กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 835.2 มาแล้ว
ที่เป็นห่วงที่สุดก็ยังเป็นเรื่องที่บุตรสาวคนโง่ชอบเพ้อฝันอยากเป็นจอมยุทธหญิง วิ่งข้ามหลังคาเดินไต่กำแพง ผดุงคุณธรรมมาตั้งแต่เด็ก โชคดีที่มีครั้งหนึ่งตะพาบน้อยสองกลุ่มของตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์รวมกลุ่มตีกันอย่างดุเดือดรุนแรง ก้อนอิฐแตกไปไม่น้อย ทำเอาบุตรสาวของตนวิ่งกลับมาบ้านด้วยความไม่สบอารมณ์ นับแต่นั้นมาก็สำรวมขึ้นมาก บอกแค่ว่ารอให้โตก่อนค่อยว่ากัน ฝึกกำลังภายในให้ดีก่อนค่อยออกท่องยุทธภพก็ยังไม่สาย
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นหากข้าเดินเจอกับนางในโรงเตี๊ยมก็คงไม่เป็นไรกระมัง?”
ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? เฉินผิงอัน เจ้าบอกกับข้ามาตามตรง ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องไล่คนจริงๆ แล้ว ลูกชายมีอยู่สองคน แต่ลูกสาวกลับมีแค่คนเดียว หากถูกเจ้าหลอกไป ภรรยาดุร้ายบ้านข้าต้องตีข้าตายแน่”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าไม่คิดว่าคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้เป็นคนชั่วร้ายอะไรจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่ทุกวันนี้วิถีทางโลกสงบสุขมากแล้ว ชีวิตของชาวบ้านต้าหลีผ่านไปอย่างสงบมั่นคงในทุกๆ วัน เรื่องของการละเมิดกฎทำผิด อย่าว่าแต่คนในยุทธภพเลย ขนาดเทพเซียนบนภูเขาก็ยังไม่กล้า
ผู้เฒ่าพลันถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าบอกข้ามาเถอะ เจ้าเป็นคนของพรรคไหนในยุทธภพกันแน่ มีชื่อเสียงหรือไม่?”
อาณาเขตหลงโจวแค่เคยได้ยินมาว่ามีภูเขาพีอวิ๋นที่ยอดเขาสูงทะลุชั้นเมฆกับเว่ยซานจวินที่ว่ากันว่ามีเงินทองไหลมาเทมา นอกจากนั้นก็เป็นสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่มีแต่เซียนกระบี่เต็มภูเขา
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พรรคเล็กๆ เท่านั้น พูดไปแล้วเถ้าแก่ก็ไม่รู้จัก เอาเป็นว่าคนไม่มาก แต่สามารถรับประกันได้ว่าขนบธรรมเนียมของบ้านข้าไม่เลวแน่นอน”
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “หากข้าออกจากบ้านไปบอกกับคนอื่นว่าโรงเตี๊ยมของข้าคือโรงเตี๊ยมใหญ่อันดับหนึ่งไม่มีสองของเมืองหลวง ทุกวันคนที่เข้าๆ ออกๆ หากไม่ใช่ปรมาจารย์ใหญ่ในยุทธภพอย่างพวกอวี๋หง โจวไห่จิ้ง ก็เป็นนายท่านเทพเซียนที่ขี่เมฆทะยานหมอก เจ้าจะเชื่อหรือไม่เล่า?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่เชื่อหรอก”
ผู้เฒ่าถาม “เจ้าคงไม่ได้ชอบลูกสาวข้าจริงๆ หรอกกระมัง? คงไม่ใช่ว่าเกิดรักแรกพบต่อนางเข้าหรอกนะ?”
เฉินผิงอันยิ้มเฝื่อน “ไม่ใช่จริงๆ”
ผู้เฒ่าโล่งอก พยักหน้า แบบนี้ก็ดี จากนั้นก็ตบโต๊ะ ไม่เห็นจะดีเลย ลูกสาวของข้าแย่กว่าหนิงเหยาตรงไหนกัน ผู้เฒ่าโบกมือเป็นวงกว้าง ตาไร้แวว รีบไสหัวไปเลย
เฉินผิงอันเดินออกมาแล้ว ทางฝั่งของที่ว่าการก็มีคนมาตรวจสอบสมุดบันทึกอย่างรวดเร็ว เป็นคนแปลกหน้าสองคน แต่ว่าป้ายขุนนางกลับไม่ใช่ของปลอม เถ้าแก่ผู้เฒ่าจึงไม่ได้คิดอะไรมาก
หลังจากพวกเขาเปิดเจอชื่อเฉินผิงอันกับหนิงเหยา คนทั้งสองก็หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน ขุนนางอายุน้อยคนหนึ่งในนั้นพลิกหน้าสมุดบันทึกต่อไปพลางยิ้มพูดชวนคุย “เถ้าแก่หลิว กิจการเจริญรุ่งเรืองนะ”
ผู้เฒ่าฟุบตัวนอนคว่ำบนโต๊ะคิดเงินอย่างผ่อนคลาย ไม่กังวลกับคนของทางการพวกนี้เลยสักนิด โรงเตี๊ยมของตนเปิดอยู่บนถนนสองเส้น คนสองรุ่นล้วนใกล้จะอายุห้าสิบปีแล้ว มีขุนนางบุ๋นแม่ทัพบู๊แบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน พวกขุนนางชั้นสูงที่อยู่ใจกลางราชสำนักก็ไม่เพียงแต่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี หลายคนหากเจอกันบนถนนโดยบังเอิญยังสามารถพูดจาทักทายกันได้ด้วย สำหรับเรื่องนี้เถ้าแก่ผู้เฒ่าค่อนข้างภาคภูมิใจในตัวเองมาโดยตลอด ดังนั้นเวลานี้จึงเพียงแค่ยิ้มเอ่ยว่า “กิจการนับว่าพอได้ แค่ถูๆ ไถๆ ไปเท่านั้น”
หนิงเหยาไม่ได้จงใจปล่อยจิตใจจมจ่อมอยู่กับการฝึกตน หล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่น เพราะหากทำเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากการช่วงชิงบนมหามรรคาระหว่างสองใต้หล้าแล้ว
นางเพียงแค่นั่งอยู่ข้างโต๊ะตลอดทั้งคืนเช่นนี้ พอฟ้าสางนางก็ลืมตาขึ้น ยื่นนิ้วออกไปหมุนชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ ตามจิตใจสำนึก
รอกระทั่งเสียงเคาะประตูเบาๆ ดังขึ้น หนิงเหยาก็เอ่ยว่า “ประตูไม่ได้ลงกลอน”
เฉินผิงอันผลักประตูเดินเข้ามาด้านใน หนิงเหยาเหลือบมองคนชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกไว้บนมวยผม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันหยิบรวมเล่มผลงานของนักเขียนหลายเล่มออกมาจากในชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ยังต้องอยู่เมืองหลวงอีกหลายวัน กลัวว่าเจ้าจะเบื่อก็เลยเลือกหนังสือมาให้ ไม่มีอะไรทำก็เอามาอ่านเล่นได้”
หนิงเหยามองหนังสือหลายเล่มบนโต๊ะ หยิบขึ้นมาดู ถามว่า “ไม่มีนิยายในยุทธภพกับคดีแปลกพิสดารบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันถาม “อยากอ่านหนังสือประเภทนี้หรือ?”
หนิงเหยาย้อนถาม “ไม่อย่างนั้นจะให้ข้าอ่านเรื่องเหลวไหลอย่างพวกนิยายภูตผีตัวประหลาด นิยายรักประโลมโลกอย่างนั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพูดไม่ออก
พวกนินายในยุทธภพที่เอะอะก็เป็นยอดฝีมือผู้เร้นกายจากโลกภายนอกกรอกกำลังภายในหกสิบให้กับผู้เยาว์ก็เหลวไหลมากเหมือนกันนะ
เพียงแต่ไม่ว่าภรรยาพูดอะไรก็ล้วนถูกต้องทั้งหมด
เฉินผิงอันพูดเรื่องที่หลี่เซิ่งเชิญให้นางไปที่ศาลบุ๋นก่อน หนิงเหยาพยักหน้า บอกว่าไม่มีปัญหา จากนั้นเขาก็รีบหันตัวเดินกลับออกไปหาหนังสือ แต่ดูเหมือนว่าในหอหนังสือจะไม่มีตำราพวกนี้อยู่เลย
จำได้ว่าลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ตอนนั้นยังเป็นถ่านดำน้อย ทุกวันจะต้องคอยเซ้าซี้เหล่าเว่ยกับเสี่ยวป๋ายบอกว่าให้พวกเขาถ่ายทอดกำลังปราณให้นางคนละหลายๆ สิบปี
ภายหลังพ่อครัวเฒ่าเอาเรื่องมาฟ้อง เผยเฉียนจึงกินมะเหงกมื้อหนึ่งไปจนอิ่ม ถึงได้ยอมปล่อยเว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงไป
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นว่าเฉินผิงอันเดินเข้าๆ ออกๆ ก็เอ่ยสัพยอกว่า “คนเราจะดูกันที่ภายนอกไม่ได้จริงๆ อายุน้อยๆ แต่กลับเร็วมากเลยนะ”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถามว่า “เถ้าแก่ ใกล้ๆ นี้มีร้านขายหนังสือบ้างหรือไม่?”
ผู้เฒ่าพยักหน้า “ไม่ไกลหรอก มีร้านหนังสือของถนนปั้นเถียวอยู่ แต่ร้านที่อยู่ใกล้กับตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์เช่นนี้ แค่คิดก็รู้ได้แล้วว่าราคาต้องไม่ถูก ส่วนใหญ่เป็นตำราสมบูรณ์ตำราเล่มหายากที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ทำไม ทุกวันนี้คนในพรรคยุทธภพอย่างพวกเจ้า คิดจะประมือกับใครก็จะต้องพูดจากำกวมก่อนสักสองสามประโยคหรือ?”
ผู้เฒ่าบอกทางให้คร่าวๆ เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณแล้วยิ้มกล่าวว่า “ภรรยาอยากอ่านหนังสือ จะไปหาดูให้นางสักหน่อย”
เฉินผิงอันจึงคิดเสียว่าออกมาเดินเล่น แล้วก็เจอถนนเส้นนั้น มีหนังสือตั้งวางเรียงรายอยู่จริง จ่ายเงินไปเจ็ดแปดตำลึงเงิน เลือกหนังสือมาได้สี่ห้าเล่มก็เก็บใส่ชายแขนเสื้อ เขาพลันเปลี่ยนใจ เดินอ้อมเส้นทางไปยังจุดอื่น ห่างไปประมาณสามลี้ เดินผ่านตรอกผ่านถนนเส้นต่างๆ สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินมาถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่เปิดอยู่ลึกสุดปลายตรอกเล็กเส้นหนึ่ง ประตูร้านไม่ใหญ่ แล้วก็ไม่มีลักษณะของตระกูลเซียนอะไร หากคนธรรมดาเดินผ่านต้องไม่มีทางหันกลับมามองซ้ำแน่นอน เจอกับทางตันก็มีแต่จะหมุนตัวเดินจากไป
เฉินผิงอันรู้ว่าเมื่อคืนวานพวกซ่งซวี่ออกจากเมืองเดินทางไกล จุดเริ่มต้นของพวกเขาคือที่นี่ ตอนที่ย้อนกลับเข้ามาในเมืองหลวงก็มาพักเท้าอยู่ที่นี่ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าที่นี่ก็คือสถานที่ฝึกตนของพวกเขา
เฉินผิงอันกำลังจะเคาะประตูก็ต้องขมวดคิ้วน้อยๆ เรือนกายถอยกรูดออกไปด้านหลังในเสี้ยววินาที พลิ้วกายหยุดห่างออกไปสิบกว่าจั้ง มีผู้ฝึกตนผีหญิงขอบเขตโอสถทองตนหนึ่งที่เรือนกายเป็นมายาล่องลอยกระโจนออกมาจากประตูใหญ่ที่แปะภาพเทพทวารบาลลงสีเอาไว้ เฉินผิงอันเหลือบตามองก็สังเกตเห็นว่าเป็นผีหญิงที่อยู่ข้างกายผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอายุน้อยคนนั้น เกินครึ่งน่าจะเป็นเหมือนพวกซ่งซวี่ เก๋อหลิ่ง เพียงแค่ว่าอยู่บนภูเขาคนละลูกกัน
นี่คือจะประลองมรรคกถา? หรือว่าถามหมัดถามกระบี่?
เห็นเพียงว่านางแค่พลิกกาย ชุดสีสดพลิ้วไสว กางเล็บแยกเขี้ยว คล้ายจะไม่มีกฎระเบียบอะไร อีกทั้งสายตาราวกับจะกลืนกินคน แล้วสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระหายอยากของนางนั้นล่ะ หมายความว่าอย่างไร
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เพียงแค่ขยับเท้าเบี่ยงตัวหลบก็หลบพ้นเรือนกายที่พุ่งทะยานมาของผีหญิง ผีสาวที่เหมือนผ้าแพรหลากสีเส้นหนึ่งพลันหมุนตัวกลับครึ่งหนึ่ง กางแขนสองข้างออกกว้างหมายจะกอดคนชุดเขียว
เจ้ายังไม่แล้วไม่เลิกเสียทีหรือ?
เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง เพียงยกศอกกระทุ้งไปด้านหลัง กระแทกเข้าเต็มหน้าของผีหญิง
ทำเอาผีหญิงที่โดนกระแทกล้มตึงลงกับพื้นอย่างมึนงง ลุกขึ้นนั่งแล้วนางก็ใช้สองนิ้วดึงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ซับน้ำตาที่หัวตา น้ำตาคลอเจียนจะหยด
เฉินผิงอันหันหน้าไปขมวดคิ้วถาม “นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
สีหน้าของผีสาวสดใสมีชีวิตชีวา แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พลิ้วกายเข้าหาเฉินผิงอันอย่างฉับพลัน ไม่มีจิตสังหารไม่มีไอสังหารใดๆ ราวกับว่าแค่จะตอแยพัวพันเขาอย่างเดียวเท่านั้น
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้ออยู่ตลอดเวลา ยกขาข้างหนึ่งถีบเข้าที่หน้าผากของนาง ร่างของผีหญิงลอยไปกระแทกชนกับกำแพง
ไม่ถูกสิ
คือเวทอำพรางตาประหลาดอย่างหนึ่งที่สามารถบดบังจิตใจได้ พูดง่ายๆ คือสิ่งที่ตาเห็นนั้นเป็นภาพลวงตา
เฉินผิงอันหรี่ตาลง ยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ห้านิ้วงอเป็นตะขอจิกหัวของผีหญิงแล้วกดตบกระแทกพื้นอย่างแรง ปลายเท้าขยี้เล็กน้อย ใช้พายุลมกรดของผู้ฝึกยุทธปูแผ่ไปเต็มเส้นทาง ไม่ให้โอกาสนางได้ดำดินหนีไป จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าทิ่มไปที่หัวใจ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง น่าสงสารเรือนกายที่สวมชุดสีสันสดใสของผีหญิงที่คล้ายผ้าพื้นหนึ่งซึ่งเช็ดถูตรอกทั้งเส้นครบหนึ่งรอบ จากนั้นเรือนกายและชุดสีสดบนร่างของหญิงสาวก็พลันขยายใหญ่ ไปหยุดลอยอยู่บริเวณใกล้เคียงกับปากตรอกเล็ก ราวกับแขวนภาพสตรีลงสีสันขนาดมหึมาไว้บนผนัง
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “แค่พอสมควรก็พอแล้ว”
ทันใดนั้นฟ้าดินพลันมืดสลัว มีศีรษะของผีหญิงจำนวนนับไม่ถ้วนโผล่ออกมาจากผนังสองฝั่งของตรอกเล็ก เพียงแต่ว่าไม่ได้มีสีหน้าดุร้าย กลับกันยังคลี่ยิ้มราวบุปผาผลิบาน ประหนึ่งสตรีที่ลุ่มหลงในรักจนเสียสติแล้วในที่สุดก็ได้เห็นชายคนรักกลับมาบ้าน
เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะลงมืออย่างเด็ดขาดแล้ว แต่จู่ๆ ก็ถอนหายใจ เอ่ยว่า “จะเตือนเป็นครั้งสุดท้าย”
หยวนฮว่าจิ้งที่อยู่ในโรงเตี๊ยมเดินออกมาตรงระเบียง เอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ก่ายเยี่ยน หยุดได้แล้ว”
ผีหญิงที่มีชื่อว่าก่ายเยี่ยนรีบเก็บเวทคาถา ปรากฏตัวในตรอกเล็ก เรือนกายอ้อนแอ้นอรชร คารวะอย่างสำรวม “ข้าน้อยก่ายเยี่ยนคารวะคุณชายเฉิน”
เฉินผิงอันอธิบาย “ข้ามาหาคน”
ก่านเยี่ยนคลี่ยิ้มหวาน “มาหาคนก็ดีน่ะสิ โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นของข้าเอง มาหาใครก็ได้ ข้าจะนำทางให้คุณชายเฉินเอง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้อง”
สตรีรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง เอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “โรงเตี๊ยมเป็นถิ่นของข้า จะเปิดประตูต้อนรับแขกหาเงินเทพเซียนหรือไม่ อันที่จริงก็ไม่ได้มีข้อกำหนดที่แน่นอน ล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าน้อยทั้งสิ้น คุณชายเฉินคือสุภาพชน คงจะไม่พังประตูบุกเข้าไปหรอกกระมัง?”
หากจะบอกว่าภูเขาลูกเล็กของพวกซ่งซวี่หกคนล้วนถือเป็นคนมีความสามารถที่ค่อนข้างแปลกประหลาด แต่ไม่ว่าจะสถานะ รูปโฉมหรือนิสัยใจคอก็ยังถือว่าปกติ ถ้าอย่างนั้นฝั่งของหยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ที่ได้รับฉายาว่า ‘เย่หลาง’ ลูกน้องใต้อาณัติสี่คนของเขาดูเหมือนว่าล้วนไม่มีใครที่เป็นตะเกียงขาดน้ำมัน นอกจากผีหญิงที่ชื่อว่าก่ายเยี่ยนผู้นี้แล้ว ยังมีทหารม้าหนุ่มที่มีชาติกำเนิดจากผู้ฝึกตนอิสระ ชื่อว่าขู่โส่ว รวมไปถึงผู้ฝึกลมปราณจากสำนักห้าธาตุสายของสำนักหยินหยางอีกคนหนึ่ง
สุดท้ายคือผู้ฝึกตนอิสระที่มีชาติกำเนิดจากภูตแห่งป่าเขา มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่ม สีหน้าเย็นชา หว่างคิ้วเปี่ยมไปด้วยไอสังหารพลุ่งพล่าน เขาตั้งชื่อให้ตัวเอง แซ่โก่วนามฉุน เด็กหนุ่มค่อนข้างเป็นคนเจ้าอารมณ์ และยังมีความปรารถนาที่ประหลาดอยู่ข้อหนึ่ง นั่นก็คืออยากจะเป็นราชครูของแคว้นเล็กๆ สักแห่ง จะเป็นแคว้นใต้อาณัติของแคว้นใต้อาณัติต้าหลีก็ได้ สรุปก็คือต่อให้เป็นแคว้นเล็กแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
เฉินผิงอันเดินหนึ่งก้าวหดย่อพื้นที่ฝ่าค่ายกลตราผนึกที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึงของโรงเตี๊ยมไปโดยตรง กวาดตามองรอบด้านก็มองเห็นเรือนหลังหนึ่งอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกที่กั้นขวาง เขาประกบสองนิ้วปาดหนึ่งที เปิดประตูเดินเข้าไป ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อคืนวานคนเยอะจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก”
เด็กหนุ่มโก่วฉุน อันที่จริงได้เดินออกมาจากสถานที่ฝึกตนในห้องที่เป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งนานแล้ว เวลานี้มองเห็นคนชุดเขียวตรงหน้า เด็กหนุ่มก็กุมหมัดก่อนจะประสานมือคารวะ แต่เหมือนจะรู้สึกว่าล้วนไม่ถูกต้อง สุดท้ายจึงได้แต่เกาหัว เรียกคำหนึ่งว่าอาจารย์เฉิน จากนั้นก็ยิ้มปากกว้างอย่างโง่งม
แคว้นสือหาวในอดีต ในร้านขายเนื้อสุนัข มีลูกจ้างร้านเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นใบ้ ภายหลังได้เจอกับบุรุษสวมชุดผ้าฝ้ายสีเขียวพาเขาไปกินข้าวด้วยกันหนึ่งมื้อ พูดคุยกับเขามากมาย มอบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งให้กับเขา
สุดท้ายยังให้เด็กหนุ่มยืมเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ
“ไม่ยุติธรรมเลย”
ก่ายเยี่ยนในที่อยู่ในตรอกไม่ได้หงุดหงิด ก็แค่กระทืบเท้าอย่างแง่งอนแล้วเดินตามหลังมา
มาถึงเรือนพักแห่งนี้นางก็ให้รู้สึกตื่นตะลึงนัก หรือว่าโก่วฉุนรู้จักกับอาจารย์เฉิน? ทำไมถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย
หันโจ้วจิ่นก็มาที่เรือนหลังเล็ก ข้างกายมีแมลงตามก้นอย่างอวี๋อวี๋ติดตามมาด้วย
เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มสดใส “อาจารย์เฉิน ทุกวันนี้ข้าชื่อโก่วฉุน”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “ชื่อไม่เลว”
โก่วฉุน
ไม่ลืมกำพืดเดิม มีชีวิตอยู่ต่อไป
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา
เด็กหนุ่มรีบควักเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งที่เตรียมไว้มานานหลายปีออกมาจากชายแขนเสื้อ มอบให้อีกฝ่าย พลางเอ่ยขออภัยว่า “อาจารย์เฉิน เงินร้อนน้อยของปีนั้นข้าเอาไปใช้แล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “ยืมเงินคืนเงิน ไม่ควรต้องมีดอกเบี้ยสักหน่อยหรือ”
เด็กหนุ่มยิ้มกว้าง รู้ว่าอาจารย์เฉินพูดล้อเล่น
เฉินผิงอันเก็บเงินร้อนน้อยไป บิดหมุนข้อมือหนึ่งทีก็มีไม้เท้าเดินป่าสีเขียวอันหนึ่งปรากฏขึ้นมา คือไม้เท้าเดินขึ้นเขาที่ปัญญาชนชอบใช้ยามขึ้นเขาออกเดินทางไกล “มอบให้เจ้าแล้ว”
ด้านบนไม้เท้าเดินเขาแกะสลักสองคำว่า ก้าวไกล
เด็กหนุ่มกอดไม้เท้าเดินป่าเอาไว้ เพราะพูดไม่เก่งจึงทำเพียงแค่ค้อมตัวขอบคุณอาจารย์เฉิน
นาทีถัดมา
เด็กหนุ่มยังไม่ทันเงยหน้ายืดตัวก็พลันสัมผัสได้ถึงสัญญาณเตือนภัย
ในความเป็นจริงแล้ว ไม่เพียงแต่โก่วฉุน ผีสาวก่ายเยี่ยนที่อยู่ในลานบ้าน หันโจ้วจิ่นและอวี๋อวี๋ที่อยู่ตรงหน้าประตู รวมไปถึงพวกซ่งซวี่ที่รวมตัวกันอยู่ในเรือนใกล้เคียงแห่งหนึ่ง ทุกคนต่างก็ค้นพบว่าตัวเองมาอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา
หันโจ้วจิ่นอาจารย์ค่ายกลเรียกซากปรักวังเซียนแห่งนั้นออกมา จากนั้นฟ้าดินก็มีเพียงแสงกระบี่ที่ราวกับบุกฟ้าเบิกดิน ฝ่าทลายตราผนึกขุนเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลถงป่ายบรรพกาลแห่งหนึ่งไป เห็นเพียงว่ามือหนึ่งของเฉินผิงอันคว้ามวยผมของก่ายเยี่ยน อีกมือหนึ่งกำคอของโก่วฉุน ปราณวิญญาณทั้งร่างของผีสาวก่ายเยี่ยนถูกปณิธานหมัดสยบกำราบจนแทบจะหยุดชะงัก เพียงแค่มีลมพัดใบไม้ไหว ช่องโพรงลมปราณแห่งชะตาชีวิตที่เป็นห้าธาตุก็เกิดความเจ็บปวดรวดร้าวราวถูกคว้านหัวใจ ส่วนโก่วฉุนนั้นหมดสติไปแล้ว จุดที่ยุ่งยากอย่างถึงที่สุดยังคงอยู่ที่ตรงหว่างคิ้วของก่ายเยี่ยนและโก่วฉุนต่างก็ถูกกระบี่บินทิ่มแทงเบาๆ นาทีถัดมาปราณกระบี่ก็แทรกซึมเข้าไปในฟ้าดินเล็กของร่างกาย
——