กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 843.2 ใครล้อมฆ่าใคร
ห่างไปไกลยิ่งกว่า มีคนขี่ม้าตัวหนึ่งควบทะยานมาท่ามกลางก้อนเมฆ บนร่างสวมเกราะสีทอง ในมือถือหอก สวมหน้ากากบนใบหน้า ไม่เห็นรูปโฉมที่แท้จริง ตรงเอวห้อยค้อนดาวตกขนาดเล็กกะทัดรัดสองชิ้น หนึ่งสีแดงสดหนึ่งสีดำสนิท
โหรวถีผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจที่มีฉายาว่าซั่วเหรินยืนอยู่ข้างทหารม้าคนนี้ เรือนกายของนางสูงเพรียว สวมเครื่องแต่งกายของนักพรตหญิงลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานหางปลา
บนร่างสวมชุดเต๋าสีม่วงเหลือง ในมือถือแส้ปัดฝุ่นหนึ่งชิ้น ด้านหลังคือดวงจันทร์เต็มดวงส่องรัศมีอันเคร่งขรึม
แม้ว่าสองคนนี้จะมีตบะเป็นขอบเขตเซียนเหริน แต่ไม่ว่าจะเป็นที่คฤหาสน์หลบร้อนหรือศาลบุ๋นแผ่นดินกลาง ก็ล้วนถูกจัดให้เป็นเป้าหมายที่ต้องฆ่าให้ได้ ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจที่ได้รับเกียรติเช่นนี้ หากรวมโซ่วเฉินด้วยก็มีแค่สามคนเท่านั้น
อาเหลียงกวาดตามองไปรอบด้าน ดวงตาไร้ประกาย อดกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวหลุดประโยคที่เต็มไปด้วยความคับข้องใจ “น่าเวทนานัก ดูเหมือนว่าขบวนรบวันนี้จะแพ้ให้กับป๋ายเหย่ครึ่งระดับ ช่างชวนให้คนอยากตีอกชกตัว รวดร้าวเจ็บปวดใจเสียจริง”
ศึกล้อมสังหารป๋ายเหย่ที่ฝูเหยาทวีป มีปีศาจใหญ่บนบัลลังก์มากมาย มือเดียวก็นับไม่พอ อีกทั้งยังเป็นอดีตราชาบนบัลลังก์ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างทั้งหมดด้วย มีแต่เนื้อไม่มีน้ำเลยแม้แต่น้อย
หลังจากหล่นร่วงจากขอบเขตสิบสี่ก็ถูกคนดูแคลนจริงๆ เสียด้วย
ตอนนั้นก่อนที่ตาเฒ่าอวี๋เสวียนจะ ‘บินทะยานขึ้นฟ้า’ ไป ก็ยังตั้งใจมาพูดประโยคระคายหูกับตนโดยเฉพาะ บอกว่าน้องอาเหลียงอย่าเสียใจไปเลย เจ้าก็คิดเสียว่าพวกเราสองคนแลกเปลี่ยนขอบเขตกัน ไม่ขาดทุนหรอก รอให้ข้าผสานมรรคาได้สำเร็จ จำไว้ว่าต้องขึ้นฟ้ามาฉลองกันด้วยนะ ข้าจะต้องสร้างวีรกรรมที่ตอนยังเป็นเด็กหนุ่มคิดถึงพะวงหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันให้สำเร็จ หลอมทางช้างเผือกเป็นเหล้าหมัก สุราดีมีให้ดื่มจนพอ
พลังการต่อสู้ชั้นสูงสุดของเปลี่ยวร้างที่มาปรากฏตัวในสนามรบตอนนี้ คงมีแค่หกคนที่มองเห็นนี่แล้ว
บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์ย้ายภูเขาในใต้หล้า จูเยี่ยน ขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุด ในบรรดาราชาบนบัลลังก์ในอดีต พลังการต่อสู้ของบรรพจารย์ย้ายภูเขาคนนี้ก็ถือว่าโดดเด่นอย่างมากแล้ว
ไม่เลว
โซ่วเฉิน ผู้ฝึกกระบี่คนใหม่ที่ได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน
พอใช้ได้
ถึงอย่างไรก็ยังหนุ่ม ถือว่าเป็นผู้เยาว์ที่มีประสบการณ์ตื้นเขินที่สุดในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ต่อให้พรสวรรค์ในการหลอมกระบี่จะดีแค่ไหน แต่กระนั้นก็ยังมิอาจชดเชยข้อบกพร่องที่ติดมาจากการที่ขัดเกลาขอบเขตไม่มากพอได้
กวานเซี่ยง ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่ได้เลื่อนเป็นราชาบนบัลลังก์คนใหม่ ถือว่าเป็นศัตรูคู่แค้นเก่าของกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว
และยิ่งเป็นคนคุ้นเคยของอาเหลียง ตาเฒ่าผู้นี้นอกจากจะเสียงดัง พูดจาตลกขบขัน เรื่องอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ความสักเท่าไร
ซินจวงแห่งภูเขาทัวเยว่คืออาจารย์ค่ายกลคนหนึ่ง แต่วิชาหมัดเท้าก็ไม่ธรรมดา สามารถมองเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่งได้เลย
ส่วนทหารม้าเกราะทองที่ควบม้าอยู่กลางก้อนเมฆ รากฐานมหามรรคาของเขาถูกปิดบังอำพรางไว้อย่างซ่อนเร้น แม้แต่กระโจมเจี่ยจื่อก็ไม่มีบันทึกเอาไว้ อย่าว่าแต่ชื่อจริงของปีศาจใหญ่เลย แม้แต่นามแฝงก็ยังไม่มี
นักพรตหญิงโหรวถี เล่าลือกันว่านางคือคู่บำเพ็ญตนบนภูเขาของหวงหลวนอดีตราชาบนบัลลังก์ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเวรกรรมบนมหามรรคาที่หวงหลวนต้องทำการขจัดสามอสุภะ อยู่ในรูปลักษณ์กึ่งๆ เทวบุตรมารนอกโลก หากไม่พูดถึงสมบัติอาคมที่นางมีให้ใช้ไม่หมดสิ้น พลังการสู้รบของนางก็ไม่ถือว่าสูงนัก ก็แค่ว่าสังหารได้ยากมาก หลังจากที่ปีศาจใหญ่หวงหลวนถูกโจวมี่กินไป สมบัติลับมากมายก็ล้วนถูกโจวมี่โยนให้โหรวถีก่อนเดินขึ้นฟ้า ถือว่าสิ่งของกลับคืนสู่เจ้าของเดิม
สามคนนี้มาอยู่รวมกัน พลังการต่อสู้ก็พอจะมองเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานสองคนได้อย่างถูไถกระมัง
ดังนั้นในสายตาของอาเหลียง เวลานี้จึงมีบินทะยานแค่ห้าคนเท่านั้น
อาเหลียงใช้ปลายเท้าขยี้พื้นดินเบาๆ นิ้วโป้งดันอยู่ที่ด้ามกระบี่ กระบี่ยาวออกมาจากฝักเล็กน้อย ก้มหน้าลงมองกระบี่ยาวทั้งหลายที่ยืมมาจากคนอื่นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยังไม่พอ แต่วางใจเถอะ จะไม่ทำให้พวกเจ้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจเด็ดขาด”
คิดจะสังหารข้าอาเหลียง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเขายังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เริ่มพกกระบี่อย่างจริงจัง
ย่อมไม่ได้มีคนเพียงเท่านี้แน่นอน ไม่ได้บอกว่าจำนวนของปีศาจใหญ่บนหน้ากระดาษไม่มากพอ แต่หากวันนี้หัวใจหลักที่แท้จริงที่ช่วยประคับประคองการล้อมสังหารคือโซ่วเฉิน? ถ้าอย่างนั้นก็ขาดความหมายไปอีกเยอะมาก
ในอดีตที่เขาออกเดินทางท่องเที่ยวในเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง ก็มีปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตามก้นเขามาเป็นพรวนใหญ่
ก่อนหน้านี้อาเหลียงจงใจเดินไปถึงริมขอบของค่ายกลใหญ่ที่ลึกลับอำพรางแห่งนั้นแล้วหยุดชะงักไม่เดินหน้าต่อ จากนั้นบอกให้เฝิงเซวี่ยเทาจากไป ให้ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาคนนี้หวนกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงลำพัง
ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่กลัวตายที่สุด รักถนอมชีวิตที่สุด สามารถติดตามตนเดินมาจนถึงก้าวนี้ได้ก็ถือว่าไม่ง่ายมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเฝิงเซวี่ยเทายังรู้สึกว่าตัวเองอาจจะลองอยู่ต่อได้ อาเหลียงรู้สึกว่าเพียงพอมากแล้ว
แน่นอนว่าต้องให้เฝิงเซวี่ยเทามีชีวิตอยู่อย่างดี ได้กลับไปถึงใต้หล้าไพศาล จะได้ช่วยคุยโวถึงศึกใหญ่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินเทพผีร่ำไห้ครั้งนี้แทนเขาอาเหลียงให้มากๆ ด้วย
“เลิกเก็บงำอำพรางได้แล้ว แค่มองดูคนอื่นตีกันน่าเบื่อจะตาย ไม่สู้ลงสนามมาเดิมพันชีวิตด้วยตัวเอง”
เมื่ออาเหลียงผลักกระบี่ออกจากฝักมาชุ่นกว่า ในรัศมีพันลี้ซึ่งเป็นขอบเขตที่กว้างไกลกว่าเดิม ขุนเขาพังถล่มพื้นดินปริแตก ฝุ่นผงลอยคลุ้งมืดฟ้ามัวดิน กระแสน้ำไหลทุกสายล้วนถูกปณิธานกระบี่เล็กบางปั่นกระจุยกระจาย ไม่เหลือโชคชะตาน้ำใดๆ ให้กล่าวถึงอีก สะเก็ดน้ำและเศษฝุ่นจำนวนนับไม่ถ้วนผสมรวมกัน ในอาณาเขตขุนเขาสายน้ำสามพันลี้ก็ยิ่งเหมือนมีพายุฝนเศษดินเศษโคลนเทกระหน่ำลงมายังโลกมนุษย์อย่างถี่กระชั้น ปณิธานกระบี่ที่อยู่ในม่านฝนตัดสลับฉวัดเฉวียน ร่องน้ำบนพื้นดินก็แผ่ลามไปทั่วบริเวณ ไม่เหลือยอดเขา ลำธาร ต้นไม้ใบหญ้าใดๆ อีกแม้แต่อย่างเดียว ล้วนสลายกลายเป็นผุยผงในเสี้ยววินาที แม้แต่ภูเขาลูกที่บรรพบุรุษย้ายภูเขารักษาไว้ใต้ฝ่าเท้าก่อนหน้านี้ก็พังทลายย่อยยับอย่างสิ้นเชิงไปด้วย
จูเยี่ยนโบกทวนยาว วาดเส้นวงกลมเป็นวงๆ ขับไล่ปณิธานกระบี่ที่ซัดกรากเข้ามาจากสี่ทิศให้สลายหายไป
เจ้าอาเหลียงชาติสุนัขผู้นี้ โชคดีที่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่อีกแล้ว
ศึกล้อมสังหารป๋ายเหย่ บรรพบุรุษย้ายภูเขาท่านนี้ยังหวาดผวาอยู่มิคลาย
ตอนนั้นก็โชคดีที่ป๋ายเหย่ซึ่งเป็นขอบเขตสิบสี่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่
ค่ายกลใหญ่เคลื่อนโคจร โซ่วเฉินและซินจวงที่หยุดลอยตัวอยู่เหนือปลาสองตัวสีขาวและดำไม่จำเป็นต้องร่ายเวทก็มีค่ายกลค่อยช่วยลดทอนปณิธานกระบี่ส่วนนั้นทิ้งไป ค่ายกลใหญ่พุ่งปะทะกับปณิธานกระบี่จนก่อให้เกิดริ้วคลื่นแห่งกาลเวลาดุจแก้วใสที่กระจายแผ่ออกไปเป็นระลอก
โซ่วเฉินหรี่ตามองทิศทางการสลายหายไปของปณิธานกระบี่ส่วนนั้นอย่างตั้งใจ ครู่หนึ่งต่อมาก็ส่ายหน้า หาข้อบกพร่องบนวิถีกระบี่ใดๆ ไม่เจอ
ที่พึ่งที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกกระบี่ เดิมทีก็คือพลังพิฆาตขั้นสูงสุดจากการที่หนึ่งกระบี่ทลายหมื่นอาคม ไม่ต้องสนว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตนอะไร มีวิชาอภินิหารร้อยแปดพันเก้าแค่ไหน แค่กระบี่เล่มเดียวก็ทำลายลงได้แล้ว
แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยากที่จะคำนึงถึงพลังพิฆาตอันโดดเด่นส่วนบุคคลและการสังหารหรือทำให้บาดเจ็บเป็นวงกว้างในสนามรบ นี่ก็คือเหตุที่ว่าทำไมอู๋เฉิงเพ่ยที่ไม่เชี่ยวชาญเรื่องการจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่น อาศัยกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่คฤหาสน์หลบร้อนจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่ง เป็นเพียงผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง แต่กลับสามารถกลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ที่ปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องสังหารทิ้งแต่โดยเร็วให้จงได้
บนโลกใบนี้ยากที่จะมีเรื่องสมบูรณ์แบบไปทุกด้าน
ผู้ฝึกกระบี่และกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เกิดมาก็เหมาะกับการอยู่บนสนามรบ ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องการเข่นฆ่าระหว่างกระบี่กับกระบี่ และผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่อยู่บนสนามรบชั้นสูงสุด ต่อให้มีปราณกระบี่เยอะมาก ปณิธานกระบี่เข้มข้นมาก แต่ทุกเรื่องล้วนมีทั้งผลดีและผลเสีย ข้อดีคือไม่กลัวการถูกล้อม ข้อเสียก็คือหากไม่ระวังก็จะต้องถูกผู้ฝึกตนบนยอดเขาฝ่ายศัตรูจับจุดอ่อนแล้วใช้ศาสตร์การอนุมานของมหามรรคามาหาข้อบกพร่องบางอย่างบนมหามรรคาได้เจอ
แต่อาเหลียงกลับเป็นข้อยกเว้นที่ใหญ่มาก
ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่เข่นฆ่าหรือตกอยู่ในวงล้อมสังหาร
ผู้ฝึกกระบี่แห่งไพศาลที่เอ้อระเหยลอยชาย มือกระบี่ที่ไม่เหมือนบัณฑิตที่สุดผู้นี้ ล้วนแทบจะไร้คู่ต่อสู้ทั้งสองด้าน
คำว่า ‘แทบ’ ยังเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสนั่งพิทักษ์หัวกำแพงเมือง ป๋ายอวี้จิงมีเต๋าเหล่าเอ้อที่ถูกขนานนามว่าผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง เนื่องจากอวี๋โต้วมี ‘เต้าจ้าง’ หนึ่งในสี่กระบี่เซียนเพิ่มมาเล่มหนึ่ง
ไท่ป๋าย ว่านฝ่า เต้าจ้าง เทียนเจิน
บนยอดเขาต่างก็ยอมรับกันในเรื่องหนึ่งว่า กระบี่เซียนที่เคยสังหารปีศาจใหญ่บรรพกาลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มานับไม่ถ้วนสี่เล่มนี้ ขอแค่อาเหลียงได้เล่มใดเล่มหนึ่งมาครอง หรือปล่อยให้อาเหลียงได้กระบี่พกประจำตัวเหมาะมือที่ระดับขั้นใกล้เคียงกันสักเล่มหนึ่ง ระดับความยากในการฆ่าเขาก็จะไม่แพ้ให้กับผู้ที่เป็นความภาคภูมิใจแห่งโลกมนุษย์อย่างป๋ายเหย่เลย
ปีศาจใหญ่กวานเซี่ยงหัวเราะดังลั่น เบาะรองนั่งใต้ฝ่าเท้าระเบิดแตก กระแทกชนกับปณิธานกระบี่จนย่อยยับกันไปทั้งคู่
ทหารม้าเกราะทองกำหอกยาวที่อยู่ในมือไว้แน่น เสื้อเกราะโบราณที่สวมอยู่บนร่างส่องประกายระยับวับวาว
ม้าเหยียบย่างลงบนความว่างเปล่าเบาๆ ใต้กีบม้ามีลายน้ำเป็นวงๆ แผ่กระเพื่อมออกไปสี่ด้านแปดทิศ
ทหารม้าใช้เสียงในใจถาม “ต้องให้คนมากมายขนาดนี้เข้าร่วมการสังหารด้วยหรือ? เฝ่ยหรานอยากจะล้อมคนหนึ่งเพื่อล่อให้กำลังเสริมเขามาช่วยอย่างนั้นหรือ?”
“คน?”
โหรวถีคลี่ยิ้ม นางโบกแส้ปัดฝุ่นที่อยู่ในมืออย่างต่อเนื่อง คอยขับไล่ให้ท่วงทำนองที่เหลืออยู่ของปณิธานกระบี่ในรัศมีหลายลี้กระจายออกไปข้างนอก ลำบากอยู่มากจริงๆ ในรัศมีพันลี้รอบด้าน ทุกหนทุกแห่งมีแต่ปณิธานกระบี่เปี่ยมล้นที่โคจรอย่างเงียบเชียบ สมบัติอาคมในการโจมตี วิชาอภินิหารเวทคาถา การหดย่อพื้นที่และเวทลับหลบหนีบางอย่างของฝ่ายตน หากร่ายใช้ขึ้นมาจะยุ่งยากอย่างมาก อีกทั้งจะยิ่งเผยพิรุธออกมาได้ง่าย ต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่มีใครยินดีเป็นเต่าที่โผล่หัวนำขึ้นมาก่อนด้วยการร่ายวิชาอภินิหารใหญ่อย่างการพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร ผลัดเปลี่ยนฟ้าดินเล็ก เคลื่อนย้ายปณิธานกระบี่ส่วนนี้ไปที่อื่น
คิดไม่ถึงว่าปณิธานกระบี่ของคนผู้หนึ่งที่สาดเทไปทั่วฟ้าดินจะถึงกับคิดคำนวณน้ำหนักเป็นจินเป็นตำลึงได้ อีกทั้งยังเป็นน้ำหนักที่มากหลายร้อยจิน พันกว่าจินด้วย?
ไม่มีเหตุผลเลยสักนิด
ทหารม้าที่อยู่ข้างกายโหรวถีถือเป็นบุคคลที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาบนโลก แม้แต่นางก็ยังไม่รู้แน่ชัดถึงการสืบทอดบนมหามรรคาของอีกฝ่าย ฝ่ายหลังไม่เคยปะทะกับอาเหลียงซึ่งๆ หน้าบนสนามรบ อย่างมากสุดก็เป็นในศึกโจมตีและป้องกันของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านี้ที่แค่ชมศึกอยู่ไกลๆ เคยเห็นอาเหลียงหล่นลงมาจากฟ้า รวมไปถึงการถามกระบี่ที่พลังอำนาจดุดันน่าครั่นคร้ามกับหลิวชาในภายหลัง
นางจึงได้แต่อธิบายอย่างอดทน “เอาชนะหรือโจมตีให้อาเหลียงถอยร่นไปได้ กับรั้งตัวหรือไม่ก็สังหารอาเหลียงได้ คือสองเรื่องที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่ว่าใครก็จะสามารถแลกหมัดกับเต๋าเหล่าเอ้อได้ อาเหลียงมีอยู่สองเรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนบนยอดเขากริ่งเกรงที่สุด หนึ่งคือไม่กลัวการถูกล้อมสังหาร เชี่ยวชาญการใช้กำลังของคนคนเดียวท้าทายคนทั้งกลุ่ม อีกอย่างก็คือจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่ากระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขาเล่มนั้นมีวิชาอภินิหารแบบใดกันแน่”
พูดมาถึงตรงนี้ โหรวถีก็เหลือบมองไปยังทิศที่ห่างไปไกลแล้วเอ่ยเสียงเบา “ส่วนภูเขาทัวเยว่คิดจะใช้การล้อมคนคนหนึ่งเพื่อล่อให้กำลังเสริมของเขามาช่วยหรือไม่ ก็อาจเป็นไปได้กระมัง”
อาเหลียงพลันเลิกทำท่าเตรียมจะชักกระบี่ออกจากฝักของก่อนหน้านี้ เปลี่ยนมากระโดดเบาๆ หนึ่งที ยืนท่าไก่ทองขาเดียว สะบัดขาหนึ่งที เปลี่ยนขาใหม่แล้วสะบัดใหม่อีกรอบ
สิบนิ้วสอดประสานวางขวางไว้ตรงหน้าอก แขนสองข้างเหมือนดอกไม้น้ำที่ลอยล่องขึ้นลง
ทหารม้าเกราะทองพูดอย่างอัดอั้น “ท่าทางเช่นนี้ช่างชวนให้คนรังเกียจเสียจริง”
โหรวถียิ้มเอ่ย “ชินไปแล้วก็ดีเอง”
รอให้ต้องตีกันจริงๆ ขึ้นมาก็ไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้แล้ว
แล้วก็จริงดังคาด มีคนเบื้องหลังอีกสองกลุ่มทยอยกันเผยร่องรอยอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไปไกลมาก
คนผู้หนึ่งคือผู้เฒ่าถือไม้เท้าเรือนกายผ่ายผอม แก้มตอบลึก ผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ท่านนี้คือผู้บุกเบิกตำหนักอิงหลิงของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
นี่คือแขกที่มาจากนอกฟ้า ในสงครามใหญ่ก่อนหน้านี้ไม่ได้ปรากฏตัว กระทั่งในการประชุมที่สองใต้หล้าคุมเชิงกัน เขาถึงได้เผยกายที่ภูเขาทัวเยว่ มาถึงอย่างเชื่องช้าโดยแท้
ตามบันทึกเอกสารลับของคฤหาสน์หลบร้อนและศาลบุ๋น ปีนั้นที่มรรคาจารย์เต๋าขี่วัวผ่านด่าน เกินครึ่งก็คงเพื่อไปตามหาเขา แน่นอนว่าเจ้าเฒ่าผู้นี้ไม่กล้าประลองมรรคกถากับมรรคาจารย์เต๋า จึงไปหลบอยู่ที่นอกฟ้า สุดท้ายทิ้งโอกาสเสี้ยวหนึ่งในการเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าไป ขณะเดียวกันก็เท่ากับว่าได้เปิดเส้นทางเดินขึ้นสู่สวรรค์ให้กับโจวมี่มหาสมุทรความรู้ในภายหลังอย่างที่มองไม่เห็น
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน ทุกวันนี้คือผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้างในนาม เฝ่ยหราน
เฝ่ยหรานกับศิษย์พี่เชี่ยอวิ้นก็คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้เฒ่าคนนี้ เพียงแต่ว่าเฝ่ยหรานเป็นเชี่ยอวิ้นที่รับลูกศิษย์แทนอาจารย์ ดังนั้นก่อนหน้านี้จึงไม่เคยพบหน้าอาจารย์ท่านนี้มาก่อน
การจากไปของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ แท้จริงแล้วก็คือการสละมรรคาอย่างหนึ่ง คนที่ได้รับผลประโยชน์สูงสุดก็คือพวกคนอย่างเฝ่ยหราน โซ่วเฉิน โจวชิงเกาที่โจวมี่ฝากความหวังไว้มาก
ผู้ฝึกกระบี่หญิงขอบเขตหยกดิบ หลิวป๋าย นางสวมชุดคลุมอาคมอาวุธเซียนที่มีชื่อว่า ‘ถ้ำสวรรค์หางปลา’
อีกจุดหนึ่งคือเซียวสวิ้นกับสหายรักจางลู่
เซียวสวิ้นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ นางนั่งขัดสมาธิลอยตัวอยู่กลางอากาศ สองมือจับผมแกละสองข้างท่าทางคล้ายกำลังชมงิ้ว ส่วนเซียนกระบี่ใหญ่จางลู่ก็กำลังดื่มสุรา
ผู้ฝึกกระบี่สองคนนี้ อันที่จริงตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในอดีตต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ดีมากกับอาเหลียง
เซียวสวิ้นตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ตายด้วยน้ำมือของคนอื่น เสียเปรียบเกินไปแล้ว ไม่สู้ถูกข้าฆ่าตาย”
จางลู่ไม่พูดไม่จา เพียงแค่ดื่มเหล้าอย่างเดียว เหล้าที่เซียนกระบี่ใหญ่ท่านนี้ดื่มในทุกวันนี้ล้วนเป็นเหล้าที่เซียวสวิ้นเอากลับมาจากใต้หล้าไพศาล น่าเสียดายที่ประเภทของเหล้ายังไม่หลากหลายมากพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีเหล้าหมักตระกูลเซียนจากสำนักอักษรจงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง
ลมวสันต์พัดผ่านริมหน้าผาชัน ลมสารทฤดูเย็นเยียบเปลี่ยวเหงา เป่าพัดจนคนสร่างเมา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิ่งที่สามารถแก้ฤทธิ์เหล้าได้ดีที่สุดยังคงเป็นเรื่องวุ่นวายใจของโลกมนุษย์ อยากจะดื่มให้เมาช่างยากเย็น คิดจะดื่มให้ฟื้นคืนสติกลับง่ายยิ่ง
ตาแก่หนังเหนียวผู้หนึ่งที่ขอบเขตสิบสี่มีแนวโน้มว่าจะสมบูรณ์แบบ ดูเหมือนว่าจะมีฉายาที่เก่าแก่อย่างมาก ความหมายก็ยิ่งใหญ่ ฉายานั้นคือ ‘ชูเซิง’ (โดยทั่วไปหมายถึงดวงอาทิตย์ที่เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าขึ้นมา)
มารดามันเถอะ ตาแก่นี่ช่างเป็นคนมีพรสวรรค์จริงๆ ถึงกับตั้งฉายาที่ไพเราะโด่งดังเช่นนี้ให้กับตัวเองได้
คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่รวบรวมโชคชะตาของหนึ่งใต้หล้าไว้บนร่าง ไม่ต่างจากหนิงเหยาสักเท่าไร ล้วนเป็นว่าที่ขอบเขตสิบสี่อย่างมิอาจเปลี่ยนแปลงแล้ว แต่แน่นอนว่าก่อนจะเป็นเช่นนั้นได้ เฝ่ยหรานต้องมีชีวิตรอดไปจากการต่อสู้ในวันนี้ให้ได้เสียก่อน
——