กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 837.2 เทพอัคคีขอไฟ
เฟิงอี๋แหงนหน้าดื่มเหล้าหนึ่งอึก จากนั้นนางจึงใช้เสียงในใจเอ่ยกับเฉินผิงอัน “ปีนั้นข้าเคยโน้มน้าวฉีจิ้งชุน อันที่จริงคำกล่าวที่ว่าวิญญูชนควรอยู่ห่างไกลจากพื้นที่อันตรายนั้นถูกต้องแล้ว เจ้าจากไปแล้วก็ไม่เป็นไร พูดถึงแค่ตาเฒ่าเหยาต้องไม่มีทางปล่อยปละละเลยไม่สนใจ ไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยซ้ำ จะต้องออกจากดินแดนพุทธะสุขาวดีกลับมายังไพศาล แต่ฉีจิ้งชุนก็ยังไม่ตอบตกลง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไม”
คาดว่าหนึ่งในกรอบป้ายของซุ้มประตูหินที่อริยะลัทธิขงจื๊อทิ้งเอาไว้ก็คือคำตอบอย่างไร้เสียงของฉีจิ้งชุน มิเกี่ยงงอนต่อหน้าที่ที่พึงปฏิบัติ
เฉินผิงอันก้มหน้าลงมองรองเท้าผ้าของตัวเอง พอเงยหน้าขึ้นมาก็ถามคำถามสุดท้ายว่า “เมื่อชาติก่อนข้าคือใคร?”
สารถีเฒ่าส่ายหน้า “ไม่รู้ เปลี่ยนคำถามข้อใหม่”
เฟิงอี๋คลี่ยิ้ม “ช่างเถิด ข้าช่วยตอบคำถามให้แทนก็แล้วกัน เฉินผิงอัน ไม่ต้องคิดมาก เจ้าไม่ใช่ใคร อย่างน้อยที่สุดก็มั่นใจได้ว่าชาติก่อนเจ้าต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนบนยอดเขาที่ร้ายกาจอะไรแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่ยอดฝีมือลัทธิพุทธลัทธิเต๋าอะไรด้วย เพราะปีนั้นข้าเองก็สงสัยใครรู้ จึงไปที่ร้านยาตระกูลหยาง ตาเฒ่าให้คำตอบที่แน่ชัดกับข้ามาข้อหนึ่ง ชาติก่อนของเจ้า หรืออาจจะเป็นชาติก่อนหน้านั้นอีก ล้วนไม่มีอะไรที่โดดเด่น ดังนั้นเจ้ากับพ่อแม่ของเจ้า ครอบครัวพวกเจ้าสามคนจึงเป็นครอบครัวปกติอย่างมาก ไม่มีรากฐานมหามรรคาอะไรให้พูดถึง ตอนนั้นหยางเหล่าโถวเป็นฝ่ายเอ่ยประโยคหนึ่งอย่างที่หาได้ยาก บอกว่าเจ้าก็คือเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน ก็แค่ดวงแข็งเท่านั้น”
หัวคิ้วของเฉินผิงอันคลายออก โล่งใจได้บ้าง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีเรื่องให้ต้องห่วงหน้าพะวงหลังอะไรอีกแล้วจริงๆ
สารถีเฒ่าไม่อยากอยู่ที่นี่นานนัก มองบุรุษชุดเขียวมากเท่าไรก็หงุดหงิดใจมากเท่านั้น
เฉินผิงอันพลันหรี่ตาลง พูดเสียงทุ้มหนัก “เฟิงอี๋ยินดีช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ ช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้พวกเรา อันที่จริงก็ได้อธิบายเรื่องราวมากมายแล้ว ดังนั้นสุดท้ายข้าจึงจะเตือนเจ้าหนึ่งประโยค วันหน้าอย่าได้มาหาเรื่องข้า”
เฟิงอี๋ยิ้มอย่างรู้ทัน ฟังเข้าสิ นี่ต่างหากถึงจะเป็นคำพูดที่คนฉลาดควรพูด สารถีเฒ่าวันหน้าเจ้าหัดเรียนรู้ไว้ให้มาก
สารถีเฒ่าคิดไม่ตก ใจอยากจะทิ้งถ้อยคำอำมหิตไว้สักประโยค เพียงแต่พอคิดถึงว่าในเมืองหลวงยังมีหนิงเหยาอยู่ก็อดทนเอาไว้ เพียงแต่ทนไม่ไหวจึงหันไปถ่มน้ำลายลงพื้น เห็นเฉินผิงอันเลิกคิ้ว นังหญิงตระกูลเฟิงก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ สารถีเฒ่าจึงใช้ปลายเท้าขยี้ ถือว่าเช็ดสะอาดแล้ว จากนั้นก็ทะยานร่างขึ้นสูง เรือนกายพลันหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
เฟิงอี๋มองคนหนุ่มแวบหนึ่ง สีหน้าแสดงความเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็เป็นความรู้สึกของคนทั่วไป
จากนั้นนางก็เห็นเฉินผิงอันหยิบถ้วยเหล้าออกมาอีก เหล้าที่ดื่มเป็นเหล้าภูเขาชิงเสิน รินเหล้าเต็มถ้วยแล้วก็แกว่งเบาๆ เริ่มดื่มอยู่กับตัวเอง อายุไม่มาก แต่ฝึกฝนจิตใจได้ไม่ธรรมดา ไม่เพียงแต่สุขุมเยือกเย็น ยังเข้าใจเรื่องราวอย่างแจ่มแจ้งด้วย
เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้น ยิ้มกล่าว “เฟิงอี๋ ขอบคุณมาก”
เฟิงอี๋ยกกาเหล้าในมือขึ้น ต่างคนต่างดื่ม
เฉินผิงอันถามคำถามที่เขาสงสัยมานานหลายปี เพียงแต่ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็แค่ใคร่รู้เท่านั้น “เฟิงอี๋ ท่านรู้หรือไม่ว่าตัวอักษรที่แกะสลักไว้ด้านหลังเทวรูปองค์หนึ่ง คล้ายบทกลอนเล็กๆ ใครเป็นคนแกะสลัก? หลี่หลิ่ว หรือว่าหม่าขู่เสวียน?”
หลี่หลิ่วเคยเป็นผู้ครองแม่น้ำและทะเลสาบในอดีต ในฐานะหนึ่งในห้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงสุดของยุคบรรพกาล แม้แต่หลุมน้ำลู่ยังเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนของนาง อีกทั้งหน้าที่หลักที่แท้จริงของตำแหน่งเทพนี้ยังคงอยู่ที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาเส้นนั้น โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลทั้งหมดล้วนกลายมาเป็นดวงดาวที่อยู่นอกฟ้าดวงแล้วดวงเล่า หรือไม่ก็ร่างทองก็สลายหายไปท่ามกลางกาลเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วล้วนถือว่าหลับจำศีลอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลาเส้นนั้น
เฉินผิงอันอาศัยร่องรอยของตัวอักษร ไม่อาจรู้ได้ว่าเป็นลายมือของใคร แต่มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าจะเป็นหลี่หลิ่วหรือไม่ก็หม่าขู่เสวียน
เฟิงอี๋ส่ายหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้สนใจ ไม่ได้อยากรู้”
เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้เฟิงอี๋บอกว่ามีคนอยากพบข้า คือเถ้าแก่หยางของร้านยาที่บ้านเกิดข้าหรือ? หรือว่าเป็น…แม่ทัพซูทูตผู้ตรวจการ?”
ฝ่ายแรกเพราะได้ยินหลิวเสี้ยนหยางเล่าให้ฟัง เถ้าแก่หยางป่วยตายไปนานหลายปีแล้ว หลังจากเสียชีวิตก็ไปทำหน้าที่อยู่ที่ศาลเทพอภิบาลเมืองของเมืองหลวง รับหน้าที่เป็นเทพท่องราตรีของสถานที่แห่งหนึ่ง ถือว่าได้เดินก้าวเข้าสู่วงการขุนนางภูเขาสายน้ำ สามารถอาศัยบุญกุศลที่สั่งสมมาปกป้องลูกหลานในตระกูลต่ออีกครั้ง ส่วนซูเกาซานเป็นการคาดเดาของเฉินผิงอันเอง หลังจากตายไปได้กลายเป็นวิญญาณวีรบุรุษบนสนามรบ มีความเป็นไปได้มากที่สุด ต้าหลีช่วยจัดหาทางถอยให้ ยกตัวอย่างเช่นรับหน้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งศาลบู๊ของเมืองหลวง ซูเกาซานหวนกลับมาเป็นผู้ดูแลโชคชะตาบู๊ของแคว้นอีกครั้งก็ถือเป็นเรื่องที่มีเหตุผลชอบธรรม
อีกทั้งซูเกาซานก็มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลยากจน อาศัยคุณความชอบในการสู้รบมาตลอดเส้นทาง ตอนที่มีชีวิตอยู่ทำหน้าที่เป็นทูตผู้ตรวจการซึ่งถือเป็นตำแหน่งขุนนางสูงสุดของขุนนางฝ่ายบู๊แล้ว ทว่าถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูง เมื่อแม่ทัพตายไป ตระกูลไม่มีเสาหลัก ก็ง่ายที่คนจากไปแล้วน้ำชาจะเย็นชืด ส่วนใหญ่แล้วตระกูลจะตกอับไปนับแต่นี้
เฟิงอี๋ยิ้มกล่าว “เป็นเถ้าแก่หยาง หลังจากซูเกาซานตายไป การเดินทางแห่งขุนเขาสายน้ำช่วงสุดท้ายในชีวิตนี้ของเขาก็คือใช้สถานะของผีเดินทางยามค่ำคืนอยู่ระหว่างฟ้าดิน คุ้มกันผีทหารใต้อาณัติให้กลับคืนทิศเหนือที่เป็นบ้านเกิดด้วยตัวเอง เมื่อซูเกาซานบอกลากับสหายร่วมรบคนสุดท้ายแล้ว จิตวิญญาณของเขาก็สลายหายไป แน่นอนว่าทางฝั่งของราชสำนักต้าหลีอยากจะเหนี่ยวรั้งเอาไว้ แต่ซูเกาซานไม่ยอมตอบตกลง พูดแค่ว่าลูกหลานก็มีโชคของลูกหลาน”
เฉินผิงอันฟังมาถึงประโยคนี้ก็เงียบไปนาน เพียงแค่ดื่มเหล้าเงียบๆ ตัดสินใจไว้แล้วว่าวันหน้าตนต้องให้ความสนใจตระกูลซูให้มากหน่อย อย่างน้อยก็ช่วยคุ้มกันอีกฝ่ายเงียบๆ ไปอีกร้อยปี
เฟิงอี๋หัวเราะ หมุนนิ้วมือเก็บรวบลมเย็นกลุ่มหนึ่งมา “เถ้าแก่หยางไม่มาแล้ว ให้ข้านำความมาบอกแทน หากเจ้ากลับบ้านเกิด จำไว้ว่าให้ไปที่เรือนหลังของร้านยาบ้านเขาสักรอบ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รบกวนเฟิงอี๋ช่วยข้าเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่หยางสักคำ”
ดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งกา เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นบอกลา “ไม่รบกวนเฟิงอี๋แล้ว”
เฟิงอี๋พยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามว่า “ไม่เดินเที่ยวในศาลเทพอัคคีแห่งนี้สักหน่อยหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
สำนักห้าธาตุเรียกการนำไฟเสริมเข้ากับโชคชะตาของจักรพรรดิเพื่อให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองว่าฮว่อเต๋อ เพียงแต่ว่าราชสำนักต้าหลีไม่ได้เป็นเช่นนี้ ดังนั้นเมืองหลวงจึงมีศาลเทพอัคคีอยู่แค่แห่งเดียว
ก็เหมือนอย่างราชสำนักต้าหยวนของอุตรกุรุทวีปที่เป็นแคว้นซึ่งมีรากฐานในการหยัดยืนเป็นน้ำ
เฟิงอี๋แกว่งกาเหล้า “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ไปส่งแล้ว”
เฉินผิงอันย้อนกลับไปทางเดิม ไปถึงหน้าประตูศาลเทพอัคคีก็เจอกับหญิงชราคนเฝ้าศาลที่ควบหน้าที่คนเฝ้าประตูอีกครั้ง เขาจึงหยุดเดิน คุยเล่นกับหมัวมัวเฒ่าสองสามประโยคแล้วเฉินผิงอันถึงได้จากมา
ทางฝั่งของบันไดหินใต้ซุ้มดอกไม้ เฟิงอี๋ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพังต่อไปอีกครั้ง
กุมเปลวไฟ ลูบไล้ดวงดาว ต้มสี่มหาสมุทร หลอมห้าขุนเขา ฮว่อเต๋อสูงตระหง่าน ร้อยเทพแหงนหน้ามอง
หลังจากเฉินผิงอันเดินออกมาจากศาลเทพอัคคีแล้ว เขาที่ยืนอยู่บนถนนที่เงียบสงัดก็หันกลับไปมองแวบหนึ่ง
อะไรคือการฝึกตน เทพวารีเดินลงน้ำ
อะไรคือการขอพรพระ เทพอัคคีขอไฟ
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปยังที่ว่าการของกรมคลัง ไม่ได้ไปหากวนอี้หรานที่ตรอกอี้ฉือ แต่เลือกวิธีการที่เปิดเผยตรงไปตรงมายิ่งกว่าในการไปรำลึกความหลังกับเพื่อนเก่า
ส่วนอาจารย์ก็ไม่ได้อยู่นิ่งเฉย
เมืองหลวงต้าหลีมีบัณฑิตเฒ่ายากจนสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งไปถึงที่หน่วยแปลคัมภีร์ของเมืองหลวงก่อน เขายกมือพนมคารวะภิกษุ ช่วยแปลคัมภีร์ จากนั้นพอไปที่หน่วยจงซวีก็คารวะด้วยการก้มหัวกราบของลัทธิเต๋า คล้ายจะไม่สนใจสถานะลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของตัวเองเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีใครมาซักไซ้เอาผิด เหวินเซิ่งเป็นเช่นนี้ ใครเล่าจะกล้ามีความเห็นต่าง? ไม่อย่างนั้นจะให้ไปฟ้องใคร บอกว่ามีบัณฑิตกระทำการเช่นนี้ ไม่เหมาะตามหลักมารยาท จะให้ไปหาปรมาจารย์มหาปราชญ์ หรือหลี่เซิ่ง หย่าเซิ่งดีล่ะ?
รายงานขุนเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลเริ่มค่อยๆ ถูกยกเลิกคำสั่งห้าม
ข่าวจำนวนนับไม่ถ้วนจึงกรูกันมาถึงที่นี่ ทำให้ผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าเป็นเหมือนผีขี้เหล้าที่กระหายอยากดื่มเหล้ามานานหลายปี ในที่สุดก็ได้ดื่มอย่างเต็มคราบ จึงดื่มอย่างสาแก่ใจจนกว่าจะเมาหลับพับไป
ในบรรดาเรื่องใหญ่ที่ชวนตะลึงพรึงเพริดมากมาย แน่นอนว่าต้องมีการประชุมที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางครั้งนั้น รวมไปถึงการที่ไพศาลจะบุกไปโจมตีเปลี่ยวร้าง
และยังมีเรื่องที่เหวินเซิ่งได้ตำแหน่งเทวรูปในศาลบุ๋นกลับคืนมาอีกครั้ง
ใต้หล้าแห่งที่ห้าตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่าใต้หล้าห้าสี
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ยังมีข่าวที่ไม่ถือว่าเล็กอีกข่าวหนึ่ง พูดถึงอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินสืออีหนึ่งในสิบคนรุ่นเยาว์ของหลายใต้หล้า
ถึงกับเป็นคนของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าดูเหมือนรายงานขุนเขาสายน้ำส่วนใหญ่จะมีความเห็นพ้องต้องกันเป็นอย่างมาก ทำเพียงแค่กล่าวถึงคนผู้นี้แล้วปล่อยผ่าน เนื้อหาที่เป็นรายละเอียดมากกว่านั้นไม่พูดถึงแม้แต่คำเดียว มีเพียงรายงานของจวนเซียนอักษรจงหนึ่งถึงสองแห่ง ยกตัวอย่างเช่นสำนักซานไห่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ไม่เคารพกฎ พูดถึงค่อนข้างมาก บอกชื่อของอิ่นกวานคนนั้นออกมาโดยตรง แต่หลังจากที่รายงานถูกจัดพิมพ์แล้วก็หยุดพิมพ์ไปอย่างรวดเร็ว น่าจะเพราะได้รับการเตือนบางอย่างจากสำนักศึกษา แต่คนที่มีใจก็อาศัยรายงานฉบับสองฉบับนี้ทำให้ได้รับ ‘ข่าวเล็กๆ’ ที่ชวนให้ขบคิดได้อย่างไร้ที่สิ้นสุดมาได้ ยกตัวอย่างเช่นหลังจากที่คนผู้นี้ออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับคืนสู่บ้านเกิดก็อาศัยการเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดในอดีตมาฝ่าทะลุขอบเขตไปอีกขั้นอย่างรวดเร็ว กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทาง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ
นอกจากนี้คนรักของคนผู้นี้ก็คือบุคคลอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าห้าสี ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน หนิงเหยา
นอกจากทุกคนจะตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างแล้ว ยังเดาด้วยว่าคนผู้นี้โชคดีเกินไปหน่อยหรือไม่? ทำไมความได้เปรียบใหญ่เทียมฟ้าถึงถูกเจ้าเด็กนี่เหมารวบไปคนเดียวเลย?
ส่วนใต้โซ่วเฉินเหนืออิ่นกวานอะไรนั่น หมายความว่าอย่างไร?
ไม่ว่าจะอย่างไร คนหนุ่มแห่งแจกันสมบัติทวีปที่แซ่เฉินผู้นี้ก็เรียกได้ว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งของฟ้าดินแล้ว
ในที่พักขุนนางของที่ว่าการกรมคลังแห่งหนึ่ง กวนอี้หรานกำลังอ่านรายงานเรื่องการขนส่งทางคลองที่ฝ่ายท้องถิ่นรายงานขึ้นมาต่อกรมคลัง
ลูกหลานสกุลกวนที่อยู่ในเขตอวิ๋นไจ้จังหวัดอี้โจวผู้นี้ ทั้งไม่ได้เป็นขุนนางอยู่ในกรมขุนนางที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นถิ่นของครอบครัวตัวเอง อยู่ในกรมคลังแห่งนี้ ระดับขั้นขุนนางของเขาก็ไม่ถือว่าสูง ในบรรดาอดีตสามผู้ตรวจการงานลำน้ำใหญ่ก็เป็นกวนอี้หรานที่ชาติกำเนิดดีที่สุดที่กลับกลายเป็นว่าทุกวันนี้ตำแหน่งขุนนางต่ำที่สุด เป็นแค่ขุนนางหลักของหนึ่งกองในกรมคลังเท่านั้น ต้องรู้ว่ากวนอี้หรานไม่เพียงแต่มีแซ่สกุลของเสาค้ำยันแคว้น ยังเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพชายแดนต้าหลีที่แท้จริงอีกด้วย เขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในกองคนตายมานานหลายปี แล้วยังเคยติดตามกองทัพใหญ่ของซูเกาซานกรีฑาทัพลงใต้ไปตลอดทาง ผลงานทางการสู้รบมีไม่น้อย
กวนอี้หรานเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าประตูมีบุรุษชุดเขียวคนหนึ่งที่ยืนเอาสองมือสอดชายแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีเอ่ยสัพยอกว่า “แม่ทัพกวน เอาแต่เป็นขุนนาง ขี้เกียจฝึกตนเสียแล้ว นี่หากว่าอยู่บนสนามรบเล่า?”
กวนอี้หรานปิดรายงานลงทันใด จากนั้นหยิบตำราเล่มหนึ่งจากบนโต๊ะหนังสือมาปิดทับรายงานเอาไว้ หัวเราะร่าพลางลุกขึ้นยืน “โอ้โห นี่ไม่ใช่นักบัญชีเฉินของพวกเราหรอกหรือ แขกที่หาได้ยาก แขกที่หาได้ยาก”
กวนอี้หรานลากเก้าอี้ของตัวเองออกด้วยมือเดียว เดินอ้อมโต๊ะหนังสือมา ผลักเก้าอี้ว่างที่มีไว้รับรองแขกเพียงตัวเดียวในห้องออกมา ใช้ปลายเท้าเกี่ยว ให้เก้าอี้สองตัวหันหน้าเข้าหากัน ยิ้มเจิดจ้า “ช่วยไม่ได้ หมวกขุนนางเล็ก สถานที่ก็เล็กไปด้วย ได้แต่รับรองแขกอย่างอัตคัดแล้ว ไม่เหมือนห้องของเจ้ากรมและรองเจ้ากรมของพวกเราที่กว้างขวาง ผายลมยังไม่ต้องเปิดหน้าต่างให้ลมพัดกลิ่นออกไปด้วยซ้ำ”
เฉินผิงอันก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา ยิ้มถามว่า “มาหาเจ้าที่นี่จะรบกวนเวลาทำงานหรือไม่?”
กวนอี้หรานด่าขำๆ “มาก็มาแล้ว จะให้ข้าไล่เจ้าไปหรือไร?”
อีกอย่างก็ไม่มีอะไรไม่เหมาะสม ฮ่องเต้นิสัยเป็นอย่างไร ปีนั้นท่านปู่ทวดบอกให้เขารู้อย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่ต้องกังวลกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนนั่งลง หยิบแท่นฝนหมึกอันหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ โยนให้กับกวนอี้หราน “ของขวัญเล็กๆ ไม่อาจแสดงความเคารพได้มากพอ”
พลางอธิบายไปด้วยว่าผลิตผลพิเศษที่ได้มาจากหลุมเก่าของภูเขาเยี่ยนซานในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาของสกุลเจียงแห่งใบถงทวีปชิ้นนี้มีชื่อเรียกว่าหลุมสุ่ยเสียน
อะไรคือหลุมสุ่ยเสียน อันที่จริงเป็นชื่อที่เฉินผิงอันตั้งขึ้นมาส่งเดชชั่วคราว
ไม่เชื่อจริงๆ ว่าคนของแจกันสมบัติทวีปอย่างกวนอี้หรานจะรู้เรื่องของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาเหมือนรู้ลายมือตัวเอง
แต่ได้ยินมาว่าราชสำนักต้าหลีเมื่อหลายปีก่อนก็เป็นที่ว่าการกรมคลังแห่งหนึ่งที่ก่อตั้งหน่วยงานแท่นฝนหมึกขึ้นมา รับผิดชอบคอยตามหาภูเขาเพื่อขุดเจาะรวบรวมหินที่คุณภาพดีเยี่ยมโดยเฉพาะ นอกจากจะเพื่อสร้างแท่นฝนหมึกให้ในวังแล้ว แท่นฝนหมึกส่วนหนึ่งกรมคลังก็สามารถนำไปขายด้วยตัวเอง ถือเป็นการยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว ช่วยให้ที่ว่าการหาลำไพ่พิเศษอีกทางหนึ่ง
——