กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 839.3 ต่างเป็นจุดอ่อนของกันและกัน
เขายิ้มถาม “อาจารย์ของพวกเรายามเจอภิกษุก็ชอบพนมสองมือ ยามอยู่ในอารามเต๋าก็ก้มหัวคารวะตามขนบลัทธิเต๋า เจ้าว่าการกระทำนี้ของอาจารย์จะมีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของอาจารย์ฉีตอนเป็นเด็กหนุ่มหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มี”
เขาถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าไม่พูดเรื่องนี้กับเผยเฉียนให้ชัดเจน ปีนั้นนางได้รับปราณกระบี่มาจากสายของเซียนกระบี่หญิงโจวเฉิง ถ้าอย่างนั้นโจวเฉิงที่อยู่บนสนามรบในภายหลังก็จะจากไปโดยที่ไม่ต้องเหลือความเสียดายใดๆ อีก นี่ต้องเป็นเรื่องดีถึงจะถูก เหตุใดถึงไม่พูดเล่า? ไม่แน่ว่าเผยเฉียนอาจเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดได้เร็วยิ่งกว่าเดิม อีกทั้งมีแต่จะยิ่งมั่นคงมากกว่าเดิม”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เพิ่งจะค้นพบว่ายามที่ตัวเองพูดคุยกับคนอื่น ที่แท้ก็ทำให้คนรำคาญมากจริงๆ”
เขาเก็บทวนยาวที่อยู่ในมือมา ลู่ฮุยที่ถูกแทงงัดอยู่กลางอากาศร่างกระแทกลงพื้น ลมหายใจรวยริน นอนจมอยู่ในกองเลือด
ซ่งซวี่มองโฮ่วแจว๋ที่คล้ายจะเป็นคนเดียวที่ยังปลอดภัยดี ในใจพลันเกิดความสิ้นหวัง
หากเฉินผิงอันอีกคนเลือกที่จะสังหารเณรน้อยของหน่วยแปลคัมภีร์คนนี้ก่อน นั่นหมายความว่ายังเหลือพื้นที่ให้ถอยหลังกลับ
เพราะหลังจบเรื่องเมื่อสุยหลินทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาในช่วงสั้นๆ ไม่มีวิชาอภินิหารลัทธิพุทธของโฮ่วแจว๋ให้การปกป้อง ทุกคนจะต้องเสียความทรงจำไปหมด
แต่ดูจากสภาพการณ์ของทุกคนในเวลานี้ นั่นหมายความว่าทั้งสิบเอ็ดคนหากไม่ต้องตายกันไปทั้งหมด อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นเณรน้อยคนนั้นที่ต้องตาย
อวี๋อวี๋มองสหายรักและเพื่อนร่วมงานที่แต่ละคนมีสภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตา เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “หยวนฮว่าจิ้ง ซ่งซวี่ นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?!”
เฉินผิงอันที่สวมชุดสีขาวหิมะคนนั้นจุ๊ปากพูด “ช่างเป็นเรื่องทุกข์ตรมที่ทำให้รวดร้าวปานจะขาดใจเหลือเกิน ยิ่งคนอื่นมีความรู้สึกร่วมด้วยมากเท่าไร ก็ยิ่งมีชีวิตที่ไม่ผ่อนคลายมากเท่านั้น”
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อข้ามาทันแล้ว แล้วเจ้าจะยังหนีไปไหนได้”
เขาถอยไปสองสามก้าว สองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ หันไปมองเฉินผิงอัน เงียบไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยเยาะเย้ยว่า “น่าสงสาร”
เฉินผิงอันเงียบไม่พูดไม่จา
เขาใช้เสียงในใจพูดคุยเป็นครั้งแรก “เฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า อันที่จริงคนที่นางรอคอยเสมอมาคือข้า ไม่ใช่เจ้า”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองตัวเองคนนี้ อันที่จริงไม่สามารถมองเป็นพวกจิตมารได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าไม่เหมือน เพราะเขาก็คือตน เพียงแต่ว่าไม่สมบูรณ์เท่านั้น
สองมือของเขาสอดไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามองฟ้า หรี่ตาพึมพำ “ข้าเหมาะสมยิ่งกว่าเจ้า ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ก็ยิ่งเหมาะสม”
เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาช้าๆ ข้างกายคนทั้งสองปรากฏแสงไฟหนึ่งดวงเหมือนดวงดาวดวงหนึ่งที่ลอยอยู่นอกฟ้า จากนั้นก็พลันมีแสงกระบี่ที่สว่างเจิดจ้าเส้นหนึ่งพุ่งวาบผ่านไป แสงไฟถูกปราณกระบี่ชักนำจึงไล่ตามแสงกระบี่ไปติดๆ
เขายิ้มมองเฉินผิงอัน ใช้เสียงในใจเอ่ย “อันที่จริงเจ้าเองก็รู้ชัดเจนดี นี่ก็คือสาเหตุที่ทำไมอาจารย์ฉีถึงไม่ยอมให้นางลงมือง่ายๆ ทั้งไม่ให้นางสอนเวทกระบี่ชั้นสูงใดๆ ต่อเจ้า แล้วก็ไม่อาจปกป้องมรรคาให้เจ้าได้มากนัก พูดถึงแค่ปราณกระบี่สามกลุ่มนั้น บนเส้นทางการฝึกตนของพวกเรามันมีประโยชน์มากจริงๆ หรือ? มีอยู่บ้าง แต่พอย้อนกลับไปมองกลับไม่อาจมีอิทธิพลต่อสถานการณ์ใหญ่ของเส้นสายใดๆ เลย เจ้าจะฆ่าภูตตนนั้นหรือไม่ก็ล้วนยังมีอาเหลียงมองดูอยู่ข้างกาย ตอนที่อยู่ปากบ่อน้ำ เจ้าจะสังหารชุยตงซานที่อยู่ก้นบ่อหรือไม่ หากดูกันในระยะยาวก็ล้วนไม่สำคัญเลย”
เขาส่ายหน้า พูดพึมพำกับตัวเองว่า “นางถึงกับรักษาสัญญาจริงๆ ทำให้คนประหลาดใจนัก”
เฉินผิงอันกล่าว “อย่าลืมล่ะว่า เจ้าไม่ใช่คน”
เขาคลี่ยิ้มทันใด บ่นอย่างไม่พอใจว่า “มีใครเขาด่าตัวเองอย่างเจ้ากันบ้าง”
อันที่จริงเขาสามารถพูดจาโหดร้ายกว่านี้ได้ ยกตัวอย่างเช่นข้าเข้าใจเจ้าทุกเรื่อง แต่เจ้าเฉินผิงอันกลับมิอาจเข้าใจข้าในเวลานี้ หากบีบข้าให้ร้อนใจก็ระวังให้ดีล่ะ พวกเราสองคนไม่ต้องเป็นผู้ฝึกกระบี่อะไรกันแล้ว ผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางก็ต้องขอบเขตถดถอยอีกขั้นสองขั้น วัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุก็แตกไปเกินครึ่งก่อนแล้วค่อยว่ากัน…
เพียงแต่ไม่มีความหมายอะไรเลย
ก็ยังไม่ใช่ว่าจะต้องถูกเจ้าหมอนี่ฟันตัวเองตายโดยไม่สนใจสิ่งใด มีแต่จะไม่เสียดายค่าตอบแทน ไม่สนใจผลลัพธ์ที่จะตามมา จุดที่น่าโมโหที่สุดก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าหมอนี่ไม่ใช่ว่าตอนนี้ในซิ่วไฉเฒ่าและหนิงเหยาอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่เป็น ‘ตัวเอง’ ที่จะยอมรับได้จากใจจริงว่า ต่อให้มหามรรคาจะขาดสะบั้นชั่วคราว อย่างมากสุดก็แค่สร้างขึ้นมาใหม่เหมือนตอนที่ถูกคนสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะตอนเป็นเด็กหนุ่ม
เฉินผิงอันหัวเราะหยัน “นี่ก็คือที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของข้าแล้วหรือ? เจ้าดูเบาตัวเองขนาดนี้เลยหรือไร?”
เขาทอดถอนใจอย่างเศร้าใจ ก่อนจะคลี่ยิ้มเจิดจ้า ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา “ถ้าอย่างนั้นก็บอกลากัน? ไว้ค่อยพบกันใหม่วันหน้า?”
เสียดายที่การคุยเล่นพักหนึ่ง บวกกับสถานการณ์นี้ที่จงใจจัดวางไว้ก่อนหน้านี้ ล้วนไม่อาจทำให้ตนที่เร่งรุดเดินทางมาผู้นี้แทรกจิตแห่งเทพส่วนใหม่เข้ามาเสี้ยวหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเขาก็จะมีโอกาสให้ฉกฉวยแล้ว
ไม่อย่างนั้นใครเล่าถึงจะเป็นเฉินผิงอันที่ได้เดินออกไปอย่างแท้จริง นั่นก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว ถึงเวลานั้นก็หนีไม่พ้นว่าต้องหาโอกาสที่เหมาะสมอีกรอบ ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้า เดินทางไกลไปยังนอกฟ้าอย่างเงียบเชียบ ไปรวมกับนางตรงจุดหลอมกระบี่บรรพกาล
เฉินผิงอันเพียงแค่หรี่ตาพยักหน้ารับ
เขากวาดตามองรอบด้าน เบ้ปาก “แพ้ก็แพ้ตรงที่มาถึงเร็วเกินไป เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไม่อย่างนั้นซัดเจ้าคนเดียวก็มากพอเหลือแหล่”
เขามองไปยังผีสาว ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “วันหน้ายังจะกล้าแตะอั๋งกันอีกไหม?”
ก่ายเยี่ยนเพียงแค่เหลือบมองดวงตาสีทองคู่นั้น จิตแห่งมรรคาของนางก็เกือบจะแหลกสลายคาที่ ไม่กล้าพูดอะไรมากแม้แต่คำเดียว
ราวกับว่าบุคคลที่อยู่ข้างกายเฉินผิงอันไม่ว่าจะพูดอะไร ทำอะไร ไม่ว่าจะมีรอยยิ้มหรือไม่ อันที่จริงแล้วกลับไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ สีหน้า อารมณ์ การกระทำทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ถูกดึงออกมา เป็นสิ่งที่ไร้ซึ่งชีวิต ราวกับโครงกระดูกจากหลุมศพบรรพกาลที่ถูกคนผู้นั้นหิ้วออกมาถือไว้ในมือ
เขาถอนสายตากลับมา ร่างทั้งร่างคล้ายแก้วใสไร้มลทินชิ้นหนึ่งที่เริ่มปริแตกแล้วสลายหายไป แต่สำหรับฟ้าดินเล็กแห่งนี้แล้วกลับไม่มีอะไรเพิ่มหรือลดลงแม้แต่น้อย ดวงตาของเขามืดลึก แสงสีทองที่ไหลรินอยู่ภายในเหมือนการโคจรของดวงดาว เขามองเฉินผิงอันอยู่อย่างนั้น สุดท้ายเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “อิสระเสรีที่ยิ่งใหญ่ก็คือทำให้ตัวเองไม่มีอิสระ ข้าก็ช่างคิดได้นะ”
ฟ้าดินเล็กที่สร้างขึ้นในนกในกรงจึงสลายหายไปพร้อมกับเฉินผิงอันที่สวมชุดขาวคนนั้น
เฉินผิงอันสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่รีบร้อนเก็บนกในกรงและจันทร์ในบ่อของตัวเองมา กลับกันยังหดรวบอาณาเขตของนกในกรงเข้ามาทันที และควบรวมจุดที่คนชุดขาวสลายหายไปไว้ด้านในด้วยพอดี จากนั้นก็หันไปเอ่ยเตือนสุยหลินว่า “เจ้าสามารถย้อนทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาช่วงนี้ได้แล้ว กระบี่บินของข้าจะช่วยปกป้องมรรคาให้เจ้า จะเปิดทางไปให้ตลอดทาง ให้ทุกคนกลับมาถึงตรอกเล็กก่อนหน้านี้”
โดยทั่วไปแล้ว ‘ตนเอง’ คนนั้นสามารถอาศัยดวงจิตส่วนหนึ่งหรือถึงขั้นดวงจิตดวงหนึ่งที่แบ่งแยกออกมา ไปหลบซ่อนตัวอยู่ในแม่น้ำแห่งกาลเวลา ยกตัวอย่างเช่นบางทีอาจหลบอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งกลางฟ้าดินเล็กคันฉ่องโบราณของขู่โส่ว บางทีอาจจะเป็นในจิตวิญญาณของผู้ฝึกตนคนใดคนหนึ่ง หรือกระทั่งชุดคลุม เสื้อเกราะวิเศษตัวใดตัวหนึ่ง หรือจะในมุมหนึ่งของโรงเตี๊ยม สรุปก็คือมีความเป็นไปได้นับไม่ถ้วน แต่ ‘ตน’ คนนั้นไม่กล้า เพราะหลังจากที่อาจารย์กลับไปยังศาลบุ๋นแล้ว เฉินผิงอันจะต้องขอให้อาจารย์เชิญหลี่เซิ่งมาตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง หากถูกดึงตัวออกมา จุดจบจะเป็นอย่างไรแค่คิดก็พอจะรู้ได้
ตนคิดได้ เจ้าหมอนั่นก็ต้องคิดได้เช่นเดียวกัน มองดูเหมือนเป็นการกระทำที่เกินความจำเป็น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าเจ้าหมอนั่นจะทิ้งแผนรับมือเบื้องหลังไว้หรือไม่ เฉินผิงอันก็จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เขาจะต้องรบกวนให้หลี่เซิ่งตรวจสอบกาลเวลาด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรตัวเองหลอกตัวเองได้สำเร็จ อันที่จริงเป็นเรื่องยากมาก แต่การโกหกตัวเองกลับง่ายมาก
สุยหลินถามเสียงสั่น “อาจารย์เฉิน ความทรงจำส่วนนี้ของพวกเราจะจัดการอย่างไร?”
เฉินผิงอันถามเสียงเย็น “แต่ละคนกินอิ่มแล้วว่างงานไม่มีอะไรทำใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็เก็บเอาไว้กินแทนข้าวก็แล้วกัน วันหน้าก็หัดจดจำเอาไว้บ้าง!”
สุยหลินร่วมมือกับเณรน้อยโฮ่วแจว๋ หลังจากที่ย้อนทวนแม่น้ำแห่งกาลเวลา พริบตาเดียวแต่ละคนก็กลับคืนสู่ตำแหน่งเดิมของตัวเอง
มีเพียงเฉินผิงอันที่ยังคงยืนอยู่ในห้องของหยวนฮว่าจิ้ง
เณรน้อยรีบยกสองมือขึ้นพนม ท่องพระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองไปสามรอบ “เดี๋ยวคราวหน้าจะบริจาคเงินเพิ่มอีกสักหน่อย พูดได้ก็ต้องทำให้ได้ หากไม่มีเงินก็ยืมจากคนอื่นเอา”
ในตรอกเล็ก พวกหันโจ้วจิ่น เก๋อหลิ่งและสุยหลินสามคนก็ปรากฏตัวขึ้น หลังจากสุยหลินทำเรื่องนี้สำเร็จแล้วก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้น เก๋อหลิ่งจึงช่วยประคองเขาขึ้นมา
แต่ละคนรีบกลับมาที่โรงเตี๊ยมทันที
คนชุดเขียวที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อยืนอยู่ในระเบียงนอกห้องแห่งนั้น
นอกจากสุยหลินที่ยังคงหมดสติจนต้องถูกคนอื่นประคองแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนยืนอยู่ในลานบ้านด้านล่างบันได
หยวนฮว่าจิ้งมีท่าทางเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำร้อน แต่เหงื่อบนหน้าผากกลับแสดงให้เห็นถึงจิตแห่งมรรคาที่คลอนแคลนอย่างถึงที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดคนนี้
ก่อนหน้านี้ซ่งซวี่ถูกเฉินผิงอันบีบกระบี่บินแตก แม้ว่ากาลเวลาจะหมุนย้อนกลับ กระบี่บินไม่เป็นอะไร แต่จิตแห่งกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ก็ยังได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัส เวลานี้จิตใจก็ยังห่อเหี่ยวเซื่องซึม
ตอนนี้พอขู่โส่วเจอหน้าเฉินผิงอัน ไม่ต้องสนว่าเป็นคนไหน เขาก็ต้องใจสั่นอย่างห้ามไม่ได้
สายตาของเด็กหนุ่มโก่วฉุนที่มองไปยังเฉินผิงอันเปลี่ยนจากความเคารพยำเกรงของเมื่อก่อนมาเป็นหวาดกลัว
ผีสาวก่ายเยี่ยนเปลี่ยนทิศทางของสายตาด้วยการมองไปที่อื่น ไม่มองอิ่นกวานผู้นั้น
อวี๋อวี๋ยกสองแขนกอดอก เด็กสาวไม่ได้มีจิตแห่งมรรคาที่แข็งแกร่งธรรมดา ถึงกับยังมีท่าทางลำพองใจอยู่นิดๆ ดูเอาเถิด พวกเราถูกเล่นงานจนเละเหมือนโจ๊กหม้อหนึ่ง ถูกหั่นเหมือนผักถูกผ่าเหมือนแตงแล้วเห็นไหม
เฉินผิงอันเกือบจะอดไม่ไหวมอบหมัดให้พวกเขาคนละทีเป็นของรางวัล สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที เอ่ยว่า “ทำให้สุยหลินฟื้น”
เก๋อหลิ่งและลู่ฮุยที่อยู่ข้างกายสุยหลินทำตามทันที
สุยหลินฟื้นตื่นขึ้นมาอย่างเนิบช้า กำลังจะกุมหมัดขอบคุณอิ่นกวาน เฉินผิงอันก็ยื่นมือออกมาก่อน สุยหลินที่หน้าซีดขาวไร้สีเลือดมึนงง ถามอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์เฉิน?”
เฉินผิงอันกล่าว “ในเมื่อนายท่านใหญ่อย่างพวกเจ้าไม่ต้องไปใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยังจะต้องเอายันต์กักกระบี่พวกนั้นไปทำอะไร เอามาให้หมด”
สุยหลินรีบควักกระดาษยันต์สีทองปึกหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ ผลักออกไปเบาๆ พวกมันก็ลอยเข้าไปหาอิ่นกวานหนุ่มช้าๆ
เฉินผิงอันรับยันต์มา มองไปยังทุกคน
แต่ละคนล้วนเงียบงันไม่กล้าส่งเสียง
ยังคงเป็นลู่ฮุยที่เข้าใจบัณฑิตดีที่สุด จึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยืม ล้วนให้อาจารย์เฉินยืม”
เฉินผิงอันเก็บยันต์ใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วร่างก็วูบหายไป
ทุกคนโล่งใจ มีหลายคนที่ถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงไปนั่งแปะกับพื้น
ซ่งซวี่กำลังจะเปิดปากพูด หยวนฮว่าจิ้งก็เผยสีหน้าเหนื่อยล้าคล้ายยอมรับชะตากรรมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เป็นฝ่ายเปิดปากขึ้นก่อนว่า “เรื่องนี้มอบให้ทางกรมพิธีการบันทึกลงคดี ล้วนถือเป็นความผิดของข้า ไม่เกี่ยวกับขู่โส่วและพวกเจ้า”
เฉินผิงอันไปปรากฏตัวตรงปากตรอก เหลือบมองไปยังหอเก็บหนังสือแล้วถอนหายใจ ศิษย์พี่หากท่านยังทำอย่างนี้อีก มันจะเริ่มน่ารำคาญแล้วจริงๆ นะ
เดินไปตลอดทางจนไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ผลคือยิ่งคิดยิ่งหงุดหงิด จึงหันตัวกลับไปที่หน้าปากตรอกอีกครั้ง หดย่อพื้นที่ตรงดิ่งไปถึงโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน เจ้าตัวดี แต่ละคนยังมีอารมณ์มาทบทวนสถานการณ์กันอีกหรือ ทบทวนกับมารดาเจ้าเถอะ ทบทวนไปทบทวนมา ทำไม ยังอยากจะให้มีครั้งต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ? สุดท้ายนอกจากโก่วฉุนและเณรน้อยแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลืออีกเก้าคนล้วนถูกเฉินผิงอันต่อยจนลงไปนอนกองอยู่กับพื้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหยวนฮว่าจิ้งที่ถูกกระทืบหัวอยู่หลายที
โก่วฉุนอดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ยังทนไม่ไหว เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์เฉิน ท่านต่อยข้าไปพร้อมกันเลยเถอะ มีทุกข์ร่วมต้าน ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าจะอยู่ร่วมกับพวกเขาอย่างไร”
เณรน้อยร้อนใจแล้ว กระทืบเท้าทันที “เหลวไหล อย่านะ ต่อยเจ้าไปแล้ว แล้วข้าจะทำอย่างไร”
เฉินผิงอันจึงกระทืบหยวนฮว่าจิ้งกับซ่งซวี่เพิ่มอีกคนละสองที จากนั้นนั่งลงบนขั้นบันได คิดว่าจะพักสักครู่หนึ่ง เพียงแต่ว่าเพิ่งจะนั่งลงก็ต้องลุกขึ้น รีบยิ้มเอ่ยว่า “ไม่มีอะไรแล้ว”
เพราะหนิงเหยาปรากฏตัวที่ระเบียงแล้ว ไม่ได้สะพายกระบี่ แต่ถือกระบี่อยู่ในมือ
——