กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 839.1 ต่างเป็นจุดอ่อนของกันและกัน
ก่อนหน้านี้คนทั้งสิบเอ็ดคนของแผนภูมิดินกลับมาถึงโรงเตี๊ยม ผู้นำของภูเขาลูกเล็กสองลูกอย่างหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่กลับไม่มีใครเรียกคนของฝ่ายตัวเองมาทบทวนกระดาน
เด็กหนุ่มโก่วฉุนก็ยินดีที่ได้อยู่ว่างๆ ถึงอย่างไรทุกครั้งที่อนุมานสถานการณ์การสู้รบ แจกแจงรายละเอียดและทบทวนกระดานหลังจบเรื่อง สมองของเขาก็ไม่มีมากพอให้ใช้ ไม่อาจแสดงความคิดเห็น แค่ทำตามคำสั่งไปก็พอ
โรงเตี๊ยมตระกูลเซียนในเมืองหลวงที่ไม่มีชื่อเรียกแห่งนี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสถานประกอบพิธีกรรมในเปลือกหอยอย่างพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาสกุลเจียง ขุนเขาสายน้ำมีตราผนึกอันเป็นสิ่งกีดขวางอยู่หลายชั้น บางทีเรือนสองหลังที่อยู่ใกล้กันในระยะประชิดก็อาจห่างไกลกันเป็นร้อยเป็นพันจั้ง คนทั้งสิบเอ็ดต่างก็ได้ครอบครองเรือนที่พักที่ค่อนข้างเงียบสงบคนละหลัง ทั้งยังมีความมหัศจรรย์อย่างอื่นเพิ่มมา ห้องหลักล้วนมีความคล้ายคลึงกับสถานประกอบพิธีกรรมหยกขาวของผู้ฝึกตนเฒ่าหลิวเจียในตรอกเล็ก มองดูเหมือนไม่ใหญ่ แต่กลับเป็นฟ้าดินอีกแห่งหนึ่งอย่างสมชื่อ คือพื้นที่ลับถ้ำสวรรค์ที่ปริแตกประเภทต่างๆ ซึ่งเลือกออกมาจากคลังสมบัติของต้าหลี
โก่วฉุนจึงเอาไม้เท้าเดินป่าที่ทำจากไผ่เขียวชิ้นนั้นมาจิ้มพื้นเบาๆ แล้วเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน
ผีหญิงก่ายเยี่ยนคือเถ้าแก่เนี้ยะของโรงเตี๊ยมในนาม เวลานี้นางแวะไปที่เรือนพักของหันโจ้วจิ่น
สุยหลินผู้ฝึกลมปราณสำนักห้าธาตุที่สามารถทำให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงหนึ่งไหลย้อนกลับได้กำลังหลอมเศษชิ้นส่วนร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นนั้น ในคลังสมบัติลับที่สองกรมอย่างอาญาและพิธีการร่วมมือกันสร้างขึ้นมา ก็ยังไม่มีเศษชิ้นส่วนร่างทองระดับสูงถึงเพียงนี้ แล้วก็เพราะว่าหล่อหลอมได้ไม่ง่ายเลยจริงๆ หากเป็นผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่ต่อให้ตั้งใจทำเรื่องนี้ คาดว่าคงต้องใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนเต็มๆ จึงจะสำเร็จ เพียงแต่ว่า ‘งานยากลำบาก’ ประเภทนี้ สุยหลินกลับไม่รังเกียจหากจะมีเยอะๆ
โฮ่วแจว๋เณรน้อยจากหน่วยแปลคัมภีร์ของเมืองหลวงไปที่กล่องรับบริจาคของวัดที่อยู่ใกล้เคียงแล้วแอบบริจาคเงินจริงๆ
หยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดที่มีฉายาว่า ‘เย่หลาง’ เวลานี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรองนั่งใบหนึ่ง ในห้องไม่มีเครื่องประดับตกแต่งใดๆ เหมือนคำว่าบ้านมีแต่ผนังสี่ด้าน
ด้านหลังหยวนฮว่าจิ้งมีชายหญิงลักษณะคล้ายองค์รักษ์นั่งคุกเข่าเรียงแถวอยู่ จำนวนทั้งสิ้นสิบคน แต่ละคนแผ่กลิ่นอายของความตายอึมครึม ขาดกลิ่นอายความเป็นมนุษย์และปราณวิญญาณไปหลายส่วน
พอกลับมาถึงโรงเตี๊ยม หยวนฮว่าจิ้งก็เรียกแค่ซ่งซวี่มา รวมไปถึงขู่โส่วที่เป็นลูกน้องของตัวเอง นอกจากนี้ก็ไม่มีผู้ฝึกตนคนอื่นอีก
ขู่โส่วมาถึงที่นี่แล้วก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะเล็กน้อย
บอกตามตรง เขาเคารพเซียนกระบี่ชุดเขียวคนนั้นอย่างมาก
ซ่งซวี่มาถึงที่นี่ช้ากว่าขู่โส่วเล็กน้อย เขาถอดรองเท้าอยู่นอกระเบียง จากนั้นก็เลือกตำแหน่งที่ใกล้กับหน้าประตูนั่งลงไป เหลือบตามองหุ่นเชิดสิบตนที่อยู่ด้านหลังหยวนฮว่าจิ้ง
ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่บริสุทธิ์เต็มตัวที่คุณสมบัติดีเยี่ยมอย่างซ่งซวี่ก็ยังรู้สึกอิจฉาในโชควาสนาบนมหามรรคาที่ไม่ค่อยมีเหตุผลของหยวนฮว่าจิ้งอยู่บ้างเล็กน้อย
ในอดีตตอนอยู่บนสนามรบลำน้ำใหญ่ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจของกระโจมทัพขอบเขตหยกดิบสองคนที่ถูกหยวนฮว่าจิ้งใช้กระบี่บินตัดหัว เวลานี้คนทั้งสองก็มานั่งอยู่ด้านหลังหยวนฮว่าจิ้ง
นอกจากนี้ยังมีเผ่าปีศาจที่ตอนมีชีวิตอยู่คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาอีกคนหนึ่ง เขาเองก็อยู่บนสนามรบของเมืองหลวงแห่งที่สองของต้าหลีในปีนั้นแล้วถูกอีกสิบคนที่เหลือของแผนภูมิดินร่วมมือกับหยวนฮว่าจิ้ง สุดท้ายถูกหยวนฮว่าจิ้งเด็ดศีรษะนี้มาได้
นี่ก็คือวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บิน ‘เย่หลาง’ ของหยวนฮว่าจิ้งเล่มนั้น คนที่ถูกกระบี่บินสังหาร ก็จะต้องกลายมาเป็นหุ่นเชิดของหยวนฮว่าจิ้ง แม้แต่จิตวิญญาณก็ถูกพันธนาการเอาไว้ด้วย
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่กลายมาเป็นหุ่นเชิดจะได้รับความเสียหายด้านพลังการสู้รบค่อนข้างเยอะ สติปัญญาก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับตอนที่มีชีวิตอยู่ได้ ยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจขอบเขตหยกดิบสองคนนั้น ขอบเขตได้ถดถอยมาที่ก่อกำเนิด และก่อกำเนิดคนอื่นๆ ที่เหลือก็ล้วนถดถอยมาเป็นโอสถทอง นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกลมปราณหุ่นเชิดอีกหลายคนที่ทุกวันนี้เป็นขอบเขตประตูมังกรหรือแม้กระทั่งขอบเขตชมมหาสมุทร หยวนฮว่าจิ้งชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียแล้ว เนื่องจากแต่ละคนล้วนมีวิชาอภินิหารที่หาได้ยาก จึงเลือกที่จะเก็บพวกเขาเอาไว้ ไม่ได้เอาหุ่นเชิดเซียนดินที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่ามาทดแทนพวกมัน ไม่อย่างนั้นหลังจากที่สงครามซึ่งแผ่นดินของครึ่งทวีปจมลงไปครานั้นปิดฉากลง หยวนฮว่าจิ้งก็สามารถได้ครอบครองผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลสองคนกับองค์รักษ์ที่มีขอบเขตเซียนดินอีกแปดคน
การจับคู่เข่นฆ่าบนภูเขา ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนหนึ่งจะไม่หวาดกลัวผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบเลยแม้แต่น้อยก็ได้ แต่ก่อกำเนิดอย่างหยวนฮว่าจิ้งนี้ ทุกวันนี้กลับสามารถสังหารหยกดิบนอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ได้อย่างมั่นคงแล้ว
หยวนฮว่าจิ้งก็คล้ายผู้ฝึกกระบี่ที่เกิดมาเพื่อสงคราม หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาศัยวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บิน ‘เย่หลาง’ จะต้องสาดประกายเจิดจ้าอย่างแน่นอน
ระดับขั้นของกระบี่บินเล่มนี้ต้องสามารถถูกสายคฤหาสน์หลบร้อนประเมินให้อยู่ในระดับหนึ่งขั้นสูงได้เลย
บนเส้นทางการฝึกตน ระหว่างการเข่นฆ่าบนสมรภูมิรบแต่ละครั้ง ผู้ที่ปกป้องมรรคาให้เขา ไม่แน่ว่าคงต้องเป็นเซียนกระบี่ใหญ่อย่างพวกเยว่ชิง หมี่ฮู่
เวลานี้ซ่งซวี่มองหยวนฮว่าจิ้งที่ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นสักอย่างก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดมาจากไหน สีหน้าพลันไม่สบอารมณ์ อดไม่ไหวเอ่ยเรียกชื่ออีกฝ่ายโดยตรงว่า “หยวนฮว่าจิ้ง นี่ไม่ถูกกฎเกณฑ์ ราชครูเคยตั้งกฎเหล็กข้อหนึ่งให้กับพวกเรา มีเพียงเจอกับศัตรูใหญ่ตัดสินเป็นตายที่ไม่ตายไม่ยอมเลิกรากับราชวงศ์ต้าหลีพวกเราเท่านั้น พวกเราถึงจะสามารถให้ขู่โส่วร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบทนี้ได้! นอกจากนี้แล้ว ต่อให้เป็นจักรพรรดิของหนึ่งแคว้น ขอแค่เขาตัดสินใจจากความเห็นแก่ตัว ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะใช้ให้แผนภูมิดินอย่างพวกเราสังหารคนผู้นั้น”
นี่คือท่าไม้ตายที่แท้จริงของสายผู้ฝึกตนแผนภูมิดินของต้าหลีพวกเรา คู่ต่อสู้ที่คาดการณ์ไว้มีน้อยจนนับนิ้วได้ เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะ ฉีเจินเทียนจวินแห่งสำนักโองการเทพ เจ้าสำนักเจินจิ้งคนปัจจุบัน หลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน และยังมีเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น จิ้งชิงซานจวินแห่งขุนเขากลาง
อันที่จริงยังมีอีกประโยคหนึ่งที่ซ่งซวี่ไม่ได้เอ่ยออกมา
หลังจากที่ขู่โส่วเรียกวิชาอภินิหารบทนี้ออกมาแล้วจะต้องบั่นทอนอายุขัยไปเยอะมาก ก่อนหน้านี้เคยมีการประมาณการณ์เอาไว้ว่าในชีวิตนี้ขู่โส่วสามารถร่ายเวทนี้ได้แค่สามครั้งเท่านั้น ต่ำกว่าขอบเขตหยกดิบลงไป มีโอกาสแค่ครั้งเดียว ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้เขาขู่โส่วก็ไม่อาจเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้
หยวนฮว่าจิ้งพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ราชครูที่ตั้งกฎให้พวกเรา ไม่อยู่แล้ว”
ซ่งซวี่กำสองมือเป็นหมัดวางยันไว้บนหัวเข่า สายตาเยียบเย็น ตวาดเสียงหนัก “หยวนฮว่าจิ้ง!”
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันผู้นี้ก็คือศัตรูที่เป็นภัยแฝงของต้าหลีพวกเรา อีกทั้งภัยคุกคามจากเขาย่อมมีมากกว่าคนที่รักอิสระเสรีอย่างเว่ยจิ้น หรือพวกฉีเจิน หลิวเหล่าเฉิงมากนัก”
ซ่งซวี่กำลังจะโต้เถียง หยวนฮว่าจิ้งกลับทำเพียงมองกิ่งทองใบหยกสกุลซ่งต้าหลีที่มีชาติกำเนิดจากเชื้อพระวงศ์ตรงหน้าแล้วเอ่ยต่อไปว่า “องค์ชายรอง ข้ายอมรับว่าเฉินผิงอันเป็นคนที่เคารพกฎ มีกฎเกณฑ์จนแทบจะไม่เหมือนคนบนภูเขาแล้ว แต่ซ่งซวี่ เจ้าอย่าลืมล่ะว่าบางครั้งคนดีทำเรื่องดีก็ละเมิดกฎหมายของต้าหลีเช่นกัน หากพวกเราไม่มีกุญแจสำคัญที่สยบกำราบเฉินผิงอันและภูเขาลั่วพั่วได้ เขาก็คือภัยแฝงที่ใหญ่เทียมฟ้า พวกเราไม่อาจรอให้วันนั้นมาถึงก่อนแล้วค่อยล้อมคอกเมื่อวัวหาย ราวกับว่าปล่อยให้เขาคนเดียวมาเป็นผู้กำหนดกฎเกณฑ์ของราชวงศ์ต้าหลี เขาอยากฆ่าใครก็ฆ่าได้ สืบสาวราวเรื่องกันแล้วยังคงเป็นพวกเจ้าสิบคนที่ฝึกตนช้าเกินไป เฉินผิงอันกลับฝ่าทะลุขอบเขตได้เร็วเกินไป”
ผีสาวก่ายเยี่ยนคือจิตรกรนักวาดขนคิ้วบนภูเขาคนหนึ่ง ทุกวันนี้นางเพิ่งจะเป็นขอบเขตโอสถทองก็ทำให้ภาพเหตุการณ์ที่ปรากฎในสายตาของเฉินผิงอันเกิดความคลาดเคลื่อนได้แล้ว รอให้นางเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนก็คงถึงขั้นสามารถทำให้คนรู้สึกว่า ‘สิ่งที่ตาเห็นคือความจริง’ ได้เลย
นอกจากนี้ก่ายเยี่ยนยังมีสถานะที่ซ่อนแฝงอีกอย่างหนึ่ง นางคือศพสาวงามที่เชี่ยวชาญเวทหล่อหลอม สามารถสร้างกระโจมเสน่หาขึ้นมาได้
ลู่ฮุยที่มีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกลมปราณลัทธิขงจื๊อ รากฐานมหามรรคาที่แท้จริงกลับเป็น ‘อาจารย์คำเดียว’ ของใต้หล้ามืดสลัวที่ถูกป๋ายอวี้จิงรังเกียจ
สุยหลินจากสำนักห้าธาตุสามารถย้อนทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาที่อยู่ในฟ้าดินเล็กได้ ร่วมมือกับวิชาอภินิหาร ‘เข้าฌาน’ แห่งลัทธิพุทธของเณรน้อยโฮ่วแจว๋ บวกกับค่ายกลของพวกหันโจ้วจิ่น สามารถร่วมมือกันได้อย่างแนบเนียนไร้ช่องโหว่ ทำให้สายแผนภูมิดินได้ยึดครองฟ้าอำนวยดินอวยพรและคนสามัคคีมาทั้งหมด หากไม่เป็นเพราะมาเจอเข้ากับอิ่นกวานหนุ่มที่ท่องแม่น้ำแห่งกาลเวลามาจนเคยชิน ทั้งจิตวิญญาณและร่างกายล้วนสามารถเป็นดั่งเสาหินกลางกระแสน้ำ ราวกับว่าสามารถทำให้กระแสน้ำแห่งกาลเวลาที่เล็กบางเส้นนั้นไหลผ่านไปสองฝั่งได้ ก่อนหน้านี้ก็ยิ่งใช้กระบี่บินสะบั้นแม่น้ำแห่งกาลเวลาช่วงนั้นทิ้งไปโดยตรง ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบทั่วไปก็คงต้องพ่ายแพ้ไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัวแล้ว
ขู่โส่วก็ยิ่งเป็นคนขายกระจก ‘ตัวสำรองสิบโจร’ ในตำนานคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเช่นนี้ จำนวนที่มีอยู่ในใต้หล้าไพศาลก็ยังมีอยู่น้อยมาก
วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็นรากฐานที่สุดชิ้นหนึ่งของขู่โส่วคือคันฉ่องหยุดวารีบานหนึ่ง วิชาอภินิหารเลิศล้ำ ลี้ลับมหัศจรรย์ อธิบายด้วยประโยคเดียวเท่านั้น ‘ไม่ใช่สิ่งนี้ก็คือสิ่งนั้น ภาพมายาคือของจริง’
ซ่งซวี่จ้องหน้าหยวนฮว่าจิ้ง “เจ้าไม่มีใจเห็นแก่ตัวสักนิดเลยจริงๆ รึ?!”
หยวนฮว่าจิ้งส่ายหน้า “ไม่กล้ามี”
หากไม่ระวัง ข้ามผ่านเส้นบรรทัดฐานต่ำสุดเส้นนั้นไป ย่อมต้องถูกไอ้หมอนั่นหมายหัวแน่
ภูเขาตะวันเที่ยงก็คือบทเรียนชั้นดี
เกี่ยวกับเรื่องที่ภูเขาลั่วพั่วไปร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง รวมไปถึงเรื่องที่เฉินผิงอันจับมือกับหลิวเสี้ยนหยางไปถามกระบี่ คนทั้งสิบเอ็ดคนของแผนภูมิดินต่างก็มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง สำหรับวิธีการของอิ่นกวานผู้นั้น ความเลื่อมใสและนับถือของแต่ละคนกลับค่อนข้างจะแตกต่างกันออกไป
ความคิดเห็นของหยวนฮว่าจิ้งไม่เหมือนกับทุกคน จุดที่เขากริ่งเกรงมากที่สุดไม่ใช่เวทกระบี่หรือวิชาหมัดของเฉินผิงอัน ไม่ใช่สถานะที่มีมากมาย ถึงขั้นไม่ใช่รายละเอียดขั้นตอนที่เฉินผิงอันรื้อถอนภูเขาตะวันเที่ยง เวทกระบี่วิชาหมัด คำพูดจากใจจริง ประสานในแตกแยกนอก การแบ่งแยก การโจมตีและทำลายในแต่ละจุด…แต่เป็นความอดทนข่มกลั้นที่เหนือกว่าคนปกติของเฉินผิงอัน
ก็เหมือนกับความอาฆาตแค้นครั้งหนึ่งที่กลายเป็นเงื่อนตายไปแล้ว คนบางคนที่ในใจมีความเคียดแค้นไม่พอใจ บางทีอาจมีโอกาสชนะห้าส่วน แต่กลับอดทนไว้ไม่ลงมือ สิ่งที่ต้องการคือความสะใจ
บางคนมีโอกาสชนะแปดส่วนกลับจะต้องลองดูให้ได้ คนที่มากกว่านั้นหากมีโอกาสชนะสิบส่วนก็ยังไม่ลงมือ ถ้าอย่างนั้นก็คือคนโง่
แต่เฉินผิงอันกลับไม่เหมือนกัน ราวกับว่าต่อให้มีโอกาสชนะสิบสองส่วน เขาก็ยังคงไม่รีบไม่ร้อน วางแผนอย่างมั่นคง แต่ละขั้นตอนร้อยเรียงต่อกัน ทุกหนทุกแห่งล้วนไร้ข้อผิดพลาด
ดังนั้นการลงมือครั้งนี้ นอกจากซ่งซวี่และขู่โส่วแล้ว หยวนฮว่าจิ้งจึงไม่ได้บอกใครล่วงหน้า ปิดบังเป็นความลับ พวกอวี๋อวี๋ สุยหลินต่างก็ถูกปิดหูปิดตา เพราะหยวนฮว่าจิ้งกลัวว่าจะถูกอิ่นกวานที่กลอุบายลึกลับพบเห็นเบาะแส ทุกสิ่งที่ทำมาก็จะสูญเปล่า
ซ่งซวี่ถามคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ “เฉินผิงอันผู้นี้…จะจัดการอย่างไร?”
หยวนฮว่าจิ้งมองขู่โส่วแล้วยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่านำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ช่วยพวกเราฝึกปรือฝีมือ ขัดเกลาตบะซ้ำไปซ้ำมา จนกว่าพวกเราจะสามารถเอาชนะเฉินผิงอันได้อย่างมั่นคงจึงจะหยุด”
สิ่งที่เฉินผิงอันเรียนรู้มามีหลากหลาย เรียกได้ว่าเป็นหินลับมีดที่ดีเยี่ยมที่สุด เวทกระบี่ วิชาหมัด ยันต์ บนร่างยังมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตมากมาย บวกกับความคิด กลอุบายของคนผู้นี้…
หากคนทั้งสิบเอ็ดสามารถเอาชนะเฉินผิงอันได้ ก็หมายความว่าพวกเขามีคุณสมบัติจะฆ่าเซียนเหรินคนหนึ่งแล้ว
แม้ว่าทั้งสิบเอ็ดคนล้วนเป็นผู้ฝึกลมปราณ แต่นอกจากซ่งจ่างจิ้งจะสอนหมัดพวกเขาอยู่สองสามครั้งแล้ว ยังมีผู้ฝึกยุทธอีกคนหนึ่งที่ถ่ายทอดวรยุทธให้กับพวกเขาโดยเฉพาะ ขอบเขตไม่สูง เป็นแค่ขอบเขตเดินทางไกล แต่มีชาติกำเนิดจากกองทัพชายแดนต้าหลี ดังนั้นวิชาหมัดเท้าที่เขาสอนจึงตรงไปตรงมา เด็ดเดี่ยวอำมหิตมากกว่า
หยวนฮว่าจิ้งเหมือนจะนึกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจขึ้นมาได้จึงพูดกึ่งๆ หยอกล้อว่า “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งที่สามารถผลัดกันต่อสู้กับเฉาสือได้ ปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธคนหนึ่งที่สามารถแบกรับหมัดเท้านับไม่ถ้วนของหยวนเจินเย่แห่งภูเขาตะวันเที่ยง นับแต่วันนี้เป็นต้นไปก็จะสามารถช่วยป้อนหมัด ช่วยขัดเกลาหล่อหลอมเรือนกายให้พวกเราได้ทุกที่ทุกเวลาแล้ว โอกาสเช่นนี้หาได้ยากจริงๆ ต่อให้พวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ข้อดีก็ยังมีอยู่ไม่น้อย หากผู้ฝึกยุทธหญิงโจวไห่จิ้งผู้นั้นได้กลายมาเป็นสหายร่วมทางกับพวกเราในท้ายที่สุด เรื่องน่ายินดีไม่คาดฝันที่ใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ นางต้องยินดียิ้มรับไว้แน่นอน”
ซ่งซวี่ถามอีก “แล้วยังไงต่อ?!”
——