กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 842.3 ผู้ฝึกกระบี่คนใหม่
บนหลังคาเหลาสุราแห่งหนึ่งที่ห่างจากลานประลองยุทธมาค่อนข้างไกล เด็กหนุ่มจ้าวตวนหมิงยื่นแขนไปรัดคอบุรุษคนหนึ่ง เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “ผีขี้เหล้าเฉา?! นี่ก็คือสถานที่ฮวงจุ้ยมงคลดั่งศาลาใกล้น้ำของเจ้าหรือ?!”
เฉาเกิงซินที่ออกจากตำแหน่งขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาจังหวัดหลงโจวกลับมาเลื่อนขั้นขุนนางอยู่ที่เมืองหลวงนานแล้วตบแขนเด็กหนุ่ม ไอสำลักพลางเอ่ยว่า “ตวนหมิงเจ้าเป็นผู้ฝึกตน ระยะห่างแค่นี้ก็ไม่ใช่ว่าห่างเพียงเสี้ยวหรอกหรือ เจ้าก็ยังมองเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่ดี อีกอย่างตรงนี้ก็มองเห็นได้กว้าง เจ้าคงต้องยอมรับกระมัง? ปล่อยมือๆ หากไม่ระวังบีบคอขุนนางแห่งราชสำนักตายไป มีโทษใหญ่หลวงเลยนะ”
จ้าวตวนหมิงกลับเพิ่มแรงมากกว่าเดิม เอ่ยอย่างเดือดดาล “เป็นถึงรองเจ้ากรมแห่งเมืองหลวงผู้ยิ่งใหญ่ ขอท่านปู่บอกท่านย่า ผลกลับกลายเป็นว่าขอจนได้ตำแหน่งนี้มาหรือ ก่อนหน้านี้เป็นใครที่ตบอกดังสนั่นฟ้ารับรองกับข้า กวนข้าเล่นใช่ไหม?!”
เฉาเกิงซินหัวเอียงไปข้างหนึ่ง ตาเหลือกกลับ ก่อนที่ศีรษะจะลู่ตกลง
จ้าวตวนหมิงรีบปล่อยมือ เฉาเกิงซินก็ยืดเอวตรงทันใด ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ถูจนแวววาวตรงเอวลงมา กรอกเหล้าเข้าปากหนึ่งอึก ยืดคอยาวมองไปยังโจวไห่จิ้งที่อยู่ข้างรถม้าตรงปากตรอก เรือนกายช่างสะโอดสะอง สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ ประดุจเดินออกมาจากภาพวาดจริงๆ หากเป็นบุรุษทั่วไปคงยากที่จะควบคุมนางได้ สายตาของเฉาเกิงซินขยับลงด้านล่างเล็กน้อย เช็ดปาก หรี่ตาสองข้างลง ยื่นนิ้วสองนิ้วออกไปกะความยาวอยู่ไกลๆ พลางเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “พี่หญิงไห่จิ้งสมกับคำเล่าลือ ขายาวจริงๆ เลยนะ”
จ้าวตวนหมิงเหลือบมองเป้ากางเกงของเฉาเกิงซิน เฉาเกิงซินเองก็มีสายตาแบบเดียวกัน หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กหนุ่มมองสบตาแล้วยิ้มให้กันอย่างรู้ใจ ดูท่าตบะของอีกฝ่ายจะไม่เลว นับว่ายังพอควบคุมตัวเองได้ เฉาเกิงซินกระแอมหนึ่งที “ตวนหมิงอ่า เป็นคนต้องเที่ยงตรงสักหน่อยนะ”
จ้าวตวนหมิงหลุดหัวเราะพรืด “ข้าได้ยินท่านน้ารองบอกว่า ปีนั้นที่เจ้าเพิ่งจะอายุสิบขวบกว่าๆ ก็เริ่มแอบไปขายภาพวังวสันต์ที่ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์แล้ว เหอะ หากว่าซื้อไม่ไหว ได้ยินมาว่ายังสามารถยืมอ่านได้ด้วย ทุกวันราคาจะต้องเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งเท่าตัว”
เฉาเกิงซินยิ้มกล่าว “แล้วท่านน้ารองของเจ้าได้บอกหรือไม่ว่า ปีนั้นนางก็คือหนึ่งในลูกสมุนที่เดินตามก้นข้าต้อยๆ ช่วยข้าแอบดูต้นทางเวลาไปเยือนบ้านแต่ละหลัง นางเองก็ได้ส่วนแบ่งด้วย ปีนั้นพวกเรารวมกลุ่มกันทำการค้า ทุกครั้งก่อนจะกลับบ้านใครบ้านมันจะต้องนั่งอยู่ด้านบนอิฐเขียวมุมกำแพงตระกูลกวน ต่างคนต่างนับเงิน ก็เป็นท่านน้ารองของเจ้านี่แหละที่ดวงตาสว่างจ้าที่สุด ท่าทางใช้น้ำลายแตะนิ้วนับตั๋วเงิน ชั่งน้ำหนักก้อนเงินทองหยวนเป่าล้วนทำได้คล่องกว่าข้ามากนัก”
จ้าวตวนหมิงปากอ้าตาค้าง ไม่จริงกระมัง ท่านน้ารองในความทรงจำของเขาคือสตรีเรียบร้อยมากมรรยาทผู้ขึ้นชื่อ คือหญิงสาวตระกูลใหญ่ที่หาได้ยากของตรอกอี้ฉือ ในอดีตคนที่มาสู่ขอนางย่ำจนธรณีประตูแทบสึก
แต่จ้าวตวนหมิงก็รู้ว่า อันที่จริงหลายปีมานี้ ในใจของท่านน้ารองก็ไม่ต่างจากสตรีทั้งหลายสักเท่าไร แอบซ่อนเจ้าผีขี้เหล้าคนหนึ่งเอาไว้ แม้จะเกิดความรู้สึก แต่ก็เพราะถูกขนบจารีตพันธนาการ ต่อให้มีความรู้สึกนั้นก็เท่ากับไม่มี
จ้าวตวนหมิงไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมพวกท่านน้ารองถึงไม่ชอบหนอนหนังสืออย่างหยวนเจิ้งติ้ง ดันมาชอบเจ้าคนที่นับแต่เล็กมาก็มี ‘นิสัยชั่วร้ายเปี่ยมล้น ชื่อเสียงฉาวโฉ่’ อย่างเฉาเกิงซินผู้นี้ได้? หรือว่าเกิดจากคำพูดเก่าแก่ชวนหงุดหงิดใจที่บอกว่าบุรุษไม่ร้ายสตรีไม่รักจริงๆ? เด็กหนุ่มเคยได้ยินท่านปู่บอกว่า ในอดีตมีผู้อาวุโสหลายคนของตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ที่ต้องป้องกันเจ้าโจรน้อยตระกูลเฉาที่วันๆ ไม่ทำอะไรเป็นการเป็นงานไม่ต่างจากการป้องกันโจร เรื่องที่ขึ้นชื่อมากที่สุดก็คือบุตรสาวสายตรงตระกูลหยวนที่อายุมากกว่าเฉาเกิงซินสองสามปี ซึ่งก็คือพี่สาวแท้ๆ ของหยวนเจิ้งติ้ง ตอนเด็กไม่รู้ว่านางไปมีเรื่องกับเฉาเกิงซินได้อย่างไร ผลคือเฉาเกิงซินที่ตอนนั้นเพิ่งจะอายุห้าหกขวบจะต้องไปดักรอที่หน้าประตูบ้านนางทุกวัน ขอแค่นางออกจากบ้านมา เฉาเกิงซินก็จะต้องถอดกางเกง
ดังนั้นจนถึงตอนนี้ก็ยังมีคนวัยเดียวกันที่ชอบเรียกเฉาเกิงซินว่าโจรเฉา
จ้าวตวนหมิงใช้เสียงในใจถาม “เจ้าไม่คิดจะถามเรื่องอาจารย์เฉินจากข้าบ้างหรือ?”
เฉาเกิงซินส่ายหน้า ยิ้มเอ่ย “ถามอะไรกัน มีความหมายตรงใด เข้าใจกันอยู่ไกลๆ ต่อให้ไม่เอ่ยอะไรสักคำก็ยังเหนือกว่าการโอภาปราศรัยกันต่อหน้ามากนัก”
จ้าวตวนหมิงพยักหน้า ถามคำถามที่ทั้งตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ล้วนอยากรู้กันอย่างมาก “ผีขี้เหล้าเฉา เจ้าเองก็อายุไม่น้อยแล้ว ทำไมยังโสดอยู่ล่ะ พวกท่านน้ารองของข้าบอกว่าบางทีอาจเป็นเพราะเจ้าไม่ชอบสตรี แต่ชอบบุรุษ ก็เลยยังไม่ได้แต่งงานเสียที”
เฉาเกิงซินโมโหจนตบเข่าฉาด “เจ้าตัวดี ข้าก็ว่าแล้วว่าทำไมทุกๆ สามวันห้าวันพ่อแม่ข้าถึงต้องพูดจาแปลกๆ กับข้าเสมอ ท่านพ่อข้านิสัยเป็นอย่างไร คนที่มีมาดของวิญญูชนถึงเพียงนั้นก็ยังเริ่มบอกข้าเป็นนัยๆ แล้วว่าสามารถไปดื่มเหล้าเคล้านารีที่หอโคมเขียวบ่อยๆ ได้ ที่แท้ก็เป็นพวกสตรีปากมากอย่างพวกท่านน้ารองของเจ้านี่เอง ไม่ได้เรือนกายและจิตใจจากบุรุษรักเดียวใจเดียวอย่างข้าไปก็เลยพูดจาถึงข้าลับหลังเสียๆ หายๆ แล้วก็เพราะว่าข้าอายุมากแล้ว ไม่อย่างนั้นคงถอดกางเกงเปลือยก้นวิ่งไล่ด่าพวกนางไปแล้ว”
จ้าวตวนหมิงหัวเราะหน้าทะเล้น “ผีขี้เหล้าเฉาต่อให้เจ้าถอดกางเกงก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมองเห็นอะไรนะ”
เฉาเกิงซินเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “ทุกวันนี้ตรอกอี้ฉือและถนนฉือเอ๋อร์ไม่น่าสนใจเหมือนตอนที่ข้าเป็นเด็กอีกแล้ว”
จากนั้นเฉาเกิงซินก็ลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม “มิลืมเลือนชะตาแห่งหลิงจิ้วในภพก่อน หวังให้ชาตินี้สมดังปรารถนา เจ้ายังเด็ก ไม่เข้าใจหรอก”
เฉาเกิงซินพลันหันตัวไปยังทิศไกล ยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าในมือขึ้นมา บนหลังคาเรือนหลังหนึ่งมีบุรุษชุดเขียวที่คลี่ยิ้มยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีชาดในมือขึ้นเช่นกัน
ที่แท้ก็เป็นเฉินผิงอันที่ค้นพบว่าหากอยู่บนพื้นก็อย่าหวังว่าจะได้เห็นการประลองหมัดอะไรจริงๆ คนไม่น้อยต่างก็ยกม้านั่ง แบกเก้าอี้มาจากที่บ้าน เขาจึงทำได้เพียงไม่สนใจว่าจะเปิดเผยสถานะ ‘เทพเซียน’ หรือไม่ หายร่างวูบมายังหลังคาเรือนที่การมองเห็นเปิดกว้างแห่งนี้พร้อมกับหนิงเหยา
โจวไห่จิ้งผู้นั้นพาเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นเดินไปยังลานประลองยุทธอย่างไม่รีบไม่ร้อน ในมือยังถือเหล้าหมักตระกูลเซียนบนภูเขาไว้ด้วยกาหนึ่ง นางเดินพลางดื่มเหล้าไปด้วย
หนิงเหยาประหลาดใจเล็กน้อย ปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่กำลังจะถามหมัดกับคนอื่นผู้นี้กรีดกรายเกินไปหน่อยหรือไม่?
เฉินผิงอันกลับรู้สึกเพียงว่าได้เปิดโลกกว้าง ถึงกับหาเงินแบบนี้ได้ด้วย? ตนอยากเรียนรู้ก็ยังเรียนรู้มาไม่ได้
ชุดกระโปรง ปิ่นปักผม เครื่องประทินโฉม กำไลข้อมือ สุราของโจวไห่จิ้ง…ทำให้นางเป็นเหมือนป้ายอักษรทองที่เคลื่อนที่ได้แผ่นหนึ่ง ช่วยกวักเรียกการค้าให้มาหานาง
แล้วก็จริงดังคาด ในกลุ่มคนมีเสียงคนทำการค้าตะโกนป่าวประกาศอย่างต่อเนื่องว่าของชิ้นใดบนร่างของปรมาจารย์ใหญ่โจวมาจากร้านค้าร้านใดบ้าง
ลานประลองยุทธของศาลเทพอัคคีตั้งลานประกอบพิธีกรรมเปลือกหอยของตระกูลเซียนแห่งหนึ่งเอาไว้ หากมองแค่คนที่อยู่ในลาน สองฝ่ายที่คุมเชิงกัน ในสายตาของมนุษย์ธรรมดาจะมีเรือนกายเล็กเท่าเมล็ดงา โชคดีที่อาศัยบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของหลายสถานที่ซึ่งมีของตำหนักฉางชุนเป็นหนึ่งในนั้น ม่านน้ำแต่ละผืนจึงตั้งตระหง่านอยู่รอบด้าน ทำให้มองเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน มีบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของภูเขาลูกหนึ่งที่จงใจหยุดอยู่ที่มวยผมและกระโปรงของโจวไห่จิ้งนานหน่อย ส่วนบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของที่อื่นๆ ก็ส่องไปยังการประทินโฉม หรือไม่ก็ต่างหูของปรมาจารย์ใหญ่หญิงอย่างแม่นยำคล้ายจงใจคล้ายไม่ได้เจตนา
นักเล่านิทานส่วนหนึ่งที่หากินอยู่ในเหลาสุราของเมืองหลวงต่างก็เอาจริงเอาจังกันเป็นพิเศษ หยิบพู่กันขึ้นมาจดบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับปรมาจารย์ใหญ่หญิงอย่างต่อเนื่อง และทุกกระบวนท่าของปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธต่อจากนี้ก็ล้วนจะกลายเป็นเงินขาวทองคำแท้แต่ละเหรียญแต่ละก้อนที่จะหล่นลงในกระเป๋าวันหน้า
โจวไห่จิ้งขว้างกาเหล้าลงบนพื้น มารดามันเถอะ รสชาติธรรมดาเสียเหลือเกิน แล้วนางยังต้องแสร้งทำเป็นว่ากำลังดื่มเหล้าหมักเลิศรสอยู่อีก เหนื่อยกว่าต่อยตีกับคนอื่นเยอะเลย จากนั้นนางก็ดีดปลายเท้าหนึ่งครั้ง เรือนกายพลิ้วโผนอย่างมีชีวิตชีวา ร่อนตัวลงกลางลานประลองยุทธ คลี่ยิ้มหวานหยด กุมหมัดเอ่ยเสียงดัง “โจวไห่จิ้งคารวะผู้อาวุโสอวี๋”
อวี๋หงกุมหมัดคารวะกลับคืน
หนิงเหยาถาม “การถามหมัดครั้งนี้ โอกาสแพ้ชนะจะเป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากดูจากแค่ตอนนี้ ยังคงเป็นโจวไห่จิ้งที่มีโอกาสชนะมากกว่า พื้นฐานวรยุทธขอบเขตเก้าของทั้งสองฝ่ายปูมาได้ดีพอๆ กัน แต่โจวไห่จิ้งมีความกล้าหาญที่จะแบ่งเป็นตาย หากไม่นับท่าไม้ตายของทั้งสองฝ่าย โอกาสชนะก็คงประมาณหกต่อสี่กระมัง อวี๋หงมาเพื่อชนะหมัด โจวไห่จิ้งกลับมาเพื่อฆ่าคน อันที่จริงเมื่อเป็นคนเรียนวรยุทธที่เรียนได้ถึงระดับสูงอย่างพวกเขา ขันแข่งประชันกันไปมาก็เป็นการประชันกันในด้านสภาพจิตใจแล้ว ดูว่าปณิธานหมัดของใครขัดเกลาจนถึงแก่น ใครที่เบื้องหน้าไร้คนได้มากยิ่งกว่า”
หนิงเหยาถาม “หากเจอกับเจ้า พวกเขาสามารถรับได้กี่หมัด?”
เฉินผิงอันยิ้มไม่ตอบคำถาม เพียงแค่ดื่มเหล้าเท่านั้น
หนิงเหยาซักต่อ “ถามเจ้าอยู่นะ”
เฉินผิงอันจึงได้แต่ตอบไปตามตรง “หากคิดจะแบ่งแพ้ชนะให้ได้โดยเร็วจริงๆ ก็เป็นแค่เรื่องของหมัดเดียวแล้ว”
จิบเหล้าหนึ่งอึก เฉินผิงอันมองการคุมเชิงกันบนลานประลองยุทธ “แต่หากเจอกับข้าจริงๆ ต่อให้ก่อนประลองจะรู้ตัวตนกันอย่างชัดเจนแล้ว พวกเขาทั้งสองต่างก็ยังยินดีที่จะลองดู ดังนั้นข้าจึงยังสู้เฉาสือไม่ได้ หากคู่ต่อสู้ของพวกเขาทั้งสองคือเฉาสือ ต่อให้จะกล้าหาญแค่ไหน จะภาคภูมิใจในพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ ในพื้นฐานวรยุทธของตัวเองมากเท่าไร ก็ไม่ต้องพูดถึงเบื้องหน้าไร้คนอะไรแล้ว พวกเขาคงรู้สึกเหมือนว่าด้านหน้ามีภูเขาหรือนครแห่งใดตั้งขวางอยู่มากกว่า ถามหมัดก็เพียงแค่เพื่อการประลองฝีมือ ไม่กล้าเพ้อฝันว่าจะเอาชนะได้”
หนิงเหยาถามอีก “หากเป็นขอบเขตเก้าของเผยเฉียนล่ะ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “หากไม่พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ สามห้าหมัดแบ่งแพ้ชนะ ภายในสิบหมัดแบ่งเป็นตาย”
“สมมติว่าซ่งจ่างจิ้งจะถามหมัดกับเจ้าล่ะ?”
“ตอนนี้ข้าต้องยังแพ้แน่นอน ส่วนจะแพ้อย่างไร ไม่เคยตีกันมาก่อน จึงบอกได้ยาก”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “มีคนต่างถิ่นจากอุตรกุรุทวีปมาสองคน”
ล้วนเป็นยอดฝีมือที่เฉินผิงอันรู้จักพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้จักเฉินผิงอัน
ซิ่วเหนียง ผู้ฝึกยุทธหญิงแห่งอุตรกุรุทวีป ส่วนบุรุษที่เป็นผู้ฝึกตนอีกคนหนึ่งก็คือคนที่เคยต่อสู้กับนางบนภูเขาตี่ลี่
หนิงเหยามองบุรุษคนนั้นแล้วเอ่ยว่า “สองขอบเขตเซียนดินก่อนหน้านี้ของคนผู้นี้ เพราะโลภมากอยากได้ทั้งหมด แต่กลับขบไม่ละเอียด จึงปะปนกันซับซ้อนไม่ถึงแก่นแก้ ระดับความสูงจึงมีจำกัด ต่อให้เลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ คอขวดหลังจากนี้ก็ยังค่อนข้างใหญ่อยู่เหมือนเดิม”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ กอดน้ำเต้าบรรจุเหล้าไว้ในอ้อมอก เอ่ยเสียงเบาว่า “มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระ เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เทพเทวดาประทานอะไรให้ก็ได้แต่รับมาอย่างนั้น กลัวว่าจะเกิดความผิดพลาดแม้เพียงเล็กน้อย”
กลุ่มคนอย่างพวกซ่งซวี่ หันโจ้วจิ่นนั้น บนเส้นทางของการฝึกตนถือว่าโชคดีแบบไม่ธรรมดาแล้ว เทียบกับพวกผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของสำนักอักษรจงแล้วก็ยังเหนือกว่ามาก ไม่ว่าจะคุณสมบัติ ฐานกระดูก พรสวรรค์ นิสัยใจคอล้วนดีเยี่ยมทั้งหมด การหล่อหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตห้าธาตุของผู้ฝึกลมปราณทุกคน การบุกเบิกช่องโพรงลมปราณภูเขาทายาททั้งหลายต่อจากนั้น ล้วนมีความพิถีพิถันอย่างมาก สอดคล้องกับชะตาชีวิตของแต่ละคน ทุกคนล้วนมีพรสวรรค์โดดเด่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตบางอย่างที่ผิดหลักการทั่วไป อีกทั้งทุกคนยังมีสมบัติหนักตระกูลเซียนติดกาย บวกกับที่พวกผู้ถ่ายทอดมรรคายังเป็นยอดฝีมือบนยอดเขาที่เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างกัน คอยมองมาจากจุดสูง คอยชี้แนะไขข้อข้องใจ เส้นทางการฝึกตนจึงเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั่วไปก็แค่กล้าบอกว่าตัวเองเดินทางอ้อมน้อยหน่อยเท่านั้น ทว่าผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่ต้าหลีตั้งใจอบรมปลูกฝังกลุ่มนี้กลับไม่ต้องเดินอ้อมแม้แต่น้อย และยังมีการขัดเกลาจากสงครามที่อันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า จิตแห่งมรรคาถูกเกลาจนแทบจะไร้ตำหนิ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่นหรือการร่วมมือกันตัดหัวศัตรู ก็ล้วนมีประสบการณ์โชกโชน เป็นเหตุให้ผ่านการเคี่ยวกรำมาอย่างหนักหน่วง จิตแห่งมรรคาจึงมั่นคงยิ่ง
ขอแค่พวกเขาหยัดยืนได้มั่นคง ก้าวทีละก้าวจนไปถึงห้าขอบเขตบน ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าทุกคนจะต้องฉายประกายเจิดจ้าแจ่มใสอยู่บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้
หากชดเชยตำแหน่งสุดท้ายได้ครบถ้วน ทั้งสิบสองคนร่วมมือกัน ภายในเวลาร้อยปีก็จะคล้ายคลึงกับป๋ายอวี้จิงจำลองแห่งหนึ่งของต้าหลีที่เดินได้ ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสบดขยี้ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งได้ด้วย แต่แน่นอนว่าต้องเป็นขอบเขตบินทะยานอย่างพวกหนันกวงจ้าว ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยานอย่างผู้ที่มีฉายาว่าชิงมี่ เพราะต่อให้สายแผนภูมิดินจะชนะได้ แต่กลับยากที่จะสังหารได้
——