กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 840.4 ครามเกิดจากต้นครามแต่สีเข้มกว่าคราม
เฉินผิงอันเดินลงบันได “ต่อให้ศิษย์พี่ไม่อยู่ ข้าที่เป็นศิษย์น้องก็ยังอยู่ วันหน้าข้าจะไปพักที่หอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นแห่งนั้นบ่อยๆ สหายในเมืองหลวงของข้ามีไม่มาก ไม่แน่ว่าวันใดอารมณ์ไม่ดีก็อาจจะมาหาสหายที่เพิ่งรู้จักอย่างเจ้า ดื่มเหล้ารำลึกความหลังกัน”
อันที่จริงระหว่างหยวนฮว่าจิ้ง เฉินผิงอันยังมีบัญชีเล่มเก่าที่ยังไม่เปิดออกมาชำระ หลักๆ แล้วเป็นเพราะหยวนฮว่าจิ้งผู้นี้ไม่ค่อยเหมือนกับสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นต้าหลีที่แท้จริงแล้วภูมิลำเนาอยู่ที่ตรอกเอ้อหลางของบ้านเกิดสักเท่าไร ไม่สามารถคิดบัญชีรวมกันได้ทั้งหมด
ส่วนสกุลสวี่นครลมเย็น อาศัยโชคชะตาบุ๋น โชคชะตาบู๊ที่แคว้นหูแอบสะสมมา จากนั้นให้บุตรสาวสายตรงแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวน เป้าหมายย่อมใหญ่มาก
เฉินผิงอันถือเย่โหยวไว้ในมือ วางพาดบนไหล่ของหยวนฮว่าจิ้งเบาๆ “ใช่แล้ว หากเจ้าเป็นหนึ่งในคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจของสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นมาตั้งแต่แรก แล้วเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าไม่ควรยุ่งด้วย ถ้าอย่างนั้นวันนี้หลังจากเจ้าออกไปจากโรงเตี๊ยมแล้วก็สามารถเตรียมตัวได้แล้วว่าจะหนีเอาชีวิตรอดอย่างไร”
หยวนฮว่าจิ้งจำต้องฝืนนิสัยเป็นฝ่ายอธิบายว่า “หลังจากที่ได้กลายเป็นผู้ฝึกตนของสายแผนภูมิดิน ข้าก็เป็นฝ่ายสลัดความสัมพันธ์จากตระกูลแล้ว”
ใช้ฝักกระบี่เคาะไหล่เบาๆ เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สุดท้ายจะพูดนอกเรื่องสักประโยค แจกันสมบัติทวีปมีข้าเฉินผิงอันอยู่ ถ้าอย่างนั้นผู้ฝึกตนของสายแผนภูมิดินอย่างพวกเจ้า อันที่จริงจะมีหรือไม่มีก็ได้ ต่างคนต่างกลับบ้านไปฝึกตนของตัวเองก็ได้แล้ว เพราะสิ่งที่ศิษย์พี่ต้องการมีเพียงสำนักเซียนอักษรจงในอนาคตแห่งนั้นเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ตามในกลุ่มของพวกเจ้า ไม่ว่าจะขาดใครไปก็ได้ทั้งนั้น พวกเจ้าในเวลานี้ยังห่างชั้นอีกไกลนัก”
เฉินผิงอันเก็บนกในกรงกลับมา
ทุกคนเห็นว่าหยวนฮว่าจิ้งยืนอยู่ที่เดิม ถึงกับไม่ได้นอนหลับอยู่บนพื้น จึงประหลาดใจกันอย่างมาก
เฉินผิงอันมองไปยังหันโจ้วจิ่น ยิ้มกล่าว “แม่นางหันยังไม่เปิดรับเดิมพันอีกหรือ?”
หันโจ้วจิ่นเขินอายเล็กน้อย ช่างเจ้าคิดเจ้าแค้นเสียจริง
อวี๋อวี๋ทำสีหน้าอึ้งตะลึง “หา? ยังสามารถหาเงินด้วยวิธีนี้ได้ด้วยหรือ?!”
เฉินผิงอันออกจากโรงเตี๊ยมไปพร้อมกับหนิงเหยา ปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็กที่ตั้งของเรือนหลังนั้น สังเกตเห็นว่าอาจารย์ของตนกลับมาจากสำนักศึกษาชุนซานแล้ว มารออยู่ที่หน้าประตูโรงเตี๊ยม คนทั้งสองจึงเดินเคียงบ่ากันเข้าไปในตรอก เฉินผิงอันพลันเบี่ยงตัว ฝีเท้าไม่หยุดนิ่ง มองไปยังใบหน้าด้านข้างของหนิงเหยา “ข้าพลันนึกคำพูดอย่างหนึ่งออก คงจะเป็นเพราะคำว่าการเติบโต ก็คือตัวเองที่ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ว่าดีหรือเลว กำลังรอคอยให้พวกเราในวันนี้เดินไปพบหน้ากัน ถูกไหม?”
หนิงเหยาพูดเสียงขุ่น “ถูกกะผีน่ะสิ”
เรื่องที่อันตรายขนาดนี้ แม้กระทั่งนางยังรู้สึกหวาดผวาไม่หาย แต่เจ้ากลับดีนัก ทำราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “อันที่จริงเป็นเจ้าที่สอนข้า ไม่ว่าปัญหายุ่งยากใดๆ ที่มาเยือนถึงบ้าน คิดให้ชัดเจนแล้วก็ไม่ต้องอืดอาด ควรปิดประตูก็ปิดประตู ไม่ต้องคิดมากแม้แต่น้อย หากยังอยู่ข้างนอก กลับกลายเป็นว่าจะคิดมากกว่า”
หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “ข้าเคยสอนเจ้าเรื่องนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เคยสิ”
จากนั้นหมุนตัวกลับ เฉินผิงอันใช้เสียงในใจกล่าวว่า “อันที่จริงข้าเองก็รู้ดีว่าทุกวันนี้อาจารย์อยู่ในแจกันสมบัติทวีปต้องไม่ได้ผ่อนคลายอย่างแน่นอน ก็จะได้มีข้ออ้างให้อาจารย์กลับไปยังศาลบุ๋นแผ่นดินกลางล่วงหน้าพอดี”
ทุกวันนี้อันที่จริงมีเพียงสองสถานที่เท่านั้นที่อาจารย์อยู่แล้วจะสบายหน่อย ศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง สวนกงเต๋อ นอกจากนั้นก็คือสามทวีปที่ผสานมรรคาด้วย ทักษินาตยทวีป ใบถงทวีป ฝูเหยาทวีป
ต่อให้อาจารย์ได้ตำแหน่งเทพของศาลบุ๋นกลับคืนมา ทว่าขุนเขาสายน้ำของสามทวีปนั้นพังทลายไปมากเกิน ดังนั้นการปรากฏตัวในสถานที่ที่นอกเหนือจากสามทวีปนี้ก็จะมีสภาพการณ์เหมือนการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทั้งอยากพูดคุยกับอาจารย์ให้มาก แล้วก็ทั้งไม่ยินดีให้อาจารย์ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานด้วย
ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมที่ห่างไปไม่ไกล ถึงอย่างไรเถ้าแก่ผู้เฒ่าก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าแล้ว ผู้เฒ่าที่ได้บุตรสาวมาตอนอายุมาก ก่อนหน้านี้รู้สึกว่าฝืนบังคับห้ามลูกสาวเอาไว้ ดูท่าคงจะไม่เป็นผล ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์ในทางตรงกันข้ามอีกด้วย แผนการแรกไม่สำเร็จก็เกิดแผนการอย่างใหม่ จึงเป็นฝ่ายบอกให้บุตรสาวไปหาหนิงเหยา ขอกราบอาจารย์เรียนวิชา หลักการเหตุผลที่มอบให้บุตรสาว แน่นอนว่าต้องมี สตรีในยุทธภพทั่วไป อย่างมากก็แค่พกกระบี่ติดกายไว้เล่มเดียว แต่หนิงเหยาผู้นั้นกลับพกกล่องกระบี่ วิชาหมัดเท้าจะแย่ได้หรือ? หากยังไม่เป็นจอมยุทธหญิงในยุทธภพ ใครยังจะเป็นได้อีก? ดังนั้นตอนนั้นลูกสาวคนโง่จึงไปเคาะประตูจริงๆ
เด็กสาวที่อยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เวลานี้มาอยู่ตรงโต๊ะคิดเงิน ดวงตาของนางสว่างวาบเมื่อเหลือบมองไปเห็นขนมหมาฮวาถุงนั้น “ท่านพ่อ คิดยังไงถึงซื้อขนมหมาฮวามาให้ข้าได้ล่ะ?”
นางหยิบขนมชิ้นหนึ่งขึ้นมาเคี้ยวกินดังกรุบกรอบ
เถ้าแก่ผู้เฒ่าไม่ได้แก่แล้วเลอะเลือน บอกว่าเป็นน้ำใจจากเจ้าเด็กเฉินผิงอันนั่น เขามอบของกินเล่นมาให้เปล่าๆ ถุงหนึ่ง เพียงแค่หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ข้าที่เป็นบิดา รักลูกสาวของตัวเองหรือไม่ เจ้าที่เป็นลูกสาว ในใจจะไม่รู้เลยหรือ?”
เด็กสาวพูดเสียงอู้อี้ “รักสิๆ ข้ารู้ๆ”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าถาม “ถ้าอย่างนั้นจะยังกราบอาจารย์อยู่อีกหรือไม่?”
ผู้เฒ่ายังยิ้มตาหยีเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “หากยังมีกำลังใจ พ่อก็สามารถช่วยเจ้าได้”
เด็กสาวส่ายหน้า เอ่ยว่า “ช่างเถิด ก่อนหน้านี้เพราะเชื่อท่านพ่อจึงเป็นฝ่ายไปเคาะประตู ใช้ความกล้าไปจนหมดสิ้นแล้ว ข้าค้นพบว่าตัวเองกลัวอาจารย์หนิงคนนั้นมาก แค่นางถลึงตาหนึ่งครั้งเลิกคิ้วหนึ่งที ข้าก็แทบพูดไม่ออกแล้ว”
เด็กสาวเอาอย่างหนิงเหยา ทำท่าเลิกคิ้วถลึงตาแล้วหัวเราะอยู่กับตัวเอง
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเหลือบตามองถุงกระดาษน้ำมันแล้วก็รู้สึกว่ามโนธรรมในใจไม่สงบ จึงยิ้มเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมว่า “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เฉินผิงอันผู้นั้นไม่ใช่พวกอันธพาลเกเรเกตุงอะไรจริงๆ”
เด็กสาวเกือบจะสำลัก นางพลันหัวเราะ “แรกเริ่มก็กลัวเขาจริงๆ ตอนนี้ย่อมต้องรู้แล้ว ตัวเขาน่ะไม่ได้เลวร้ายหรอก”
ข้าไม่ได้โง่เสียหน่อย สายตาที่เจ้าหมอนี่มองอาจารย์หนิงในแต่ละครั้ง อันที่จริงก็มีแค่สองคำเท่านั้น รักลึกซึ้ง
ในตำราบอกว่า ผู้หญิงที่ดีกลัวผู้ชายตามตอแย ต้องเป็นเขาที่เซ้าซี้พัวพัน พูดจาเอาอกเอาใจแน่นอน ถึงได้จีบอาจารย์หนิงติด
เด็กสาวหยิบขนมหมาฮวาหวานกรอบชิ้นที่สองมากิน ถามว่า “ท่านพ่อ ท่านว่าเขาเองก็ไม่ใช่อันธพาลอะไร แล้วยังเป็นคนต่างถิ่นที่ออกท่องยุทธภพ แถมเพิ่งเคยมาเป็นแขกที่โรงเตี๊ยมเราเป็นครั้งแรกด้วย เหตุใดคืนนั้นสายตาที่เขามองข้าถึงได้แปลกประหลาดเช่นนั้นล่ะ?”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็บอกเหตุผลของตัวเองให้ฟัง “คงจำคนผิดกระมัง ดึกดื่นขนาดนั้น มองปราดๆ อาจรู้สึกว่าเจ้าไปคล้ายใครบางคนเข้า คนในยุทธภพพบเจอคนมามากมาย เรื่องราวในยุทธภพก็เยอะตามไปด้วย”
ซิ่วไฉเฒ่าที่อยู่หน้าประตูยิ้มถาม “พี่ใหญ่หลิว ขอยืมม้านั่งจากเจ้าสักสองตัวได้หรือไม่ ถือสาหรือไม่หากข้าจะนั่งตากแดดอยู่หน้าโรงเตี๊ยม?”
เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ้มตอบ “เรื่องใหญ่แค่ไหนกันเชียว ได้เลยๆ”
เด็กสาวรีบช่วยไปหยิบม้านั่งยาวสองตัวมาวางไว้ให้ที่นอกประตู วันนี้แดดไม่แรงจึงไม่ร้อนเท่าไร
เฉินผิงอันกับหนิงเหยามาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม ซิ่วไฉเฒ่านั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเฉินผิงอัน หนิงเหยากับเด็กสาวที่มาร่วมวงความครึกครื้นนั่งอยู่ด้วยกัน เพียงแต่เด็กสาวคิดแล้ว สุดท้ายก็ยังเดินจากไป
เฉินผิงอันเล่าเรื่องนั้น ซิ่วไฉเฒ่าพยักหน้า “เรื่องเล็ก ข้าดื่มเหล้าเสร็จแล้วจะไปเชิญหลี่เซิ่งให้เลย”
หนิงเหยากล่าว “ข้าก็จะไปที่ศาลบุ๋นด้วยรอบหนึ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่าโบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน “ไม่ต้อง ข้ายังต้องกลับมา คราวหน้าค่อยออกจากแจกันสมบัติทวีปด้วยกัน”
หนิงเหยาหันไปมองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันพยักหน้า หนิงเหยาจึงไม่ยืนกรานอีก
ซิ่วไฉเฒ่าตามองตรงไปเบื้องหน้า แต่อันที่จริงในใจยินดีราวกับมีบุปผาผลิบาน สายของพวกเราได้ดิบได้ดีกันใหญ่แล้ว
สายของเหวินเซิ่ง หากจะบอกว่าในอดีตนับตั้งแต่ความรู้ของอาจารย์ไปจนถึงความถนัดของลูกศิษย์แต่ละคนเรียกได้ว่าไร้ศัตรูทัดเทียม บางทีอาจมีเพียงเรื่องเดียวที่สู้คนอื่นไม่ได้ นั่นก็คือเรื่องการหาภรรยาของแต่ละคน แต่ทุกวันนี้ก็ไร้เทียมทานอีกแล้วไม่ใช่หรือ?
ซิ่วไฉเฒ่าพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “อาจารย์เคยสูญเสียสถานะของผู้ที่ถูกบูชาไป เทวรูปถูกทุบตี ความรู้ถูกสั่งห้าม ในช่วงเวลาร้อยปีที่ขังตัวเองอยู่ในสวนกงเต๋อแห่งนั้น อันที่จริงอาจารย์ก็มีเรื่องที่มีความสุขอยู่เหมือนกัน เดาออกหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ จากนั้นยื่นเหล้ากาหนึ่งไปให้
ซิ่วไฉเฒ่ารับกาเหล้ามา ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ได้ๆ หากขนาดเรื่องนี้ก็ยังเดาถูก ตาเฒ่ากับหลี่เซิ่งคงต้องแย่งลูกศิษย์กับข้าแน่แล้ว”
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งอึก “เมื่อก่อน หากใต้หล้าไพศาลพูดถึงศิษย์พี่ทั้งหลายของข้า ต้องไม่มีทางขาดคำกล่าวที่ว่า ‘ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเหวินเซิ่ง’ ไปแน่นอน ตอนที่อยู่สวนกงเต๋อ อาจารย์ตกอับห่อเหี่ยวใจ จึงเป็นได้แค่อาจารย์ของพวกศิษย์พี่ทั้งหลายแล้ว สำหรับเรื่องนี้อาจารย์ไม่กลัดกลุ้มไม่กังวล กลับกันยังมีแต่จะดีใจ แอบเบิกบานอยู่กับตัวเอง”
หนิงเหยายิ้มอย่างเข้าใจ
มิน่าเล่าผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขาของหลายๆ ใต้หล้าถึงต่างก็รู้ว่าเหวินเซิ่งรักและลำเอียงเข้าข้างลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองมากที่สุด
ซิ่วไฉเฒ่าดื่มเหล้าไปแล้วก็ลุกขึ้นยืน เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ไปทำธุระก่อนนะ บางทีอาจต้องไปหาเฟิงอี๋ผู้นั้นเพื่อขอบคุณผู้อาวุโสท่านนี้สักคำ หลังจากนั้นคาดว่าคงต้องมีเวลาสักวันสองวันที่ไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
เฉินผิงอันเตรียมจะลุกขึ้นยืน แต่กลับถูกซิ่วไฉเฒ่ากดไหล่ไว้ หันหน้ามามองด้วยสายตาสอบถาม โอกาส เข้าใจแล้วหรือยัง? เฉินผิงอันไม่ได้พยักหน้า แน่นอนอยู่แล้ว อาจารย์ท่านรีบเก็บสายตาท่านไปสิ เดี๋ยวก็กลายเป็นว่าทำสิ่งที่เกินความจำเป็นอีกหรอก ซิ่วไฉเฒ่าพลันกระจ่างแจ้ง มีเหตุผล มีเหตุผล
ทุกอย่างล้วนไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย
ซิ่วไฉเฒ่าไปหาเฟิงอี๋ที่ศาลเทพอัคคีก่อน
ใต้ซุ้มดอกไม้ เฟิงอี๋ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่บนขั้นบันไดรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับทันที นางยอบกายถอนสายบัวคารวะอย่างแช่มช้อย “คาระอาจารย์เหวินเซิ่ง”
ซิ่วไฉเฒ่านั่งอยู่บนม้านั่งหินตัวหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “ก็แค่จะมาขอบคุณที่นี่ ผู้อาวุโสอย่าได้รังเกียจที่มาช้าไป หากว่ารังเกียจ ข้าก็สามารถดื่มลงทัณฑ์ตัวเองได้สามจอก ปัดโธ่ ดูความจำของข้านี่สิ ข้าลืมเอาเหล้ามาด้วยเสียได้!”
เฟิงอี๋โยนเหล้ามักร้อยบุปผากาหนึ่งไปให้ ซิ่วไฉเฒ่าเปิดผนึกดิน สูดดมกลิ่น “เหล้าดี เหล้าดี ดีจนตัดใจดื่มไม่ลงแล้ว”
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงข้างอยู่ในท่าหิ้วกาเหล้าไม่ยอมดื่ม เหล่ตามองเฟิงอี๋
เฟิงอี๋รออยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็ได้แต่โยนเหล้าไปให้อีกกา ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยของซิ่วไฉเฒ่า คงสามารถเงียบรอต่อไปแบบนี้ได้จริงๆ
ในใจนางถอนหายใจหนึ่งที หากจะพูดถึงความอดทน เหวินเซิ่งท่านนี้สามารถทนได้จริงๆ พอคิดถึงเรื่องนี้ เฟิงอี๋ก็ไม่เสียดายเหล้าหมักบุปผาสองกานั่นแล้ว อีกอย่างลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งก็เพิ่งหลอกเอาเหล้าไปจากนางสองกาด้วยไม่ใช่หรือ?
ซิ่วไฉเฒ่ากับลูกศิษย์คนสุดท้ายของเขาคนนั้น คนหนึ่งเท้าหน้าเพิ่งเดินจากไป อีกคนหนึ่งก็พาเท้าหลังเดินเข้ามา นิสัยการกระทำเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยนเลยจริงๆ
แต่สายของเหวินเซิ่ง คนอื่นๆ ที่เหลืออย่างชุยฉาน จั่วโย่ว หลิวสือลิ่ว ฉีจิ้งชุน มีใครบ้างที่ทำตัวหน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้?
โชคดีที่เฉินผิงอันยังรับลูกศิษย์อย่างเฉาฉิงหล่างมาคนหนึ่งซึ่งถือว่าเป็นบัณฑิตที่แท้จริง
ซิ่วไฉเฒ่าวางกาเหล้าที่อยู่ในมือลง สองมือกอดเหล้าหมักร้อยบุปผากาที่สองเอาไว้ พูดด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความละอายใจ “รู้สึกผิดยิ่งนัก ลำบากใจ ลำบากใจ ดูทำเข้าสิ กลายเป็นเหมือนว่ามาเพื่อขอเหล้าดื่มอย่างไรอย่างนั้น”
เฟิงอี๋คลี่ยิ้ม ปลายนิ้วรวบลมเย็นมากลุ่มหนึ่ง สุดท้ายลมเย็นกลายเป็นคำพูดประโยคหนึ่งของลูกศิษย์คนสุดท้ายของซิ่วไฉเฒ่าที่ดังขึ้นตรงซุ้มดอกไม้แห่งนี้
ซิ่วไฉเฒ่าเงี่ยหูตั้งใจฟัง มือหนึ่งกอดกาเหล้า มือหนึ่งลูบหนวดหัวเราะร่า “ประเสริฐ! นี่เรียกว่าครามเกิดจากต้นคราม แต่สีเข้มกว่าคราม!”
ที่แท้ตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยม
เฉินผิงอันเห็นว่าหนิงเหยาจ้องหน้าตน ก้มหน้าดื่มเหล้าแล้วเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง นางก็ยังมองตนอยู่
เฉินผิงอันจึงรีบสาบานทันใด “ฟ้าดินเป็นพยาน เป็นอาจารย์ที่คิดลึกไปเอง!”
——