กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 841.2 บ้านเกิด
แจกันสมบัติทวีปของพวกเราอะไรกัน เผยเฉียนคือปรมาจารย์ใหญ่ที่มีคุณธรรมที่สุดอย่างสมศักดิ์ศรี อำมหิตกับเผ่าปีศาจ เจิ้งซาเฉียนย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอมอย่างแน่นอน มีเพียงตั้งชื่อผิด แต่ต้องไม่มีการตั้งฉายาผิดแน่ ทว่าสำหรับการถามหมัดของผู้ฝึกยุทธฝ่ายเดียวกัน นางกลับเกรงใจ มีมารยาทด้วยในทุกครั้ง หยุดแต่พอสมควร ไม่ว่าใครที่มาหาเพื่อประลองฝีมือ นางก็ล้วนไว้หน้า ไม่รู้จริงๆ ว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาของปรมาจารย์ใหญ่หญิงเช่นเผยเฉียนนี้จะมีมาดองอาจถึงเพียงใด คิดดูแล้วคุณธรรมจริยธรรมคงจะยิ่งสูงส่งเข้าไปในชั้นเมฆเลยกระมัง…
กระทั่งเผยเฉียนปรากฎตัวร่วมงานพิธีที่ภูเขาตะวันเที่ยง เซียนกระบี่ชุดเขียวของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นต่อสู้กับหยวนเจินเย่แห่งภูเขาตะวันเที่ยง…
จากนั้นต่อมาก็มีข่าวเล็กๆ ข่าวหนึ่งแพร่สะพัดไปทั่วยอดเขาของแจกันสมบัติทวีป เป็นเรื่องของการช่วงชิงเขียวและขาวที่สวนกงเต๋อ
มีบางคนอดสงสัยไม่ได้ว่า เคยแต่ได้ยินหลักการที่ว่าคานบนไม่ตรงคานล่างเอียง คิดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องอย่างคานบนเอียงคานล่างตรงด้วย?
แต่แม่นางน้อยถ่านดำคนนั้นก็เป็นเฉินผิงอันที่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาอย่างจริงแท้แน่นอน
ราวกับว่านางกระโดดทีเดียวก็เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
นางถึงกับเดินผ่านเส้นทางของวรยุทธไกลขนาดนั้นด้วยตัวเองแล้ว
อันที่จริงบนภูเขาลั่วพั่วไม่ว่าใครก็รู้ชัดเจนในใจดี อย่าเห็นว่าเฉินผิงอันดุร้ายกับเผยเฉียนที่สุด ควบคุมนางอย่างเข้มงวดมากที่สุด ราวกับว่าใส่อารมณ์กับนางที่สุด แต่ในสายตาของเจ้าขุนเขาหนุ่ม ความอ่อนโยนยามที่มองเผยเฉียนนั้นไม่แพ้ให้กับยามที่มองหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยเลย
หนิงเหยาเอ่ยสัพยอก “วันหน้ารอวันใดเผยเฉียนต้องออกเรือน เจ้าคงกลุ้มใจตายแน่”
เฉินผิงอันแค่นเสียงในลำคอ “ในบรรดาคนวัยเดียวกันก็มีแค่ไม่กี่คนหรอกที่คู่ควรกับเผยเฉียน”
เฉินผิงอันยกสองแขนกอดอก “หากใครกล้ามีใจคิดไม่ซื่อ อวดฉลาดใช้วิธีของพวกเจ้าชู้เสเพลกับนาง ข้าก็จะซ้อมเขาให้อึราดเลย”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “พอเถอะน่า ไหนเลยจะตกมาถึงมือเจ้า หากพวกเขาคิดจะหลอกเผยเฉียนก็ยากมากอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ก็จริงนะ”
แต่เขาก็เอ่ยเสริมอีกประโยคมาอย่างรวดเร็ว “แต่ข้าก็ยังต้องช่วยดูให้อยู่ดี”
จากนั้นก็เอ่ยเสริมมาอีกไม่หยุด “ไม่เพียงแต่ข้า ข้ายังต้องแอบลากพวกจูเหลี่ยน ชุยตงซาน เจียงซ่างเจิน แล้วก็หมี่อวี้ให้มาช่วยข้าดูด้วย พ่อครัวเฒ่าเป็นคนที่อาบน้ำร้อนมาก่อน มีประสบการณ์โชกโชน ชุยตงซานคิดอะไรรอบคอบ ส่วนโจวอันดับหนึ่งและหมี่อันดับรองน่ะหรือ สายตาของคนบ้าตัณหามองคนบ้าตัณหาด้วยกันนั้นแม่นยำที่สุดแล้ว”
“ไม่ได้ ข้าต้องลากอาจารย์จ้งมาด้วยอีกคน ให้มาทดสอบความรู้ของคนผู้นั้น ดูว่าใช่คนที่มีความสามารถอย่างแท้จริงหรือไม่ แน่นอนว่าหากนิสัยใจคอของเจ้าหมอนั่นใช้ไม่ได้ ทุกเรื่องก็อย่าหวังเลย”
เฉินผิงอันสอดสิบนิ้วประสานกัน ยืดแขนออกไปข้างนอก เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่เผยเฉียนไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ชุยตงซานเคยมาคุยกับข้าเป็นการส่วนตัวบอกว่าตอนที่เผยเฉียนยังเด็ก เวลาที่นางเข้าวัดไปกราบไหว้พระ ตอนท้ายจะต้องพูดเสริมประโยคหนึ่งอย่างจริงใจว่า หากพระโพธิสัตว์ยุ่งมากล่ะก็ วันนี้ไม่ต้องฟังก็ได้ ไม่แสดงความศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เป็นไร คราวหน้าค่อยว่ากัน หรือจะเป็นคราวถัดถัดไปก็ได้ ถึงอย่างไรนางก็จะมาบ่อยๆ จึงไม่ได้รีบร้อนอะไร”
เผยเฉียนให้เขาสาบานว่าห้ามบอกคนอื่น
อันที่จริง เป็นเพราะนางไม่อยากให้ตนที่เป็นอาจารย์พ่อรู้มากกว่ากระมัง
หนิงเหยาหันหน้ามามองใบหน้าด้านข้างของเขา
เฉินผิงอันหันมามอง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หล่อเหลาสง่างามมากเลยใช่ไหม?”
หนิงเหยาพยักหน้า
ไม่อย่างนั้น?
ไม่อย่างนั้นข้าหนิงเหยาจะคบกับคนอัปลักษณ์หรืออย่างไร?
ไม่อย่างนั้นเจ้าจะยังทำให้สตรีบนภูเขามากมายขนาดนั้นหลงใหลคลั่งใคล้เพียงแค่ได้ดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำได้หรือไร?
เฉินผิงอันรู้สึกรับมือไม่ทันอยู่บ้าง ใบหน้าจึงแดงก่ำอย่างที่หาได้ยาก
หนิงเหยานึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ปีนั้นนางเดินทางไปท่องเที่ยวถ้ำสวรรค์หลีจู นางเคยไปที่เรือนหลังของร้านยาตระกูลหยางมาก่อนพร้อมกับเฉินผิงอัน ตอนนั้นหยางเหล่าโถวก็ถามคำถามหนิงเหยาสองข้อ
บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ มีตัวอักษรแกะสลักไว้กี่ตัว
สรุปแล้วใครที่พูดเสียงในใจ?
หนิงเหยากล่าว “ปีนั้นคำเตือนเกี่ยวกับเสียงในใจของหยางเหล่าโถว แรกเริ่มข้าก็ไม่ได้คิดมาก แต่สำหรับข้าที่ตอนหลังไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ตอนที่ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหยกดิบ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหรินที่ ‘แสวงหาความจริง’ มันกลับช่วยข้าเอาไว้มาก”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ไม่ว่าจะอย่างไร กลับไปถึงบ้านเกิด ข้าก็ต้องไปที่เรือนหลังร้านยาก่อนสักรอบ”
พูดประโยคนี้จบ เฉินผิงอันก็ก้มหน้ามองรองเท้าผ้าบนเท้า
หนิงเหยารู้ว่าเป็นเพราะอะไร เฉินผิงอันกำลังเตือนตัวเองว่าตัวเองเป็นใคร
ก่อนหน้านั้นตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมตระกูลเซียน ตอนที่เฉินผิงอันนั่งอยู่บนขั้นบันไดก็ทำท่าทางแบบนี้เหมือนกัน
บางทีอาจเป็นเพราะเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงได้ค่อยๆ เปลี่ยนเสื้อผ้าที่สวมใส่ เปลี่ยนรองเท้า สถานะ อายุ…
แต่สิ่งเดียวที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปก็คือรองเท้าสานในใจ
เฉินผิงอันคิดว่าเดี๋ยวหลังจากนี้จะไปถามเรื่องหนึ่งกับจ้าวตวนหมิง ในเมืองหลวงมีร้านอาหารเล็กๆ ร้านใดที่รสชาติดั้งเดิมเป็นเอกลักษณ์บ้างหรือไม่ เขาจะได้พาหนิงเหยาไปเดินเที่ยวเล่นด้วยพอดี
นึกเรื่องในอดีตบางเรื่องขึ้นมาได้
‘หากข้าโกนหนวด พวกเจ้าสองคนรวมกันแล้วก็ยังหล่อเหลาสู้ข้าไม่ได้เลย’
‘เจ้านี่นะ หม้อไฟเผ็ดมากเลยหรือ? ข้างมือเจ้าก็ยังมีเหล้าอยู่ไม่ใช่หรือ ดื่มแก้เผ็ดได้นะ เจ้ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้นทำไม ข้าจะหลอกเจ้าหรือ…ฮ่าๆ เจ้านี่โง่จริงๆ ดันเชื่อซะได้’
‘ดื่มช้าๆ หน่อย เหล้าไม่หนีออกไปจากถ้วยหรอก’
สองมือของเฉินผิงอันสอดกันอยู่ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า โยกไหล่เบาๆ มองถนนที่เงียบสงบแต่กลับไม่สงัดวังเวง
หากไม่พูดถึงมื้ออาหารทั่วๆ ไป เฉินผิงอันพลันค้นพบว่าอันที่จริงชีวิตนี้ของตน มื้ออาหารอุดมสมบูรณ์ประเภทที่ว่ามีปลาตัวโตมีเนื้อชิ้นใหญ่ที่เคยได้กินมากลับมีน้อยจนนับนิ้วได้ มื้อแรกคือตอนที่พาพวกเป่าผิงน้อยเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ ได้กินอาหารป่าหายากที่จวนของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าแคว้นหวงถิงที่จนถึงทุกวันนี้ก็ยังทิ้งปมเล็กๆ ไว้ในใจเฉินผิงอัน หลังจากนั้นก็เป็นที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัว ดื่มสุราร่วมกับครอบครัวของฮ่องเต้ ต่อมาก็เป็นที่นครริมน้ำของทะเลสาบซูเจี่ยน เฉินผิงอันจ่ายเงินจัดงานเลี้ยงสุราอย่างที่หาได้ยาก ตอนนั้นจัดขึ้นก็เพื่อเชิญให้หันจิ้งหลิงองค์ชายของแคว้นสือหาวกับหวงเฮ้อบุตรชายแม่ทัพใหญ่มาร่วมดื่มเหล้ากินอาหาร
หนิงเหยาถาม “ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เริ่มไม่สวมรองเท้าสาน? ตอนไปถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “หากจะพูดถึงครั้งแรกจริงๆ ก็เป็นตอนที่ไปถึงเมืองหลวงต้าสุย ตอนนั้นข้าตั้งใจซื้อเครื่องแต่งกายใหม่ทั้งชุด เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มแข้ง ผลคือพอสวมรองเท้ากลับรู้สึกอึดอัดมาก เกือบจะไม่รู้แล้วว่าควรเดินอย่างไร อีกทั้งภายหลังข้าก็ไม่ได้ไปที่สำนักศึกษา แต่แอบหนีกลับไป เผ่นก่อนเพื่อความเป็นมงคล ตอนนั้นหลักๆ แล้วเป็นเพราะกังวลว่าพวกเป่าผิงน้อยและหลี่ไหวยืนอยู่กับข้าแล้วจะถูกคนอื่นดูแคลน ภายหลังถึงได้รู้ว่าเป็นข้าที่คิดมากไปเอง อันที่จริงไม่ควรหนีไปกะทันหันเช่นนั้น”
จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะกับตัวเอง “อันที่จริงก่อนอายุห้าขวบ ข้าก็ไม่ได้สวมรองเท้าสานนะ เจ้ายังจำได้หรือไม่ว่าในมุมกำแพงบ้านที่ตรอกหนีผิงของข้า ข้าซ่อนไหใบหนึ่งเอาไว้?”
หนิงเหยาพยักหน้า “จำได้ ใบที่เจ้าซ่อนเงินเหรียญทองแดงกับเศษกระเบื้องเอาไว้”
ไหใบนั้นนอกจากจะหยิบเอาเศษกระเบื้องออกมาแล้ว ดูเหมือนว่าภายหลังจะถูกเฉินผิงอันวางไว้ที่บ้านบรรพบุรุษหลังนั้นตลอด แม้แต่หนิงเหยาก็ยังไม่รู้ว่าด้านในซุกซ่อน… ‘ทรัพย์สมบัติ’ อะไรเอาไว้
และทุกครั้งที่เฉินผิงอันกลับบ้านเกิดหลังจากเดินทางไกลก็จะต้องไปเฝ้าคืนอยู่ที่ตรอกหนีผิงคืนหนึ่งโดยไม่มีข้อยกเว้น เขาจะนั่งอยู่ที่นั่นคนเดียวกระทั่งฟ้าสาง
เฉินผิงอันตอนที่เป็นเด็กหนุ่มไม่หวังให้ใครมาเวทนาตน อีกทั้งยังรู้สึกจากใจจริงว่าตัวเองนับว่ามีชีวิตที่ดีใช้ได้
เฉินผิงอันยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อันที่จริงตอนที่ข้ายังเด็กก็ไม่ได้เอาของทั้งหมดไปขายแลกเงิน ยังเก็บของสองอย่างเอาไว้”
บ้านเกิดของเขามีความเคยชินอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่มี ทุกครอบครัวก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่ถือว่าเป็นครอบครัวหนึ่งแล้ว
หนิงเหยาหันตัวมา ถามอย่างประหลาดใจว่า “อะไรหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้างสดใส ยกสองมือขึ้นตั้งวางอยู่ตรงหน้าตัวเอง ฝ่ามือสองข้างอยู่ห่างกันไม่ไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “รองเท้าคู่หนึ่งที่ข้าสวมตอนเด็ก ใหญ่แค่นี้เอง ฮ่า เล็กมากๆ เลยใช่ไหมล่ะ”
จากนั้นเฉินผิงอันก็ทำไม้ทำมือประกอบอีก “ยังมีเสื้อตัวเล็กอีกตัว หากกางออกมาก็จะใหญ่เท่านี้”
นางพลันหันหน้ากลับไป ไม่มองบุรุษที่มีรอยยิ้มเต็มใบหน้าอีก
เขายื่นมือมากุมมือของนางเอาไว้ เอ่ยเสียงเบาว่า “หนิงเหยา วันหน้าชื่อลูกของพวกเรา ข้าคิดไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ชื่อว่าเฉินหนิงดีไหม? หากจะให้ใช้แซ่ตามเจ้าก็ได้เหมือนกัน แต่ข้ากลับรู้สึกว่า ‘หนิงเฉิน’ ไม่เพราะเท่า ‘เฉินหนิง’ นะ”
เฉินหนิง
เฉินจากเฉินผิงอัน หนิงจากหนิงเหยา หนิงจากอันหนิงที่แปลว่าสงบสุขสบายใจ เด็กคนนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงก็จะต้องมีชีวิตที่สงบสุขปลอดภัย สุขกายสบายใจตลอดไป
อันที่จริงเฉินผิงอันอยากมีลูกสาวมากกว่า ลูกสาวดีกว่าหน่อย ก็เป็นผ้านวมผืนน้อยนี่นะ แล้วก็อยากให้รูปโฉมเหมือนมารดาของนางมากหน่อย ส่วนนิสัยก็สามารถเหมือนตนมากหน่อยได้
……
ซ่งซวี่อยู่ต่อเพียงคนเดียว
หยวนฮว่าจิ้งนั่งอยู่บนเบาะในห้อง ซ่งซวี่ก็ไม่ได้เข้ามานั่งในห้อง แค่นั่งอยู่ตรงธรณีประตู บุคคลที่เป็นผู้นำของภูเขาลูกเล็กสองลูกได้อยู่ร่วมกันเพียงลำพังอย่างที่หาได้ยาก
หยวนฮว่าจิ้งพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมา ถามด้วยประโยคที่ไม่เคยเอ่ยมาก่อน “ซ่งซวี่ เจ้าพกเหล้ามาด้วยหรือไม่?”
ซ่งซวี่ยิ้มกล่าว “ข้าไม่มีวัตถุฟางชุ่นติดกายเสียหน่อย แล้วก็ไม่ชอบดื่มเหล้าด้วย ไม่ได้พกมา เจ้าลองไปหาก่ายเยี่ยนหรืออวี๋อวี๋ดูได้ พวกนางล้วนยินดีหาเงินส่วนนี้มา”
หยวนฮว่าจิ้งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยเบาๆ ว่า “อันที่จริงใจคนได้ถูกรื้อทิ้งจนสิ้นซากแล้ว”
ซ่งซวี่กล่าวต่อ “ข้าไม่ได้คิดอะไรมาก นอกจากเจ้าแล้ว คนที่เหลืออีกเก้าคนก็มีสภาพจิตใจที่ไม่ต่างจากข้าสักเท่าไร ดังนั้นสิ่งที่ถูกอาจารย์เฉินรื้อถอนอย่างแท้จริงมีเพียงความเห็นแก่ตัวและใจที่ทะเยอทะยานของเจ้าเท่านั้น หากจะต้องทบทวนกระดานหมากกันจริงๆ อันที่จริงก็เป็นเจ้าที่ช่วยอาจารย์เฉินกำจัดภัยแฝงที่เดิมทีมีโอกาสงัดข้อกับภูเขาลั่วพั่วทิ้งไป ต่อให้วันหน้าพวกเรายังจะร่วมมือกัน แต่ข้าก็รู้สึกว่าเหมือนอย่างที่อาจารย์เฉินพูด ถูกเจ้าก่อกวนไปครั้งนี้ก็มีแต่จะเดินเรียงแถวเอาหัวคนไปส่งเขาเท่านั้น”
“นอกจากนี้แล้ว เจ้ายังจำต้องยอมรับในข้อหนึ่ง หากพูดถึงแค่ตัวเจ้าคนเดียว เจ้าก็ไม่เหลือความกล้าหาญที่จะไปถามกระบี่กับอาจารย์เฉินอีกแม้แต่น้อยแล้ว หลอกตัวเองไม่มีความหมายใดๆ หรอกนะ”
“สำหรับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราแล้ว อันที่จริงนี่คือความพ่ายแพ้แบบหมดรูปเลยทีเดียว เรื่องที่เจ้าต้องทำต่อจากนี้ก็คือซ่อมแซมสภาพจิตใจให้ดี ไม่อย่างนั้นก็อาจมีความเป็นไปได้ว่าจะเกิดจิตมาร ไม่ใช่สุยหลินและลู่ฮุย แต่เป็นเจ้าหยวนฮว่าจิ้ง”
หยวนฮว่าจิ้งหันหน้ามามององค์ชายหนุ่มที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองคนนี้ “เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิดไว้เยอะเลย”
ซ่งซวี่ส่ายหน้า “เมื่อเทียบกับอาจารย์เฉินและเสด็จอาแล้ว ข้าจะถือว่าฉลาดอะไร”
หยวนฮว่าจิ้งผู้นี้ต้องไม่ใช่บุคคลที่เป็นวีรบุรุษอะไรแน่ นิสัยอำมหิตเหี้ยมหาญ คือผู้กล้าของพื้นที่หนึ่ง
ซ่งซวี่รู้สึกมาโดยตลอดว่า เป็นอัครเสนาบดีที่สูญสิ้นพลังชีวิต ใช้บุญกุศลที่สะสมมาจนหมดสิ้นก็ไม่สู้เกิดเป็นลูกหลานคนธรรมดาที่สะสมบุญกุศลคุณงามความดีมาเต็มที่ยังดีกว่า
ดังนั้นซ่งซวี่ถึงได้รู้สึกว่าตัวเองคุยกับหยวนฮว่าจิ้งไม่รู้เรื่อง ซึ่งเดิมทีคนทั้งสอง คนหนึ่งคือองค์ชายสกุลซ่ง อีกคนหนึ่งคือลูกหลานสกุลเสาค้ำยันแคว้น ควรจะถูกชะตาและเข้ากันได้ดีอย่างถึงที่สุดถึงจะถูก
ซ่งซวี่ยกสองมือกอดอก เอนตัวพิงกรอบประตูด้านหนึ่ง หันหลังให้หยวนฮว่าจิ้ง องค์ชายรองของต้าหลีผู้นี้หันหน้าเข้าหาลานบ้าน “เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ว่า อาจารย์เฉินกับเฉินผิงอันคนนั้นเหมือนสองขั้วที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง?”
“ราชครูเคยบอกว่า ไม่ว่าผู้แข็งแกร่งคนใดก็ตามบนโลกใบนี้ หากได้แค่ทำให้คนหวาดกลัว ยังไม่เพียงพอ ต้องให้คนเคารพยำเกรงด้วย หากจะบอกว่าเฉินผิงอันที่ก่อนหน้านี้เปิดประตูเดินออกมาจากคันฉ่องหยุดวารีด้วยตัวเองทำให้พวกเราทุกคนรู้สึกสิ้นหวัง หมื่นสรรพสิ่งล้วนมอดม้วย ดังนั้นจึงเป็น ‘ซวี’ ในสิบสองแผนภูมิดิน”
“ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เฉินที่ตามมาช่วยพวกเราในภายหลังก็คือการเลือกนิสัยใจคอของพวกเราที่เขาให้การยอมรับ เขาในเวลานั้นก็คือเหม่า? เฉิน? เจิ้นอู่เซิน? ดูเหมือนว่าจะไม่ถูกเลยสักข้อ บางทีอาจจะเหมือนทุกอย่างที่นอกเหนือจาก ‘ซวี’ มากกว่า?”
หยวนฮว่าจิ้งมองแผ่นหลังนั้น รู้สึกคล้ายกับว่าเพิ่งได้รู้จักองค์ชายต้าหลีคนนี้เป็นครั้งแรก
ตอนที่ซ่งซวี่บ่มเพาะกระบี่บิน ‘ถงเหยา’ ออกมาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนสายของแผนภูมิดิน ก็หมายความว่าชั่วชีวิตนี้ซ่งซวี่ไม่อาจเป็นฮ่องเต้ได้แล้ว
หยวนฮว่าจิ้งถาม “ซ่งซวี่ เจ้าเคยคิดอยากเป็นฮ่องเต้หรือไม่?”
ซ่งซวี่พยักหน้ารับ “แน่นอนว่าต้องเคย ข้าถึงขั้นเคยเกลียดกระบี่บิน ‘ถงเหยา’ เล่มนี้ด้วยซ้ำ ทว่ามีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ข้าก็ไม่อยากเป็นแล้ว”
“นั่นเป็นงานพิธีบวงสรวงครั้งหนึ่ง พวกเราจำต้องคอยให้การคุ้มกันอย่างลับๆ ข้ามองเสด็จพ่อที่สวมชุดคลุมมังกรเหมือนดวงเดือนที่ถูกหมู่ดาวห้อมล้อมอยู่ไกลๆ แน่นอนว่าเสด็จพี่ก็อยู่ในกลุ่มคนด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใด ข้าไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกอิจฉา กลับกันยังรู้สึกอึดอัด ราวกับว่าชุดคลุมมังกรตัวนั้นก็คือกรงขัง ตอนนั้นข้ามีความคิดที่ประหลาดอย่างหนึ่ง นั่นก็คือฮ่องเต้ต้าหลีของพวกเรา ชั่วชีวิตนี้สามารถไปเยือนสถานที่แห่งใดได้บ้าง? คืนนั้นข้าจึงไปที่หัวกำแพงเมืองมารอบหนึ่ง ยืนอยู่บนจุดสูง แล้วจู่ๆ ก็ค้นพบว่าฟ้าดินกว้างใหญ่ ดูเหมือนข้าจะไปไหนก็ได้ทั้งนั้น เสด็จพ่อและเสด็จพี่กลับทำไม่ได้ นาทีนั้นข้าจึงยินยอมพร้อมใจจะเป็นผู้ฝึกลมปราณที่พิสูจน์มหามรรคาเป็นอมตะนี้แล้ว”