กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 836.3 สิบสี่
เถ้าแก่ผู้เฒ่าลังเลเล็กน้อย เมื่อเทียบกับการขายแจกันดอกไม้ได้ราคาสูงหรือต่ำแล้ว แน่นอนว่าต้องสนใจบุตรสาวของตัวเองมากกว่า ไม่อยากให้นางถูกผีบังใจ ถูกคนหลอกให้ออกไปท่องยุทธภพอะไรทั้งนั้น
ผู้เฒ่าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ห้าร้อยตำลึงเงิน เงินมาของไป”
เฉินผิงอันหัวเราะ ชี้ไปตามเครื่องกระเบื้องทั้งหลายบนชั้นวางที่อยู่ด้านหลังเถ้าแก่ผู้เฒ่าอย่างง่ายๆ “ข้าแค่จ่ายเงินสิบสี่ตำลึงเงินซื้อแจกันดอกไม้ อีกห้าร้อยตำลึงเงินที่เหลือ ซื้อเจ้านี่ หากเถ้าแก่กังวลว่าข้ายังคิดจะเก็บตกของดีก็หยิบของชิ้นใดให้ข้าสักชิ้นก็พอ”
ผู้เฒ่าถาม “บนร่างเจ้ามีเงินมากขนาดนี้จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เป็นตั๋วเงินของโรงเงินอวี๋จี้ของต้าหลีเรา ไม่มีทางเป็นของปลอมไปได้”
ผู้เฒ่าหยิบตั๋วเงินมาดู ของแท้แน่นอน เขาลังเลเล็กน้อยก่อนจะเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ หันตัวไปที่ชั้นวาง เลือกเครื่องกระเบื้องที่ลักษณะดูดีที่สุดมาชิ้นหนึ่ง ต้องไม่มีค่าแน่นอน ล้วนเป็นการจ่ายเงินซื้อมาอย่างเสียเปล่า หลังจากมอบกระปุกให้อาหารนกที่สีสันลวดลายสดใสใบนั้นให้เฉินผิงอันแล้วก็ถามเบาๆ ว่า “บอกข้ามาตามตรง สรุปแล้วแจกันใบนั้นมีมูลค่าเท่าไรกันแน่? มันเป็นของของเจ้าแล้ว ข้าก็แค่อยากรู้ว่าเจ้าหนูเช่นเจ้าปล่อยหมัดหวังปามั่วซั่วจนคนที่ทำการค้ามาโชกโชนเช่นข้ายังมึนงงสับสนไปหมด อยากจะรู้นักว่าเจ้าจะมีความสามารถสักเท่าไรกันเชียว บอกมาเถอะ ราคาตามตลาดมีมูลค่าเท่าไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บอกตามตรง หากอิงตามราคาตลาด แจกันใบนี้จะเรียกราคาเจ็ดแปดร้อยตำลึงเงินก็ยังได้”
ผู้เฒ่าพยักหน้า อันที่จริงเขาสามารถรับได้ ในอดีตได้แจกันดอกไม้มาอยู่ในมือด้วยราคาสิบสี่ตำลึงเงิน ปล่อยให้มันกินฝุ่นมานานหลายปี ขายต่อให้คนอื่นกลับได้เงินมาห้าร้อยตำลึงเงิน คร้านจะถือสากำไรขาดทุนบนหน้าบัญชีสองสามร้อยตำลึงเงินนั่นแล้ว ก็เงินนี่นะ ถึงอย่างไรก็ยังพิถีพิถันในเรื่องที่ว่าเข้ามาอยู่ในกระเป๋าแล้วสบายใจ ด้วยพื้นฐานของครอบครัวตนย่อมไม่อาจเปรียบเทียบกับตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ได้ เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับครอบครัวทั่วไปก็ถือว่าเป็นตระกูลที่พอจะมีฐานะแล้ว รับรองได้ว่าสินเดิมของบุตรสาวในอนาคตจะไม่ขาดไปแน่นอน จะให้นางออกเรือนอย่างมีหน้ามีตา บ้านแม่สามีต้องไม่กล้าดูแคลนนาง
จากนั้นผู้เฒ่าก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เฉินผิงอัน แจกันใบใหญ่ขนาดนั้นเจ้าจะจัดการอย่างไร? ต้องให้ทางร้านเก็บรักษาไว้ให้ก่อนไหม ถึงเวลานั้นรอให้เจ้าไปจากเมืองหลวงแล้วค่อยจ้างรถม้าสักคัน?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าจัดการเอง”
ผู้เฒ่าเดินอ้อมมาจากโต๊ะคิดเงิน เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ตามข้ามา ก่อนหน้านี้รู้ว่าของเล่นชิ้นนี้มีค่าก็ไม่กล้าวางไว้ที่โต๊ะคิดเงินอีก”
เฉินผิงอันเดินตามเถ้าแก่ผู้เฒ่าไปยังเรือนด้านหลังที่เงียบสงบ ผลคือพอไปถึงหน้าประตูห้องข้างทางทิศตะวันออกก็เห็นว่าเด็กสาวถือร่มที่หุบไว้อยู่ในมือ คงจะเอามาใช้แทนกระบี่ยาวที่พกห้อยเอว เวลานี้นางกำลังรวบรวมลมหายใจทำสมาธิ มือหนึ่งกด ‘ฝักกระบี่’ สายตามองตรงไปเบื้องหน้า…เพราะนางหันหลังให้กับบิดาและแขก เด็กสาวจึงยังตั้งกระบวนท่าอยู่ตรงนั้น เถ้าแก่ผู้เฒ่ากระแอมหนึ่งที เด็กสาวหน้าแดงก่ำ เอาร่มกระดาษน้ำมันอ้อมไปหลบด้านหลัง เถ้าแก่ผู้เฒ่าถอนหายใจ ไปยังห้องทางฝั่งตะวันตกในเรือนพัก ก่อนจะเปิดประตูก็ชี้นิ้วมาที่ดวงตาของเฉินผิงอันเป็นการบอกว่าเจ้าหนูเจ้าจงควบคุมดวงตาทั้งคู่ของตัวเองให้ดี ไม่ผิดกฎหมาย แต่ระวังว่าจะถูกข้าไล่ออกไปจากโรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่หันไปมองเด็กสาว รอกระทั่งรับแจกันดอกไม้ใบใหญ่มาจากมือของเถ้าแก่ผู้เฒ่า แบกไว้บนบ่าก็ออกไปจากเรือนหลัง ไปหาหนิงเหยา
เด็กสาวมองแผ่นหลังของบุรุษชุดเขียวที่แบกแจกันดอกไม้ใบใหญ่ขนาดนั้น
ฮ่า ท่าทางทึ่มทื่อเสียจริง แล้วยังแสร้งทำเป็นว่าตัวเองคือมือกระบี่ที่ออกท่องยุทธภพอีก หลอกผีหรือไร
ไปถึงห้องของหนิงเหยา เฉินผิงอันวางแจกันดอกไม้ไว้บนพื้น ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เรียกนกในกรงเล่มหนึ่งออกมาก่อน จากนั้นยื่นมือไปกดปากแจกัน ใช้ฝ่ามือตบให้มันแหลกสลายไปโดยตรง ความลี้ลับซ่อนอยู่ในตัวอักษรตรงก้นแจกันที่เป็นคำมงคลแปดคำจริงเสียด้วย หลังจากแจกันแตกไป บนพื้นก็เหลือแค่ตัวอักษรสีแดงเข้มแปดตัวว่า ‘ฟ้าครามกว้างไกล เพียงฤดูร้อนนี้มืดสลัว’ จากนั้นเฉินผิงอันก็เริ่มหลอมตัวอักษรอย่างคล่องแคล่ว สุดท้ายตัวอักษรแปดคำนอกจากหัวท้ายคำว่า ‘ฟ้า’ ‘สลัว’ แล้ว ขีดอักษรของหกคำที่เหลือล้วนคลายออกด้วยตัวเอง รวมตัวกันกลายเป็นตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงหนึ่งที่อยู่ระหว่างของจริงกับภาพมายา ‘ไส้ตะเกียง’ ค่อยๆ ติดไฟสว่างไสว เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่แกะสลักบนตะเกียงแห่งชะตาชีวิตซึ่งเผยให้เห็น หรือก็คือไส้ตะเกียงตัวอักษรนั้น ไม่ใช่ชื่อหนันจานอะไร แต่เป็นอีกชื่อหนึ่ง แซ่ลู่นามเจี้ยง นี่ก็หมายความว่าไทเฮาเหนียงเนียงของต้าหลีคนนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่คนสกุลหนันจากเขตอวี้จางอะไรเลย แต่เป็นลูกหลานสกุลลู่สำนักหยินหยาง?
เฉินผิงอันเก็บตะเกียงแห่งชะตาชีวิตดวงนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เหม่อมองสองคำสุดท้ายว่า ‘ฟ้าสลัว’ ที่เหลืออยู่
หนิงเหยาถาม “นี่มันเรื่องอะไรอีก?”
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “สองคำว่าฟ้าสลัว ต่างก็อยู่หัวและท้าย หากจะบอกว่าเศษเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งที่อยู่ในมือของลู่เจี้ยงผู้นี้ อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า ถ้าอย่างนั้นเศษเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตชิ้นสุดท้าย หากไม่ผิดไปจากที่คาดก็คืออยู่ไกลสุดขอบฟ้า เพราะเกินครึ่งคงถูกศิษย์พี่ส่งไปไว้ที่ใต้หล้ามืดสลัว คงเพราะหากในอนาคตข้าสามารถพกกระบี่บินทะยานไปที่นั่น ข้าก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวเองมาผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ภายใต้เปลือกตาของป๋ายอวี้จิง”
หนิงเหยากล่าว “อันที่จริงขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานก็ถือว่ามีคุณสมบัติออกกระบี่ฟันป๋ายอวี้จิงแล้ว ก็แค่ว่าอาจจะฟันแล้วไม่ค่อยขยับเท่าใด”
“ก่อนหน้านี้ข้าได้เจอกับอวี๋โต้วเต๋าเหล่าเอ้อแล้ว ใกล้เคียงกับผู้ไร้ศัตรูเทียมทานอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันเก็บตัวอักษรทั้งสองใส่ไว้ในชายแขนเสื้อพร้อมกัน หลังจากนั่งลงแล้วก็หยิบเหล้าหนึ่งกาจอกเทพีบุปผาสองใบออกมา หนิงเหยาหยิบจอกเหล้าบนโต๊ะมาด้วยตัวเอง “สีสันฉูดฉาดนัก”
เฉินผิงอันจึงหยิบจอกเหล้าอีกใบบนโต๊ะมา พยักหน้าเอ่ย “ข้าเองก็คิดแบบนี้มาโดยตลอด นี่ก็ไม่ใช่เพราะว่ายังหาคนซื้อที่จ่ายเงินมือเติบไม่เจอหรอกหรือ”
ก่อนหนิงเหยาจะดื่มเหล้า นางถามเสียงเบาว่า “ชุยฉานพิทักษ์มรรคาให้เช่นนี้ ก็ถือว่าเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร แต่เจ้าไม่รู้สึกรำคาญบ้างหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “ไม่เลย”
หนิงเหยาจิบเหล้าหนึ่งคำเงียบๆ นางกลับรู้สึกว่าน่ารำคาญมาก
เฉินผิงอันยกมือขึ้นชี้ไปง่ายๆ “ข้ารู้สึกว่าอิสระของข้าก็คือสามารถกลายมาเป็นคนที่ตัวเองอยากเป็น บางทีอาจจะอยู่ในสถานที่ที่ไกลมาก ไม่ว่าจะต้องอ้อมเส้นทางอย่างไร ขอแค่ข้าเดินไปยังทิศทางนั้น นั่นก็คืออิสระเสรี”
เฉินผิงอันกระทืบเท้าเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ย่ำจนรองเท้าสานพังไปคู่แล้วคู่เล่า”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ยื่นมือมาเคาะลงตรงหัวใจของตัวเองเบาๆ สายตาจ้องเป๋งมาที่หนิงเหยา หนิงเหยาจึงก้มหน้าดื่มเหล้าต่อ
อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็ตบโต๊ะ แม้ว่าความเคลื่อนไหวจะไม่รุนแรงนัก แต่ถึงกับทำให้หนิงเหยาสะดุ้งตกใจได้ นางเงยหน้าขึ้นทันที ถลึงตาดุดันใส่ เฉินผิงอันเจ้ากินยาผิดหรือไร?!
เฉินผิงอันยิ้มพลางยกมือขึ้น ยกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “อันที่จริงหนังสือหมั้นมีสองฉบับ ฉบับที่อาจารย์นำมา ช้าไปสักหน่อย ส่วนฉบับก่อนหน้านั้น รู้หรือไม่ว่าเนื้อหาคืออะไร? ก็คือข้ารับปากหนิงเหยาว่าข้าเฉินผิงอันจะต้องเป็นเซียนกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า ร้ายกาจที่สุด เซียนกระบี่ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นใคร มาอยู่ต่อหน้ากระบี่ของข้าก็ต้องหลีกทางให้”
หนิงเหยายักไหล่เบาๆ จุ๊ปากรัวๆ “เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบ ช่างไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ได้ดิบได้ดีอย่างมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วันหน้าอย่าแอบฟังอีกเลย ข้าเป็นคนอย่างไร เจ้ายังไม่วางใจอีกหรือ”
หนิงเหยาหัวเราะร่า ลุกขึ้นยืนเดินไปที่หน้าประตู พลันเปิดประตูออก จากนั้นก็ดึงหูเด็กสาวคนหนึ่งที่เดิมทีเอาหูแนบประตูแอบฟัง ยิ้มตาหยีถามว่า “แม่นางหลิว ทำอะไรน่ะ?”
เด็กสาวเอียงศีรษะ หัวเราะฮ่าๆ “เจ้าก็คือจอมยุทธหญิงหนิง ใช่ไหม?”
เฉินผิงอันรู้สึกอ่อนใจเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้หนิงเหยาสกัดปราณวิญญาณฟ้าดินที่ระเบียงนอกประตู แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเด็กสาวมาท่องยุทธภพอยู่ตรงนี้
หนิงเหยาถาม “ทำอะไรลับๆ ล่อๆ?”
เด็กสาวถาม “จอมยุทธหญิงหนิง มาปรึกษากันหน่อย เจ้าสามารถรับข้าไว้เป็นลูกศิษย์ได้หรือไม่? ข้าจริงใจจริงๆ นะ ข้ารู้กฎของยุทธภพว่าต้องจ่ายเงิน…”
หนิงเหยาปล่อยมือ ไม่รอให้เด็กสาวพูดจบนางก็ส่ายหน้าแล้ว “ไม่ได้”
เด็กสาวยกมือขึ้นลูบใบหู เอ่ยว่า “แต่ข้ารู้สึกว่าได้นะ อาจารย์หนิงท่านลองคิดดูสิ วันหน้ามาที่เมืองหลวงพักโรงเตี๊ยมไม่ต้องจ่ายเงิน ทางที่ดีที่สุดพวกเราควรเปิดศูนย์ฝึกยุทธไว้ที่เมืองหลวง สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้เลยนะ ถูกไหม? หากไม่ยินดีจะรับข้าเป็นลูกศิษย์จริงๆ ก็สอนสุดยอดเวทกระบี่ของพรรคพวกท่านให้ข้าสักสองสามบทก็ได้ ท่านลองคิดดูนะ วันหน้ารอให้ข้าออกท่องยุทธภพ สร้างชื่อเสียงไว้ในยุทธจักร ข้าเจอใครก็บอกกับคนผู้นั้นว่าหนิงเหยาคืออาจารย์ของข้า เท่ากับว่าท่านไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวก็ได้เปรียบใหญ่เทียมฟ้ามาเปล่าๆ มีหน้ามีตาจะตายไป”
หนิงเหยาตบหน้าผากเด็กสาวแล้วผลักออกเบาๆ “หากคิดจะหาอาจารย์จริงๆ เจ้าก็ไปหาคนที่อยู่ในห้องนั่น เขาชอบพูดคุยที่สุดแล้ว สรุปก็คือมีความอดทนดีกว่าข้ามากนัก วิชาหมัดเวทกระบี่อะไร ขอแค่เจ้าอยากเรียน เขาต้องเต็มใจสอนเจ้าแน่นอน”
อันที่จริงตลอดทั้งนครบินทะยานต่างก็รอคอยเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเมื่อไหร่หนิงเหยาถึงจะรับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านเหล้าบางแห่งที่พอเปิดรับพนันก็ทำให้คนทั้งได้กำไรทั้งขาดทุนจนคนติดอกติดใจที่กำหมัดถูมือกันมานานแล้ว รอแค่ให้เจ้ามือเปิดเดิมพันเท่านั้น ในอนาคตลูกศิษย์คนแรกของหนิงเหยาจะใช้เวลากี่ปีฝ่าทะลุขอบเขตกี่ขั้น บอกตามตรงเถ้าแก่รองไม่มาเป็นเจ้ามือนานหลายปีแล้ว ถึงแม้ว่าลงเงินเดิมพันแล้วสามารถได้เงินจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีรสชาติ ขาดความน่าสนใจบางอย่างไป
น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าหนิงเหยาจะไม่มีความคิดนี้อยู่เลย
หนิงเหยาคิดว่าตัวเองไม่อาจสอนเวทกระบี่ให้คนอื่นได้จริงๆ
อันที่จริงเฉินผิงอันเคยจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์นั้นมานานแล้ว อาจารย์และลูกศิษย์สองคนตาใหญ่มองตาเล็ก คนเป็นอาจารย์ดูเหมือนกำลังพูดว่าแม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็เรียนรู้ไม่เป็น อาจารย์สอนไปรอบสองรอบแล้วไม่ใช่หรือ? ส่วนคนเป็นลูกศิษย์ก็ได้แต่น้อยเนื้อต่ำใจ คล้ายกำลังพูดว่าอาจารย์ท่านสอนแล้วก็จริง แต่นั่นก็เป็นขอบเขตและเวทกระบี่ที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะฟังเข้าใจนะ จากนั้นคิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ มีแต่ความรู้สึกน้อยใจอยู่เต็มท้อง เวลาที่อาจารย์และศิษย์สองคนเอาแต่จ้องตากันมากกว่าเวลาที่สอนกระบี่เรียนกระบี่เสียอีก...
น่าสนใจมากเลยนะ
เด็กสาวเอียงศีรษะมองเจ้าคนที่อยู่ในห้องแล้วนางก็ส่ายหน้าอย่างแรง “ไม่ๆๆ อาจารย์หนิง ข้าตัดสินใจแล้วก็คือตะพาบกินลูกตุ้มเหล็ก (คนจีนโบราณเชื่อว่าเต่าหรือตะพาบกัดอะไรแล้วจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ เมื่อตะพาบกินลูกตุ้มชั่งน้ำหนักบนตาชั่งซึ่งเป็นเหล็กเข้าไปอีกก็ยิ่งเปรียบเปรยถึงการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด หนักแน่น) ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะกราบท่านเป็นอาจารย์เล่าเรียนวิชา”
หากไม่เป็นเพราะข้างกายหนิงเหยามีเฉินผิงอันท่าทางประหลาดติดตามมาด้วย นางคงแวะมาที่ห้องนี้นานแล้ว
ใต้หล้านี้คาดว่าคงมีแค่เด็กสาวคนนี้เท่านั้นที่กล้าเลือกว่าระหว่างหนิงเหยากับเฉินผิงอันจะให้ใครมาเป็นอาจารย์ของตัวเอง?
หนิงเหยาไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่เอ่ยเตือนว่า “วันหน้าอ่านตำราให้มาก อย่าพูดจาเหลวไหล”
เด็กสาวยังโน้มน้าวอยู่อีกหลายประโยค หนิงเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย เด็กสาวก็หุบปากฉับอย่างรู้กาลเทศะทันที
เฉินผิงอันมองเด็กสาวนอกประตูที่พอจะมองเห็นรูปโฉมในอดีตได้อย่างเลือนราง
คาดว่าตอนที่นางเคยเป็นเด็กสาว ตอนที่ยังอยู่บนภูเขาหวงหลีก็คงเป็นเช่นนี้กระมัง
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “แม่นางหลิว อันที่จริงยุทธภพไม่มีอะไรดีหรอก วันหน้าอย่าออกไปท่องยุทธภพเลย”
ชีวิตนี้มีพ่อแม่ที่รักและเอ็นดูนางจากใจจริง มีความสงบสุขปลอดภัยตลอดชีวิต ย่อมดียิ่งกว่าอะไรทั้งหมด
จากนั้นบางทีในอนาคตวันใดวันหนึ่งก็อาจจะมีผู้ฝึกตนอิสระนามว่าเจิงเย่ท่องเที่ยวมาถึงที่แห่งนี้โดยบังเอิญ ได้เจอกับเจ้าแม่นางหลิว เขาอาจจะร้องไห้น้ำตาไหลพราก หรืออาจจะอึ้งงันไร้คำพูดจา
เด็กสาวยกสองมือกอดอก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “เจ้าเป็นใครกัน เจ้าเป็นคนตัดสินใจได้หรือ?”
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไรอีก
สุดท้ายเด็กสาวก็จากไปอย่างขุ่นเคือง เวทกระบี่ของอาจารย์หนิงสูงหรือต่ำ ตอนนี้ยังบอกได้ยาก รู้แค่ว่าสายตาของนางไม่ค่อยดี ลูกศิษย์ที่พาตัวมาส่งถึงที่นางกลับไม่ต้องการ มิน่าเล่าถึงได้ชอบเจ้าหมอนั่น
หนิงเหยาปิดประตู จากนั้นก็รออยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็เปิดประตูออก ดึงหูของแม่นางน้อยที่ย่องถอยกลับมาที่หน้าประตูห้องแล้วเอาใบหน้าแนบติดกับประตูอีกครั้ง เหตุผลของเด็กสาวคือกลัวอาจารย์หนิงจะถูกคนบางคนทำมือไม้ยุ่มย่าม หนิงเหยาบิดหูนางลากเดินไปถึงโต๊ะคิดเงินถึงจะปล่อยมือ เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นแล้วก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน หยิบไม้ปัดขนไก่ขึ้นมาทำท่าจะตี เด็กสาวหรือจะกลัว? กระโดดโลดเต้นออกไปนอกโรงเตี๊ยม ไปซื้อหนังสือ ในอดีตมีหนังสือบันทึกขุนเขาสายน้ำหลายเล่มที่ขายดีมากในร้านหนังสือ นางมีความกล้าหาญไม่มากพอ เสียดายเงินยาสุ้ย (หรือเงินอั่งเปา เงินซองแดงที่ได้เป็นของขวัญวันตรุษจีน) จึงลงมือช้าไป ไม่ได้ซื้อมา พอคิดอยากจะซื้อก็ไม่มีแล้ว เฉินผิงอันในหนังสือคนนั้น เจ้าตัวดี ช่างมีโชคด้านความรักยิ่งนัก เจอสตรีคนหนึ่งก็ชอบคนหนึ่ง ไม่เที่ยงตรงเอาเสียเลย…เพียงแต่ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มที่ฝึกวิชาของวิถีแห่งผีคนนั้น ภายหลังได้เจอกับแม่นางซูที่เขารักแล้วหรือยัง?
น่าเสียดายที่บันทึกเล่มนั้นไม่มีภาคต่อแล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าใครก็ไม่รู้ผลลัพธ์ น่ากลุ้มใจนัก
หนิงเหยากลับมาที่ห้อง นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ถามว่า “ทำไมก่อนหน้านี้เจ้าถึงแน่ใจว่าต้องเป็นเงินสิบสี่ตำลึง?”
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าออกจากบ้านเกิดเดินทางไกลครั้งแรกตอนอายุสิบสี่”
คาดว่านับตั้งแต่ปีนั้นมา เด็กหนุ่มก็ไม่ใช่นกในกรงอะไรอีกแล้ว จากนั้นก็เริ่มควบคุมชะตาชีวิตของตัวเองได้แล้ว
นอกจากนี้ก็เหมือนประโยคหยอกล้อที่ราชครูต้าหลีในอดีตเอ่ยออกมา เป็นประโยคที่ไม่ว่าจะเป็นหนันจานหรือลู่เจี้ยงต่างก็หัวเราะไม่ออก
ในสายตาของข้าชุยฉาน ชีวิตบนมหามรรคาของไทเฮาเหนียงเนียงคนหนึ่งในอนาคต มีค่าแค่สิบสี่ตำลึงเงินเท่านั้น
——