กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 837.3 เทพอัคคีขอไฟ
แต่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยมีภูเขาแท่นฝนหมึกที่เป็นผลผลิตส่วนตัวของตระกูลอยู่หลายลูก นั่นต่างหากจึงจะเป็นภูเขาเงินภูเขาทองที่แท้จริง สามารถนำไปขายตามบนและล่างภูเขาของทั้งทวีปได้
ต่งสุ่ยจิ่งก็ได้แบ่งน้ำแกงมาถ้วยหนึ่ง รับผิดชอบช่วยนำไปขายให้ที่อุตรกุรุทวีป แต่เขาจะไม่แตะต้องของอย่างพวกเกลือ เหล็ก ฯลฯ เด็ดขาด ต่งสุ่ยจิ่งแค่ทุ่มเทความคิดจิตใจให้กับเรื่องหยุมหยิมอย่างการกินการอยู่ของพวกขุนนางชนชั้นสูงและพวกชาวบ้านเท่านั้น
กรมคลังของต้าหลีคือกรมที่อเนจอนาถที่สุดในที่ว่าการหกแห่งของราชสำนัก ราวกับว่าต้องถูกด่าทุกวัน กรมกลาโหมด่าเสร็จก็กรมพิธีการด่า กรมพิธีการด่าเสร็จก็เป็นกรมโยธา…
ตามคำกล่าวของวงการขุนนางต้าหลี กรมกลาโหมคือที่ว่าการของท่านปู่ คว้าตัวใครมาได้ก็ด่าคนนั้น กรมพิธีการคือบิดา กรมโยธาคือลูกชาย มีเพียงกรมคลังที่ดูแลเงินทองเท่านั้นที่เป็นหลาน ไม่ว่าใครก็สามารถพ่นน้ำลายใส่ได้
กวนอี้หรานรับจานฝนหมึกอันนั้นมาอย่างไม่เกรงใจ ชั่งน้ำหนักในมือ ใช้นิ้วมือลูบไล้อยู่พักหนึ่ง เนื้อหินเนียนละเอียด จากนั้นเขาก็ยกขึ้น ใช้นิ้วทั้งห้าประคองแท่นฝนหมึกอันเล็กไว้ข้างหู ใช้นิ้วหนึ่งดีด มีเสียงใสกังวานเหมือนเสียงทองเสียงหยกเหมือนอย่างที่กล่าวในตำรา กวนอี้หรานเป่าลมใส่เบาๆ อีกที มองไอน้ำที่อยู่บนผิวของจานฝนหมึก มีภาพปรากฎการณ์เป่าลมเมฆก่อกำเนิด จุดสีทองสีม่วงแผ่รัศมีสีทองเป็นวงๆ จากนั้นใช้เล็บกรีดเบาๆ เพ่งตามอง กวนอี้หรานก็พยักหน้า ใช้ได้ เป็นของในหลุมหินเก่าจริงๆ มีมูลค่าแค่ไหน เอาเป็นว่าหากอาศัยเงินเดือนของตนก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องซื้อไม่ไหวแน่นอน
ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่หนังตากระตุก ลูกหลานชนชั้นสูงที่ชอบพิถีพิถันในเรื่องไม่เป็นเรื่องพวกนี้ช่างหลอกได้ยากจริงๆ
รับของขวัญด้วยท่าทางหยาบกระด้าง โอ้อวดกันให้เห็นเช่นนี้ จะดีจะชั่วก็น่าจะรอให้แขกกลับไปก่อนค่อยอวดฝีมือผู้เชี่ยวชาญอันน้อยนิดนั่นของตน
กวนอี้หรานวางจานฝนหมึกลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มถามว่า “สี่สมบัติในห้องหนังสือมีพู่กัน หมึก กระดาษ จานฝนหมึก จานฝนหมึกมีแล้ว แล้วอย่างไรต่อ? ไม่ได้ช่วยข้ารวบรวมมาให้ครบหรือไร?”
เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “น่าจะยังแวะเวียนไปเยี่ยมญาติตามบ้านต่างๆ อยู่กระมัง จะรีบร้อนไปไย”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ถามว่า “ที่นี่คงดื่มเหล้าไม่ได้ใช่ไหม?”
กวนอี้หรานพยักหน้า “ควบคุมเข้มงวด ห้ามดื่มเหล้า หากถูกจับได้โดนลงโทษด้วยการปรับเงินเดือนยังเป็นเรื่องเล็ก แต่หากถูกบันทึกลงเอกสารคดีกลับเป็นเรื่องใหญ่”
เฉินผิงอันจึงตบป้ายของกรมอาญาที่อยู่ตรงเอว บิดหมุนข้อมือ หยิบเหล้ากาหนึ่งออกมา “บังเอิญจริง บังคับข้าไม่ได้”
เสมียนผู้ช่วยคนหนึ่งพกเอกสารราชการเดินมาด้วยฝีเท้ารีบร้อน ประตูเปิดอ้า แต่เขาก็ยังเคาะประตูเบาๆ กวนอี้หรานเอ่ย “เข้ามา”
เสมียนผู้ช่วยของที่ว่าการมองบุรุษชุดเขียวแวบหนึ่ง กวนอี้หรานลุกขึ้นยืน เดินไปรับเอกสาร หันหลังให้เฉินผิงอัน พลิกเปิดดูแล้วเก็บใส่ชายแขนเสื้อ พยักหน้าเอ่ยว่า “ข้ายังต้องรับรองแขกอีกพักหนึ่ง เดี๋ยวจะไปหาเจ้าทีหลัง”
เสมียนพยักหน้าแล้วถอยหลังออกไป มาอย่างรีบร้อน จากไปอย่างรีบร้อน
หลังจากนั้นก็มีลูกน้องอีกสองคนมาประชุมงาน กวนอี้หรานล้วนบอกว่าไว้ค่อยประชุมทีหลัง
กวนอี้หรานกับเฉินผิงอันนั่งอยู่บนเก้าอี้คนละตัว ต่างก็ยกขานั่งไขว่ห้าง ท่าทางผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อ “ไม่มีเวลาว่างสักนิดเลยจริงๆ”
กวนอี้หรานเหลือบตามองกาเหล้าในมือเฉินผิงอันแล้วน้ำลายสอยิ่งนัก แมลงสุราในท้องใกล้จะก่อกบฏเต็มทีแล้ว คนชอบดื่มเหล้า หากไม่ดื่มก็ไม่คิดถึง แต่กลับเห็นคนอื่นดื่มเหล้าแล้วสองมือของตัวเองว่างเปล่าไม่ได้มากที่สุด จึงเอ่ยอย่างระอาใจว่า “ตอนที่เพิ่งออกจากกองทัพชายแดน เข้ามาทำงานในที่ว่าการแห่งนี้ ต้องหัวหมุนหาทิศทางไม่ถูก ยุ่งวุ่นวายหัวไม่วางหางไม่เว้นอยู่ทุกวัน”
เฉินผิงอันยิ้มชวนคุย “เสมียน เสมียน อันที่จริงก็ยังจับดาบอยู่ดีไม่ใช่หรือ (เสมียน ภาษาจีนคือเตาปี่ลี่ 刀笔吏 คำว่าเตาในคำนี้แปลว่าดาบ)
กวนอี้หรานส่ายหน้า “พอเป็นงานที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ทั้งสองอย่างนี้ยังห่างชั้นกันไกลนัก”
คุยเล่นกันได้พักหนึ่งก็มีสหายร่วมงานในที่ว่าการแวะมาหาอีก ดูจากชุดขุนนางแล้วน่าจะเป็นขุนนางระดับขั้นเดียวกับกวนอี้หราน คนผู้นี้ตะโกนโหวกเหวกมาตั้งแต่ตอนอยู่หน้าประตูแล้ว “รายงาน รายงานบนภูเขาจากสำนักซานไห่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง! นี่เป็นข่าวที่ข้าได้มาจากรองเจ้ากรมหม่าเชียวนะ อี้หราน รีบมาดูเร็วเข้า ข่าวแต่ละอย่างล้วนห้ามกะพริบตาเด็ดขาด”
ขุนนางหนุ่มเห็นบุรุษชุดเขียวที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ก็อึ้งตะลึงไป แต่ก็ไม่ถือสา คิดแค่ว่าเป็นลูกหลานตระกูลชั้นสูงบางคนที่มีชาติกำเนิดจากกองทัพชายแดน เป็นสหายของกวนอี้หราน ธรณีประตูไม่มีทางต่ำ ไม่ได้พูดถึงแค่ชาติกำเนิด แต่พูดถึงนิสัยใจคอด้วย ดังนั้นเมื่อขุนนางหนุ่มเห็นว่าคนผู้นั้นไม่เพียงแต่รีบยกขาที่นั่งไขว่ห้างลง ยังเป็นฝ่ายผงกศีรษะส่งยิ้มบางๆ ให้ตนด้วย ก็ไม่รู้สึกแปลกใจอีกต่อไป ยิ้มผงกศีรษะกลับคืนให้คนผู้นั้น
เห็นได้ชัดว่ากวนอี้หรานสนิทกับคนผู้นี้มาก จึงพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ไม่มีเก้าอี้ให้เจ้านั่งแล้ว”
คนผู้นั้นโยนรายงานข่าวให้กวนอี้หรานเบาๆ แล้วจึงนั่งลงบนธรณีประตูง่ายๆ “เจ้าไม่ได้บอกว่าในอดีตเจ้ามีสหายในยุทธภพหรอกหรือ เฉินผิงอันคนนี้ใช่เฉินผิงอันคนนั้นหรือเปล่า? น่าจะใช่แล้วล่ะ ร้ายกาจมาก อี้หรานเจ้าเคยดื่มเหล้ากับเขามาก่อน แล้วเขายังถูกเจ้ามอมเหล้าจนลงไปนอนอยู่ใต้โต๊ะครั้งแล้วครั้งเล่าด้วย? วันหน้าหากเซียนกระบี่เฉินผู้นี้มาเป็นแขกที่เมืองหลวง เจ้าช่วยจัดงานเลี้ยงสุราให้ที ให้ข้าได้แสดงความองอาจสักครั้ง ฝีมือต่อสู้สู้เขาไม่ได้ แต่จะยังดื่มเหล้าแพ้เขาอีกหรือ?”
เฉินผิงอันนั่งเงียบไม่ส่งเสียง หากจะพูดถึงแค่บนโต๊ะสุรา นอกจากหลิวจิ่งหลงแล้ว ข้าก็ไม่เคยกลัวใครจริงๆ
ถึงอย่างไรที่ว่าการของกรมคลังก็ไม่ใช่กรมพิธีการและกรมอาญาที่การข่าวว่องไว อีกทั้งหกกรมยังแบ่งงานกันอย่างชัดเจน บางทีนอกจากใต้เท้าเจ้ากรมของกรมคลังที่ถูกเรียกว่า ‘ขุนนางในท้องถิ่น’ แล้ว ขุนนางหลักของกองงานอื่นๆ ที่เหลือก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรู้เรื่องวงในของมรสุมที่เกิดขึ้นใกล้กับตรอกอี้ฉือก่อนหน้านี้
แต่ขุนนางระดับกลางของที่ว่าการหกกรมในเมืองหลวงแต่ละคนต่างก็ขึ้นชื่อว่า ‘ตำแหน่งต่ำต้อย’ อำนาจหนาหนักกันจริงๆ หากออกไปเป็นขุนนางประจำท้องถิ่นนอกเมือง แล้วยังถูกโยกย้ายกลับมาที่เมืองหลวงได้อีก เส้นทางอนาคตก็ราวกับปูไว้ด้วยผ้าแพรเลยทีเดียว
กวนอี้หรานกระแอมหนึ่งที เตือนเจ้าหมอนี่ว่าพูดให้น้อยๆ หน่อย
เฉินผิงอันคลี่ยิ้มบางๆ
ถึงอย่างไรเรื่องมาถึงขั้นนี้ กวนอี้หรานก็ไม่รู้สึกเป็นวัวสันหลังหวะอีกต่อไป ใบหน้าไร้ซึ่งความละอายใจ เอ่ยกับสหายร่วมงานว่า “ก็ไม่ถือว่าทุกครั้งหรอก บนโต๊ะเหล้าก็มีบ้างบางครั้งที่เสมอกับเขา หากครั้งหน้ามีโอกาส หากเขามาเมืองหลวงแล้วไม่รีบกลับ จะต้องนัดเจ้าไปดื่มเหล้ากับเขาแน่นอน”
ขุนนางหนุ่มพยักหน้า จากนั้นก็หันไปมองบุรุษชุดเขียว ถามว่า “อี้หราน ท่านผู้นี้คือ?”
เฉินผิงอันนั่งตัวตรงจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อยนานแล้ว เขายิ้มตอบด้วยตัวเองว่า “ข้าคือน้องชายที่ใต้เท้ากวนรับมาในยุทธภพ ไม่ใช่คนของเมืองหลวง นี่เพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงก็รีบมาหาเขาทันทีเลย”
กวนอี้หรานโบกมือ พูดบ่นว่า “น้องชายอะไรกัน คำพูดประโยคนี้ไม่น่าฟังเอาเสียเลย ล้วนเป็นพี่น้องที่ดีที่แค่เห็นหน้าก็เหมือนรู้จักกันมานาน ได้แต่เจ็บใจที่เจอกันช้าไป”
ขุนนางหนุ่มเช็ดหน้าตัวเอง “อี้หราน เจ้าดูสิ คนรักบนภูเขาของเจ้าหมอนี่คือหนิงเหยาแห่งนครบินทะยาน หนิงเหยาเชียวนะ! ข้าผู้อาวุโสอิจฉาจะตายอยู่แล้ว ใช้ได้ๆ ร้ายกาจๆ!”
จากนั้นก็มองไปยังแขกคนนั้น ยิ้มกล่าว “พี่น้อง เจ้าว่าไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ “อิจฉาๆ ต้องอิจฉาแน่อยู่แล้ว”
กวนอี้หรานโบกมือไล่คน “ก็แค่รายงานข่าวฉบับเดียวไม่ใช่หรือ มีอะไรให้ต้องตกอกตกใจกัน เจ้ารีบกลับไปทำงานเถอะ”
กวนอี้หรานใช้เสียงในใจเอ่ยแนะนำเฉินผิงอัน “ไอ้หมอนี่คือหนึ่งในขุนนางหลักกองชิงลี่ของบรรดาสิบกว่ากองในกรมคลัง อย่าเห็นว่าเขาอายุยังน้อย แท้จริงแล้วดูแลจังหวัดใหญ่ๆ ทางทิศเหนือซึ่งรวมถึงจังหวัดหงโจวด้วย อยู่ห่างจากจังหวัดหลงโจวบ้านเกิดเจ้าไม่ไกล ทุกวันนี้ยังควบตำแหน่งดูแลสมุดภาพอวี๋หลินทั้งหมดในฝ่ายเป่ยตั้งชั่วคราวด้วย อีกทั้งยังมีชาติกำเนิดจากหมู่ชาวบ้านเช่นเดียวกับเจ้า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ “มองออกแล้ว”
เป็นการ ‘มองออก’ ตามคำพูดอย่างแท้จริง เพราะด้านหลังขุนนางหนุ่มคนนี้มีโคมสีแดงดวงใหญ่ที่เกิดจากการปกป้องคุ้มครองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำฝ่ายต่างๆ ลอยอยู่หลายดวง บนร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายบุ๋น
กวนอี้หรานถาม “หากเจ้าไม่ยุ่ง วันหน้าข้าจะช่วยจัดงานเลี้ยงสุราให้พวกเจ้าสองคนที่ริมลำคลองชางผูจริงๆ เป็นอย่างไร จะไว้หน้าข้าหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ย่อมไม่มีปัญหา แต่งานเลี้ยงสุรานี้ต้องเป็นอีกครึ่งเดือนให้หลัง”
กวนอี้หรานเองก็ไม่ถามถึงสาเหตุ เพียงแค่กะพริบตาปริบๆ “ถึงเวลานั้นอยู่เบื้องหน้าบุปผาเบื้องใต้แสงจันทร์ พวกเราสามคนดื่มเหล้าด้วยกัน? นักบัญชีเฉิน เจ้ามีความกล้านี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างหนักแน่น “ดื่มสุราเคล้าบุปผาอะไรกัน ข้าไม่ชอบดื่มแบบนี้”
ขุนนางหนุ่มไม่รู้ว่าคนทั้งสองใช้เสียงในใจพูดคุยกัน เขามัวแต่ปลดหมวกขุนนางของตัวเอง ใช้ฝ่ามือดันมวยผมให้เข้าทรง เอ่ยอย่างเสียใจว่า “งานในมือทำเสร็จชั่วคราวแล้ว ข้าไม่ยุ่งเลย จะไม่ยอมให้ข้าได้พักหายใจหายคอบ้างเลยหรือ กิจธุระมากมายทำให้กายใจเหนื่อยล้า อี้หราน หากยังทำงานหามรุ่งหามค่ำเช่นนี้ วันหน้าหากข้าไปที่หน่วยแปลคัมภีร์ก็คงไม่ถูกมองเป็นคนนอกหรอก”
หลังจากนั้นก็มีเสมียนเอาเอกสารราชการมาส่งให้อย่างว่องไว ขุนนางหนุ่มที่กลิ่นอายบุ๋นเข้มข้นก็เอารายงานกลับมา ขอตัวลาจากไป เฉินผิงอันรู้ว่าทำงานอยู่ในกรมคลังของต้าหลีต้องยุ่งมากแน่นอน เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ากวนอี้หรานจะยุ่งถึงขั้นนี้ จึงทิ้งเหล้าหมักร้อยบุปผาไว้ให้กวนอี้หรานหนึ่งกา อย่างมากคราวหน้าก็แค่ไปขอจากเฟิงอี๋เพิ่มมาอีกสองสามกา กวนอี้หรานเองก็ไม่เกรงใจ เพียงแค่เดินไปส่งเฉินผิงอันถึงหน้าประตู
เฉินผิงอันเดินไปตลอดทางจนกลับไปถึงโรงเตี๊ยม ทางฝั่งของตรอกเล็ก เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงกวักมือ เรียก “อาจารย์เฉิน มีธุระกับท่าน”
เฉินผิงอันพยักหน้าเบาๆ สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เดินไปหาอย่างเอ้อระเหยลอยชาย เมื่อเขาก้าวเข้าไปในตรอกเล็กก็ยิ้มเอ่ยว่า “โอ้โห ร้ายกาจๆ ถึงกับเป็นค่ายกลฟ้าดินเล็กทับซ้อนกันสามชั้น อีกทั้งแม้แต่ยันต์กักกระบี่ก็ยังเอามาใช้ด้วยแล้ว พวกเจ้ามีเงินกันจริงๆ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หลุดหัวเราะพรืด เป็นเพราะว่าสิบเอ็ดคนนี้อยากกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา วันนี้ก็เลยตั้งใจวางแผนเล่นงานตน เหมือนกับที่ตอนนั้นตนเล่นงานอู๋ซวงเจี้ยงบนเรือราตรี?
ตอนนี้เฉินผิงอันอยู่ท่ามกลางซากปรักจวนเซียนของอาจารย์ค่ายกลหันโจ้วจิ่น คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่ผีสาวก่ายเยี่ยนเป็นผู้เปิดกิจการ รู้สึกว่าเพราะพลาดโอกาสในการชิงลงมือก่อนไป พวกเขาถึงได้พ่ายแพ้ ดังนั้นจึงไม่ยินยอมสักเท่าไร ตอนนี้เฉินผิงอันยืนอยู่บนคานหิน ใต้ฝ่าเท้าคือเมฆขาวกว้างใหญ่ไพศาลราวกับมหาสมุทร ด้านข้างมีน้ำตกสีขาวหิมะตกเทลงมา ปลายสุดด้านหนึ่งของคานหินมี ‘เซียนกระบี่’ ที่เมื่อแรกเคยยืนอยู่บนไหล่อวี๋อวี๋ยืนอยู่ ยังคงมีรูปลักษณ์เป็นเด็กหนุ่ม เพียงแต่ว่าตัวสูงกว่าเดิมเล็กน้อย บนศีรษะสวมกวานเต๋า พกกระบี่สวมชุดสีชาว บนชุดประดับด้วยไข่มุก
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “พวกเจ้าทั้งหลายโดนซ้อมแล้วไม่หลาบจำใช่ไหม”
เซียนกระบี่เด็กหนุ่มปาดกระบี่ฟันออกมานแนวขวาง ฟันให้ ‘เฉินผิงอัน’ ที่ไร้เรี่ยวแรงจะตอบโต้กลายเป็น…ยันต์แผ่นหนึ่ง
ราวกับว่าเฉินผิงอันไม่เคยได้เดินเข้ามาในตรอกเล็กเลย
ในพื้นที่ลับแห่งหนึ่งนอกตรอกเล็ก ภิกษุน้อยพนมสองมือ “พระพุทธเจ้าโปรดปกป้องคุ้มครอง ขอให้เซียนกระบี่เฉินไปหาคนอื่น แล้วข้าจะไปหากล่องรับบริจาคเอง”
จากนั้นด้านหลังก็มีคนยิ้มเอ่ย “ได้สิ ข้าจะไปหาคนอื่น”
บนหลังคาเรือนของจุดอื่น โก่วฉุนเกาหัว เพราะอาจารย์เฉินมานั่งอยู่ข้างกายเขา เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บอกกับหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่สักคำ วันหน้าเอายันต์กักกระบี่มามอบให้ข้าหลายๆ แผ่น บัญชีครั้งนี้ก็จะถือว่าหายกันแล้ว”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยสีหน้าเขินอาย ก่อนหน้านี้เขาก็บอกแล้วว่าไม่มีทางกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้แน่ แน่นอนว่าหากต้องตีกันจริงๆ เด็กหนุ่มไม่มีทางออมกำลัง ถึงอย่างไรก็สู้อาจารย์เฉินไม่ได้อยู่แล้ว
ในตรอกเล็ก คนสามคนที่มีหันโจ้วจิ่นเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็ถอนฟ้าดินหนาชั้นที่ตั้งใจจัดวางไว้ทิ้งไป ทุกคนต่างรู้สึกจนใจกันไม่น้อย
จากนั้นก็พลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่าบริเวณใกล้เคียงกับแผ่นยันต์ที่หล่นร่วงลงพื้นมีคนชุดเขียวปรากฏตัวขึ้น ส่วนอาจารย์เฉินที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มโก่วฉุนกลับกลายเป็นยันต์แผ่นหนึ่ง กลายร่างเป็นสายรุ้งเส้นหนึ่งที่ถูกคนผู้นั้นเก็บไปไว้ในชายแขนเสื้อ
“หากพวกเจ้าอยู่บนสนามรบแล้วเจอกับเฝ่ยหราน หรือเจอกับพวกตะพาบชั่วร้ายอย่างโซ่วเฉิน พวกเจ้าก็คงต้องเรียงแถวกันเอาหัวไปส่งให้พวกเขาแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อย่าให้มีคราวหน้าอีก”
——