กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 838.3 อีกคนหนึ่ง
เฉินผิงอันสะบัดชายแขนเสื้อ ปีนั้นอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ ได้หล่อหลอมตัวอักษรในบันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้นไปแล้ว ตัวอักษรที่หลอมค่อนข้างเยอะ ชายแขนเสื้อชุดเขียวจึงมีตัวอักษรพุ่งออกมายี่สิบสี่ตัว จากนั้นก็ประกอบรวมกันเป็นสิบเอ็ดชื่อของผู้ฝึกตนแผนภูมิดินกลุ่มนั้นพอดี
ซ่งซวี่ หันโจ้วจิ่น เก๋อหลิ่ง อวี๋อวี๋ ลู่ฮุย โฮ่วแจว๋ หยวนฮว่าจิ้ง สุยหลิน ก่ายเยี่ยน โก่วฉุน ขู่โส่ว
ผู้ฝึกกระบี่สองคน อาจารย์ค่ายกล ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ นักพรตเต๋า ภิกษุ ผู้ฝึกตนสำนักการทหาร ผู้ฝึกตนสำนักหยินหยาง ผู้ฝึกตนผี
ท่าไม้ตายของเด็กหนุ่มโก่วฉุนผู้นั้น ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้
พลทหารม้าหนุ่มมีชื่อว่าขู่โส่ว นอกจากระหว่างที่วิญญาณวีรบุรุษเดินทางยามค่ำคืนแล้วคนผู้นี้ลงมือหนึ่งครั้ง จากนั้นการเข่นฆ่าสองครั้งของเมืองหลวง เขาล้วนไม่ได้ลงมือ
เฉินผิงอันมองตัวอักษรเหล่านี้พลางแบ่งสมาธิปล่อยจิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ในฟ้าดินเล็ก ตรวจสอบวิญญาณและช่องโพรงลมปราณใหญ่ทั้งหลายอย่างละเอียด ไม่มีความผิดปกติใดๆ ชุดคลุมอาคมบนร่างก็ไม่มีร่องรอยเล็กละเอียดที่ผ่านการเล่นตุกติกมาก่อน
ก่อนหน้านี้เดินทางผ่านอารามเต๋าขนาดเล็ก กลอนคู่ที่แขวนไว้บนที่ว่าการของเต้าลู่เมืองหลวงคือ ‘ต้นสนและต้นป่ายจวนสีทองหล่อเลี้ยงพื้นที่มงคล คิดถึงหลิงซวีสถานที่ฝึกตนบรรพกาล’
ที่ศาลเทพอัคคีแห่งนั้น เฟิงอี๋ใช้เหล้าร้อยบุปผามารับรองแขก เพราะเฉินผิงอันมองความเป็นมาของผนึกดินกระดาษแดงออก จึงสอบถามเรื่องของการส่งของบรรณาการ เฟิงอี๋จึงถือโอกาสพูดถึงกองกำลังสองแห่ง จวนผีนครเฟิงตู ภูเขาฟางจู้ ชิงจวิน ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในเขตการปกครองและทะเบียนราษฎร์ของเซียนดินทั้งหมด การยกเลิกใบมรณะ การขึ้นทะเบียนเกิด
โดยเฉพาะอย่างหลังที่เนื่องจากเฉินผิงอันพูดถึงภูเขาจิ่วตูของธวัลทวีป ฟังจากน้ำเสียงของเฟิงอี๋แล้ว เกินครึ่งภูเขาฟางจู้น่าจะกลายเป็นหมอกควันที่ลอยผ่านตาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นบรรพจารย์เปิดขุนเขาของภูเขาจิ่วตูก็ไม่มีทางได้รับภูเขาที่ปริแตกส่วนนั้นแล้วได้สืบทอดท่วงทำนองแห่งเต๋าและเส้นสายแห่งเซียนส่วนนั้นไป
ซากปรักจวนเซียนที่ถูกอาจารย์ค่ายกลหันโจ้วจิ่นหล่อหลอม รวมไปถึงข้ารับใช้เซียนกระบี่ของอวี๋อวี๋ เห็นได้ชัดว่าล้วนมีประวัติศาสตร์ยาวไกล มีกลิ่นอายของความโบราณ หรือว่าจะเป็นการบอกอย่างเป็นนัยอีกอย่างหนึ่งของเฟิงอี๋? บางทีเหล้าหมักร้อยบุปผาหลายกานั้น แท้จริงแล้วกลับเป็นแค่ตัวล่อในการเปิดเผยความลับสวรรค์อย่างหนึ่งเท่านั้น?
วิชาอภินิหารบนภูเขามีมากมายให้ใช้ไม่หมดสิ้น พูดถึงแค่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตทั้งหลายของผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้าก็มีวิชาอภินิหารที่น่าเหลือเชื่อกี่มากน้อยแล้ว? มีมากจนนับไม่ไหว
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้สารถีเฒ่าผู้นั้นเจ้าอารมณ์มากเลย กำเริบโอหังมาก ประโยคแรกที่พบหน้ากันก็บอกข้าว่ามีลมให้รีบผาย”
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากจะฝึกปรือฝีมือกับเขาอย่างมาก
หนิงเหยาพยักหน้า จากนั้นก็อ่านหนังสือต่อ เอ่ยประโยคหนึ่งตอบมาง่ายๆ ว่า “นิสัยแย่ๆ ไม่ควรปล่อยไว้ ทำไมเจ้าไม่ฟันเขาให้ตายไปเลยเล่า?”
เฉินผิงอันอึ้งค้างพูดไม่ออก ได้แต่ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “หากต้องตีกันขึ้นมาจริงๆ ข้าอาศัยเย่โหยวแค่เล่มเดียวคงยังฟันเขาไม่ตายกระมัง?”
หนิงเหยาเอ่ยประโยคที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุว่า “กวนอี้หรานเข้าใจเจ้าเป็นอย่างดี มิน่าเล่าถึงเป็นเพื่อนกันได้”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยน กวนอี้หรานช่วยข้าไว้มาก ไม่มีมาดของลูกหลานชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย”
สิ่งที่คิดในใจกลับกลายเป็นว่า แต่ข้าผู้อาวุโสกลับมอบให้ทั้งจานฝนหมึกทั้งสุรา เจ้ากวนอี้หรานกลับตอบแทนสหายเช่นนี้ เป็นการก่อกรรมทำชั่วหรือไม่? งานเลี้ยงสุราที่ลำคลองชางผูหลังจากนั้นคงต้องรอไปก่อนแล้ว
อันที่จริงหนิงเหยาไม่ค่อยชอบพูดถึงทะเลสาบซูเจี่ยนเท่าไร เพราะนั่นคือด่านในใจที่เฉินผิงอันข้ามผ่านไปได้ยากที่สุด
นางตัดใจพูดอะไรมากมายไม่ได้ ต่อให้เป็นฝ่ายพูดถึงก่อนก็แค่พูดถึงสตรีอย่างหม่าตู่อี๋เท่านั้น อันที่จริงเรื่องในอดีตบางอย่างไม่ได้ผ่านไปแล้วอย่างแท้จริง เรื่องที่ผ่านไปแล้วอย่างแท้จริงมีสองประเภท หนึ่งคือจดจำไม่ได้แล้ว นอกจากนี้ก็คือเรื่องในอดีตที่สามารถพูดถึงอย่างผ่อนคลายได้
สองมือของเฉินผิงอันวางพาดอยู่บนโต๊ะ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าก็รู้ว่าข้าเติบโตมาด้วยข้าวของพวกเพื่อนบ้าน นอกจากรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ เห็นในความดีของพวกเขาแล้ว ตัวเองยังต้องคอยไปสังเกตสีหน้าและคำพูดของคนอื่น ไม่อย่างนั้นก็ง่ายที่จะทำให้พวกคนที่หวังดีถูกญาติทำให้ลำบากใจยามที่ต้องใช้ชีวิตของพวกเขาเอง”
หนิงเหยาวางหนังสือลง ถามเสียงอ่อนโยน “ยกตัวอย่างเช่น?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ยกตัวอย่างเช่นที่ตรอกหม่าเหว่ยมีหญิงชราอยู่คนหนึ่งที่มักจะชอบมอบของให้ข้า แล้วยังต้องแอบมอบให้ลับหลังคนที่บ้าน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เดินผ่านหน้าประตูบ้านของนาง นางก็เรียกตัวข้าไว้คุยกัน ลูกสะใภ้ของหญิงชรามาเจอพอดีก็เริ่มพูดจาไม่น่าฟังบางอย่าง ทั้งพูดให้หญิงชราฟัง แล้วก็พูดให้ข้าฟังด้วย บอกว่าเหตุใดถึงได้มีเรื่องประหลาดเช่นนี้ ของในบ้านก็ไม่ได้ถูกคนขโมยไปเสียหน่อย หรือว่ามันกลายเป็นภูติ มีเท้างอกออกมาจึงวิ่งไปที่บ้านของคนอื่นแล้ว”
หนิงเหยาถาม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าทำอย่างไร?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้า “ไม่อาจทำอะไรได้”
เงียบไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็หยิบถ้วยน้ำขึ้นมา “ก็แค่พอคิดถึงว่าตอนนั้นท่านยายคนนั้นใช้มือซ้ายกำชายแขนเสื้อของมือขวาเอาไว้แน่น ยืนอยู่หน้าประตู หันหลังให้คนในบ้านนางแล้วยังเป็นเด็กรุ่นหลังของนางด้วย ทว่ากลับต้องเค้นรอยยิ้มให้กับคนนอกอย่างข้า ราวกับกลัวว่าข้าจะรู้สึกไม่ดี อันที่จริงหลังจากแยกกับท่านยายแล้ว ระหว่างที่เดินไปบนถนน ในใจข้ารู้สึกแย่อย่างมาก ที่แย่ยิ่งกว่าคือข้าไม่รู้ว่าวันนั้นท่านยายจะอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวเช่นไร”
ดังนั้นภายหลังตอนที่อยู่บนเกาะชิงเสียของทะเลสาบซูเจี่ยน ต้องดื่มเหล้าร่วมโต๊ะกลับหลิวจื้อเม่าที่เดิมทีควรฆ่ากันและกัน จะนับเป็นเรื่องอะไรได้หรือ? ไม่นับเป็นอะไรได้เลย
หนิงเหยาฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ถามว่า “ตอนที่เจ้ายังเด็ก เวลาที่บ้านใกล้เรือนเคียงมีงานทั้งงานมงคลและอวมงคลก็ล้วนเป็นฝ่ายไปช่วยเหลือใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะเป็นไปได้อย่างไร คำพูดบางอย่างไม่น่าฟังเลยจริงๆ ข้าไม่อยากสนใจพวกเขาหรอก”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะ “แน่นอนว่าความสามารถในการทะเลาะกับคนอื่นของข้าในเวลานั้นยังไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไรจริงๆ อยากเถียงก็เถียงสู้ไม่ได้ แต่ก็มีวิธีทำให้ตัวเองไม่ต้องรู้สึกอัดอั้น เวลาต้องไปแย่งน้ำกลางดึกต้องคุ้ยเอาคันกั้นน้ำเล็กๆ ที่ขวางไม่ให้น้ำไหลเข้าสู่ที่นาออก รู้จักใช่ไหม?”
เห็นเฉินผิงอันที่ทำไม้ทำมือประกอบ หนิงเหยาก็ส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นกับตามาก่อน แต่ก็พอจะจินตนาการได้”
ดวงตาเฉินผิงอันฉายประกายวิบวับ มีสีหน้าลำพองใจเหมือนเด็กอย่างที่หาได้ยาก “ข้าในเวลานั้นสามารถหาที่หลบแถวๆ คันนา ไม่ไปไหนตลอดทั้งคืน ทว่าคนอื่นกลับไม่มีความอดทนเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครมาแย่งน้ำแข่งกับข้าได้”
ในความทรงจำของหนิงเหยา เฉินผิงอันเคยมีสีหน้า แววตา ท่าทางมาหลากหลายรูปแบบ มีเพียงความลำพองใจ ความภาคภูมิใจในตัวเองที่เป็นอยู่ตอนนี้ที่เห็นได้น้อยครั้งนัก
เด็กน้อยคนหนึ่งที่ตากแดดทั้งวันจนกลายเป็นถ่านดำน้อย ถึงอย่างไรก็ไม่ต้องกลัวที่จะต้องเดินทางยามค่ำคืนอยู่แล้ว ยิ่งไม่กลัวผีไม่ผีอะไรทั้งนั้น มักจะนอนอยู่บนคันนาเพียงลำพัง ยกขาไขว่ห้าง คาบต้นหญ้า บางครั้งก็โบกมือไล่ยุง มองแสงจันทร์หรือไม่ก็แสงดาวที่พร่างพราวอย่างถึงที่สุดอยู่อย่างนั้น
เด็กที่โดดเดี่ยวเดียวดายคนหนึ่งนอนมองฟ้าอยู่บนพื้น
เวลานี้เอาคางวางไว้บนแขน บุรุษยิ้มตาหยี
หนิงเหยาหยิบหนังสือขึ้นมาใหม่
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าก็จะอ่านหนังสือเหมือนกัน”
ดวงจิตเมล็ดงาลาดตระเวนอยู่ในฟ้าดินเล็กเรือนกายมนุษย์ สุดท้ายมาที่ริมทะเลสาบ เฉินผิงอันพลิกเปิดอ่านเอกสารลับของคฤหาสน์หลบร้อนอย่างว่องไว ไม่มีรายการของภูเขาฟางจู้ เฉินผิงอันยังคงไม่ถอดใจ ปล่อยให้ดวงจิตขยับเคลื่อนต่อไป บันทึกไม่ตาย บันทึกถือกำเนิด…มีผลเก็บเกี่ยวเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง แต่ก็ยังไม่อาจรวบรวมเส้นสายที่สมเหตุสมผลขึ้นมาได้
เฉินผิงอันที่อยู่ริมทะเลสาบหัวใจสิ้นเปลืองพลังจิตและปราณวิญญาณไปเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างหอหนังสือแห่งหนึ่งเอามาไว้เก็บรวบรวมตำราทั้งหมดอย่างยากลำบาก มีการแบ่งหมวดหมู่ เพื่อให้สะดวกในการเลือกอ่าน เลือกตรวจสอบความทรงจำของบันทึกที่เก็บซ่อนไว้ ประหนึ่งการตกปลาครั้งหนึ่ง คันเบ็ดคือหอหนังสือที่ว่างเปล่า จิตใจคือเส้นเอ็นตกปลา เอาอักษร ถ้อยคำ ประโยคที่สำคัญบางอย่างมาเป็นเหยื่อล่อ โยนคันเบ็ดไปที่หอหนังสือ สิ่งที่ตกขึ้นมาได้ก็คือ ‘ปลาที่ว่ายอยู่ในบ่อ’ จากตำราบางเล่มหรือตำราหลายเล่ม
ไม่มีใครถ่ายทอดวิชานี้ให้กับเฉินผิงอัน เป็นเฉินผิงอันที่เรียนรู้มาจากมหาสมุทรความรู้โจวมี่และลูกศิษย์อย่างเผยเฉียน เอามาผสมผสานรวมกัน ถึงได้มีวิชาอภินิหารนี้และภาพเหตุการณ์เช่นนี้
หลังจากที่ออกมาจากเรือราตรี เฉินผิงอันก็ยุ่งอยู่กับการทำเรื่องหนึ่ง เขาได้รวบรวมและหล่อหลอมกระแสน้ำไหลแห่งกาลเวลาหนึ่งหยด เมล็ดพันธ์วิถีกระบี่หนึ่งเมล็ด และไม้บรรทัดไม้ไผ่เล่มหนึ่งขึ้นมาบนทะเลสาบหัวใจอย่างระมัดระวัง ของแต่ละชิ้นลอยอยู่กลางอากาศ แบ่งออกเป็นถูกเฉินผิงอันนำมาใช้วัดเวลา น้ำหนักและความยาว และนี่ก็เป็นสิ่งที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากหลี่เซิ่ง เขาสร้างระบบการวัดขึ้นมาในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อให้ตกไปอยู่ในฟ้าดินเล็กของคนอื่นก็ไม่ถึงขั้นมึนงงหาทิศทางไม่ถูก
น่าเสียดายที่การผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกครึ่งแห่งทำให้เฉินผิงอันสูญเสียจิตหยินและจิตหยางไปอย่างสิ้นเชิง ไม่อย่างนั้นเรื่องของการฝึกตนนี้ เฉินผิงอันมีแต่จะทำได้เร็วยิ่งกว่าเดิม
เวลานี้เฉินผิงอันยืนอยู่ริมน้ำ เหนือศีรษะคือภาพบรรยากาศของจิตธรรมที่ดวงตะวันจันทราลอยขึ้นลง กระแสธารสีเงินไหลริน คนบนฝั่งก้มหน้าลงมองคนในน้ำ
เฉินผิงอันดึงสายตากลับมา เพิ่งจะหมุนตัวก็ต้องหันหน้ากลับไปมองเงาสะท้อนกลับของตัวเองในน้ำของทะเลสาบหัวใจทันที เขาขมวดคิ้ว นึกถึงผู้ฝึกตนหนุ่มที่คล้ายจะไม่มอบความรู้สึกถึงการดำรงอยู่ใดๆ อย่างขู่โส่วขึ้นมา
ขู่โส่ว? (จุดอ่อน/ไม่ถนัด/ไม่เก่ง)
นี่ก็คือคำศัพท์ทางหมากล้อมอย่างหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่นเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนก็คือจุดอ่อนของป๋ายโส่วแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุย แน่นอนว่ากวอจู๋จิ่วก็คล้ายจะเป็นจุดอ่อนของเผยเฉียน เป็นดั่งคำกล่าวตามแบบฉบับที่ว่าของสิ่งหนึ่งมักจะข่มอีกสิ่งหนึ่งได้เสมอ
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงก็คล้ายจะเป็นจุดอ่อนของหม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา
ส่วนเฉาสือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคือจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นทางการฝึกวรยุทธของเฉินผิงอัน ส่วนผู้ฝึกกระบี่หลิวไฉก็คือบุคคลที่เป็นจุดอ่อนบนวิถีแห่งกระบี่
เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะหันตัวเดินไปยังริมน้ำ นั่งขัดสมาธิ เริ่มหลับตาบำรุงจิต สองมือทำมุทรา เพียงแต่ว่าเขาต้องลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว
เจ้าโล้นน้อยที่ขี่มังกรเพลิงลาดตระเวนมาถึงที่แห่งนี้ มันนั่งสูงอยู่บนหัวมังกรเพลิง เอ่ยว่า “ความทุกข์ทรมานที่ได้รับในชาตินี้ ล้วนเป็นผลกรรมที่ทำมาแต่ปางก่อน”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “เหตุผลนั้นข้าเข้าใจ”
เจ้าโล้นน้อยถามว่า “จำมหาปณิธานที่สองได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ พระไภษัชยคุรุ (หรือภาษาจีนกลางคือเหย้าซือฝอ พระพุทธเจ้าทางด้านการแพทย์ของนิกายมหายาน) มีมหาปณิธานอันยิ่งใหญ่อยู่สิบสองข้อ มหาปณิธานข้อที่สองนั้นก็คือหวังให้รัศมีธรรมส่องทะลุความมมืด ให้ความกระจ่างแก่ปรารถนาของเวไนยสัตว์
เมื่อกาลที่เรามาอุบัติยังโลกและได้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว กายจงประดุจรัตนไวฑูรย์ วิมลใสตลอดทั้งภายในและภายนอก บริสุทธิ์ปราศมลทินแปดเปื้อน มีประภาสรัศมีแผ่ไพศาล กุศลบารมีไพบูลย์ยิ่งใหญ่ มีกายเป็นสุขในเปลวอัคคีที่โชติช่วงอลังการ รุ่งเรืองไปกว่าดวงสุริยันและจันทรา สรรพสัตว์ในนิรยภูมิที่ได้สัมผัสรัศมีทั้งสิ้นจักได้ไปอุบัติยังสถานที่ต่างๆ ตามปรารถนา เพื่อกระทำกิจทั้งปวง
ห้องมืดพันปี เพียงตะเกียงหนึ่งดวงก็สว่างไสว
เจ้าโล้นน้อยยกสองแขนกอดอก เอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “ ‘ขอพระโพธิสัตว์แล้วได้ผล’ ประโยคนี้เป็นเจ้าที่พูดเองกับปากตอนเป็นเด็ก แต่พอเจ้าเติบใหญ่ เจ้าคิดอย่างไร? มาย้อนนึกดู ทุกครั้งที่เจ้าเดินขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพร ลงจากภูเขามาต้มยาตอนเด็กๆ ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่เล่า? แบบนี้ถือว่าเมื่อมีจิตศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์ก็บังเกิดหรือไม่?”
เฉินผิงอันอืมรับเบาๆ หนึ่งที
เจ้าโล้นน้อยขี่มังกรเพลิงจากไป ปากก็ก่นด่าไปด้วยตลอดทาง เฉินผิงอันล้วนรับไว้ทั้งหมด เงียบไปนาน ตอนที่ลุกขึ้นยืน เขาที่มองเงาตัวเองในน้ำก็พึมพำกับตัวเองไปด้วยว่า “จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ตัวเอง?”
จากนั้นเฉินผิงอันที่หน้าเขียวคล้ำก็เอ่ยว่า “เจ้าพวกตะพาบกลุ่มนี้ไม่ต้องการชีวิตกันแล้วหรือไร?!”
ดวงจิตเมล็ดงาถอยออกมาจากฟ้าดินเล็กอย่างรวดเร็ว เฉินผิงอันถึงขั้นไม่ทันได้เอ่ยอะไรกับหนิงเหยาก็ก้าวหนึ่งก้าวหดย่อพื้นที่ตรงดิ่งไปยังโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนแห่งนั้น ปล่อยหมัดต่อยตราผนึกขุนเขาสายน้ำให้แตกออก
ทางฝั่งของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋น กระบี่ยาวเย่โหยวแหวกผ่าอากาศลากเป็นแสงกระบี่ที่เจิดจ้าพร่างพราวเส้นหนึ่งอยู่เหนือเมืองหลวง ก่อนจะถูกเฉินผิงอันกำไว้ในมือ
เรือนกายเฉินผิงอันพลิ้วลงบนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง มือขวาถือกระบี่ มือซ้ายห้าอสนีมารวมกลุ่ม ถึงขั้นที่เรียกนกในกรงและจันทร์ในบ่อออกมาในเวลาเดียวกัน
หากไม่ทันระวัง เจ้าคนพวกนี้ก็จะจับผลัดจับผลูหลงเข้ามาทักทาย ‘เฉินผิงอัน’ อีกคนหนึ่ง
ผู้บริสุทธิ์ดุจเทพ
——