กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 835.1 มาแล้ว
เฉินผิงอันบอกลาอาจารย์แล้วออกไปจากตรอกเล็กตั้งแต่เช้าตรู่
นึกถึงหนังสือหมั้นฉบับนั้น อาจารย์มอบออกไปแล้ว หนิงเหยารับไว้แล้ว อารมณ์เฉินผิงอันจึงดีไม่น้อย
ผู้ฝึกตนเฒ่าที่รับผิดชอบเฝ้าตรอกวางลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวกลับไปในตรอกเล็กอีกครั้ง ชั่วชีวิตนี้นอกจากฝึกตนแล้ว ผู้เฒ่าก็ไม่มีความชื่นชอบอย่างอื่นอีก
หลิวเจียชอบฝึกตนแค่อย่างเดียวจริงๆ ส่วนขอบเขตอะไรนั่นไม่เรียกร้อง อยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ตามใจ ถึงอย่างไรข้าผู้อาวุโสก็ไม่เอาใจเจ้า
เพียงแต่ประหลาดใจนัก หรือเพราะเมื่อวานไม่มีตนคอยปกป้อง ลูกศิษย์ของตนจึงถูกฟ้าผ่าอีกแล้ว? ถึงได้ไม่ร่ายกระบวนท่าต่อสู้ส่งเสียงดังฮื่อฮ่าอยู่ตรงนั้น ถึงกับทำสมาธิเข้าฌาน กระตือรือร้นมากเป็นพิเศษ ใช้เวทขนย้ายรกเยื่อหุ้มทารกจากสายของหยดทองคืนโอสถ (รกเยื่อหุ้มทารกคือสิ่งที่ใช้ในการหลอมโอสถของลัทธิเต๋า หยดทองคืนโอสถคือศัพท์ในการหลอมโอสถ คือขั้นตอนการนำวัตถุสีเหลืองทองมาหลอมเป็นโอสถของลัทธิเต๋า) โคจรแบบจุลจักรวาลซ้ำแล้วซ้ำเล่า คาดว่าคงเป็นเพราะมีจิตศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์จึงบังเกิด มองดูแล้วเข้าท่าเข้าทีอย่างยิ่ง
ตลอดทั้งคืนนอกจากการฝึกตนของตัวเอง โคจรปราณวิญญาณแบบมหาจักรวาล ใช้วิชาอภินิหารการนึกนิมิต ประหนึ่งเซียนขี่นกกระเรียนท่องไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลที่มีต้นไม้ทองกอไม้หยกซึ่งมีเฉพาะในบ้านตน ออกจากตำหนักโอฬารลงจากหลังกระเรียนขาว พิศน้ำทำความเข้าใจมรรคาอยู่บนสะพานแห่งความเป็นอมตะแล้ว ผู้ฝึกตนเฒ่ายังต้องแบ่งสมาธิมาจับตามองเส้นทางการไหลเวียนลมปราณของจ้าวตวนหมิงด้วย เพื่อที่ว่าหลังจบเรื่องจะได้หาข้อบกพร่องมาช่วยตรวจสอบชดเชยช่องโหว่ให้กับลูกศิษย์
เฉินผิงอันหยุดเดินใกล้กับปากตรอก รออยู่ครู่หนึ่งก็ทำท่างอนิ้วเคาะประตู เคาะลงเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่าหลิว แวะมาเยี่ยมเยียน คงไม่ถือสากระมัง?”
ตอนที่เสียงเคาะประตูดังขึ้นในตรอกเล็ก หลิวเจียเพิ่งจะเก็บรวบรวมความคิด ยุติการฝึกตนลงพอดี ก่อกำเนิดผู้เฒ่ารู้สึกสะท้อนใจยิ่งนัก คนหนุ่มผู้นี้ไม่เสียแรงที่เป็นศิษย์น้องของซิ่วหู่ สายตาช่างเฉียบคมยิ่งนัก มีฟ้าดินเล็กลานประกอบพิธีกรรมแห่งหนึ่งกั้นขวางยังสามารถเห็นสภาพการณ์ฝึกตนของตนได้ชัดเจนเพียงนี้ ผู้ฝึกตนเฒ่าลุกขึ้นจากเบาะรองนั่ง ร่ายเวทคาถาเปิดประตูบานเล็กให้กับลานประกอบพิธีกรรมหยกขาวของตน เอ่ยว่า “เชิญเข้ามา”
มีคำว่าเชิญที่เห็นแก่หน้าของเหวินเซิ่งผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าเพิ่มเข้ามา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเซียนกระบี่ไม่เซียนกระบี่ อิ่นกวานไม่อิ่นกวานอะไรทั้งนั้น
เวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งวัน อันดับแรกก็เป็นอิ่นกวานหนุ่มที่แวะมา การออกกระบี่อย่างเฉียบคมจากหนิงเหยา แล้วยังมีการมาเยือนของเหวินเซิ่ง หลิวเจียรู้สึกว่าบนเส้นทางการฝึกตนที่สงบเงียบมาโดยตลอดของตน ช่างหาได้ยากนักที่จะครึกครื้นเช่นนี้
เพียงแต่ก่อนหน้านั้นคิดว่าจะไปดื่มเหล้ากับชายฉกรรจ์คนนั้น เวลานี้คงไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าไม่ได้ ได้แต่ดื่มสุราคารวะต่อสารถีเฒ่าผู้นั้นอยู่ไกลๆ สามจอกกระมัง?
เฉินผิงอันเดินเข้าไปด้านใน มองเด็กหนุ่มที่ยังฝึกตนอยู่ ใช้เสียงในใจถามว่า “เซียนซือผู้เฒ่าคิดจะรอให้ตวนหมิงเลื่อนเป็นขอบเขตโอสถทองเสียก่อนค่อยถ่ายทอดเวทอสนีชั้นสูงที่ผสานกลมกลืนกับชะตาชีวิตของเขาอย่างเป็นธรรมชาติให้อย่างนั้นหรือ?”
หลิวเจียสีหน้าปั้นยาก อยากจะพยักหน้า ตบหน้าตัวเองสวมรอยเป็นคนอ้วนกับคนหนุ่มที่อายุสี่สิบปีผู้นี้จริงๆ แต่ถึงอย่างไรผู้เฒ่าก็ข้ามผ่านมโนธรรมในใจตัวเองไปไม่ได้ หน้าตาศักดิ์ศรีอะไรนั้นไม่สำคัญแล้ว เขาจึงถอนหายใจ “มีคาถาอสนีกะผายลมอะไรเสียที่ไหน กลุ้มใจจะตายอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “ด้วยรากฐานของสกุลจ้าวเทียนสุ่ยจะตามหาเวทอสนีที่ถูกต้องสักบทไม่ได้เชียวหรือ?”
หลิวเจียส่ายหน้า “หลายปีมานี้สกุลจ้าวหาเวทลับอสนีที่เป็นวิชานอกรีตเจอแค่สองสามบทเท่านั้น ยังห่างจากห้าอสนีดั้งเดิมของภูเขามังกรพยัคฆ์อีกหนึ่งแสนแปดพันลี้ พวกเขากล้ามอบให้ ข้าก็ไม่กล้ารับ”
ช่างเป็นเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ว่าน้ำมันเกลือฟืนข้าวสารแพงจริงๆ วิชาอสนีถูกเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษแห่งหมื่นคาถาบนภูเขา เวทลับวิชาดั้งเดิมเช่นนี้จะได้มาง่ายๆ ได้อย่างไร แล้วนับประสาอะไรกับที่นี่ไม่ใช่เรื่องของเงินทองอะไรด้วย ตระกูลเซียนแจกันสมบัติทวีป พวกคนที่ฝึกวิชาอสนีโดยเฉพาะ เดิมทีก็ไม่เยอะอยู่แล้ว คำกล่าวที่ว่าใกล้เคียง ‘ของแท้ดั้งเดิม’ ก็ยิ่งไม่มีเลย ต่อให้เป็นฉีเจินเทียนจวินใหญ่แห่งสำนักโองการเทพก็ยังไม่กล้าพูดว่าตัวเองเชี่ยวชาญเวทอสนี
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “วันหน้าข้าต้องกลับไปที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางอีกรอบหนึ่ง ที่นั่นข้ามีสหายบนภูเขาคนหนึ่งเป็นผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือ นัดหมายกันไว้ว่าจะไปเป็นแขกที่ภูเขามังกรพยัคฆ์ ข้าจะดูว่าจะสามารถรวบรวมเวทลับที่พอจะเข้าท่าเข้าทีสักบทมาให้ได้หรือไม่ เพียงแต่ว่าเรื่องนี้ไม่กล้ารับรองว่าจะต้องสำเร็จแน่นอน”
หลิวเจียขมวดคิ้วเอ่ย “ไม่ได้เป็นอะไรกัน ไยเจ้าต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ มอบน้ำใจควันธูปใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ให้ตวนหมิงเปล่าๆ? ทำไม คิดจะดึงสกุลจ้าวเทียนสุ่ยไปเป็นพันธมิตรในราชสำนักต้าหลีให้กับภูเขาลั่วพั่วอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากทำสำเร็จจริง เวทลับวิชาอสนีบทนั้นก็จะถือว่าข้าไม่ทันระวังทำหล่นไว้ที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น ถือเสียว่าแทนการขอบคุณที่เซียนซือผู้เฒ่าหลิวช่วยดูแลเรือนให้ศิษย์พี่ข้า เซียนซือผู้เฒ่าหลิวแค่ต้องทำเรื่องเดียว นั่นก็คือปิดบังเรื่องนี้กับสกุลจ้าวเทียนสุ่ยเอาไว้ สรุปก็คือไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้า หลังจากนั้นท่านก็แค่สงบใจถ่ายทอดวิชาให้ตวนหมิงก็พอ”
หลิวเจียกึ่งเชื่อกึ่งกังขา “ง่ายดายขนาดนี้เชียว ไม่มีแผนการอะไรจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันย้อนถาม “ไม่เชื่อใจเฉินผิงอันที่พบเจอกันอย่างผิวเผิน แต่เซียนซือผู้เฒ่าหลิวไม่เชื่อใจอาจารย์ของข้าหรือ?”
หลิวเจียหลุดหัวเราะพรืด ลังเลอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พยักหน้า เจ้าเด็กนี่ถึงกับยกเหวินเซิ่งมาพูดแล้ว เรื่องนี้สามารถทำได้ บัณฑิตของลัทธิขงจื๊อให้ความสำคัญกับระบบสืบทอดของสายบุ๋นที่สุด ไม่มีใครเอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่น
แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก็พลันได้สติ ด่าขำๆ ว่า “เจ้าเด็กตัวดี เจ้าหลอกข้า ไม่ต้องทำผายลมอะไรก็สามารถช่วงชิงความรู้สึกดีๆ จากข้าไปได้เปล่าๆ ใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันแสร้งทำสีหน้าฉงน “หมายความว่าอย่างไร?”
หลิวเจียหัวเราะอย่างฉุนๆ ยื่นนิ้วมาชี้หน้าคนหนุ่มที่เห็นตนเป็นคนโง่สองสามที “ต่อให้เจ้ามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับจวนเทียนซือ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อคนหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สายเต๋าของภูเขามังกรพยัคฆ์ เกรงว่าต่อให้เป็นตัวเทียนซือใหญ่เองก็ยังไม่กล้าถ่ายทอดเวทห้าอสนีที่แท้จริงให้แก่เจ้าโดยพลการ เมื่อครู่นี้ตัวเจ้าเองก็บอกแล้วว่าแค่ดูว่าจะมีโอกาสรวบรวมตำรามาได้หรือไม่ เจ้าลองถามมโนธรรมในใจตัวเองดูเถิด ตำราลับลัทธิเต๋าที่อาจทำให้ลูกศิษย์ผู้อื่นฝึกตนผิดพลาดได้เหมือนกันเช่นนี้ จะดีไปกว่าของที่สกุลจ้าวเทียนสุ่ยหามาได้อีกหรือ? จะหลอกคนก็ไม่รู้จักหาเหตุผลดีๆ มีช่องโหว่อยู่ทั่วทุกจุด ไม่น่าเชื่อถือพอ…”
ผู้ฝึกตนเฒ่าพลันเงียบเสียงลง เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวยกมือข้างหนึ่งขึ้น ห้าอสนีก็มารวมตัวกันอยู่กลางฝ่ามือ ปณิธานแห่งเวทสายฟ้ายิ่งใหญ่น่าครั่นคร้าม
หลิวเจียเพ่งสายตามองไป มองแล้วมองอีก ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พูดด้วยสีหน้าปกติ “อาจารย์น้อยแสดงเวทอสนีได้ยอดเยี่ยมนัก ไม่เสียแรงที่เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง เป็นศิษย์น้องของซิ่วหู่ ดึงเอาข้อดีมากมายมาหลอมรวมไว้ด้วยกัน นับถือๆ ดี เรื่องนี้ตกลงตามนี้ ขอเอ่ยขอบคุณไว้ก่อน รอแค่อาจารย์น้อยไม่ทันระวังทิ้งตำราลับไว้ในเรือนแล้วถูกข้าเก็บมาได้โดยบังเอิญเท่านั้น เพียงแต่ว่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้อควรระวังทั้งหมดในการฝึกวิชานี้ ข้าจะเขียนเป็นบันทึกเสริมไว้ให้ในช่วงท้ายอย่างระมัดระวัง ตัวอักษรมีแต่จะละเอียดยิบย่อยกว่าเนื้อหาหลัก ขอบเขตของเซียนซือผู้เฒ่าวางอยู่ตรงนั้น หลังจบเรื่องคิดจะถ่ายทอดมรรคาปกป้องมรรคาให้แก่ตวนหมิงย่อมไม่เป็นปัญหาแน่นอน”
หลิวเจียรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ยังต้องรบกวนเซียนซือผู้เฒ่าอีกเรื่อง ช่วยขอเทียบอักษรชิ้นหนึ่งจากเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยมาให้ข้าที เขียนคำสอนของตระกูลจ้าวก็ได้ แน่นอนว่ายังคงไม่เกี่ยวอะไรกับข้าเฉินผิงอัน”
สามารถถูกศิษย์พี่เรียกให้มาเฝ้าตรอกเล็ก เฉินผิงอันมั่นใจว่าหลิวเจียต้องเป็นคนที่ปิดปากสนิทแน่นอน ดังนั้นจึงไม่กังวลสักนิดว่าผู้ฝึกตนเฒ่าจะหลุดพูดอะไรต่อสกุลจ้าวเทียนสุ่ย
หลิวเจียถอนหายใจโล่งอก ขอเทียบอักษรขอภาพวาดอะไร เรื่องเล็กน้อย ต่อให้ตนแบกกระบุงทั้งใบไปเยือนก็ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ต้องถือว่าเป็นการให้หน้าอาจารย์จ้าวแห่งหอก่วนเก๋อที่เขียนตัวอักษรได้อย่างงดงามคนนั้นด้วยซ้ำ
สกุลจ้าวเทียนสุ่ยที่ถูกวงการขุนนางต้าหลีเรียกว่าหม่าเฟิ่นจ้าว คำสั่งสอนของตระกูลกลับมีกลิ่นอายของตำราอย่างมาก เฉินผิงอันถูกใจอยู่หลายประโยค ยกตัวอย่างเช่นบรรยากาศทั้งสดชื่นทั้งปลอดโปร่ง ความรู้ทั้งลึกซึ้งทั้งยาวไกล ตั้งตนด้วยความแข็งแกร่งและจริงใจ ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความอ่อนโยนและหนักแน่น
ในความเป็นจริงแล้ว เฉินผิงอันเข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ หลังจากได้พบเจอกับจ้าวตวนหมิงก็อยากจะขอคำสั่งสอนที่เขียนด้วยลายมือของเจ้าประมุขสกุลจ้าวเทียนสุ่ยมาฉบับหนึ่งแล้ว เขาจะเอากลับไปเข้ากรอบ ไม่สะดวกจะแขวนไว้ในห้องหนังสือของตัวเอง สามารถมอบให้หน่วนซู่น้อย เพียงแต่ว่าทุกวันนี้สถานการณ์ของเมืองหลวงยังไม่แจ่มชัด เฉินผิงอันจึงคิดว่ารอให้จบเรื่องก่อนค่อยเปิดปากบอกจ้าวตวนหมิง ตอนนี้ดีแล้ว ไม่ต้องจ่ายเงินก็ได้มาอยู่ในมือ
ผู้ฝึกตนเฒ่าพลันตกตะลึง เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง เพราะถูกภาพบรรยากาศเวทห้าอสนีของตนชักนำ จิตใจที่จมจ่อมอยู่ในฟ้าดินเล็กของจ้าวตวนหมิงจึงเกิดลมปราณไหลเวียนวนขานรับกันอยู่ไกลๆ เป็นเหตุให้ปราณวิญญาณของทั้งร่างหลั่งไหลออกมาภายนอก ตัวคนเหมือนขุนเขา เมฆคล้อยลอยเด่น มีลางว่าจะเกิดฟ้าร้องฟ้าแลบ เฉินผิงอันมองหลิวเจียแวบหนึ่ง ฝ่ายหลังตะลึงไปครู่เดียวก็พยักหน้ารับทันที เอ่ยประโยคหนึ่งว่าเชิญเจ้าพิทักษ์มรรคาให้ตวนหมิงได้ตามสบาย
เฉินผิงอันเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ข้างกายจ้าวตวนหมิง กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งที ร่างของเด็กหนุ่มที่นั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่บนเบาะรองนั่งก็กระดอนลอยพ้นพื้นตามมา
เฉินผิงอันยกมือข้างหนึ่งขึ้นกดหัวของเด็กหนุ่มไว้เบาๆ ช่วยสร้างความสงบมั่นคงให้กับจิตวิญญาณและจิตแห่งมรรคาของจ้าวตวนหมิง ฝ่ามือข้างที่เดิมทีมีห้าอสนีรวมตัวกันอยู่ประกบสองนิ้วจิ้มไปตรงหว่างคิ้วของเด็กหนุ่มเบาๆ ให้อีกฝ่ายสงบใจ พริบตาเดียวก็เลื่อนเข้าสู่ขอบเขตจิตวิญญาณหลับใหล
หลิวเจียเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ เห็นเพียงว่ารอบศีรษะของลูกศิษย์เกิดเป็นภาพบรรยากาศหลากหลาย งดงามแปลกตา ราวกับภาพวาดอันลี้ลับมหัศจรรย์ที่มรรคาฟ้าดินถูกจำแลงออกมา
ตะวันจันทราลอยอยู่กลางอากาศเคียงคู่กัน ดวงดารานับไม่ถ้วนเคลื่อนโคจร เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวใช้ดวงจิตเด็ด ‘ดวงดาว’ เล็กจิ๋วที่มีแสงสีทองล้อมวนเวียนเปี่ยมล้นด้วยเวทอสนีดวงหนึ่งมา จากนั้นใช้มือข้างที่แตะหน้าผากจ้าวตวนหมิงต่างสะพานแห่งความเป็นอมตะสายหนึ่ง ดวงดาวจึงค่อยๆ กลิ้งเข้าหาหว่างคิ้วของเด็กหนุ่ม ดวงดาวที่เกิดจากการจำแลงภาพมายาของมรรคกถาไล่ตามเส้นทางลมปราณจุลจักรวาลในฟ้าดินเล็กร่างของจ้าวตวนหมิงเข้าไป กลิ้งหมุนอย่างมีระเบียบ ปณิธานอันบริสุทธิ์หลายกลุ่มที่เดิมทีกระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆ แม้แต่ตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่รู้เหมือนได้รับคำสั่ง พริบตาเดียวก็พลันพุ่งมาถึง กราบไหว้ดวงดาวบรรพกาลที่คล้ายลอยอยู่กลางอากาศของวิถีแห่งฟ้าดวงนั้นอยู่ไกลๆ
เฉินผิงอันตบหน้าผากเด็กหนุ่มเบาๆ หนึ่งที ทั้งร่างเด็กหนุ่มพร้อมกับเบาะรองนั่งก็หล่นลงมาบนพื้นดังเดิม
หลิวเจียถามอย่างระมัดระวัง “เฉินผิงอัน เจ้าคงไม่ใช่ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ข้าไม่ใช่ แต่ภรรยาของข้าใช่”
หลิวเจียอดทนอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายก็ข่มกลั้นไม่ไหว ถามคำถามที่เป็นข้อสงสัยใหญ่ที่สุดในใจออกมา “เฉินผิงอัน เจ้าหลอกหนิงเหยามาได้อย่างไร?”
เฉินผิงอันจัดสาบเสื้อให้เรียบร้อย สะบัดชายแขนเสื้อ เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยคำใด
นี่ก็ชัดเจนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ อาศัยหน้าตาและบุคลิกของข้าน่ะสิ
หลิวเจียอึ้งค้างไปพักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าเป็นช่างตัดเสื้อหรือ?”
เฉินผิงอันบอกลาด้วยรอยยิ้มบางๆ ก้าวยาวๆ ออกไปจากตรอกเล็ก
เด็กหนุ่มที่ถูกปิดหูปิดตาตลอดเวลาคืนสติกลับมาช้าๆ พอลืมตาขึ้น ลุกขึ้นยืน กระโดดสองสามทีก็รู้สึกเพียงว่าปลอดโปร่งสดชื่นมากเป็นพิเศษ
สังเกตเห็นว่าอาจารย์นั่งดื่มเหล้าอยู่บนเบาะ จ้าวตวนหมิงก็ขยับไปนั่งยองอยู่ใกล้ๆ ดมกลิ่นหอมของสุราดับกระหาย
หลิวเจียยิ้มกล่าว “เมื่อก่อนไม่รู้ว่าเหตุใดราชครูถึงให้ข้าอดทนรอคอยอยู่ที่นี่ บอกว่าเรื่องของเงินค่าจ้างขอติดไว้ก่อน วันหน้าย่อมมีคนมาควักเงินจ่ายให้ที่นี่เอง”
เรื่องราวซับซ้อน วกวนอ้อมค้อม มองเห็นความจริงได้ไม่ชัดเจน แต่การมองความดีความเลวคร่าวๆ ของใจคน หลิวเจียคิดว่าตัวเองมองได้ค่อนข้างแม่นยำ
จ้าวตวนหมิงกล่าว “เงินของพี่ใหญ่เฉินข้า อาจารย์ก็กล้ารับมาด้วยหรือ? อาจารย์ เรื่องของการฝึกตนถ่ายทอดมรรคา แน่นอนว่าท่านย่อมเก่งกาจมาก ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางสอนลูกศิษย์เช่นข้าออกมาได้ แต่เรื่องของน้ำใจคนความสัมพันธ์ของผู้คน ท่านควรต้องเรียนรู้ไปจากข้าจริงๆ นะ”
หลิวเจียยิ้มไม่เอ่ยอะไรอีก หันไปมองในตรอก เมื่อก่อนราชครูพักอยู่ที่นี่ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า ไปมาเพียงลำพัง แต่กลับไม่เคยให้ความรู้สึกถึงความอ้างว่างเปลี่ยวเหงาแม้แต่น้อย
ในใจมีความกังวลหวาดเกรง ก็เหมือนเหยียบหางเสือ หรือไม่ก็เหยียบอยู่บนน้ำแข็งแผ่นบางของต้นฤดูใบไม้ผลิ
วันนี้มีศิษย์น้องเพิ่มมาคนหนึ่ง เขาเองก็เดินอยู่ในตรอกเช่นเดียวกัน
สว่างไสวดุจตะวันจันทรา แจ่มกระจ่างดุจดวงดารา
ราวกับว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้น แม้จะอายุน้อย ทว่ากลับไม่ใช่เม็ดหมากอะไรแล้ว แต่เป็นการวางเมืองหลวงเมืองหนึ่ง ขุนเขาสายน้ำของหนึ่งแคว้นลงบนกระดานหมาก
ขอเชิญคู่ต่อสู้ให้นั่งลง ไม่สู้มาลองดู
ผู้ฝึกตนเฒ่าลองมาคิดอีกทีก็รู้สึกลำพองใจอย่างมาก
คนเฝ้าประตูอย่างตน ขวางทีก็ขวางได้ตั้งสามคน เฉินผิงอัน หนิงเหยา เหวินเซิ่ง ล้วนพอจะถือว่าขวางไว้ได้อย่างถูไถแล้ว ขอถามหน่อยเถอะว่าใต้หล้านี้ใครจะมาทัดเทียมได้?
หลิวเจียกระแอมหนึ่งที ยื่นกาเหล้าส่งมาให้ ยิ้มเอ่ย “ตวนหมิง ดื่มเหล้า”
เด็กหนุ่มปัดมือของอาจารย์ทิ้ง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “อาจารย์พูดล้อเล่นแล้ว ดื่มเหล้าอะไรกัน ศิษย์อายุยังน้อย แค่ดมได้กลิ่นเหล้าก็ทนไม่ไหวแล้ว”
ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ระยะทางไม่กี่ก้าว เดินครู่เดียวก็มาถึงโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันไม่รีบร้อนไปตามหาหนิงเหยา เขาไปพูดคุยกับเถ้าแก่ก่อน คุยไปคุยมาก็ถามไปถึงเด็กสาว
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้าคนแซ่เฉิน อย่ากินในชามแล้วยังมองในหม้อ รีบเก็บความคิดบิดเบี้ยวนั้นลงไป อีกอย่างเจ้ากินยาผิดหรืออย่างไร ต่อให้ลูกสาวข้าจะหน้าตาชวนมอง แต่ไม่ได้งามไปกว่าแม่นางหนิงเลย”
เฉินผิงอันยิ้มพลางถามหยั่งเชิง “เถ้าแก่ คิดอะไรน่ะ ข้าเป็นคนอย่างไร เถ้าแก่ท่านเคยเห็นคนของสามลัทธิเก้าสำนักที่ขึ้นเหนือล่องใต้มานักต่อนัก ฝึกปรือจนได้ตาทิพย์เฉียบคมมาคู่หนึ่ง จะมองไม่ออกจริงๆ หรือ? ข้าแค่รู้สึกว่าคุณสมบัติของนางไม่เลว…”
เถ้าแก่เอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “หยุดเลย หยุดเลยนะ! หรือจะให้กราบเจ้าเป็นอาจารย์เรียนวิชาออกท่องยุทธภพกัน แม่นางน้อยคนหนึ่งจะมาฝึกวิชาหมัดเท้าอะไร เรื่องนี้อย่าหวังว่าเจ้าจะได้พูดมากเลย”
หากจะพูดถึงพวกนักต่อสู้ที่มั่วสุมกันอยู่ในตลาดก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หากไม่เล่นทวนเล่นหอกหลอกขายยาหนังสุนัข (โก่วผีเกา ยาขับลมสลายความเย็น ห้ามเลือดบรรเทาความเจ็บปวด) ก็ใช้หน้าอกตบหินให้แตก หาเงินมาได้ด้วยความยากลำบาก แม้จะบอกว่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เกินครึ่งน่าจะมีพรรคในยุทธภพเป็นหลักแหล่ง แต่หากจะต้องให้ลูกสาวของตนไปเรียนวิชายุทธกับคนอื่น ก็ไม่ใช่ว่าผ่านไปแค่ไม่กี่วัน มือของนางก็จะเต็มไปด้วยตุ่มด้านหรอกหรือ แล้วยังจะออกเรือนได้อย่างไร? แค่คิดก็กลุ้มใจแล้ว
——