กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 840.3 ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม
เฉินผิงอันพอจะแน่ใจคร่าวๆ แล้วว่าแม่นางน้อยที่ใจใหญ่ยิ่งกว่าแผ่นฟ้าผู้นี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นคนที่สามารถเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้ง่ายดายที่สุด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้เข้าใจคนอื่นคือผู้มีปัญญา ผู้เข้าใจตัวเองคือผู้รู้แจ้ง เจ้าและข้าต่างเป็นเหมือนกัน”
อวี๋อวี๋หัวเราะฮ่าๆ “คุยต่อไม่ได้แล้ว หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ข้าคงต้องเอาอย่างก่ายเยี่ยนและหันโจ้วจิ่นที่เริ่มชอบอาจารย์เฉินแล้ว!”
ส่วนหนิงเหยาไม่หนิงเหยาอะไรนั่น เจ้าเป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก็กล้ารังแกแม่นางน้อยอย่างข้าด้วยหรือ?
หากเรื่องแบบนี้ยังกล้า ก็ขอโทษด้วย ถ้าอย่างนั้นเจ้าหนิงเหยาก็ไม่คู่ควรกับอาจารย์เฉินของพวกเราแล้ว!
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้ามีความแค้นกับก่ายเยี่ยนหรือ?”
หันโจ้วจิ่นจากไปแล้ว ผีสาวก่ายเยี่ยนกลับยังรออยู่ข้างนอก
อวี๋อวี๋หัวเราะร่า “ไม่มีความแค้น ไม่มีความแค้น ก็แค่นางที่เป็นเถ้าแก่ ทุกวันเอาแต่ขี้เหนียว ไม่ว่าอะไรก็ต้องคิดบัญชี ความสามารถในการหาเงินคนนอกไม่มีแม้แต่น้อย ดีแต่จะหาเงินจากคนกันเอง ดูเข้าสิ พื้นที่ของพวกเราใหญ่ขนาดนี้ กลับมีแต่ห้องเปล่าๆ แม้แต่หญิงงามที่คอยเปิดประตูต้อนรับแขกสักคนก่ายเยี่ยนก็ยังไม่จ้างมา บอกว่าจะจ่ายเงินพวกนั้นไปทำไม โรงเตี๊ยมดีๆ แห่งหนึ่ง หรือว่าจะต้องทำให้กลายเป็นเหมือนยอดเขาฉงจือของภูเขามังกรพยัคฆ์ที่มีแต่กลิ่นเครื่องประทินโฉมอบอวล ถึงอย่างไรเหตุผลก็ล้วนเป็นของนาง แต่เงินน่ะไม่มี ข้ารำคาญนางไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “วิถีการหาเงินของก่ายเยี่ยนยากจะอธิบายได้หมดในคำเดียวจริงๆ”
ตอนที่คนทั้งสามจากไป
หนิงเหยาหรี่ตาลง “ดื่มเหล้าให้มาก พูดให้น้อย อย่าคิดอะไรเหลวไหล”
จากนั้นพออวี๋อวี๋กลับมาในลานบ้านก็ถูกฟ้าผ่าอยู่ตลอด นางวิ่งหนีอุตลุด โหวกเหวกว่าจำได้แล้ว จำได้แล้ว สุดท้ายนางเอาหัวโหม่งกำแพงลานบ้าน ล้มลงกองกับพื้นลุกไม่ขึ้นอีก
เณรน้อยโฮ่วแจว๋ ผีสาวก่ายเยี่ยนมาที่ฟ้าดินเล็กแห่งนี้ด้วยกัน
ก่ายเยี่ยนปลุกความกล้ามองไป เห็นว่าเป็นเซียนกระบี่ชุดเขียวที่นั่งอยู่บนขั้นบันได เฮ้อ ยังคงเป็นอาจารย์เฉินท่านนี้ที่ทำให้คนเลื่อมใส
คนก่อนหน้านั้นทำเอานางตกใจจนขวัญกระเจิงไปหมดแล้ว
นางกะพริบตาปริบๆ เอ่ยนำขึ้นมาก่อนว่า “อาจารย์เฉินกับเซียนกระบี่หนิงสมกับเป็นคู่สร้างคู่สมที่ฟ้าประทานมา เป็นคู่รักเทพเซียนจริงๆ”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ขอบคุณที่พูดจาน่าฟัง”
ตอนแรกมัวทำอะไรอยู่นะ หากรู้จักพูดแบบนี้ตั้งแต่แรกก็คงไม่ต้องโดนซ้อมหลายรอบเช่นนี้
ไม่แน่ว่าตนอาจจะยังปรึกษากับเถ้าแก่เนี้ยะของโรงเตี๊ยมเช่นนาง ขอเรือนพักสักหลังเอาไว้ยามที่มาเที่ยวเมืองหลวง ถึงอย่างไรกิจการของโรงเตี๊ยมแห่งนี้ก็ธรรมดา ปล่อยเรือนหลายหลังไว้เปล่าๆ เช่นนี้ แล้วยังไม่มีกลิ่นอายของผู้คน แค่มองก็รู้แล้วว่านางไม่เชี่ยวชาญศาสตร์ด้านเศรษฐกิจ ให้ตนเป็นคนจัดการโรงเตี๊ยม รับรองว่าทุกวันต้องมีคนเบียดเสียดกันแออัดแน่นอน
เฉินผิงอันคิดร้อยรอบแล้วก็ยังคงไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร ดูเหมือนว่าหนิงเหยาจะไม่มีความรู้สึกดีหรือแย่ต่อก่ายเยี่ยน มีเพียงความเฉยเมยไม่สนใจอย่างเดียวเท่านั้น
ก่ายเยี่ยนได้รับคำเตือนจากผู้ฝึกตนที่อยู่ข้างนอกมาแล้ว นางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยด้วยตัวเองว่า “เรื่องของการฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตก่อกำเนิดในอนาคต ข้ามีวิชานอกรีตที่เป็นทางลัดให้เดินได้ อาจารย์เฉินไม่ต้องเป็นห่วง”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ข้าไม่กังวล”
เณรน้อยพนมสองมือ “ขอให้พระพุทธเจ้าช่วยปกป้องคุ้มครองให้การฝึกตนของอาจารย์เฉินและเซียนกระบี่หนิงราบรื่น สมดังใจปรารถนา ครองคู่อยู่ด้วยกันจนแก่เฒ่า มีแต่ความสุขสมหวัง มีเรื่องมงคลมาเยือนไม่ขาดสาย ให้กำเนิดบุตรในเร็ววัน…”
เฉินผิงอันกลั้นไม่ไหวหลุดหัวเราะออกมา
หนิงเหยาสีหน้าไร้อารมณ์ ตีหน้าเคร่งเตะเฉินผิงอันไปหนึ่งที
จากนั้นก็เรียกเด็กหนุ่มโก่วฉุนมา
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ประมือกันหลายครั้งล้วนถูกข้าจงใจจัดการก่อนใคร พูดมาเถอะ ท่าไม้ตายคืออะไร?”
เด็กหนุ่มถาม “พูดได้หรือ? ไม่ถือว่าละเมิดข้อห้ามใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “พูดได้ ข้ารับผิดชอบเอง”
โก่วฉุนถึงได้เอ่ยว่า “ภายหลังข้าได้วัตถุแห่งชะตาชีวิตมาชิ้นหนึ่ง มีความเกี่ยวข้องกับโชคด้านการเงิน จึงค่อนข้างจะเก็บเงินได้ง่าย”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง บนเส้นทางการฝึกตน น้อยครั้งนักที่เฉินผิงอันจะอิจฉาคนอื่นเช่นนี้ ร้านผ้าห่อบุญเช่นตนต้องคอยเบิกตาให้กว้าง เค้นสมองครุ่นคิดแทบตาย เมื่อเทียบกับผู้ฝึกตนอิสระแล้วยังเหมือนผู้ฝึกตนอิสระมากกว่าเสียอีก กว่าจะได้เงินที่หามาได้ด้วยความยากลำบากช่างยากเย็น!
“ราชครูยังบอกว่าอันที่จริงข้าคือ…ผียากจน ข้าไม่กล้าถามมาก ภายหลังอวี๋อวี๋นึกคำกล่าวอย่างหนึ่งขึ้นมาได้ บอกว่าอาจเป็นเพราะผู้ฝึกตนแผนภูมิดินอย่างพวกเราหาเงินได้เร็วเกินไป อีกทั้งยังค่อนข้างคล้ายกับเงินที่ได้มาด้วยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เรื่องดีอะไร ต้องยากจนสักหน่อย”
“ภายหลังราชครูยังบอกด้วยว่า รอให้ในอนาคตข้าได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ก็จะได้ครอบครองโชคชะตาของแจกันสมบัติทวีปมาเล็กน้อย แม้ว่าคุณสมบัติจะไม่ค่อยได้เรื่อง เมื่อเทียบกับพวกหยวนฮว่าจิ้งและซ่งซวี่แล้วยังห่างชั้นกว่ามาก แต่ขอแค่เหยียบยืนลงบนพื้นได้อย่างมั่นคง เดินได้อย่างมั่นคง ก็มีหวังที่จะกลายเป็นเซียนเหรินคนหนึ่งได้”
“ราชครูยังบอกอีกว่ารอให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบเมื่อไหร่ก็จะอนุญาตให้ข้าไปรับหน้าที่เป็นราชครูของแคว้นใต้อาณัติแห่งหนึ่งของต้าหลี”
เฉินผิงอันกลั้นขำ “ราชครูยังพูดอะไรอีก?”
โก่วฉุนเกาหัว “ราชครูยังบอกว่า อันที่จริงเนื้อหมาอร่อยมาก ตอนนั้นข้าตกใจกลัวแทบตาย”
คนสุดท้าย หยวนฮว่าจิ้ง
ดูเหมือนว่าหยวนฮว่าจิ้งจะสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เวลานี้เขายืนอยู่ล่างขั้นบันไดเพียงลำพัง มองดูแล้วไม่ได้ตื่นเต้นสักเท่าไร
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ขอบเขตสูง บารมีสูง เอาเซียนกระบี่หยวนมาปิดฉากตอนท้ายก็เหมาะสมจริงๆ”
หยวนฮว่าจิ้งกล่าว “ข้าเป็นแค่ขอบเขตก่อกำเนิด ไม่อาจรับคำเรียกขานว่าเซียนกระบี่ได้”
เฉินผิงอันถาม “มีใจที่เห็นแก่ตัวหรือไม่?”
หยวนฮว่าจิ้งตอบ “มี”
“มีความแค้นส่วนตัวหรือไม่?”
“ไม่มี”
“มีหรือไม่มี เจ้าเป็นคนตัดสินใจหรือ? ทำไม เจ้าเป็นหยกดิบข้าคือก่อกำเนิด? ข้าคือผู้ฝึกกระบี่เจ้าคือเซียนกระบี่? อาศัยว่าตัวเองมีอายุลวงมากกว่าแค่ไม่กี่ปีก็วางมาดเป็นผู้อาวุโสกับข้าแล้วอย่างนั้นรึ?”
“…”
“กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มนั้นชื่อว่าอะไร?”
“เย่หลาง”
“ศิษย์พี่ของข้าช่วยตั้งชื่อให้เจ้ารึ?”
หยวนฮว่าจิ้งพยักหน้า “เป็นราชครูตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง”
อันที่จริงตอนแรกไม่ได้ชื่อนี้ แต่เป็นชื่อ ‘ถิงหลิง’ ซึ่งสอดคล้องกับวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตของกระบี่บินมากกว่า
“รู้จุดประสงค์หรือไม่?”
“ราชครูกำลังเตือนข้าว่าอย่าได้ไม่เห็นใครอยู่ในสายตา อย่าได้อวดเก่งจองหอง (มาจากประโยคเย่หลางจื้อต้า)”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อ่านตำราน้อยไปหรืออย่างไร ถึงได้คิดอะไรตื้นเขินเช่นนี้”
หยวนฮว่าจิ้งขมวดคิ้ว จากนั้นก็เอ่ยอย่างจริงใจว่า “ขอเจ้าขุนเขาเฉินช่วยไขความกระจ่างให้ข้าด้วย”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้าว่า “คนไม่เดินทางยามค่ำคืน จะรู้ได้อย่างไรว่าบนถนนยามค่ำคืนมีคนออกเดินทาง เจ้าไม่เป็นเซียน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าท่ามกลางป่าเขาล่างภูเขามีเซียนผู้บรรลุมรรคาที่แท้จริง จริงหรือไม่ แม้ว่าจะเป็นการเตือนไม่ให้เจ้าหลงระเริงตนเหมือนกัน แต่ในนี้มีความหมายอยู่หลายชั้น แม้กระทั่งคำตอบที่เหตุใดถึงต้องเตือนเจ้าว่าอย่าอวดเก่งจองหอง ก็ได้บอกกล่าวเจ้าไว้พร้อมกันตั้งนานแล้ว ต่อให้กลายเป็นคนที่เดินทางยามค่ำคืน ม่านฟ้ามืดมนหนาหนัก ยื่นมือไปมองไม่เห็นห้านิ้ว เจ้าก็จะยังมองไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ยังคงไม่รู้ว่าอะไรคือป่าเขาของใต้หล้า”
หยวนฮว่าจิ้งขบคิดตามอย่างละเอียดก็รู้สึกว่ามีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่จริง จึงพยักหน้ารับ “ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”
หนิงเหยาใช้เสียงในใจสอบถาม “เป็นเช่นนี้จริงหรือ”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจตอบ “ข้าก็พูดเหลวไหลไปเรื่อย สอนให้เขารู้ว่าควรจะวางตัวเป็นคนอย่างไรเท่านั้น”
หนิงเหยากลั้นขำ ตัดสินใจอยู่ต่อเป็นเรื่องที่ถูกแล้วจริงๆ น่าสนใจกว่าอ่านหนังสือเยอะเลย
เฉินผิงอันพูดชวนคุย “หยวนฮว่าจิ้ง หากเจ้าเกิดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงสามารถกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์ลำดับต้นๆ เหมือนพวกฉีโซ่ว เกาเหย่โหว ประสบความสำเร็จในด้านเวทกระบี่พอๆ กัน บางทีอาจจะแย่กว่าเล็กน้อย อีกทั้งระยะห่างของทั้งสองฝ่ายย่อมไม่ถึงขั้นกว้างจนเกินกว่าจะไล่ตามได้ทัน ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดของเจ้าก็คือง่ายที่จะตายอยู่บนสนามรบ เพราะจะต้องถูกปีศาจใหญ่จงใจหมายหัว ไม่ยินดีเปิดโอกาสให้เจ้าได้เติบโต”
หยวนฮว่าจิ้งพยักหน้า “ข้าต้องพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้ เชื่อว่าหากข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ แล้วยังได้รบเคียงบ่าเคียงไหล่กับอิ่นกวาน คฤหาสน์หลบร้อนต้องส่งผู้ปกป้องมรรคาที่ดีมาให้ข้าแน่นอน”
หนิงเหยาใช้เสียงในใจเอ่ย “ประโยคนี้พูดได้ไม่ผิด แต่ทำไมฟังแล้วแปร่งๆ”
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจยิ้มตอบ “มีแต่อายุ ไม่มีประสบการณ์ เอาไปวางไว้ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนหวังดีที่กลางดึกอยากจะสอนคนอื่นว่าควรทำตัวอย่างไรมีมากมายเลยล่ะ”
เฉินผิงอันถามอีก “เจ้าอยากอาศัยแค่วิชาอภินิหารของกระบี่บินตัวเอง ทำตามแบบอย่าง รอให้อนาคตเจ้าเลื่อนเป็นเซียนเหรินก็จะสามารถสร้างบุคคลสมบูรณ์แบบที่คล้ายคลึงกับแผนภูมิดินเล็กขึ้นมาได้แล้วหรือ?”
หยวนฮว่าจิ้งพยักหน้า ยอมรับในข้อนี้อย่างตรงไปตรงมา
อยู่กับเฉินผิงอัน ไม่มีอะไรให้ต้องปิดบัง
“เจ้าสามารถจินตนาการถึงเหตุการณ์หลังจากวันนั้นมาถึงได้ ความมีหน้ามีตาของตัวเองไร้ที่สิ้นสุด อยู่ในสถานที่ห่างไกลอย่างแจกันสมบัติทวีปนี้ เมื่อยืนอยู่บนยอดเขาของหนึ่งทวีป มองไปรอบด้านล้วนไร้ศัตรูทัดทาน”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาตบลงบนหัวเข่าอย่างผ่อนคลาย ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า เส้นทางเดินขึ้นสู่ที่สูงเส้นนี้ เดินก้าวขึ้นบันไดไปทีละก้าว ผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ของสายแผนภูมิดิน ต่างคนต่างก็มีคอขวดในการฝึกตน มีธรณีประตูและสภาพจนตรอกเป็นของตัวเอง ถึงเวลานั้นแต่ละคนถูกเจ้าทิ้งระยะห่างออกไป ไปอยู่ข้างหลังเจ้า หรืออาจถึงขั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเจ้า?”
เฉินผิงอันหรี่ตา วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่า ใช้ฝ่ามือลูบคลึงฝักกระบี่เบาๆ “ตอบให้ดี หากตอบผิด ข้าคนนี้ต่อให้ไม่ชอบพลิกเปิดบัญชีแค้นแค่ไหน ต่อให้เป็นพระโพธิสัตว์รูปปั้นดินเผาก็ยังมีไฟโทสะได้ ข้าเองก็มีอารมณ์ได้เหมือนกัน”
หยวนฮว่าจิ้งลังเลเล็กน้อย “ข้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้ามี ‘เย่หลาง’ เล่มหนึ่ง คุณสมบัติด้านการฝึกตนของข้าดีที่สุด ในอนาคตเมื่อคนสิบสองคนของสายแผนภูมิดินถูกเติมเต็มจนครบถ้วน ก็ควรเป็นข้าที่ยืนอยู่ในนั้น”
“ดังนั้นข้าไม่ค่อยสนใจเท่าใดนัก ระหว่างเส้นทางการเดินขึ้นเขาของพวกเขาได้ช่วยเหลือข้าไปมากเท่าไร ก็ล้วนเป็นหน้าที่ของพวกเขา ไม่อาจเพิกเฉยได้”
“สิ่งเดียวที่ทำให้ข้ารู้สึกว่าควรจะเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาก็คือทุกครั้งที่สงครามปิดฉากลง พวกเขาห้ามปฏิเสธเด็ดขาด ทุกครั้งล้วนเป็นข้าที่ได้ผลประโยชน์ไปมากที่สุด แต่กลับไม่มีใคร ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกตนของฝ่ายซ่งซวี่ ก็ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรที่ไม่ถูก”
“ข้าหยวนฮว่าจิ้งไม่ใช่คนโง่ แยกแยะได้ชัดเจนว่าอะไรคือความจริงใจ อะไรคือความเสแสร้งหลอกลวง รอยยิ้มของใครซุกซ่อนความอิจฉาริษยาเอาไว้ ต่อให้เป็นตอนที่ข้ายังไม่ได้เริ่มฝึกตน นับแต่เด็กมาข้าก็มีความรู้สึกเช่นนี้มาโดยตลอด”
“เฉินผิงอัน ข้ายังคงยืนหยัดในความคิดก่อนหน้านี้ คนอย่างเจ้าที่เคารพกฎมีเหตุผลกับทุกเรื่องราว ก็ต้องมีสักวันหนึ่งที่จะทำเรื่องสองเรื่องที่ไร้เหตุผล หากไปอยู่บนภูเขาตระกูลเซียนยังพูดง่าย อย่างมากสุดก็คือความอัปยศความรุ่งเรืองของคนไม่กี่ร้อยคนเท่านั้น แต่หากเกิดขึ้นกับราชวงศ์ต้าหลี จะส่งผลกระทบต่อคนกี่มากน้อย? ดีไม่ดีอาจเป็นหลายล้านหรือหลายร้อยล้านคน
ดังนั้นราชวงศ์ต้าหลีของพวกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสายแผนภูมิดินของพวกเราจึงจำเป็นต้องมีศักยภาพมากพอที่จะงัดข้อกับภูเขาลั่วพั่วได้ในระดับหนึ่ง”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “ไม่ว่าจะพูดผิดหรือพูดถูก ขอแค่ยอมเปิดเผยความในใจ นี่ก็ถือว่าปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างจริงใจมากพอแล้ว ได้ ถือว่าเจ้าผ่านด่านแล้ว”
หยวนฮว่าจิ้งเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
ต้องยังไม่จบแน่นอน
เฉินผิงอันไม่มีทางปล่อยตนไปง่ายๆ แบบนี้แน่
ตอนนี้ความหวังเพียงหนึ่งเดียวของหยวนฮว่าจิ้งก็คือตนเองและตระกูลหยวนอย่าได้กลายไปเป็นภูเขาตะวันเที่ยงแห่งถัดไปเลย
เฉินผิงอันหยิบเย่โหยวขึ้นมาถือ ลุกขึ้นยืน เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า “คนฉลาดอย่างพวกเจ้าอย่าปล่อยให้ความคิดโลเลไม่แน่นอน ทุกวันเอาแต่คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปอย่างส่งเดช นี่คือข้อห้ามใหญ่สำหรับการฝึกตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าได้แสวงหาผลประโยชน์ใหญ่หลวงที่สุดในทุกๆ เรื่อง เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน คิดว่าตัวเองเป็นท่านเทพเทวดาน้อยในนิยายยุทธภพที่วางขายอยู่ในร้านหนังสือหรือไร?”
“หยวนฮว่าจิ้ง ข้ามีคำแนะนำอย่างหนึ่งให้เจ้า เจ้าก็คิดเสียว่าศิษย์พี่ของข้ายังอยู่”
——