กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 838.1 อีกคนหนึ่ง
สำนักศึกษาชุนซานก็เหมือนกับสำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋น ต่างก็เป็นสำนักศึกษาที่ทางการของราชสำนักต้าหลีจัดตั้งขึ้น
กลุ่มยอดเขาทอดยาวคดเคี้ยว ฝุ่นควันล้วนจางหาย สายน้ำไหลเชี่ยวกราก ร้อยพืชพรรณอุดมสมบูรณ์
อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสำนักศึกษาเพียงลำพัง สวมชุดลัทธิขงจื๊อ เรือนกายเล็กเตี้ย เอาสองมือไพล่หลัง เดินไปถึงนอกห้องเรียนที่มีอาจารย์ให้ความรู้ก็หยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ แล้วก็ไม่ได้ขยับเข้าใกล้หน้าต่างมากเกินไปนัก
ก่อนหน้านี้สถานที่แห่งนี้คือที่ตั้งเก่าของสำนักศึกษาซานหยาต้าหลี เพียงแต่สองคำว่า ‘ซานหยา’ เท่ากับว่าได้มอบให้สกุลเกาต้าสุยไปแล้ว ดังนั้นจึงเปลี่ยนชื่อใหม่กลายมาเป็นสำนักศึกษาชุนซาน
ยังคงเป็นสำนักศึกษาที่ทางการราชสำนักต้าหลีเป็นผู้ก่อตั้ง อันที่จริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ปีนั้นราชสำนักต้าหลีใช่ว่าจะไม่มีการโต้เถียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก่อน ขุนนางบางคนที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักศึกษาซานหยา และขุนนางของทั้งหกกรมล้วนมีความคิดเห็นตรงกัน ปล่อยไว้ไม่ใช้งาน แค่รักษาเอาไว้ให้ดีก็พอ ต่อให้จะเป็นขุนนางกรมคลังที่ชอบคิดคำนวณอย่างละเอียดมากที่สุด ทุกวันต้องคอยรับฟองน้ำลายก็ยังเห็นด้วยกับเรื่องนี้ อันที่จริงตอนนั้นขุนนางบุ๋นบู๊ของต้าหลีล้วนรู้สึกว่าสำนักศึกษาซานหยาหวนกลับมายังต้าหลีเป็นแค่เรื่องที่ต้องเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วเท่านั้น
สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนชื่อเพราะคำพูดประโยคเดียวของราชครู คนในราชสำนักจึงไม่เหลือความเห็นต่างใดๆ อีก
อาจารย์สอนหนังสือคนหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องสอนหนังสือ แค่รับผิดชอบตรวจตราดูสำนักศึกษา อายุไม่มาก เห็นอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นแล้วก็ยิ้มถามว่า “อาจารย์มาหาใครที่สำนักศึกษา หรือว่าแค่มาเที่ยวหาประสบการณ์อย่างเดียว?”
ต่อให้สำนักศึกษาจะเปิดกว้างแค่ไหนก็ยังมีกฎระเบียบบางอย่างอยู่
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดยิ้ม “ชีวิตคนเหมือนการเดินทาง ข้าเป็นเพียงแค่คนที่ผ่านทางมา คนที่ผ่านทางมาไม่จำเป็นต้องถามแซ่และนาม ในเสียงอ่านตำราก็คือบ้านเกิดของข้า”
อาจารย์อายุน้อยหลุดหัวเราะพรืด นี่กำลังสอนบทกวีให้ตนหรือ?
ซิ่วไฉเฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที ประหลาดนัก
ตามหลักแล้วศาลบุ๋นน้อยใหญ่ของแต่ละแคว้นในแจกันสมบัติทวีปทุกวันนี้ นับตั้งแต่เมืองหลวงไปจนถึงท้องถิ่นล้วนควรจะเอาภาพเหมือนของตนกลับมาแขวนใหม่ได้แล้วสิ คนหนุ่มตรงหน้าก็เป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ ไม่มีเหตุผลให้ไม่รู้จักตนนี่นา
ใช่แล้ว เกินครึ่งคงเป็นเพราะภาพเหมือนในศาลบุ๋นวาดรูปโฉมอันองอาจของตนออกมาไม่ได้แม้แต่ครึ่ง
วันหน้าจะต้องพูดกับเจ้าเฒ่าผีขี้เหล้าที่มียศจิตรกรเอกผู้นั้นให้ดีเสียแล้ว ต่อให้ฝีมือของเจ้าจะยอดเยี่ยมมากแล้ว แต่อันที่จริงก็ยังมีโอกาสที่จะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นนี่นา
อาจารย์หนุ่มของสำนักศึกษายิ้มเอ่ยเตือนว่า “อาจารย์ผู้เฒ่า แค่เดินดูอย่างเดียวก็ไม่เป็นไรหรอก ขอแค่อย่ารบกวนการสอนของพวกอาจารย์ก็พอ เวลาเดินก้าวให้เบาหน่อย แค่นี้ก็ไม่มีปัญหาแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจารย์ที่สอนหนังสือเกิดมีความเห็นขึ้นมา ข้าคงต้องไล่คนแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า เอ่ยชื่นชมว่า “คนหนุ่มนิสัยดีจริงๆ ความอดทนในการสอนหนังสือน่าจะไม่แย่ อะไรที่ดีก็พูดบอกไว้ก่อน อะไรที่ไม่ดีก็ต้องเตือนกันแต่เนิ่นๆ ทำอะไรล้วนมีระเบียบขั้นตอน เห็นเพียงเล็กน้อยก็อนุมานไปได้มากมาย ข้าว่าขนบธรรมเนียมของสำนักศึกษาชุนซานของพวกเจ้าคงไม่แย่ไปอย่างไรได้หรอก”
อาจารย์หนุ่มรู้สึกจนใจเป็นทบทวี อาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ค่อนข้างจะ…ชอบสอนผู้อื่น?
แต่ก็ยังดีที่พูดง่าย ไม่ทำให้คนรังเกียจ ก็แค่ว่าวางมาดใหญ่โตไปหน่อยเท่านั้น
อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้พูดภาษาทางการต้าหลีสำเนียงไม่แม่นยำนัก เกินครึ่งคงจะเป็นบัณฑิตจากแคว้นใต้อาณัติ อายุมากแล้วยังต้องเหนื่อยยากเดินทางมายังสำนักศึกษาที่เมืองหลวงแห่งนี้ก็ไม่ง่ายเลยจริงๆ ดังนั้นอาจารย์หนุ่มจึงเป็นฝ่ายแนะนำสถานที่งดงามทั้งหลายของสำนักศึกษาชุนซานให้อาจารย์ผู้เฒ่ารู้ ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มพลางผงกศีรษะขอบคุณ เดินเนิบช้าไปตรงหน้าต่าง รับฟังการถามตอบของอาจารย์และศิษย์ในห้องเงียบๆ
อาจารย์หนุ่มหันหน้าไปมอง รู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายอยู่บ้าง
อาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นเอาสองมือไพล่หลังยืนอยู่กลางระเบียง เงี่ยหูตั้งใจฟังการถ่ายทอดวิชาความรู้ของอาจารย์ในห้อง
คาดว่าคงสัมผัสได้ถึงสายตาของอาจารย์หนุ่ม อาจารย์ผู้เฒ่าจึงหันหน้ามายิ้มให้
อาจารย์หนุ่มหมุนกายจากไป ส่ายหน้า ยังคงนึกไม่ออกว่าเคยเห็นอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ที่ไหนมาก่อน
ซิ่วไฉเฒ่ารับฟังคำอธิบายของอาจารย์ที่อยู่ในห้องต่ออีกครั้ง อืม ดีมาก วันนี้สิ่งที่อาจารย์สอนหนังสือนำมาถ่ายทอดเป็นความรู้คือตำราอรรถาธิบายเล่มหนึ่งที่ลูกหลานสกุลหยางอำเภอหลิงเป่าคนหนึ่งมีต่อผลงานของตนในอดีต ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาคุยกันในห้องคือเนื้อหาของบทธรรมจริยา เพิ่งจะพูดถึงประโยคหนึ่งในตำราที่ว่า เพราะเหตุใดวิญญูชนจึงเห็นค่าอัญมณีแต่ดูแคลนหินงาม?
อรรถาธิบาย อภิธานศัพท์ คำอธิบายโดยย่อ บันทึกย่อ รวมไปถึงอรรถาธิบายฉบับปัจจุบัน…อันที่จริงปีนั้นในใต้หล้าไพศาลก็มีมากมายดุจขนวัวอยู่แล้ว คำว่าความรู้ที่มีชื่อเสียงก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
แน่นอนว่าภายหลังถูกศาลบุ๋นสั่งห้าม ทุกวันนี้ได้สถานะของเทวรูปกลับคืนมา ผลงานในการให้คำอรรถาธิบายประเภทต่างๆ ก็ย่อมต้องเป็นดั่งเปลวไฟที่ลุกโชนขึ้นมาจากกองขี้เถ้ามอด…ช่างเถิด คำกล่าวนี้ออกจะบิดเบือนอยู่บ้าง เอาเป็นว่ามันมีมากมายเหมือนหน่อไม้ผุดหลังฝนฤดูใบไม้ผลิ เหมือนปลาตะเพียนข้ามแม่น้ำก็แล้วกัน
ตอนนี้อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับลูกศิษย์ในห้องเรียนคล้ายจะพูดถึงจุดที่ตัวเองเข้าใจอย่างลึกซึ้งจึงเริ่มหลับตา นั่งตัวตรงอย่างสำรวม ท่องบทธรรมจริยาทั้งบทออกมาเสียงดัง
ซิ่วไฉเฒ่าฟุบตัวอยู่บนขอบหน้าต่าง กดเสียงต่ำยิ้มถามลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออายุน้อยคนหนึ่ง “บทธรรมจริยาที่อาจารย์ของพวกเจ้าสอน พวกเจ้าฟังเข้าใจไหม?”
อันที่จริงลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มผู้นี้สังเกตเห็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่มาแอบฟังการบรรยายอยู่นานแล้ว อีกทั้งลูกศิษย์ของสำนักศึกษาผู้นี้ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นคนใจกล้า ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์สอนหนังสือยังโคลงศีรษะอยู่ตรงนั้นยิ้มกว้างเอ่ยว่า “มีอะไรให้ฟังไม่เข้าใจเล่า อันที่จริงเนื้อหาของบทธรรมจริยามีหลักการที่ตื้นเขินอย่างมาก ถึงอย่างไรบทอรรถาธิบายของพวกลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่ความรู้กว้างขวางเขียนไว้ก็กล่าวได้ลึกล้ำกว่า ยาวไกลกว่า”
คนหนุ่มเห็นว่าใบหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่าเต็มไปด้วยความเห็นด้วย แล้วยังพยักหน้ารับคำของเขาเบาๆ
จากนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าก็ถามว่า “เจ้าคิดว่าปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของทฤษฎีในผลงานของเหวินเซิ่งอยู่ตรงไหน?”
ลูกศิษย์หนุ่มอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะอย่างฉุนๆ “อาจารย์ผู้เฒ่า คำถามประเภทนี้ถามได้ผิดครรลองคลองธรรมมากเลยนะ ท่านกล้าถาม แต่ข้าที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษากลับไม่กล้าตอบหรอก”
ในอดีตสำนักศึกษาชุนซานก็คือสำนักศึกษาซานหยาหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของไพศาล อาจารย์ฉีผู้เป็นอดีตเจ้าขุนเขาก็ยิ่งเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวินเซิ่ง ถ้าอย่างนั้นตนที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาชุนซาน พูดเรื่องนี้ก็ไม่เท่ากับเป็นขบถ คิดหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชนหรอกหรือ?
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “มีอะไรให้กล้าหรือไม่กล้ากัน ยังมีคนกล้าพูดว่าความเห็นของข้าพิสูจน์ได้ด้วยคัมภีร์หกเล่มแล้วด้วยซ้ำ เจ้าจะกลัวอะไร ข้าได้ยินมาว่าเจ้าขุนเขาของพวกเจ้าเสนอกับพวกเจ้าว่ารากฐานในการหยัดยืนคือห้ามกำเริบเสิบสาน ห้ามฉุนเฉียวโมโหร้าย ห้ามขาดความยุติธรรม อ่านตำราศึกษาเล่าเรียนต้องห้ามใจคอคับแคบ เขียนอักษรต้องห้ามคร่ำครึ ห้ามยึดความเห็นของตัวเองเป็นใหญ่ เอ่ยหลักการเหตุผลที่คนในอดีตไม่เคยเอ่ยถึงมาก่อน ข้าว่าแบบนี้น่ะประเสริฐมากเลย ทำไมพอมาถึงเจ้ากลับกลายเป็นว่าแค่ความคิดของตัวเองก็ไม่กล้ามีแล้ว? รู้สึกว่าความรู้ในใต้หล้าล้วนถูกเหล่าอริยะของศาลบุ๋นพูดกันไปหมดแล้วหรือ พวกเราก็แค่ต้องท่องหนังสือ แต่ห้ามมีความคิดเห็นเป็นของตัวเองอย่างนั้นหรือ?”
อู๋หลินจ้วนเจ้าขุนเขาคนปัจจุบัน นับแต่เด็กมาก็ตั้งใจศึกษาเหล่าเรียนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เจอตำราต้องเปิดอ่าน ตั้งใจศึกษาหาความรู้อย่างเข้มงวด เคยรับหน้าที่เป็นเซวี๋ยเจิ้งของหลายเขตในพื้นที่ของต้าหลีมาก่อน ชั่วชีวิตนี้คอยคบค้าสมาคมกับความรู้ของอริยะปราชญ์อยู่ตลอด แม้จะบอกว่าระดับขั้นของเซวี๋ยเจิ้งจะไม่ต่ำ แต่อันที่จริงกลับไม่ถือว่าเป็นคนในวงการขุนนางอย่างแท้จริง พอช่วงบั้นปลายลาออกจากการเป็นขุนนาง แล้วยังไปเป็นผู้สอนหลักในสำนักศึกษาที่ทางการก่อตั้งขึ้นอีกหลายแห่ง ว่ากันว่าระหว่างที่มีการสั่งห้ามเผยแพร่ความรู้ของเหวินเซิ่ง เขาได้รวบรวมตำราจำนวนมากมาอย่างยากลำบาก อีกทั้งยังจัดพิมพ์ตรวจสอบด้วยตัวเอง และในอดีตการเปลี่ยนแปลงระบบเคอจวี่ของราชวงศ์ต้าหลีก็เป็นคนผู้นี้ที่เสนอให้ทางราชสำนักทำเรื่องสามเรื่องอย่างการต้องเพิ่มการเรียนเรื่องเศรษฐศาสตร์ การเตรียมกำลังรบและศาสตร์การคำนวณ
ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มลังเลเล็กน้อย เอาล่ะ คนตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่สอบไม่ติดเคอจวี่ การศึกษาเล่าเรียนก็ธรรมดาสามัญ ไม่อาจทำตามปณิธานให้เป็นจริงได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นไหนเลยจะต้องพูดจา ‘วางโต’ เช่นนี้ แต่คำพูดของเขาก็ตรงกับหลุมในใจของลูกศิษย์หนุ่มคนนี้พอดี เขาจึงปลุกความกล้าเอ่ยเสียงเบาว่า “ข้ารู้สึกว่าความรู้ของเหวินเซิ่งสูงส่งอย่างมาก เพียงแต่ว่าพูดถึงเรื่องมารยาทกฎเกณฑ์มากกว่าความเมตตาปราณี ไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร”
อาจารย์ผู้เฒ่าถามต่ออีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าควรจะทำอย่างไร? เคยคิดวิธีชดเชยแก้ไขหรือไม่?”
สีหน้าของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อหนุ่มเผยความเขินอาย “เวลาไม่มีอะไรทำก็มักจะแอบคิดเหลวไหลไปเรื่อยเปื่อย แน่นอนว่าต้องเป็นแค่ความคิดหยาบๆ และเอนเอียง เพียงแต่ว่าอาจารย์สองท่านของสำนักศึกษาพวกเราที่อธิบายเรื่องผลงานของเหวินเซิ่ง นั่นไง อาจารย์ท่านนี้ก็คือคนหนึ่งในนั้น เขามักจะเดินอยู่ในสำนักศึกษาแล้วท่องผลงานของเหวินเซิ่งกลับไปกลับมาอยู่เพียงลำพัง เผลอๆ เก็บอารมณ์ไม่อยู่ขึ้นมาก็จะหลั่งน้ำตา เขาเลื่อมใสท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งที่สุดแล้ว ข้าก็ไม่กล้าเอาบทความที่พูดจาเหลวไหลส่งเดชนั่นออกมาพูดหรอก”
อาจารย์สอนหนังสือที่เพิ่งท่องบทธรรมจริยาจบ เห็นลูกศิษย์ที่ ‘ใจลอยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว’ กำลังหันหน้าเข้าหาหน้าต่าง พึมพำกับข้างนอก อาจารย์พลันตบไม้บรรทัด ตวาดเรียกเบาๆ ว่า “โจวเจียกู่!”
ลูกศิษย์หนุ่มปากอ้าตาค้าง ไม่เพียงแต่ถูกอาจารย์จับได้คาหนังคาเขา ประเด็นสำคัญคืออาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่นอกหน้าต่างยังไร้คุณธรรมยิ่งนัก อยู่ๆ กลับหายตัวไปไม่เหลือเงา
โจวเจียกู่ลุกขึ้นยืนอย่างกล้าๆ กลัวๆ
จากนั้นโจวเจียกู่ก็สังเกตเห็นว่าด้านนอกหน้าต่างมีอาจารย์ผู้เฒ่าของสำนักศึกษาพากันเดินขบวนมาอย่างเอิกเกริกโดยมีเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาเป็นผู้นำ
ตามมาด้วยอาจารย์ผู้เฒ่าที่เมื่อครู่แค่หดหัวงอเข่าก็ย่อตัวหลบอยู่ในมุมกำแพงข้างนอกได้แล้วที่ลุกขึ้นยืนอย่างขุ่นเคือง
หนังหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่าคนนี้ไม่บางเลยจริงๆ เขาหัวเราะร่าอธิบายกับโจวเจียกู่ว่า “ยืนนานแล้วข้าก็เลยเมื่อยนิดหน่อยน่ะ”
โจวเจียกู่สังเกตเห็นว่าอาจารย์ผู้สอนหน้าแดงก่ำก็เข้าใจผิดนึกว่าอาจารย์คิดว่าถูกรบกวนการสอน คนหนุ่มจึงรีบแข็งใจอธิบายทันทีว่า “อาจารย์ฟ่าน ท่านผู้นี้คือท่านลุงใหญ่ญาติห่างๆ ของข้าเอง วันนี้มาเยี่ยมข้าที่สำนักศึกษา ท่านลุงไม่ค่อยรู้กฎระเบียบของทางสำนักศึกษา ล้วนต้องโทษข้า”
ซิ่วไฉเฒ่าลูบหนวดพยักหน้ายิ้มรับ
ประเสริฐยิ่ง
เป็นบัณฑิตอายุปูนนี้แล้วก็พูดจาประหลาดที่จะทำให้คนอื่นตกอกตกใจน้อยๆ ลงหน่อย อย่าได้กลัวว่าคนหนุ่มจะจำตนไม่ได้เด็ดขาด
และยิ่งไม่ต้องเอะอะก็เอาคนรุ่นเยาว์มาเป็นข้ออ้าง อะไรที่บอกว่าจิตใจคนเสื่อมโทรมไม่เหมือนในวันวาน พักเถอะ อันที่จริงก็แค่ว่าตัวเองเปลี่ยนจากตะพาบน้อยมาเป็นตะพาบเฒ่าก็เท่านั้น
ต่อให้จะเป็นคนแก่ที่ผิดหวังแค่ไหน แต่ก็ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่มีต่อคนรุ่นเยาว์เสมอ
วิถีทางโลกในอนาคตจะต้องเปลี่ยนมาเป็นดีขึ้น ยิ่งนานก็ยิ่งดีขึ้น
จากนั้นโจวเจียกู่ก็สังเกตเห็นความซาบซึ้งตื้นตันของอาจารย์ฟ่าน เขาถึงกับวิ่งโซซัดโซเซออกจากห้องเรียนไป
สุดท้ายไปยืนอยู่ใต้ชายคา อาจารย์ฟ่านมีสีหน้าเคร่งขรึม จัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ประสานมือโค้งตัวคารวะอาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้น
นอกจากนี้อาจารย์ทุกคนของสำนักศึกษาชุนซานซึ่งรวมถึงตัวเจ้าขุนเขาเองต่างก็ก้มตัวคารวะไม่ยอมยืดตัวขึ้นมาเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
ราวกับว่าขอแค่เหวินเซิ่งไม่เอ่ยปาก พวกเขาก็จะคารวะอยู่เช่นนี้ตลอดไป
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อย่ายืนทื่อกันแบบนี้อยู่เลย ไม่ได้กินหัวหมูเย็นๆ มานานหลายปี ไม่ชินเอาเสียเลย”
อาจารย์ทุกคนของสำนักศึกษายืดตัวขึ้นช้าๆ
อู๋หลินจ้วนเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาชุนซานก้าวเร็วๆ มาเบื้องหน้า ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์เหวินเซิ่ง ไปดื่มชากันที่อื่นดีไหมขอรับ?”
ซิ่วไฉเฒ่าส่ายหน้า เดินไปหยุดอยู่ข้างกายอาจารย์ฟ่าน ยิ้มกล่าวว่า “อาจารย์ฟ่าน ไม่สู้พวกเราสองคนมาปรึกษากัน ครึ่งคาบหลังให้ข้าอธิบายบทธรรมจริยาให้พวกนักเรียนฟังดีไหม?”
อาจารย์ฟ่านคารวะอีกครั้ง ริมฝีปากสั่นระริกไม่เอ่ยอะไร
ซิ่วไฉเฒ่าเดินเข้าไปในห้องเรียน ลูกศิษย์ของสำนักศึกษาหลายสิบคนที่อยู่ในห้องต่างก็ลุกขึ้นยืนคารวะกันแล้ว
โดยเฉพาะโจวเจียกู่ที่เมื่อครู่เพิ่งจะพูดคุยกับท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งอยู่นานเป็นครึ่งๆ วัน เวลานี้เขาได้แต่ยืนอึ้งเท่านั้น
ซิ่วไฉเฒ่ายกมือขึ้น “ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ เรื่องเรียนสำคัญกว่า ทุกคนนั่งลงเถอะ”
อาจารย์ของสำนักศึกษาทุกคนรวมไปถึงอาจารย์ฟ่านเพียงแค่ยืนรับฟังคำสอนของอริยะปราชญ์อยู่ที่ริมหน้าต่างนอกห้องเรียน ไม่มีใครไปแย่งที่นั่งในห้องกับนักเรียนสักคนเดียว
ซิ่วไฉเฒ่ายิ้มกล่าว “ก่อนที่จะพูดถึงบทธรรมจริยา ข้าขออธิบายเรื่องหนึ่งให้โจวเจียกู่ฟังก่อน เหตุใดถึงได้มีถ้อยคำตามมารยาทกฎระเบียบมากมาย แต่มีคุณธรรมเมตตาธรรมน้อย แต่ก่อนหน้านั้นข้าอยากจะลองฟังความคิดของโจวเจียกู่ดูเสียก่อนว่าจะเขามีวิธีแก้ไขอย่างไร”
——