กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 840.1 ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม
ในมือหนิงเหยาถือเทียนเจินหนึ่งในสี่กระบี่เซียน เหลือบตามองทุกคนที่อยู่ในลานบ้าน นางใช้เสียงในใจถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกันแน่?”
เฉินผิงอันจึงเล่าให้ฟังถึงขั้นตอนอย่างละเอียด หนิงเหยาฟังแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นทันใด มองหยวนฮว่าจิ้งและขู่โส่วมากกว่าคนอื่น
เพียงแค่ถูกหนิงเหยามองง่ายๆ เช่นนี้ หยวนฮว่าจิ้งผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดและขู่โส่วเซียนดินขอบเขตโอสถทองก็สัมผัสได้ถึงแรงสยบกำราบบนมหามรรคาที่ราวกับว่า ‘ท่ามกลางความมืดมิดที่มองไม่เห็นมีเจตนารมณ์สวรรค์ซ่อนอยู่’ ลมหายใจของผู้ฝึกกระบี่สองคนเปลี่ยนมาเป็นไม่ราบรื่นในทันที ปราณวิญญาณไม่เพียงแต่เริ่มหยุดชะงัก ถึงกับเกิดลางว่าจะเป็นน้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง
นี่ก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง หากเป็นศัตรูกับเขา ผู้ฝึกลมปราณที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนอาจเทียบกับมดสักตัวก็ยังไม่ได้
เฉินผิงอันอีกคนหนึ่งที่ถูกขู่โส่วเรียกมามีจิตแห่งเทพที่บริสุทธิ์ ทั้งยังไม่ใช่เฉินผิงอันที่สมบูรณ์ เพียงแค่พูดถึงพลังพิฆาตก็สูงกว่าตัวของเฉินผิงอันเองแล้ว เดิมทีควรเป็นจิตมารที่เฉินผิงอันพบเจอตอนฝ่าคอขวดขอบเขตก่อกำเนิด เพียงแต่เพราะเรื่องผสานมรรคากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทำให้เขาเป็นเหมือนเทวบุตรมารนอกโลกตนหนึ่งที่ไร้ขื่อไร้แป ไร้ความเคารพยำเกรงที่ถูกสยบกำราบ ถูกผนึกขังไว้ในเมือง คันฉ่องหยุดวารีของขู่โส่วสามารถคัดลอกตัวของเฉินผิงอันให้มาอยู่ในกระจกได้ แต่ก็เหมือนที่ไม่สามารถคัดลอกกระบี่เย่โหยวเล่มหนึ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่าได้ จึงไม่อาจ ‘แสดงภาพจริง’ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ครึ่งหนึ่งและการสยบกำราบมหามรรคาจากใต้หล้าสองแห่งได้ ดังนั้นจึงทำให้เฉินผิงอันผู้นั้นหลุดพ้นออกมาจากกรงขังได้ทันที
การพบเจอกันของเฉินผิงอันสองคนหลังจากนั้น มองดูเหมือนทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้ออกทั้งหมัดและกระบี่ แต่แท้จริงแล้วหากในสภาพจิตใจของเฉินผิงอันเกิดจุดด่างพร้อยแม้เพียงเล็กน้อยก็จะต้องถูกบุคคลผู้นั้นหาทางปีนป่ายผนัง ปีนออกไปจากปากบ่อ สุดท้ายออกไปจากเส้นทางนี้อย่างเงียบเชียบ ถึงขั้นที่ว่ามีโอกาสจะเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้าน
หากไม่ระวังต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดาน ก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง
หนิงเหยาเงียบงันไปครู่หนึ่ง เอ่ยว่า “เมื่อเทียบกับการลอบฆ่าของกระโจมเจี่ยเซินครั้งนั้นแล้ว อันตรายกว่ามาก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไรๆ ถือเสียว่าทุกเรื่องที่ผ่านไปแล้วล้วนเป็นเรื่องดีเสมอ แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องร้ายก็ไม่กลัวที่จะเกิดขึ้นเร็ว เรื่องดีไม่กลัวที่จะเกิดขึ้นช้า เผชิญหน้ากันเร็วหน่อยถึงจะเตรียมตัวได้แต่เนิ่นๆ”
ทำไมตนถึงต้องกลับมาซ้อมคนที่โรงเตี๊ยมให้ได้ เพราะอาฆาตแค้นหรือ? ต้องบอกว่าช่วยคนถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นหากหนิงเหยาที่อยู่โรงเตี๊ยมได้ยินเรื่องนี้ ด้วยนิสัยของนาง ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ปล่อยกระบี่ออกมาเป็นเส้นตรง คาดว่าสายของแผนภูมิดินก็ต้องกลายเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว ส่วนที่ว่าการสองกรมอย่างพิธีการและอาญาก็ยิ่งต้องอลหม่านวุ่นวาย ก่อเรื่องอีก? ก็จะมีแสงกระบี่หล่นลงมาอีก…
หนิงเหยาเอ่ยอย่างมีโทสะ “เจ้ายังจะปกป้องพวกเขาอีกหรือ?”
เป็นคนดีเกินเหตุจริงๆ
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างอ่อนใจ “ถึงอย่างไรก็เป็นกลุ่มคนที่ศิษย์พี่อบรมปลูกฝังมาเองกับมือ จะปล่อยให้ถูกข้าที่เป็นศิษย์น้องทำลายย่อยยับก็คงไม่ควรกระมัง”
เขาจับชายแขนเสื้อของหนิงเหยาไว้เบาๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงแผ่ว “ห้ามโกรธนะ”
หนิงเหยาถลึงตาใส่ “ปล่อยมือ”
เฉินผิงอันเซ้าซี้ไม่เลิก “เจ้าไม่โกรธ ข้าถึงจะปล่อยมือ”
หนิงเหยาเอ่ยอย่างขำๆ ปนฉุน “ไม่เห็นต้องโกรธคนอย่างเจ้าเลย จะไปไหนก็ไป ข้าจะตรวจสอบพื้นที่แห่งนี้ก่อน!”
เฉินผิงอันถึงได้ปล่อยมืออย่างขลาดๆ หางตาเหลือบไปมองคนสิบเอ็ดคนในลานบ้าน พวกเจ้าแต่ละคนล้วนติดค้างบุญคุณช่วยชีวิตจากข้า บัณฑิตทำความดีไม่หวังสิ่งตอบแทน นั่นเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้ารู้บุญคุณเห็นแก่น้ำใจส่วนนี้หรือไม่ก็ต้องดูที่ว่าพวกเจ้าจะมีจิตสำนึกหรือไม่
หนิงเหยาบิดหมุนข้อมือ ใช้ปลายกระบี่ของกระบี่เซียนเทียนเจินยันพื้นดินเอาไว้ ฝ่ามือกดด้ามกระบี่เบาๆ ตรงปลายกระบี่ปรากฏริ้วคลื่นกระเพื่อมเป็นวงๆ ล้วนไม่ใช่ปราณกระบี่ที่รวมตัวกลายเป็นสิ่งที่จับต้องได้จริง แต่เปลี่ยนปณิธานกระบี่เป็น ‘ความจริง’ กักโรงเตี๊ยมทั้งหลังไว้ภายใน
ขณะเดียวกันเหนือศีรษะของทุกคนก็เหมือนมีถ้ำสวรรค์หวงเหอลอยตัวอยู่ ปราณกระบี่เหมือนน้ำตกที่สาดเทลงมาจากฟากฟ้า ปกคลุมโรงเตี๊ยมทั้งหลังเอาไว้ แต่ไม่ได้ไหลเชี่ยวซัดกรากเหมือนน้ำที่ท่วมทำนบ ไม่ได้ทำลายล้างโรงเตี๊ยมให้ย่อยยับ แต่เป็นการแทรกซึมอย่างไร้เสียง จริงเท็จไม่แน่นอน นี่ก็หมายความว่าการควบคุมปราณกระบี่ของหนิงเหยาไปถึงขั้นที่เปี่ยมไปด้วยปาฏิหาริย์มหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อแล้ว
หนิงเหยาอาศัยแค่ปณิธานกระบี่และปราณกระบี่ของตัวเองสร้างฟ้าดินค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งขึ้นมาง่ายๆ
ราวกับว่านางได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตสองบทของนกในกรงและจันทร์ในบ่อของเฉินผิงอันในเวลาเดียวกัน
ครู่หนึ่งต่อมา หนิงเหยาก็เก็บดวงจิตและปราณกระบี่ส่วนนั้นลงไป เอ่ยว่า “เอาเป็นว่าข้าไม่เจอเบาะแสอะไรก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “โดยทั่วไปแล้ว เจ้าหมอนั่นย่อมไม่กล้าทิ้งร่องรอยอะไรไว้ เพราะหลังจบเรื่องมีแต่จะถูกหลี่เซิ่งลากตัวออกมา ถึงอย่างไรก็ได้เจอกับข้าแล้ว แล้วข้ายังตัดใจทำลายความทรงจำส่วนนี้ไม่ลง นั่นก็เท่ากับว่าเขามีชีวิตอยู่ต่อได้แล้ว หากยังมีครั้งถัดไป ก็จะเหมือนตื่นขึ้นมาจากการจำศีล แค่ต้องตรวจสอบความทรงจำของ ‘ตัวเอง’ ก็พอ ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องวาดงูเติมขา แต่เพื่อให้ปลอดภัยไว้ก่อน คงยังต้องให้อาจารย์ไปที่ศาลบุ๋นอีกรอบแล้ว”
หนิงเหยาถามอย่างเป็นกังวล “ทำไมถึงเป็นแบบนี้? มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรกันแน่?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยกมือซ้ายขึ้น คว่ำฝ่ามือลง จากนั้นพลิกกลับเบาๆ หันฝ่ามือหงายขึ้น อธิบายว่า “ก็เหมือนนิสัยของคนที่มีสองด้าน ต่างฝ่ายต่างก็มีการแบ่งแยกดีเลว ไม่เพียงแค่ผู้ฝึกตนเท่านั้น มนุษย์ธรรมดาก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ เพียงแต่ว่าปะปนกันไม่ชัดเจน ไม่ค่อยบริสุทธิ์เท่าใดนัก ดังนั้นกลับกลายเป็นว่ามีปัญหาไม่มาก แต่พอมาอยู่กับข้า ชุยตงซานเคยบอกว่าตอนที่ข้ายังเป็นเด็กหนุ่ม เส้นสองเส้นอย่างดีและเลวในใจคนนั้นอยู่ใกล้กันมาก อีกทั้งยังมีเส้นแบ่งชัดเจน ดังนั้นสิ่งที่ข้าพยายามกดข่มไว้อย่างยากลำบาก อันที่จริงก็มีแค่ตัวข้าคนนี้เท่านั้น”
หากทั้งสองฝ่ายผสานรวมกัน ก็จะไม่มีการแบ่งแยกดีเลวอีก
เป็นแค่จิตแห่งเทพ นิสัยแห่งเทพที่บริสุทธิ์เท่านั้น
หนิงเหยาเอ่ยอย่างสงสัย “ทำไมเจ้าถึงต้องเป็นหนักขนาดนี้”
อันที่จริงบนภูเขาและล่างภูเขา ไม่ว่าจะเป็นใครก็ล้วนทำเรื่องที่ไม่เหมือนว่าตัวเองจะทำได้ พูดคำพูดที่ไม่เหมือนว่าตัวเองจะพูดได้
เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “เพราะข้าคอยไล่ตามคำว่า ‘ไม่ผิด’ อยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็มาเจอเข้ากับศิษย์พี่ที่จิตใจค่อนข้างอำมหิต”
ระเบิดจิตบุ๋นสีทองด้วยตัวเองตอนอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน นั่นเท่ากับว่าเฉินผิงอันสูญเสียความเป็นไปได้ในการหลอมตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตของลัทธิขงจื๊อไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ปัญหาที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่เพราะชั่วชีวิตนี้เฉินผิงอันถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจเป็นอริยะปราชญ์ผู้มีรูปปั้นตั้งวางในศาลบุ๋นอะไรได้ แต่เป็นการสูญเสียการปกป้องที่มองไม่เห็นจากหลักการเหตุผลบางอย่างของอริยะปราชญ์ ไม่อย่างนั้นในหัวใจของเฉินผิงอันก็จะเหมือนมีศาลบุ๋นที่เป็นภาพมายาตั้งอยู่ในทะเลสาบหัวใจ เฉินผิงอันคนที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากการจำแลงของจิตแห่งเทพที่บริสุทธิ์นั้น แน่นอนว่าไม่อาจก่อคลื่นลมมรสุมอะไรได้ ผลคือชุยฉานกลับตัดขาดเส้นทางสายนี้ไป นี่จึงเป็นเหตุให้เฉินผิงอันจำเป็นต้องอาศัยเจตจำนงเดิมที่แท้จริงของตัวเอง กลายไปเป็นจุดอ่อนของตัวเอง ชักคะเย่อกันและกัน ตัดสินเป็นตาย ตัดสินว่าสุดท้ายแล้วตัวเองคือใครกันแน่
ก่อนหน้านี้กว่าที่เฉินผิงอันจะได้ไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่และพื้นที่มงคลดอกบัวได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อันที่จริงเขาในเวลานั้นก็ไม่ได้ชอบเอาแต่ปฏิเสธตัวเองอย่างเดียวมากขนาดนั้นแล้ว ผลคือพอไปถึงทะเลสาบซูเจี่ยน ศิษย์พี่ชุยฉานก็เหมือนเอาไม้กระบองฟาดใส่หน้า เอาน้ำเย็นๆ เทใส่หัว ซัดให้เฉินผิงอันกลับคืนไปอยู่ในสภาพเดิม
เจ้าเฉินผิงอันไม่เพียงแต่จะทำผิด รอจนเจ้าได้อ่านหนังสือมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการหยัดยืนเอาชีวิตรอดมีมากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งทำผิดมากขึ้นเท่านั้น
ศิษย์พี่มอบเส้นทางให้เฉินผิงอันแค่สองเส้นเท่านั้น ทางสายนี้ทั้งฝึกกระบี่เรียนหมัดล้วนไม่เป็นปัญหา เพียงแต่ว่าในสภาพจิตใจ หากไม่หนีฌานออกไปก็ต้องหันไปฝึกวิชาเฝ้าหนึ่งที่คล้ายคลึงกับการสงบจิตใจของลัทธิเต๋า หรืออีกเส้นทางหนึ่งก็คือเดินไปบนเส้นทางเดิมต่อไป แต่เจ้ากลับไม่อาจเป็นอริยะผู้ทรงธรรมของลัทธิขงจื๊อได้
ข้ากับข้าเป็นจุดอ่อนของกันและกัน เป็นเช่นนี้ไปอย่างยาวนาน?
ถึงอย่างไรศิษย์พี่ชุยฉานก็รู้สึกว่าศิษย์น้องเฉินผิงอันยังลำบากไม่มากพอ (คำว่าลำบาก ภาษาจีนคือขู่ พ้องกับประโยคขู่โส่ว ที่แปลว่าจุดอ่อน) ไม่นานพอ
ดังนั้นเฉินผิงอันที่สวมชุดขาวก่อนหน้านี้ได้สูญเสียพันธนาการของนิสัยมนุษย์ทั้งหมดไปแล้ว ถึงได้ใช้ท่วงท่าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาเยือนโลกมนุษย์ จากนั้นก็คือการเข่นฆ่าครั้งใหญ่ที่ไม่ต้องลุ้นผลแพ้ชนะใดๆ
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพราะเขาจงใจหยุดมือด้วย หากไม่เป็นเพราะตัวเขาเองก็บอกแล้วว่าถูกมัดมือมัดเท้าเกินไป อีกทั้งเฉินผิงอันมาถึงเร็วเกินไป คนทั้งสิบเอ็ดคนซึ่งรวมหยวนฮว่าจิ้งเป็นหนึ่งในนั้น จุดจบมีแต่จะอนาถยิ่งกว่าเดิม อยู่ไม่สู้ตาย คือสภาพกรณ์ที่เขาต้องไม่มีทางคิดได้ถึงอย่างแน่นอน
พูดถึงแค่วิชาอภินิหารจักรวาลในชายแขนเสื้อบทนั้นของชุยตงซานลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันก็แค่จงใจไม่ไปเรียนรู้เอาอย่างเท่านั้น หากเฉินผิงอันรู้สึกตัวช้ามาถึงโรงเตี๊ยมสายเกินไป ปล่อยให้เขาสร้างคลื่นลมมรสุมอยู่ที่นี่ พูดถึงแค่วิชาจักรวาลในชายแขนเสื้อ บวกกับวิชาอภินิหารวาดขนคิ้วของจิตรกรหญิงก่ายเยี่ยน บวกกับการสาวเส้นไหมที่เขามีต่อนิสัยใจคอของมนุษย์ แค่เลียนแบบการกระทำของเจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยงมาเล็กน้อย ชักนำ แบ่งแยก ผสานรวมจิตใจและความทรงจำของทุกคนอย่างกำเริบเสิบสาน ก็สามารถทำให้ทุกคนเหมือน ‘อยู่ในความฝันโดยที่ไม่รู้ตัวว่าฝัน’ ได้แล้ว สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเวลานั้นคนทั้งสิบเอ็ดคนจะเป็นใคร
หนิงเหยาคิดแล้วก็ค้นพบว่าตัวเองคิดไปก็ไม่มีประโยชน์ นางจึงเลิกคิดเสียเลย
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันไปที่นอกเมือง นางกับเหวินเซิ่งปรึกษากัน พูดถึงเรื่องโชควาสนาของใต้หล้าห้าสี ตอนนั้นอาจารย์ผู้เฒ่าดื่มเหล้าแกล้มถั่วลิสง เอ่ยทอดถอนใจประโยคหนึ่งว่า คนที่สามารถหลับได้นั้นโชคดี ผู้ที่มีปณิธานย่อมต้องเหนื่อยในการใช้ความคิด
หนิงเหยาเก็บกระบี่สอดใส่ฝัก กระบี่เซียนเทียนเจินกลับเข้าไปอยู่ในกล่องกระบี่ด้านหลังอีกครั้ง นางมองหยวนฮว่าจิ้งผู้นั้นแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อต้าหลีมีความสามารถมากขนาดนี้ เปลี่ยนผู้ฝึกกระบี่แค่คนเดียวจะยากตรงไหน ถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังเติมแผนภูมิดินได้ไม่ครบ ขาดคนเดียวหรือขาดสองคนก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไร”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “แน่นอนว่าความเห็นแก่ตัวของเจ้าหมอนี่ต้องมีไม่น้อย แต่ก็พอจะถือว่าเขาทำเรื่องในหน้าที่ตามตำแหน่งของตัวเองได้อยู่ แต่บัญชีนี้ต้องได้ชำระกันแน่”
เฉินผิงอันถึงกับจินตนาการได้เลยว่า ในบรรดาสิบเอ็ดคนนี้ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ไม่ใช่แค่คนเดียวที่ยามพยายามฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดในอนาคต จิตมารที่ต้องพบเจอก็คือตน
ยกตัวอย่างเช่นขู่โส่ว ผีสาวก่ายเยี่ยน อวี๋อวี๋ สุยหลิน และยังมีลู่ฮุยที่ถูกปลายทวนยกลอยอยู่กลางอากาศ บางทีผู้ฝึกตนเกือบครึ่งหนึ่งก็ล้วนมีความเป็นไปได้นี้
เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “ไม่อย่างนั้นเจ้ากลับไปอ่านหนังสือที่โรงเตี๊ยมก่อนดีไหม? ข้ายังต้องอยู่ที่นี่ พูดคุยกับพวกเขาอีกหน่อย บางทีอาจจะน่าเบื่ออยู่บ้าง”
หนิงเหยาถามอย่างตรงไปตรงมาว่า “คำพูดประหลาดๆ มีเยอะหรือไม่?”
เฉินผิงอันทำหน้ากระอักกระอ่วน ยกสองมือขึ้น ใช้นิ้วโป้งขยี้นิ้วชี้เบาๆ “ก็อาจมีบ้างเล็กน้อย”
หนิงเหยาพยักหน้า นางไม่กลับไปแล้ว
ปีนั้นตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ นางไม่เคยไปเยือนคฤหาสน์หลบร้อนด้วยซ้ำ ไม่เคยเห็นเฉินผิงอันจัดวางกำลังทัพกับตาตัวเอง แล้วก็ไม่มีโอกาสได้ยินว่าใต้เท้าอิ่นกวานมีกระบี่บินเป็นกระบุงโกยอย่างไรกับหูตัวเอง
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได เรียกนกในกรงออกมาอีกครั้ง เอ่ยว่า “รบกวนนายท่านทุกท่านช่วยอดทนรออีกสักหน่อย”
ในลานบ้านไม่มีใครที่มีความคิดเห็น
ถึงขั้นที่ว่าเริ่มรู้จักทะนุถนอมเห็นค่าเฉินผิงอันคนนี้ในเวลานี้ขึ้นมาบ้างแล้ว
อย่างน้อยที่สุดจะดีจะชั่วไอ้หมอนี่ก็ยังมีเหตุผลอยู่บ้าง
ส่วนอีกคนนั้น อย่าไปคิดถึงให้มาก แค่คิดจิตแห่งมรรคาก็จะไม่มั่นคงแล้ว
หนึ่งคนต่อสู้กับสิบเอ็ดคน แต่กลับสามารถบดขยี้ได้รอบด้าน ตบะขอบเขต นิสัยใจคอ เวทกระบี่ วิชาอภินิหาร หมัดเท้า วิธีการต่างๆ เชื่อมโยงติดต่อกัน…
ช่างเถิด เจ้าหมอนั่นไม่ใช่คนสักหน่อย
คนสิบคนในลานบ้านสังเกตเห็นว่าเฉินผิงอัน หนิงเหยาและซ่งซวี่ต่างก็หายวับไปกลางอากาศ
ส่วนซ่งซวี่ผู้นั้นกวาดตามองไปรอบด้านกลับสังเกตเห็นว่าคนอื่นๆ อีกสิบคนไม่อยู่แล้ว เหลือแค่เฉินผิงอันที่นั่งอยู่กับหนิงเหยาที่ยืนอยู่
——