กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 837.1 เทพอัคคีขอไฟ
เฉินผิงอันบอกว่าจะออกไปข้างนอก จะไปหาเฟิงอี๋ที่ศาลเทพอัคคีให้นางช่วยเรียกคนมา จะถามคำถามสารถีเฒ่าคนนั้นสามข้อ บางทีอาจยังต้องไปพบเพื่อนที่ที่ว่าการกรมคลังสักรอบ หนิงเหยาพยักหน้ารับ หยิบเอานิยายที่พูดถึงบุญคุณความแค้นในยุทธภพโดยเฉพาะออกมาสองสามเล่ม เลือกเล่มหนึ่งในนั้นมา เปิดไปถึงหน้าที่พับกระดาษไว้ นางอ่านอย่างเพลิดเพลินจริงๆ เฉินผิงอันเหลือบตามองเนื้อหาแวบหนึ่ง เห็นว่าตรงช่วงท้ายของหน้านั้นเขียนว่าในค่ำคืนที่มีพายุฝน ตัวละครหลักถูกศัตรูคู่แค้นไล่ตามมาสังหาร จึงจับผลัดจับผลูเข้าไปหลบภัยในศาลร้างกลางป่าแห่งหนึ่ง เจอคนผู้หนึ่งนั่งตัวตรงอยู่ในห้องโถง ดวงตาหงส์ มีหนวดเครางดงาม สวมชุดเขียว ภายใต้แสงไฟสามารถมองเห็นกลิ่นอายของผู้มีประสบการณ์อันโชกโชน…เฉินผิงอันยิ้มกล่าว เอาล่ะ ข้ากล้าเดิมพันเลยว่าต้องเจอกับเรื่องอัศจรรย์อีกแน่นอน คนที่ตามมาไล่ฆ่ากลุ่มนั้น ขอแค่มีใครสักคนสามารถรอดปลอดภัยออกไปจากศาลได้ก็ถือว่าข้าแพ้ หนิงเหยาเหลือบตามองเฉินผิงอัน ให้รางวัลเขาแค่สองคำว่า หุบปาก
เฉินผิงอันไปที่โต๊ะคิดเงินของโรงเตี๊ยม กลายเป็นว่าแม้แต่ผู้เฒ่าที่เกิดและเติบโตมาในเมืองหลวงต้าหลีอย่างเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ยังไม่อาจบอกตำแหน่งที่แน่ชัดของศาลเทพอัคคีแห่งนั้นได้ ได้แต่บอกตำแหน่งคร่าวๆ เถ้าแก่ผู้เฒ่ารู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง เฉินผิงอันเป็นคนต่างถิ่นในยุทธภพ มาที่เมืองหลวง ไม่ไปเยือนวัดวาอารามที่ชื่อเสียงเลื่องลือกว่า แต่ดันจะไปศาลเทพอัคคีแห่งนี้ทำอะไร ในเมืองหลวงต้าหลี ศาลบูรพกษัตริย์ของสกุลซ่ง ศาลบุ๋นที่ตั้งบูชาอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ศาลจักรพรรดิที่บูชาจักรพรรดิรุ่นแล้วรุ่นเล่า คือศาลใหญ่สามแห่งที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกัน เพียงแต่ว่าพวกชาวบ้านไม่อาจไปเยือนได้ ทว่านอกจากนี้แล้ว พูดถึงแค่งานวัดของศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลเทพแห่งผืนดินก็ล้วนครึกครื้นอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันหาศาลเทพอัคคีเพียงหนึ่งเดียวของเมืองหลวงจนเจอ หญิงชราคนเฝ้าศาลที่ทำหน้าที่เฝ้าประตูคือคนธรรมดา นางอายุมากแล้ว เส้นผมขาวโพลน ลักษณะแก่หง่อม แต่ก็รู้จักป้ายสงบสุขที่กรมอาญาแจกจ่ายให้แก่เทพเซียนบนภูเขา ได้ยินว่าอีกฝ่ายต้องการมาหาเฟิงอี๋ หญิงชราก็จดชื่อลงในบันทึกตามกฎแล้วปล่อยตัวมา ตอนที่เขียนชื่อแขกที่มาเยี่ยมเยือน หญิงชรายิ้มเอ่ยประโยคหนึ่งว่าเซียนซือมีชื่อที่ดี เฉินผิงอันยิ้มตอบว่าเป็นชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ หญิงชราพยักหน้ารับ บอกกฎข้อห้ามในศาลเทพอัคคีให้คนหนุ่มฟัง จากนั้นจึงบอกทางให้ บอกว่าเฟิงอี๋อยู่ที่ซุ้มดอกไม้
เฉินผิงอันเดินตามเส้นทางไปก็เจอกับเฟิงอี๋ผู้นั้น นางนั่งอยู่บนบันไดหินใต้ซุ้มดอกไม้อย่างเกียจคร้าน เช้าตรู่ก็ดื่มเหล้าเสียแล้ว ราวกับว่าอยู่ในท่าทางเมากรึ่มๆ เช่นนี้ตลอดทั้งปี นอกจากยังคงใช้เชือกสีเส้นนั้นมัดเส้นผมสีนิลแล้ว วันนี้นางยังแต่งกายแบบใหม่ สวมชุดกระโปรงสีรากบัวผูกแถบผ้าสีชมพูระเรื่อ ถ้อยคำบางอย่างที่ใช้อธิบายเทพหญิงในนิยายเรื่องเล่าอัศจรรย์ เอามาใช้กับนางนับว่าเหมาะสมที่สุด ท่วงท่าดุจเมฆคล้อย จิตวิญญาณแห่งดวงจันทร์ พอเห็นเฉินผิงอัน เฟิงอี๋ก็แค่ยกกาเหล้าในมือขึ้น ถือว่าเป็นการทักทายแล้ว นางยืดเอวขึ้นตรงเล็กน้อย เก็บเสน่ห์ที่แผ่อวลอยู่หว่างคิ้วลงไป สตรีหน้าตางดงามเกินไป มีเสน่ห์เย้ายวนตามธรรมชาติเกินไปก็เป็นปัญหา แล้วนับประสาอะไรกับที่ในบ้านของเฉินผิงอันยังมีไหน้ำส้ม (เปรียบเปรยถึงคนขี้หึง ภาษาจีนจะมีสำนวนกินน้ำส้ม ซึ่งหมายถึงการหึงหวง) อยู่อีก
เฉินผิงอันมองเฟิงอี๋ผู้นี้ มีอยู่ครู่หนึ่งที่เขาเหม่อลอยไป เพราะนึกถึงเรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางขึ้นมา ที่นั่นเคยมีผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งสูบยาอยู่ตลอดทั้งปี
เฉินผิงอันไม่ได้นั่งลงบนขั้นบันไดเลียนแบบเฟิงอี๋ แต่ไปนั่งอยู่บนม้านั่งหินด้านข้างซุ้มดอกไม้ เฟิงอี๋ยิ้มถาม “ดื่มเหล้าหรือไม่? เหล้าหมักร้อยบุปผาที่รสชาติดั้งเดิมที่สุด ทุกไหล้วนหมักมานานหลายปีแล้ว พวกเหนียงเนียงเทพีบุปผาทั้งหลาย ถึงอย่างไรก็ยังเป็นสตรีนี่นะ จิตใจละเอียดอ่อน เก็บซ่อนเหล้าไว้ในคลังได้ดีเยี่ยม รสชาติกลมกล่อมไม่คลาดเคลื่อน ปีนั้นข้าเดินทางไปเยือนพื้นที่มงคล จะให้เหนื่อยเปล่าก็คงไม่ได้ จึงกวาดเอามาได้ไม่น้อย”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ เฟิงอี๋จึงโยนเหล้าร้อยบุปผากาหนึ่งมาให้ เฉินผิงอันรับกาเหล้ามา คล้ายนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้จึงบิดหมุนข้อมือ หยิบเอาเหล้าภูเขาชิงเสินที่ร้านตัวเองเป็นผู้หมักออกมาสองกา โยนให้เฟิงอี๋หนึ่งกา ถือเป็นของขวัญตอบแทนกลับคืน อธิบายว่า “เฟิงอี๋ลองชิมดู เปิดร้านเหล้าเล็กๆ ร่วมกับคนอื่น ขายได้เยอะพอสมควร”
เฟิงอี๋รับกาเหล้ามาวางไว้ข้างหู เขย่าเบาๆ แล้วคลี่ยิ้มประหลาด ด้วยสุรานี้ อายุก็ดี รสชาติก็ช่าง ก็ยังกล้าเอาออกมามอบให้คนอื่นด้วยหรือ?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเหล้าร้อยบุปผาของเฟิงอี๋ได้ เพียงแต่เหนือกว่าตรงที่เป็นของดีราคาถูก ของดีราคาถูก คนเลือกเหล้า เหล้าไม่เลือกคนนี่นะ”
เฟิงอี๋โยนเหล้าอีกกาหนึ่งไปให้เฉินผิงอัน เอ่ยสัพยอกว่า “คิดจะเก็บเหล้าร้อยบุปผากานั้นของข้าเอาไว้ก็บอกมาตรงๆ ขอจากเฟิงอี๋เพิ่มอีกกา มีอะไรให้ต้องอาย ในสายตามีแต่เงินจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่ถือสา ในเมื่อเฟิงอี๋ผู้นี้คือสหายของอาจารย์ฉี ถ้าอย่างนั้นก็เป็นผู้อาวุโสของตน ถูกผู้อาวุโสตำหนิไม่กี่คำ ไม่ต้องสนใจว่ามีเหตุผลหรือไม่มี แค่ฟังไปก็พอ
เฉินผิงอันหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา เปิดผนึกดินกระดาษแดงของกาเหล้าออก รินเหล้าใส่ถ้วยหนึ่งถ้วย ทั้งกระดาษแดงและดินเหลืองผนึกปากไหล้วนไม่ธรรมดา โดยเฉพาะอย่างหลัง ธาตุของดินค่อนข้างประหลาด เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบดินขึ้นมาขยี้เล็กน้อย อันที่จริงคนบนโลกล่างภูเขารู้แค่ประโยคว่าอายุยืนดั่งหินทอง แต่กลับไม่รู้ว่าดินก็มีคำกล่าวถึงอายุเช่นกัน เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “เฟิงอี๋ ดินพวกนี้คือดินหมื่นปีของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาหรือ? เหล้าที่ราคาแพงขนาดนี้ ทั้งยังมีเวลายาวนาน คงไม่ใช่ว่าในอดีตนำมาบรรณาการให้ใครหรอกกระมัง?”
เฟิงอี๋พยักหน้า “สายตาไม่เลว มองอะไรก็ล้วนเป็นเงินไปหมด อีกอย่างเจ้าก็เดาถูกแล้ว เหล้าร้อยบุปผาที่ในอดีตใช้ดินหมื่นปีมาเป็นผนึกดินนี้ ทุกๆ ร้อยปีจะแบ่งออกเป็นสามส่วน แบ่งกันนำไปบรรณาการให้แก่กลุ่มอิทธิพลสามกลุ่ม นอกจากจวนผีหกตำหนักของนครเฟิงตูแล้ว ยังมีชิงจวินแห่งภูเขาฟางจู้ที่ดูแลถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลบนพื้นดินและเอกสารของเซียนดินทุกคน แต่ชิงจวินคนนี้ไม่ใช่ตาเฒ่าที่อยู่ในเรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยางหรอกนะ อีกทั้งชิงจวินผู้นี้ยังไม่มีความเกี่ยวข้องกับสรวงสวรรค์เก่าด้วย แต่ก็ร้ายกาจมากเหมือนกัน ภูเขาฟางจู้ที่ชิงจวินปกครองในอดีต เดิมทีก็เป็นจวนซือมิ่งที่อยู่สูงกว่าห้าขุนเขาของไพศาล รับผิดชอบจัดการชื่อคนตายและคนที่ถือกำเนิด สุดท้ายถูกบันทึกไว้ใน ‘บันทึกมิตาย’ ของคำเขียวบทม่วงซึ่งเป็นระดับสูง หรือไม่ก็เป็น ‘บันทึกถือกำเนิด’ ในยันต์เหลืองกระดาษขาวที่เป็นระดับกลาง เมื่อทำการ ‘เชิญสลักชื่อเซียน’ ที่ภูเขาฟางจู้ ชิงจวินก็เหมือนเป็นคนลงนาม สรุปก็คือเป็นกฎเกณฑ์ชุดหนึ่งที่ซับซ้อนอย่างมาก เหมือนกับวงการขุนนางของโลกยุคหลัง…ช่างเถิด คุยเรื่องนี้น่าเบื่อเกินไป ล้วนเป็นปฏิทินเหลืองเก่าแก่ไปหมดแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ถึงอย่างไรหากจะคิดสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดจริงๆ ก็ล้วนถือว่าเป็นการทดลองบางอย่างในการตั้งกฎเกณฑ์ของหลี่เซิ่งในอดีตมากกว่า เดินอ้อมเส้นทางก็ดี เดินวนไปไกลก็ดี เดินบนมหามรรคาก็ช่าง สรุปก็คือ…ค่อนข้างจะเหนื่อยยาก เอาเป็นว่าหากเจ้าสนใจเรื่องเก่าแก่ปีมะโว้พวกนี้จริงๆ ก็สามารถไปถามอาจารย์ของเจ้าดูได้ ซิ่วไฉเฒ่าอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดค่อนข้างมาก”
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ธวัลทวีปมีสำนักแห่งหนึ่งชื่อว่าภูเขาจิ่วตู ศาลบรรพจารย์มีคนผู้หนึ่งที่มีสถานะเป็นผู้สืบทอดอย่างลับๆ ชื่อว่าเหวยเปียนหลาง หรืออีกชื่อคือเป่าจี๋เฉิง ถูกจัดให้อยู่ในทะเบียนเขียว มีความเกี่ยวข้องด้านการสืบทอดกับภูเขาฟางจู้นี่หรือไม่?”
หนึ่งในผู้ฝึกตนต่างถิ่นในสายอิ่นกวานคฤหาสน์หลบร้อน เติ้งเหลียง ก็คือเจ้ายอดเขาซู่หรานของภูเขาจิ่วตูธวัลทวีป ทุกวันนี้ยังเป็นผู้ถวายงานคนแรกของศาลบรรพจารย์นครบินทะยาน
เฟิงอี๋หลุดหัวเราะพรืด “ก็แค่ได้พึ่งใบบุญเล็กน้อยเท่านั้น ภูเขาจิ่วตูเล็กๆ แห่งหนึ่ง ไหนเลยจะเอาไปเทียบเคียงกับภูเขาฟางจู้ได้ ก็แค่ว่าบรรพบุรุษเปิดภูเขาของภูเขาจิ่วตูได้ภูเขาที่ปริแตกส่วนหนึ่งไปภายใต้วาสนานำพา จึงได้สืบทอดสายเซียนที่พอจะมีท่วงทำนองเหมือนอยู่บ้างอย่างถูไถ”
ส่วนกองกำลังของสามฝ่าย ดูเหมือนว่าเฟิงอี๋จะตกหล่นฝ่ายหนึ่งไป เฉินผิงอันจึงไม่ซักถามให้ถึงที่สุด เฟิงอี๋ไม่พูด ต้องเป็นเพราะในนี้มีข้อห้ามที่ไม่อาจบอกคนอื่นอยู่แน่นอน
ในประโยคนี้แสดงให้เห็นว่าความเคารพที่เฟิงอี๋มีต่อหลี่เซิ่งออกมาจากใจจริง
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามอีกว่า “ขอถามเฟิงอี๋ อาจารย์ซานซานจิ่วโหวผู้นั้น?”
เฟิงอี๋ส่ายหนา เฉินผิงอันจึงไม่ถามมากความอีก ผลคือเพียงแค่ดื่มเหล้าหมักร้อยบุปผาไปหนึ่งถ้วยก็ค้นพบว่ามันถึงกับมีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณไม่น้อย เหนือเกินกว่าที่คาดคิดไว้ ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ ช่องโพรงลมปราณภูเขาทายาทที่ยังไม่ได้บุกเบิกที่ดิน รวมไปถึงภูเขาสายน้ำลายเส้นขาวดำมากมายที่ลงสีไปได้ไม่เยอะ ประหนึ่งพื้นดินแห้งแล้งมานานได้เจอกับฝนรสหวานชุ่มฉ่ำ ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ หยดๆ รวมกันดุจม่านฝน เหมือนสายฝนที่พร่างพรมลงมา เขาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบที่แท้จริง หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนดินคนหนึ่งจะไม่เท่ากับว่ามีปราณวิญญาณเทกระหน่ำลงมาโดยตรงเลยหรือ? ส่วนผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง คาดว่าแค่ดื่มเหล้าถ้วยนี้ไปก็คงถูกปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นทำให้ ‘เมาล้มพับ’ ไปโดยตรง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไม่คิดจะดื่มต่อแล้ว เหลือค้างไว้ก่อน เหลือค้างไว้ก่อน การฝึกตนของตนแค่ปล่อยให้เป็นไปตามลำดับขั้นตอนก็พอ ของนอกกายของตระกูลเซียนที่ช่วยสะสมปราณวิญญาณเช่นนี้ ประโยชน์ย่อมมีไม่น้อย แต่อันที่จริงกลับมีความหมายไม่มากนัก วันหน้าจะเอาเหล้าสองกานี้ไปมอบให้กับจางเจียเจินและเจี่ยงชวี่ก็แล้วกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางเจียเจินนักบัญชีตัวน้อยที่เป็นลูกน้องของเหวยเหวินหลง เด็กหนุ่มจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีต เพราะไม่อาจฝึกตน ทุกวันนี้จึงเริ่มมีผมขาวแล้ว
เขาเก็บกาเหล้าและถ้วยเหล้าลงไปต่อหน้าเฟิงอี๋ แม้แต่เศษดินเหลืองที่อยู่บนโต๊ะก็ยังไม่ยอมทิ้งไป จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “รบกวนเฟิงอี๋ช่วยบอกกล่าวกับสารถีคนนั้นสักคำ ขอเชิญให้เขามารำลึกความหลังด้วยกันที่นี่”
เฟิงอี๋ยิ้มเอ่ย “มาแล้ว”
ผู้เฒ่าที่ก่อนหน้านี้ขับรถให้ต่งหูและไทเฮา หลังจากพลิ้วกายลงใต้ซุ้มดอกไม้ดังตึงก็ถูกเฟิงอี๋ตวัดตามองค้อนใส่ เขายกมือปัดฝุ่นทิ้ง
สารถีเฒ่ายกสองแขนกอดอก ยืนอยู่ที่เดิม ไม่มองเฉินผิงอันเต็มๆ ตาสักครั้ง เจ้าตะพาบน้อยผู้นี้ก็แค่อาศัยว่ามีคนรักเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานเท่านั้น ดูเจ้าทำอวดเก่งเข้าสิ
ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “มีลมก็รีบผายออกมา”
เฉินผิงอันเองก็คร้านจะถือสาการไม่รู้จักพูดจาของตาเฒ่าผู้นี้ คิดว่าตัวเองคือกู้ชิงซงหรือหลิ่วชื่อเฉิงจริงๆ หรือไร? จึงได้แต่ถามเข้าประเด็นทันทีว่า “ลู่เจี้ยงไทเฮาเหนียงเนียงที่ใช้นามแฝงว่าหนันจานมาจากสกุลลู่สำนักหยินหยางของแผ่นดินกลางหรือไม่?”
เฟิงอี๋มีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย จิบเหล้าหนึ่งอึก เฉินผิงอันรู้เรื่องวงในเรื่องนี้ได้อย่างไร? นี่เป็นเบาะแสเส้นหนึ่งที่ซุกซ่อนไว้อย่างลึกลับ ปีนั้นอดีตฮ่องเต้ต้าหลีหลงกล เกือบจะกลายเป็นหุ่นเชิด หนันจาน หรือควรจะเรียกว่าลู่เจี้ยง ปีนั้นถูกอดีตฮ่องเต้เนรเทศให้ไปอยู่ตำหนักฉางชุน ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล อันที่จริงหนันจานคือหนันจานแห่งเขตอวี้จางจริงๆ เพียงแต่ว่าอาศัยไข่มุกซีหลิงเส้นนั้นทำให้จดจำความทรงจำของหลายชาติก่อนได้ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยเหี้ยมหาญของอดีตฮ่องเต้ต้าหลี ต่อให้จะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของสามีภรรยาในวันวานแค่ไหน ลู่เจี้ยงก็ไม่มีทางมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้แน่ ในหนังสือประวัติศาสตร์ก็แค่จะบันทึกไว้ว่าฮองเฮาต้าหลีที่ตกอับได้ป่วยตายไป
สารถีเฒ่าตอบอย่างตรงไปตรงมา “ไม่รู้ ถามเรื่องอื่น”
เฟิงอี๋พยักหน้าเบาๆ สารถีเฒ่าไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ก็มีแต่ไม่เรี่ยวแรงไม่มีสมองนี่นะ
สารถีเฒ่าเอ่ยอย่างเดือดดาล “นังหญิงตระกูลเฟิง เจ้าส่งสายตาไปมากับเขาทำไม ข้าต่างหากถึงจะเป็นคนกันเองกับเจ้า จะเข้าข้างคนอื่นก็หัดให้มันมีขอบเขตบ้าง!”
เฉินผิงอันถามคำถามต่อ “เรื่องการสร้างเครื่องกระเบื้องแห่งชะตาชีวิตของถ้ำสวรรค์หลีจู แรกเริ่มสุดใครเป็นผู้ถ่ายทอดวิชาลับให้?”
สารถีเฒ่าลังเลเล็กน้อย เอ่ยอย่างอัดอั้นว่า “เป็นตาเฒ่าหยางกับอาจารย์ซานซานจิ่วโหวร่วมกันสร้างขึ้นมา”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที ถามเนิบช้าว่า “ช่างเหยาของเตาเผามังกรใช่คนของลัทธิพุทธหรือไม่?”
สารถีเฒ่าเหลือบมองเฟิงอี๋แวบหนึ่ง คล้ายกำลังตำหนินางที่ก่อนหน้านี้ช่วยคิดคำถาม แต่ดันไม่มีคำถามข้อใดตรงกับที่นางคาดการณ์ไว้สักข้อ ทำเอาคำพูดที่เขาร่ายมาไว้เต็มท้องล้วนไหลหายไปกับสายน้ำทั้งหมด
เฟิงอี๋แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแค่ดื่มเหล้ามองเรื่องสนุกไปเท่านั้น
สารถีเฒ่าพยักหน้ารับ
เฉินผิงอันเงียบเสียงไป
ตอนเป็นเด็กหนุ่มเคยโขกหัวต่อเทวรูปพระโพธิสัตว์สามองค์ที่อยู่ในสุสานเทพเซียนไม่หยุด มีเด็กคนหนึ่งขึ้นเขาลงห้วย เดินจนรองเท้าสานคู่เล็กที่ถักขึ้นอย่างหยาบๆ ฉีกขาด คู่แล้วคู่เล่า เวลานั้นเพียงแค่รู้สึกว่าพระโพธิสัตว์หาได้ง่าย ยาสมุนไพรบนภูเขาหาได้ยาก
ช่างเหยา เหย้าซือฝอ (พระไภษัชยคุรุพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าสูงสุดทางการแพทย์และโอสถในศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน)
บุรพแจกันสมบัติทวีป ผู้สถาปนาบุรพไวฑูรยประภา
——