กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 836.1 สิบสี่
ทางฝั่งของปากตรอกมีรถม้าที่ไม่สะดุดตาจอดอยู่สองคัน ม่านเก่า ม้าธรรมดา สตรีสวมชุดชาววังเรือนกายเล็กเตี้ยคนหนึ่งกำลังพูดคุยกับหลิวเจียผู้ฝึกตนเฒ่า เด็กหนุ่มที่ร่าเริงจากสกุลจ้าวเทียนสุ่ยกลับมีท่าทางสำรวมอย่างที่หาได้ยาก
สารถีกลับเป็นคนคุ้นหน้าคุ้นตากันดี ยังคงยืนหลับตาทำสมาธิอยู่ข้างรถม้า
เฉินผิงอันสาวเท้าเนิบช้าเดินหน้าไปไม่หยุด หัวเราะร่ายื่นนิ้วออกมาสามนิ้ว สารถีเฒ่าแค่นเสียงหึในลำคอ
สตรีสวมชุดชาววังหยุดหาเรื่องมาชวนผู้ฝึกตนเฒ่าคุย หันหน้ามามองคนชุดเขียวที่ปักปิ่นหยกบนมวยผม เรือนกายสูงเพรียว สวมรองเท้าผ้า ท่าทางดูผ่อนคลายสบายอารมณ์ ไม่เหมือนคนต่างถิ่น กลับเหมือนคนที่กำลังเดินเล่นอยู่ในถิ่นบ้านตนมากกว่า
เซียนกระบี่ชุดเขียวเดินเล่นอยู่ในเมืองหลวง คนหนุ่มอารมณ์ร้อนพลุ่งพล่านก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
เพียงแต่ว่าตอนนี้คนหนุ่มไม่ได้สะพายกระบี่ยาวเล่มนั้น ว่ากันว่าหลอมมาจากปลายกระบี่ของกระบี่เซียนไท่ป๋าย เพียงแต่ว่าในศึกถามกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง กระบี่เล่มนี้เผยกายไม่มากนัก ส่วนใหญ่อาศัยเวทกระบี่มาสยบกำราบภูเขาลูกหนึ่งมากกว่า เกินครึ่งคงจะวางกระบี่ยาวไว้ในเรือนหลังนั้น จ้าวเหยารองเจ้ากรมอาญาของราชวงศ์สกุลซ่งมีโชคตระกูลเซียนไม่น้อย เขาเองก็ได้กระบี่เซียนไท่ป๋ายมาท่อนหนึ่งเช่นกัน
เมื่อบุรุษชุดเขียวขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ นางก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ในใจบ่นพึมพำ เด็กหนุ่มบ้านนอกขาเปื้อนโคลนในอดีต เหตุใดถึงตัวสูงขนาดนี้แล้ว? รออีกเดี๋ยวเมื่อทั้งสองฝ่ายพูดคุยกัน ตนจะไม่เสียเปรียบแย่หรอกหรือ?
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ตำหนักฉางชุน อาศัยม้วนภาพขุนเขาสายน้ำที่เกิดจากการชักนำของกองโหราศาสตร์และเศษกระเบื้องแห่งชะตาชีวิต นางจำได้แค่ว่าคนในภาพวาดมีกลิ่นอายเซียนล่องลอย สวมชุดคลุมเต๋าผ้าโปร่งสีเขียว สวมกวานดอกบัว ในมือถือประคองหลิงจือหยกขาว นางมองเมินความสูงในทุกวันนี้ของคนหนุ่มไปจริงๆ
หลิวเจียเอ่ยขอตัวกับไทเฮาเหนียงเนียงต้าหลีหนึ่งคำ แล้วจึงพาลูกศิษย์อย่างจ้าวตวนหมิงถอยกลับเข้าไปในสถานที่ประกอบพิธีกรรมหยกขาว เป็นฝ่ายสกัดกั้นฟ้าดิน ยกตรอกเล็กเส้นนั้นให้กับทั้งสองฝ่าย
สตรีสวมชุดชาววังโบกมือให้กับสารถีเฒ่า ฝ่ายหลังก็ขี่รถม้าจากไป
ไทเฮาเหนียงเนียงท่านนี้มีศาสตร์คงความเยาว์วัย เรือนกายเหมือนทำมาจากไขมันที่แข็งตัว (เปรียบเปรยถึงผิวพรรณที่นวลเนียนงดงาม) เนื่องจากตัวไม่สูง ต่อให้อยู่ในกลุ่มของสตรีทางทิศใต้ของทวีป เรือนกายนางก็ยังถือว่าค่อนข้างต่ำเตี้ย เป็นเหตุให้มองดูแล้วหุ่นเล็กกะทัดรัด แต่มีภาพบรรยากาศของกิ่งทองใบหยกของผู้ฝึกตน รูปโฉมจึงเหมือนสตรีโตเต็มวัยอายุแค่สามสิบกว่าๆ
สตรีแซ่หนันนามจาน เป็นคนของเขตอวี้จางจังหวัดทิงโจวคนในพื้นที่ของต้าหลี ตระกูลเป็นแค่คนมีชื่อเสียงในท้องถิ่น หลังจากนางเข้าวังแล้วมีอำนาจ ตระกูลของนางก็ไม่ได้เป็นเหมือนไก่และสุนัขที่บินขึ้นฟ้าตามไปด้วย กลับกลายเป็นว่าเงียบหายไปนับแต่นั้น
เสื้อผ้าของนางเรียบง่าย แล้วก็ไม่มีเครื่องประดับอะไรที่เกินความจำเป็น เพียงแค่ว่าลายเมฆที่ถักทอมาจากเรือนย้อมใต้การปกครองของเขตเส้าฝูเจียนของเมืองหลวงมีความประณีตมากเท่านั้น ฝีมือการถักทอและวัสดุผ้าแพรต่วน ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ของตระกูลเซียนอะไร จึงไม่มีความมหัศจรรย์ให้เห็น แต่กำไลข้อมือของนางที่ร้อยจากไข่มุกสีขาวหิมะสิบสองเม็ดกลับใสแวววาวน่ามองอย่างยิ่ง
รอบด้านไร้ผู้คน แน่นอนว่าก็ยิ่งไม่มีใครกล้าลอบมองที่แห่งนี้โดยพลการ หนันจานสตรีที่มีอำนาจที่สุดในแจกันสมบัติทวีปผู้นี้ถึงกับเบี่ยงตัวยอบกายคารวะอย่างสำรวม ท่วงท่าอ่อนช้อย เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ นางคลี่ยิ้มหวานเอ่ยว่า “คารวะอาจารย์เฉิน”
เฉินผิงอันหยุดเดิน กุมหมัดยิ้มกล่าว “คารวะไทเฮา”
มองกำไลข้อมือของสตรีออกเรือนแล้วเพิ่มอีกแวบหนึ่ง มูลค่าควรเมืองอย่างแท้จริง เพราะไข่มุกทุกเม็ดล้วนคือ ‘ไข่มุกหลิงซี’ ที่ถูกบันทึกอยู่ใน ‘จารึกภูเขาและทะเล’ สามารถทำให้จิตใจของคนปลอดโปร่ง จดจำเรื่องราวของชาติก่อนได้ อีกทั้งหากชีวิตนี้มีอะไรที่หลงลืมไป แค่ลูบไข่มุกนี้ก็จะฉุกคิดขึ้นมาได้ ตระกูลเซียนอักษรจงของใต้หล้าไพศาลแทบทุกแห่งต้องตามหาไข่มุกประเภทนี้อย่างยากลำบาก รับตัวบรรพบุรุษที่สละร่างไปเกิดใหม่ทั้งหลายกลับมาบนภูเขา มอบไข่มุกนี้ให้ ช่วยให้สติปัญญาเปิดโล่งจดจำเรื่องราวของชาติก่อนและการฝึกตนได้
หนันจานเห็นว่าคนชุดเขียวหยุดเดิน ห่างไปไม่ไกลไม่ใกล้ นางไม่จำเป็นต้องเงยหน้าก็สามารถมองสบตาพูดคุยกับอีกฝ่ายได้พอดี
มองดูเหมือนให้เกียรติใหญ่เทียมฟ้าแก่อีกฝ่าย หนันจานมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงไทเฮา แต่กระนั้นก็ยังยินดีเรียกขานว่าเฉินผิงอันว่าอาจารย์ อีกคนจึงมอบผลหลี่ตอบแทนผลท้อ เข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดี ไม่รังแกที่นางตัวเล็กเตี้ย
หนันจานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฉิน ไม่สู้พวกเราเข้าไปในเรือน ค่อยๆ พูดคุยกันดีไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไทเฮาคือเจ้าบ้าน แน่นอนว่าแขกย่อมเอาตามที่เจ้าบ้านสะดวก”
คนทั้งสองเดินเข้าไปในตรอกเล็กด้วยกัน ต่างคนต่างเดินใกล้กับผนัง สายตามองตรงไปเบื้องหน้า หนันจานเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ไพศาลโชคดีที่ร่วมแรงกันกอบกู้สถานการณ์กลับคืนมาได้ อาจารย์เฉินออกเดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ สร้างคุณความชอบมากมาย อันดับแรกก็สังหารปีศาจใหญ่บินทะยานที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเล จากนั้นจึงสังหารหลงจวินราชาบนบัลลังก์ที่หัวกำแพงเมือง ใช้สถานะของคนต่างถิ่นมารับหน้าที่เป็นอิ่นกวานคนสุดท้าย วีรกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้ ในหลายๆ ใต้หล้าตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาล้วนไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เชื่อว่าวันหน้าก็คงจะไม่มีอีกแล้ว ต้าหลีมีอาจารย์เฉินก็ช่างเป็นโชคดีมหาศาลจริงๆ”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอ่ยเนิบช้าว่า “คลื่นมรสุมอำนาจชั่วร้าย พืชพรรณย่อมหมดพลังชีวิต เพียงแค่นี้เท่านั้น”
หนันจานเงียบไปพักหนึ่ง พอขยับเข้าใกล้ประตูเรือน นางก็พลันถามว่า “ไม่ทราบว่าตอนนี้อาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งฝึกตนอยู่ในเรือนหรือไม่? จะรบกวนการอ่านตำราของเหวินเซิ่งหรือไม่?”
เฉินผิงอันเปิดประตูเรือน ส่ายหน้า “อาจารย์ไม่ได้อยู่ที่นี่”
หนันจานถามอีก “เข้าพักในโรงเตี๊ยมธรรมดากลางตลาดจะลำบากเซียนกระบี่หนิงหรือไม่? ต้องให้ข้าจัดหาที่พักให้ไหม?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “น้ำใจของไทเฮารับไว้แล้ว เพียงแต่ไม่มีความจำเป็นนี้”
ทั้งสองฝ่ายเดินเข้ามาในลานบ้าน หนันจานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์เฉินจะดื่มเหล้าหรือจะดื่มชา?”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เอนตัวพิงโต๊ะหิน หันหน้ามาคลี่ยิ้ม “ไม่สู้พวกเรามาคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันก่อนดีไหม?”
หนันจานยิ้มตาหยี “ไม่ทราบว่าครั้งนี้อาจารย์เฉินเรียกข้ามา ต้องการคุยเรื่องอะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นมือข้างหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เอามา”
หนันจานทำหน้าเหลอหรา “อาจารย์เฉินต้องการขอของสิ่งใด?”
เฉินผิงอันยังคงค้างอยู่ในท่านั้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ของกลับคืนสู่เจ้าของ เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน จะให้เอาแต่ทวงคืนชีวิตหนึ่งจากไทเฮาอยู่ตลอดก็ออกจะกำเริบเสิบสาน เนรคุณเกินไป”
หนันจานกวาดตามองรอบด้าน ถามอย่างสงสัย “ของกลับคืนสู่เจ้าของ? ขอถามอาจารย์เฉิน แผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีป มีของสิ่งใดที่ไม่ใช่ของต้าหลีเรา?”
เฉินผิงอันหดมือกลับมา ยิ้มกล่าว “ไม่ให้ก็ช่างเถิด”
หนันจานคล้ายประหลาดใจกับความฉับไวของอีกฝ่ายอยู่บ้าง นางตบหน้าผากตัวเอง “นึกออกแล้ว อาจารย์เฉินคงไม่ได้พูดถึงเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นนั้นหรอกนะ?”
เฉินผิงอันกล่าว “ไทเฮาออกจากบ้านมาครั้งนี้ไม่ได้สวมกำไลมาเสียเปล่าจริงๆ”
หนันจานยกมือข้างหนึ่งขึ้น เผยให้เห็นข้อมือที่ขาวนวลราวรากบัว “ไม่สู้มอบกำไลให้อาจารย์เฉิน? ไม่แน่ว่าอาจได้นำไปใช้ สามารถคลี่คลายเรื่องเร่งด่วนดุจไฟลามขนคิ้วได้”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง เงียบงันไม่พูดจา
ในบางมุมของเรือนพัก บนผนังมีเสียงมังกรคำรามแว่ว สะเทือนจิตใจคน
ศิษย์พี่จั่วโย่วพูดถูกแล้ว หากใช้เหตุผลมีประโยชน์จะฝึกกระบี่ไปทำไม
สตรีไม่รับรู้แม้แต่น้อย นางวางแขนข้างนั้นลงบนโต๊ะเบาๆ พอไข่มุกสัมผัสกับผิวโต๊ะหินก็กลิ้งเบาๆ พลางส่งเสียงแกรกกราก นางจ้องใบหน้าด้านข้างของบุรุษชุดเขียว ยิ้มกล่าว “ขอบเขตหยกดิบของอาจารย์เฉินไม่เหมือนคนทั่วไปจริงๆ คนบนโลกไม่รู้ว่าชั้นของปราณโชติช่วงขอบเขตปลายทางของอาจารย์เฉินไม่เคยมีคนในอดีตทำได้มาก่อน เหนือกว่าเฉาสือ แล้วก็ยังไม่รู้ว่าอิ่นกวานมีหนึ่งหยกดิบสองกระบี่บิน อันที่จริงก็น่าตะลึงพรึงเพริดมากเช่นกัน คนอื่นต่างก็รู้สึกว่าเรื่องการฝึกตนของอาจารย์เฉิน เวทกระบี่วิชาหมัดคือยอดเขาสองแห่ง น่าเหลือเชื่อเกินไป แต่ข้ากลับคิดว่าการปิดบังอำพรางของอาจารย์เฉินต่างหากที่ถือเป็นความสามารถติดตัวซึ่งเป็นรากฐานในการหยัดยืนที่แท้จริง”
เห็นว่าเฉินผิงอันไม่ยินดีเปิดปาก นางก็พูดกับตัวเองต่อไปว่า “เศษกระเบื้องชิ้นนั้นต้องคืนให้แน่นอน ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์เฉินบอก ของกลับคืนสู่เจ้าของ สมเหตุสมผล แล้วทำไมข้าถึงจะไม่คืนให้? ต้องคืนให้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะคืนให้ตอนไหน ข้ารู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องร้อนใจเกินไป เศษกระเบื้องชิ้นนี้เก็บไว้ที่ข้ามานานหลายปีแล้ว ก็ยังช่วยเก็บรักษาไว้ให้อาจารย์เฉินได้เป็นอย่างดีไม่ใช่หรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไยอาจารย์เฉินต้องรีบร้อนด้วยเล่า?”
หนันจานยื่นฝ่ามือออกมาลูบหน้าโต๊ะเบาๆ “ข้าสามารถรับรองกับเจ้าแทนฮ่องเต้ได้ว่า พวกเรายินดีทุ่มรากฐานของสกุลซ่งและกองกำลังแคว้นของต้าหลีทั้งหมดที่มีช่วยให้อาจารย์เฉินเลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน ขอบเขตบินทะยานโดยเร็วที่สุด จนกระทั่งได้เป็นคอขวดขอบเขตบินทะยาน ถึงเวลานั้นอาจารย์เฉินกลายเป็นผู้นำตระกูลเซียนบนภูเขาของหนึ่งทวีปแล้วก็จะเป็นเหมือนเฉินฉุนอันของทักษินาตยทวีปในอดีต เป็นเหมือนฮว่อหลงเจินเหรินแห่งอุตรกุรุทวีป เหมือนหลิวจวี้เป่าแห่งธวัลทวีป ถึงเวลานั้นข้าจะประคองสองมือส่งมอบเศษเครื่องกระเบื้องชิ้นนั้นให้เป็นของขวัญแสงความยินดีเล็กๆ อวยพรที่อาจารย์เฉินพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นกับมือตัวเอง ระหว่างนี้ราชสำนักต้าหลีไม่มีข้อเรียกร้องใดต่ออาจารย์เฉิน ต่อภูเขาลั่วพั่ว ไม่มีแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มถาม “ใต้หล้ามีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยหรือ? ไม่ว่าอะไรก็ไม่ต้องเสียสละ แค่นอนเสวยสุขไปวันๆ ก็พอ ข้าเกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองแซ่ซ่งเสียแล้ว”
หนันจานสีหน้าสดใสแช่มชื่น ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับจ้องมองคนผู้นั้นเขม็ง “อาจารย์เฉินพูดล้อเล่นแล้ว เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกไปแล้วว่าต้าหลีมีอาจารย์เฉินเป็นเรื่องโชคดี หากขนาดนี้แล้วยังไม่รู้จักทะนุถนอมเห็นค่า หนันจานที่เป็นลูกสะใภ้สกุลซ่งย่อมผิดต่อเหล่าบรรพชนสกุลซ่งในศาลบูรพกษัตริย์แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “หากไทเฮาเหนียงเนียงมีหน้าไปจุดธูปเซ่นไหว้ แต่เหล่าปราชญ์ผู้ล่วงลับ เหล่าเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในศาลบูรพกษัตริย์ของสกุลซ่งไม่มีหน้าจะมอง ก็คงจะกระอักกระอ่วนแย่”
หนันจานปิดปากหัวเราะคิกคัก “อาจารย์เฉินเปลี่ยนไปมากจริงๆ เมื่อเทียบกับตอนเป็นเด็กหนุ่มที่เงียบขรึมพูดน้อยแล้ว ทุกวันนี้พูดจาชวนตลกขบขันมากเลย”
เฉินผิงอันพยักหน้า “หลงจวินตายไปแล้ว หลิวป๋ายที่ตายไปครึ่งหนึ่ง หลีเจินที่จากไป ปีนั้นคนที่อยู่เคียงข้างข้ามานานหลายปีก็มีทั้งผู้ชายผู้หญิง คนแก่และเด็ก แต่ละคนล้วนรู้สึกเช่นนี้”
หนันจานตบหน้าอกของตัวเอง พูดเหมือนคนหวาดผวาไม่คลาย “อาจารย์เฉินอย่าได้ขู่ให้ข้าตกใจกลัวเลย สตรีคนหนึ่งไม่เพียงแต่ผมยาวความรู้สั้น ยังขี้ขลาดด้วย”
เฉินผิงอันผายฝ่ามือข้างหนึ่งไปทางหน้าประตู “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ส่งแล้ว หลีกเลี่ยงไม่ให้ไทเฮาตกใจตาย ชดใช้ไม่ไหว”
หนันจานลุกขึ้นยืน กัดริมฝีปาก สายตาฉายแววไม่พอใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าไปจริงๆ แล้วนะ?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางลุกขึ้นยืน “ควรต้องไปส่งไทเฮาสักหน่อย แสดงน้ำใจของเจ้าบ้านให้เต็มที่”
หนันจานกลับนั่งแปะกลับลงไปที่เดิม ก่อนจะนั่งลงนางงอเข่าสองข้างเล็กน้อย โน้มตัวมาด้านหน้า ปล่อยมือสองข้างลง เอื้อมไปด้านหลังลูบเส้นโค้งเบาๆ ผ้าต่วนแวววาวดุจสายน้ำ พอนั่งลงเรียบร้อยแล้วนางก็เชิดคอระหงส์ ยิ้มหวาดหยาดเยิ้ม “ล้ออาจารย์เฉินเล่นหรอกน่า จะให้อาจารย์เฉินมีอารมณ์ขันได้แค่คนเดียว ไม่ยอมให้หนันจานพูดจาแง่งอนสักประโยคเชียวหรือ?”
อยู่ดีๆ นางก็เอ่ยขึ้นว่า “ฝีมือของอาจารย์เฉินดีจริงๆ ไม้เท้า หีบหนังสือ เก้าอี้ ล้วนเข้าท่าเข้าที ปีนั้นตอนที่หนันจานอยู่ที่ร้านริมลำคลองเคยได้สัมผัสกับตัวเองมาก่อน”
เพียงแต่ไม่รอให้หนันจานพูดจบ ตรงลำคอของนางก็เย็นวาบเล็กน้อย ในสายตาก็ไม่มีชุดเขียวนั้นอยู่แล้ว แต่กลับมีฝักกระบี่เล่มหนึ่งดันอยู่ตรงลำคอนางแทน ได้ยินเพียงเสียงเฉินผิงอันยิ้มถามว่า “ลองคิดดู หนึ่งกระบี่ปาดผ่านไปในแนวขวาง ส่วนสูงของไทเฮาจะเป็นเท่าไร?”
สตรีสวมชุดชาววังส่ายหน้า “หนันจานก็เป็นแค่โอสถทองเล็กๆ คนหนึ่ง ด้วยเวทกระบี่ของอาจารย์เฉิน หากคิดจะฆ่าคนจริงๆ ไหนเลยยังต้องพูดให้เปลืองน้ำลาย ไม่จำเป็นต้องทำท่าทางข่มขู่ให้คนกลัวหรอก...”
แล้วก็จริงดังคาด เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือ กระบี่ยาวเล่มนั้นก็พุ่งกลับไปยังผนังของห้องข้าง
เฉินผิงอันนั่งกลับลงไปอีกครั้ง
สตรีคลี่ยิ้มบางๆ ใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวานอะไรกัน ก็มีแค่นี้เอง
เพียงแต่ว่าจู่ๆ แสงกระบี่ก็เปล่งวูบ
ศีรษะของหนันจานลอยกระเด็นขึ้นสูง นางลุกพรวดขึ้นยืน สองมือคว้าศีรษะเอาไว้แล้ววางกลับลงมาบนลำคอ ฝ่ามือปาดไปที่รอยแผลอย่างรีบร้อน เพียงแค่บิดคอเล็กน้อยก็เจ็บปวดทรมานยิ่ง นางอดไม่ไหวเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “เฉินผิงอัน! เจ้ากล้าฆ่าข้าจริงๆ?!”
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา จากนั้นจึงหยิบจอกเทพีบุปผาที่ได้ติดมือมาจากงานประชุมศาลบุ๋นออกมาใบหนึ่ง รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งจอก จิบเหล้าพลางพูดว่า “เจ้าบอกว่าไม่กล้าก็ต้องไม่กล้าสินะ”
หนันจานยืนอยู่ที่เดิม หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าขอเดิมพันว่าเจ้าไม่กล้าฆ่าข้าจริงๆ วันนี้ข้าจะพูดไว้ตรงนี้เลยว่า หากเจ้าไม่อดทนรอคอยให้ตัวเองเลื่อนเป็นคอขวดขอบเขตบินทะยาน แล้วข้าค่อยคืนเศษกระเบื้องให้เจ้า ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็ฆ่าข้าเสีย ทำตัวเป็นกบฏไปซะ! พรุ่งนี้ก็จะมีกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกองหนึ่งไปล้อมโจมตีภูเขาลั่วพั่ว ผู้ตรวจการเฉาผิงรับหน้าที่นำทัพโจมตีภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง ต่งหูแห่งกรมพิธีการรับผิดชอบโยกย้ายสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำฝ่ายต่างๆ ไม่สู้เจ้าลองเดิมพันดู เทพวารีสามแม่น้ำ เทพภูเขาของแต่ละฝ่าย แล้วยังมีซานจวินเว่ยป้อ ถึงเวลานั้นจะนั่งดูอยู่เฉยๆ หรือจะทำอย่างไร!”
หนันจานนวดคลึงลำคอ จิตวิญญาณสั่นสะท้าน ชีวิตนี้นางยังไม่เคยได้รับความอัปยศใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน ในใจรู้สึกเคียดแค้น ชิงชังเจ้าเด็กนอกคอกตรอกหนีผิงที่กระทำการอุกาจผู้นี้ยิ่งนัก แต่แล้วจู่ๆ นางก็หลุดหัวเราะพรืด “เหวินเซิ่งก็ดี หรือจะรวมหนิงเหยาคนรักขอบเขตบินทะยานของเจ้าด้วยก็ช่าง อย่าลืมล่ะว่า ถึงอย่างไรไพศาลของพวกเราก็เป็นกฎเกณฑ์ของศาลบุ๋นแผ่นดินกลางที่ควบคุมดูแลใต้หล้า อย่าว่าแต่เหวินเซิ่งที่เพิ่งได้ตำแหน่งเทพกลับคืนมาเลย แม้กระทั่งหลี่เซิ่งก็ยังต้องเคารพกฎที่ตัวเองเป็นคนตั้ง…”
คิดไม่ถึงว่าบุรุษชุดเขียวจะยิ้มตาหยียื่นฝ่ามือออกมากดลงบนความว่างเปล่าสองสามที “อย่าเพิ่งรีบร้อน จะรีบร้อนไปไย แค่การหยอกล้อที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร หรือว่าจะให้สหายหนันจานควบคุมปากไม่ได้แค่คนเดียว แต่ไม่ยอมให้ข้าไม่ทันระวังควบคุมกระบี่บินไม่ได้เชียวหรือ”
หนันจานสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
ไม่เป็นไร ขอแค่ฮ่องเต้ได้เห็นภาพอันน่าพรั่นพรึงเมื่อครู่นี้แล้วก็ถือว่าไม่ได้เจ็บตัวเปล่า
เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อีกอย่าง เจ้าหนันจานไม่คุ้นเคยกับศาลบุ๋นและหลี่เซิ่ง แต่ข้ากลับสนิทสนมดี”
——