๆ
องค์ชายแห่งสกุลซ่งต้าหลีอย่างซ่งซวี่เก็บความคิดทั้งหมดคืนมาแล้วกุมหมัดคารวะแผ่นหลังนั้นอยู่ไกลๆ ในใจเปี่ยมไปด้วยความเลื่อมใส
ผีสาวอึ้งค้างไร้คำพูด ผ่านไปเนิ่นนานจึงจะพึมพำว่า “ผลบุญมากมายขนาดนี้เชียวนะ ตัดใจไม่ต้องการได้ลงหรือ? การค้าที่ขาดทุนเช่นนี้ ขนาดข้าที่เป็นคนนอกยังรู้สึกเสียดายแทนเลย”
ดวงตาของหันโจ้วจิ่นทอประกายวับวาม ยิ้มหวานเอ่ยว่า “เขาคืออิ่นกวานนี่นะ ทำอะไรก็ไม่น่าประหลาดใจหรอก”
หลังจากขยับเข้าใกล้จุดหมาย คนชุดเขียวก็ทำเพียงแค่หมุนตัวกลับมากุมหมัดหนักๆ ให้กับวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบทั้งหลายเหล่านั้น จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงกระบี่พุ่งทะยานจากไป
บางทีในกลุ่มขบวนเดินทางยามค่ำคืนของคืนนี้อาจจะมีทหารม้าชายแดนกลุ่มที่เจอบนเส้นทางท่ามกลางลมหิมะในปีนั้น หรืออาจจะเป็นสหายร่วมรบของพวกเขา
รถม้าคันหนึ่งที่ตามหลังขบวนมา เนื่องจากคนที่อยู่ในรถคือรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวา ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่เหมาะจะขยับเข้าไปใกล้มากนัก รองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายขวาผู้นี้เรียกแม่ทัพบู๊ของกองทัพชายแดนที่เดินทางร่วมกันมาคนหนึ่ง ทั้งสองฝ่ายปรึกษากันเรียบร้อย สิ่งศักดิ์สิทธิ์และผู้ฝึกตนทุกคนซึ่งรวมซ่งซวี่และหยวนฮว่าจิ้งเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ได้รับคำสั่ง เรื่องในวันนี้ใครก็ห้ามแพร่งพรายออกไปชั่วคราว ให้รอฟังข่าวจากทางกรมพิธีการ
บนยอดเขาที่เงียบสงัดแห่งหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองหลวง เฉินผิงอันพลิ้วกายลง ปาดเหงื่อบนหน้าผาก นั่งขัดสมาธิ ปรับภาพบรรยากาศอันปั่นป่วนวุ่นวายของฟ้าดินเล็กในร่างให้สงบลง
ซิ่วไฉเฒ่ามาถึงอย่างเงียบเชียบ ยิ้มเอ่ยว่า “ทรัพย์สินที่สะสมมาอย่างยากลำบาก นึกจะไม่ต้องการก็ไม่ต้องการเลยหรือ?”
การกระทำนี้ของลูกศิษย์คนสุดท้ายต้องมีความตั้งใจอย่างมาก ไม่เพียงแต่ช่วยนำทาง ยังใช้วิธีการอย่างหนึ่ง ก่อนที่จะลงมือทำ จิตใจต้องเที่ยงตรงจริงใจ บอกกล่าวสถานะผู้ฝึกตนลัทธิขงจื๊อของตัวเองให้ฟ้าดินทราบก่อน นี่จึงเป็นเหตุให้ทำได้เพียงสละผลบุญคุณงามความดีที่ผ่านมาเท่านั้น ไม่อาจช่วงชิงคุณความชอบใดๆ มาได้แม้แต่น้อย
เฉินผิงอันลืมตาขึ้นทันที ยิ้มเอ่ย “มาจากฟ้าดินก็คืนกลับไปให้ฟ้าดิน เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว ก็เหมือนกับการหาเงินอย่างยากลำบากก็ไม่ใช่เพื่อให้ใช้จ่ายได้อย่างสบายหรอกหรือ อีกอย่างวันหน้าก็ยังสามารถช่วงชิงมาได้ใหม่”
ซิ่วไฉเฒ่านั่งยองอยู่ด้านข้าง อืมรับหนึ่งที บอกให้เฉินผิงอันพักผ่อนอีกสักพัก แต่อยู่ดีๆ ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงปลงอนิจจัง “ข้าถนอมดอกเหมยดวงจันทร์ ดึกดื่นจึงตัดใจข่มตานอนไม่ลง”
เฉินผิงอันเอ่ยคล้อยตาม “ดึกดื่นตัดใจข่มตานอนไม่ลง ดวงจันทร์ดอกเหมยสงสารข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ประเสริฐยิ่ง”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์นี่นา”
ซิ่วไฉเฒ่าคลี่ยิ้ม “เจ้าเด็กตัวเหม็น ตอนนี้ไม่มีคนนอกอยู่เสียหน่อย จะไม่สิ้นเปลืองแย่หรือ”
เฉินผิงอันจึงไม่เข้าฌานปรับลมหายใจต่อแล้ว หยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิดออกมาสองกา ดื่มกับอาจารย์คนละกา
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มถาม “เวทกระบี่หลบหนีวิชานี้ยังเรียนแก่นแท้ไม่ได้หรือ? ทำไมไม่ขอความรู้จากแม่หนูหนิงล่ะ?”
เฉินผิงอันตอบตามสัตย์จริง “อาจารย์ ใช่ว่าข้าไม่มีหน้าจะขอเรียนเวทกระบี่บทนี้จากหนิงเหยาจริงๆ ด้วยหนังหน้าของข้า จะเรียนกับใครก็เหมือนกันนั่นแหละ กับหนิงเหยาก็ยิ่งไม่ต้องเขินอาย อีกอย่างปีนั้นฝึกหมัด แรกเริ่มสุดก็ไม่ใช่ว่าเปิดตำราหมัดบนโต๊ะ เรียนตัวอักษรจากหนิงเหยาเพื่อทำความเข้าใจความหมายของหมัดหรอกหรือ แต่ข้าไม่อยากให้หนิงเหยาคิดมาก ยกตัวอย่างเช่นทำให้นางรู้สึกว่าตัวเองฝึกกระบี่ผ่อนคลายราบรื่นเกินไป ผลคือพอถึงคราวข้า ข้ากลับต้องลำบาก อันที่จริงไหนเลยจะลำบาก บอกตามตรงนะ เรื่องของการฝึกกระบี่ เทียบกับเรียนหมัดแล้วยังสบายกว่ากันตั้งเยอะ”
ซิ่วไฉเฒ่ากล่าว “ก็แค่เปรียบเทียบกันเท่านั้น อันที่จริงไม่ได้สบายหรอก”
จากนั้นซิ่วไฉเฒ่าก็ลูบหนวดยิ้ม อดไม่ไหวเอ่ยชื่นชมว่า “นี่ช่างประเสริฐโดยแท้”
พูดถึงแค่เรื่องความรักชายหญิง หากจะกล่าวถึงด้านสติปัญญา โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสามารถในการนำความรู้ที่เรียนมาปรับใช้ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดหลายคนของตน ชุยฉาน จั่วโย่ว จวินเชี่ยน เสี่ยวฉี เกรงว่าทุกคนรวมกันแล้วก็ยังสู้ลูกศิษย์คนสุดท้ายที่อยู่ข้างกายไม่ได้
เฉินผิงอันพลันเอ่ยอย่างละอายใจ “ดูเหมือนว่ามักจะทำให้อาจารย์ต้องเหน็ดเหนื่อยยุ่งยากแบบนี้เสมอ มีแต่ข้านี่แหละที่ไม่ทำให้อาจารย์สบายใจสบายกายที่สุด”
ซิ่วไฉเฒ่าจิบเหล้าหนึ่งอึก พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “พูดจาโง่ๆ ให้น้อยลงหน่อย วันหน้าห้ามพูดอีกนะ ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะโกรธแล้ว”
พอโกรธก็จะอดไม่ไหวอยากด่าจั่วโย่วกับจวินเชี่ยน ทุกวันนี้เจ้าสองคนนี่ไม่อยู่ข้างกายเสียด้วย คนหนึ่งอยู่ที่ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งไปหาป๋ายเหย่ที่ใต้หล้ามืดสลัว ไม่มีคนให้ด่ายิ่งรู้สึกแย่กว่าเดิม
ซิ่วไฉเฒ่ากลอกตาไปมา กระแอมหนึ่งที เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ผิงอันอ่า ไม่รู้ว่าทำไมแม่หนูหนิงถึงพูดแล้วว่า ให้พวกเราสองคนไปรำลึกความหลังที่บ้านของศิษย์พี่เจ้ากันดีๆ”
เฉินผิงอันหันหน้ามา สายตาฉายแววตำหนิ “อาจารย์ นี่มันอะไรกัน ต่อให้ต้องเหนื่อยยากเพื่อลูกศิษย์แค่ไหนก็ไม่ควรให้เป็นแบบนี้สิ”
ซิ่วไฉเฒ่าขยุ้มหนวดด้วยความกลุ้มใจ ยกกาเหล้าขึ้นมาอย่างขุ่นเคืองตัวเอง “ชนเถอะ ชนเถอะ”
เฉินผิงอันบ่น “ชนกะผีอะไรล่ะ อาจารย์ดื่มเองเถอะ”
ซิ่วไฉเฒ่าร้องปัดโธ่ขึ้นมาหนึ่งที แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว ผิงอันอ่า เมื่อครู่ตอนอยู่โรงเตี๊ยม อาจารย์ช่วยเจ้ามอบหนังสือหมั้นไปแล้วนะ แม่หนูหนิงรับเอาไว้แล้ว แต่แม่หนูหนิงบอกว่างานเลี้ยงฉลองแต่งงานต้องจัดที่นครบินทะยานก่อนครั้งหนึ่ง”
เฉินผิงอันดวงตาเป็นประกาย “อาจารย์ ชนเลย ชน”
ซิ่วไฉเฒ่าสะบัดแขน พูดอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ชนกะผีอะไร อาจารย์ดื่มเองดีกว่า”
เฉินผิงอันยืนกรานจะชนกาเหล้ากับอาจารย์ให้จงได้ “อาจารย์มีคุณความเหนื่อยยากสูงยิ่ง ทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!”
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าไปแล้วก็เอ่ยว่า “ใช่แล้ว แม่หนูหนิงยังต้องไปศาลบุ๋นกับข้ารอบหนึ่ง มีเรื่องบางอย่างที่หลี่เซิ่งต้องการพูดคุย ไม่ใช่ว่าหลี่เซิ่งวางมาดใหญ่โต ไม่ยินดีเดินทางมาเยือนแจกันสมบัติทวีปด้วยตัวเอง แต่ในเมื่อถือว่าเป็นการพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงาน ไปคุยกันที่สวนกงเต๋อจึงจะถือว่าถูกต้องตามหลักมารยาท ผิงอัน เจ้าวางใจเถอะ ล้วนเป็นคนครอบครัวเดียวกัน หลี่เซิ่งสร้างความลำบากใจให้ใครก็ได้ แต่ไม่มีทางสร้างความลำบากใจให้แม่หนูหนิงเด็ดขาด ไปกลับครั้งนี้ไม่ต้องใช้เวลานานมากนัก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ ไม่มีความเห็นต่างใดๆ
อาจารย์และศิษย์ดื่มเหล้าที่ยอดเขาแห่งนี้กันไปแล้วก็หวนกลับไปยังตรอกเล็กในเมืองหลวงเส้นนั้นด้วยกัน ส่วนทางฝ่ายโรงเตี๊ยมนั้นก็ช่างเถิด
ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดขวางทางไว้อีกครั้ง ขมวดคิ้วกล่าว “เฉินผิงอัน แค่เจ้ากับหนิงเหยาก็ช่างเถิด ยังพาคนนอกมาอีก แบบนี้ไม่ถูกต้องตามกฎระเบียบ”
จ้าวตวนหมิงเองก็ไม่กล้าช่วยพี่ใหญ่เฉินที่เพิ่งรับกันเป็นพี่เป็นน้องพูดในเรื่องแบบนี้
ซิ่วไฉเฒ่ามองเด็กหนุ่มแล้วหัวเราะร่าถามว่า “หนุ่มน้อยมากความสามารถผู้นี้ เคยโดนฟ้าผ่ามาหลายครั้งแล้วหรือ?”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้ารับ “ลูกผู้ชายไม่คุยโวถึงความกล้าหาญในอดีต ไม่ถึงสิบครั้ง”
เฉินผิงอันยิ้มพลางอธิบาย “เป็นอาจารย์ของข้าเอง ไม่ถือว่าเป็นคนนอก”
หลิวเจียกังขา “อาจารย์คนไหน?”
ซิ่วไฉเฒ่าจัดระเบียบสาบเสื้อ สะบัดชายแขนเสื้อ
เฉินผิงอันเอ่ยต่ออีกครั้ง “คืออาจารย์สายบุ๋นของผู้เยาว์เอง ซึ่งก็คืออาจารย์ของศิษย์พี่ชุยและของอาจารย์ฉี”
ใบหน้าของผู้ฝึกตนเฒ่าเต็มไปด้วยความไม่กล้าเชื่อ พลันกระวนกระวายทำตัวไม่ถูก ถึงกับไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ต่อให้เทวรูปในศาลบุ๋นจะถูกย้ายออกมาจากศาลบุ๋นแผ่นดินกลางนานแล้ว ไม่ได้กินหัวหมูเย็นนานหลายปี แต่สำหรับผู้ฝึกตนบนภูเขาอย่างหลิวเจียแล้ว อริยะลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งที่เคยยืนเคียงบ่ากับหลี่เซิ่งและหย่าเซิ่ง อริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่สามารถสอนซิ่วหู่ชุยฉาน เซียนกระบี่จั่วโย่วและอาจารย์ฉีมาได้ รอกระทั่งบุคคลที่เดิมอยู่ไกลสุดขอบฟ้ามาอยู่ใกล้ตรงหน้าจริงๆ นอกจากความกระวนกระวายไม่กล้าพูดอะไรแม้แต่คำเดียวแล้ว ก็ไม่เหลือทางเลือกอย่างอื่นเลยจริงๆ
จ้าวตวนหมิงใช้เสียงในใจสอบถาม “พี่ใหญ่เฉิน เป็นเหวินเซิ่งจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มตอบ “ไม่อย่างนั้นยังจะเป็นใครได้อีกล่ะ?”
จ้าวตวนหมิงรีบประสานมือคารวะทันใด “ลูกหลานสกุลจ้าวแห่งเทียนสุ่ยต้าหลี จ้าวตวนหมิง คารวะท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง!”
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “หลิวเซียนซือ ตวนหมิง ไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้”
หลิวเจียกุมหมัดเอ่ยเสียงสั่น “หลิวเจียคารวะเหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ เดินเข้าไปในตรอกกับเฉินผิงอัน มาถึงหน้าประตูบ้านหลังนั้น เนื่องจากไม่ได้ลงกลอนเอาไว้ เฉินผิงอันจึงผลักประตูเปิดออก หันหน้ามามองก็เห็นว่าอาจารย์ยืนอยู่หน้าประตู เนิ่นนานก็ยังไม่ข้ามธรณีประตูเข้ามา
เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน รอคอยอาจารย์อย่างสงบ
ซิ่วไฉเฒ่ามองไปในประตู เนิ่นนานก็ยังไม่ขยับเท้า พึมพำกับตัวเองว่า “ในเมื่อโชคร้ายขนาดนั้น กลายมาเป็นลูกศิษย์คนแรกของข้า ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ก็ไม่พูดว่าลำบากเจ้าแล้ว เรื่องบางอย่างเป็นอาจารย์ที่ทำไม่ถูก”
คนในอดีตที่อยู่ในประตู ผู้เฒ่าที่อยู่นอกประตู นับแต่โบราณมาอริยะปราชญ์มักต้องเปลี่ยวเหงาเสมอ
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าไม่ได้เดินเข้าไปในหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น แต่นั่งลงบนม้านั่งหินในลานบ้านนอกหอหนังสือ เฉินผิงอันจึงขนตำราบางเล่มออกจากหอตำรามาวางไว้บนโต๊ะ ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้า เปิดตำราอ่านช้าๆ
อันที่จริงล้วนเป็นผลงานในอดีตตอนที่ซิ่วไฉเฒ่ายังไม่ได้เป็นเหวินเซิ่ง เป็นเหตุให้ส่วนใหญ่ล้วนเป็นฉบับพิมพ์ฉบับแรก แต่เห็นได้ชัดว่าเป็นการพิมพ์แบบหยาบ ไม่ประณีติมากพอ เพียงแค่ว่าหน้าหนังสือกลับสะอาดสะอ้านผิดปกติราวกับเป็นหนังสือใหม่ อีกทั้งหน้าเปล่ารองปกของหนังสือทุกเล่มล้วนไม่มีตราประทับหนังสือของคนรุ่นหลังที่เปิดอ่านประทับตราไว้ ยิ่งไม่มีคำอธิบายอะไรเขียนกำกับไว้ด้านข้าง
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนธรณีประตูของหอตำรา หลับตาเข้าฌานทำสมาธิ หูมีเพียงเสียงเปิดตำราของอาจารย์
สุดท้ายซิ่วไฉเฒ่าเปิดไปถึงหน้าหนึ่ง เป็นเนื้อหาของบทเจี่ยปี้พอดี ซิ่วไฉเฒ่าปิดตำราลง เพียงแค่เก็บตำราเล่มนี้ไว้ในชายแขนเสื้อเล่มเดียว
ตลอดทั้งคืนไร้เรื่องราวและไร้คำพูด มีเพียงแสงจันทร์ที่จากไปอย่างเนิบช้า ดวงตะวันลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า สาดแสงสว่างไสวให้แก่โลกมนุษย์
——