กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 843.3 ใครล้อมฆ่าใคร
คนหนึ่งคือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ที่หลอมตำหนักอิงหลิงทั้งหลัง เจ้าว่าเจ้าเซียวสวิ้นต้องการอะไร จำเป็นต้องคับแค้นอยากเอาชนะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสขนาดนี้เชียวหรือ? ตัวเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับเดินไปบนทางนอกรีตที่หลอมฟ้าดินผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ อันที่จริงด้วยคุณสมบัติและฐานกระดูกของเซียวสวิ้น ขอแค่ยินดีรออีกสักหน่อยก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาเซียวสวิ้นก็ทำอะไรโดยใช้อารมณ์อยู่เสมอ ไม่สนฟ้าไม่สนดิน ถึงขั้นไม่สนใจว่าจะเป็นหรือตาย ขอแค่ให้สะใจเป็นพอ ถ้าอย่างนั้นยิ่งใต้หล้าไพศาลสงบสุขมีสันติมากเท่าไร นางที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยิ่งไม่สบอารมณ์มากเท่านั้น หากเซียวสวิ้นไม่ได้ถูกจั่วโย่วรั้งตัวเอาไว้ ก็มีความเป็นไปได้ว่าอย่างน้อยที่สุดใต้หล้าไพศาลต้องเสียทวีปไปอีกหนึ่งแห่ง ยกตัวอย่างเช่นพายัพหลิวเสียทวีป
อีกคนหนึ่งคืออดีตเซียนกระบี่ใหญ่แห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เป็นสหายรักบนโต๊ะสุรา สหายส่วนสหาย สนามรบคือสนามรบ เป็นตายรับผิดชอบกันเอาเอง
ส่วนแม่นางน้อยขอบเขตหยกดิบคนนั้น…แค่นั่งดูไปเฉยๆ ก็พอแล้ว
อันที่จริงตัวหลิวป๋ายเองก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดถึงถูกเรียกให้มาเข้าร่วมการล้อมสังหารครั้งนี้ แต่นี่คือความต้องการของเฝ่ยหรานและบรรพบุรุษท่านนั้น
ทว่าวันนี้มาอยู่ในสนามรบ หลิวป๋ายไม่เหลือความขลาดกลัวแม้แต่น้อย จิตแห่งกระบี่หนักแน่นมั่นคง สำหรับอาเหลียงที่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างปวดหัวอย่างถึงที่สุด นางก็มีเพียงความเคารพเท่านั้น
มีแค่คนบางคนที่ถึงจะทำให้นางรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ จิตมารแทบจะก่อกวนอาละวาดทั้งที่มองเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
จางลู่กอดกาเหล้าที่ว่างเปล่า ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เคยเห็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอาเหลียงกับตาตัวเองมาก่อน ปีนั้นร่วมมือกับคนอื่นมอมเหล้าอาเหลียงก็ยังไม่อาจหลอกให้เขาบอกชื่อกระบี่บินได้ ทุกครั้งที่ไอ้หมอนี่ดื่มเหล้าเสร็จ ขอแค่บนโต๊ะมีสตรี เขาก็ต้องใช้เท้าซ้ายเหยียบเท้าขวา ทว่าทุกครั้งกลับไม่อาเจียนไม่ล้มลงไปกอง ยังสามารถพูดความในใจกับสตรีได้ แล้วยังพูดเสียไพเราะว่าเป็นความจริงใจที่ออกจากปากหลังเมามาย”
เซียวสวิ้นพยักหน้ารับ ยกสองแขนกอดอก หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าก็มาเพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของเขานี่แหละ ไม่อย่างนั้นก็คร้านจะมาร่วมวงความครึกครื้นด้วย”
จางลู่ถามอย่างใคร่รู้ “ปีนั้นข้าเคยถามอาเหลียงว่าเอาชนะต่งซานเกิงได้หรือไม่ อาเหลียงเพียงยิ้มทะเล้นบอกว่าสู้ไม่ได้ เขาจะเอาชนะตาเฒ่าต่งได้อย่างไร”
เซียวสวิ้นลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยว่า “นอกจากเฉินชิงตู บางทีอาจไม่มีใครรู้ว่าวิถีกระบี่ของอาเหลียงสูงเพียงใดกันแน่”
สงครามใหญ่กำลังจะปะทุขึ้น ในค่ายกล โซ่วเฉินใช้เสียงในใจเอ่ยเตือนว่า “ซินจวง ระวังว่าอาเหลียงจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก เขาอาจหมายหัวจะสังหารเจ้าอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเจ้าต้องรักษาชีวิตรอดให้ได้ พยายามถ่วงเวลาไว้ให้นานที่สุด”
ผู้ฝึกตนรำคาญผู้ฝึกตนลมปราณประเภทใดมากที่สุด? ก็คืออาจารย์ค่ายกล
อาจารย์ค่ายกลในความหมายแคบๆ ก็เหมือนอย่างหันโจ้วจิ่นแห่งสายแผนภูมิดิน สืบสาวราวเรื่องกันแล้วก็ยังเป็นเพราะสามารถพลิกกลับฟ้าอำนวย ช่วงชิงดินอวยพร ยึดครองคนสามัคคีมาได้นั่นเอง
ส่วนอาจารย์ค่ายกลในความหมายกว้างๆ อริยะทุกท่านที่บัญชาการณ์ฟ้าดินเล็กล้วนถือว่าใช่ทุกคน หรือยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอัน เนื่องจากมีกระบี่บิน ‘นกในกรง’ ก็ถือว่าใช่เหมือนกัน
ซินจวงพยักหน้า
แม้จะบอกว่านางคือเหยื่อล่อ แต่ก็กลัวว่าอาเหลียงจะลงมือได้สำเร็จเร็วเกินไป
หากล้อมฆ่าผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานทั่วไป ไหนเลยจะต้องมีความกังวลเช่นนี้ ยังต้องกังวลว่าเหยื่อล่อจะถูกกินเร็วเกินไปด้วยหรือ?
ผู้เฒ่าคนนั้นยิ้มถาม “อาเหลียงในวันนี้ ดูแล้วไม่ค่อยเหมือนที่พวกเจ้าพูดถึงเลยนะ อยู่ในสถานการณ์ที่คนคนเดียวท้าทายคนทั้งกลุ่มเหมือนกัน แต่วันนี้กลับไม่ได้พูดจาเหน็บแนมชวนระคายหูสักเท่าไร”
เฝ่ยหรานพยักหน้า “อาเหลียงที่เป็นเช่นนี้น่ากลัวอย่างมาก”
อาเหลียงที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมกวาดตามองรอบด้านแล้วพยักหน้า ค่อนข้างพึงพอใจ ต้องอย่างนี้สิถึงจะพอใช้ได้
ขบวนรบระดับนี้ การจัดวางกองกำลังเอิกเกริกเช่นนี้ อันที่จริงเหนือกว่าศึกที่ฝูเหยาทวีปเสียอีก
ไม่เพียงแต่มีขอบเขตสิบสี่มาสองคน วันนี้ยังมีผู้ฝึกกระบี่มาเยอะด้วย
ไม่เสียแรงที่ตนเรียกจั่วโย่วให้มาช่วยคุมหลัง
ต่อให้จะอยู่บนสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ อาเหลียงก็ยังคงร่วมมือกับผู้อื่นออกกระบี่น้อยครั้งนัก
จั่วโย่วเองก็เช่นเดียวกัน
อาเหลียงจากสายหย่าเซิ่ง จั่วโย่วจากสายเหวินเซิ่ง แต่กลับเป็นสหายที่สนิทสนมกันดี ต่อให้มีศึกตรีจตุครั้งนั้น พวกเขาก็ยังเป็นเพื่อนรักที่ดีต่อกันไม่แปรเปลี่ยน
อาเหลียงเหลือบมองม่านฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งที
ธารสวรรค์ชำระล้างอาวุธเสื้อเกราะ เหมาะให้หลอมกระบี่เป็นที่สุด
การถามกระบี่ในวันนี้ไม่จำเป็นต้องให้ตนพูดอะไรมากจริงๆ เพราะถึงอย่างไรหลักการเหตุผลทั้งหมดของผู้ฝึกกระบี่ก็อยู่แค่บนกระบี่เท่านั้น
เส้นยาวเส้นหนึ่งลากจากซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ทางทิศเหนือสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมา
ปราณกระบี่โชติช่วงข้ามผ่านขุนเขาสายน้ำมาเกือบครึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แต่กระนั้นแสงกระบี่เส้นนี้ก็ยังคงรวมตัวกันหนาแน่นไม่แยกสลาย
ราวกับว่าได้พาดสะพานยาวปราณกระบี่แห่งหนึ่งไว้ในใต้หล้าครึ่งหนึ่ง
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง เฉาจวิ้นปากอ้าตาค้าง ตรงจุดที่ห่างไปไกลอย่างถึงที่สุด สุดสายตาที่จะมองเห็นแล้ว ก็ยังคงมองไม่เห็นว่าเส้นยาวเส้นนั้นไปสิ้นสุดที่ตรงใด
คาดว่านี่ก็คงเป็น…กระบี่ตัดใต้หล้ากระมัง?
เฉาจวิ้นเบิกตากว้างเพ่งมองจนรู้สึกปวดตา ถึงได้ถอนสายตากลับมา ขยี้ตา อดไม่ไหวหันไปถามว่า “เว่ยจิ้น หากเจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานจะทำแบบนี้ได้ไหม?”
“แน่นอนว่าทำไม่ได้”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างไม่ลังเล “เวทกระบี่ของอาจารย์จั่วอยู่บนยอดสูงสุดแล้ว คนที่เวทกระบี่จะสามารถเหนือกว่าอาจารย์จั่วได้ในอนาคตก็มีเพียงอาจารย์จั่วที่เลื่อนสู่ขอบเขตถัดไปเท่านั้น”
เว่ยจวิ้นพลันเอ่ยว่า “เก็บความคิดจิตใจให้ดี เมื่อครู่นี้อันที่จริงจิตแห่งกระบี่ของเจ้ามีเสี้ยวหนึ่งที่แตกสลายไป”
เฉาจวิ้นอึ้งตะลึง ใบหน้าเต็มไปด้วยความแตกตื่น หากเว่ยจิ้นไม่พูดเตือน ตนก็มีแต่จะไม่รู้ตัวเลยสักนิด เฉาจวิ้นจึงรีบใช้ดวงจิตสำรวจฟ้าดินเล็ก ตรวจสอบสภาพจิตใจอย่างว่องไว ถึงได้ค้นพบว่าในดวงจิตของตนที่มีบัวเขียวหมื่นดอก มีดอกบัวแถบเล็กๆ แถบหนึ่งที่ยากจะสังเกตเห็นเกิดการโน้มเอียงลงไป เฉาจวิ้นรีบนั่งตัวตรงอย่างสำรวม ประคับประคองดอกบัวแต่ละดอกให้ ‘ตั้งตรง’ ขึ้นมาทันที
เว่ยจิ้นรอให้เฉาจวิ้นเก็บรวบรวมจิตแห่งมรรคาเรียบร้อยแล้วถึงได้พูดขึ้นว่า “คุณสมบัติการฝึกกระบี่ของเจ้าไม่เลวจริงๆ สามารถเก็บดวงจิตกลุ่มหนึ่งกลับมาได้เร็วเพียงนี้ หากเป็นผู้ฝึกกระบี่ทั่วไป ต่อให้คนข้างกายเอ่ยเตือนก็คงได้แค่มองดูจิตของตัวเองเกิดข้อบกพร่องคาตาเท่านั้น อาจารย์จั่วยินดีสอนเวทกระบี่ให้เจ้าก็ไม่ใช่ว่าไม่มีเหตุผล”
เฉาจวิ้นหัวเราะอย่างฉุนๆ “เซียนกระบี่ใหญ่เว่ย เจ้าไม่รู้จักเตือนข้าให้เร็วกว่านี้หรือ?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า “เจ้าไม่ใช่คนที่เพิ่งเดินขึ้นเขาฝึกตนเสียหน่อย คนอื่นปกป้องมรรคาไม่ใช่การประคับประคอง แต่เป็นการชี้ทางสว่างให้ ไม่ให้ถึงขั้นเดินแยก หลงเข้าไปผิดทาง”
เฉาจวิ้นถอนหายใจ “เหตุผลเป็นเหตุผลนี้จริง แต่ฟังแล้วก็ยังชวนให้คนอึดอัดขัดใจอยู่ดี”
เว่ยจิ้นยิ้มกล่าว “อายุมากกว่าข้าไม่น้อย ขอบเขตต่ำกว่าข้าสองขั้น แล้วต้องมาฟังคำพูดแบบนี้ แน่นอนว่าต้องขัดใจอยู่แล้ว”
เฉาจวิ้นรู้สึกว่าขนบธรรมเนียมของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เอนเอียงไปหมดแล้ว
ผู้ฝึกลมปราณที่มาหาประสบการณ์ที่นี่ มีคนของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกับธวัลทวีปค่อนข้างมาก ฝ่ายหนึ่งตาสูงมองไม่เห็นหัวใครมากที่สุด อีกฝ่ายหนึ่งในกระเป๋ามีเงินให้ใช้เหลือเฟือ
จั่วโย่วกลายร่างเป็นรุ้งยาวมุ่งหน้าไปยังใต้หล้าเปลี่ยวร้าง แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดอย่างเฉาจวิ้นยังมองตาค้าง ผู้ฝึกลมปราณเหล่านั้นแน่นอนว่ามีแต่จะยิ่งอกสั่นขวัญผวากันมากกว่า แต่ละคนหยุดยืนนิ่งอยู่บนหัวกำแพงเมืองราวกับไก่ไม้
จู่ๆ ก็มีคนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นมา
“ตอนนี้ยังไม่อาจแบ่งเป็นตายกับเต๋าเหล่าเอ้อได้ ยังต้องฝ่าทะลุขอบเขตต่อไปจริงๆ เสียด้วย”
“จั่วโย่วจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบสี่ได้หรือไม่ ลู่จือจะเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานได้หรือไม่ ล้วนเป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การรอคอย”
เฉาจวิ้นหันหน้าไปมอง คือผู้ฝึกตนเซียนดินที่มาจากลัทธิเต๋า พูดจาวางโตไม่รู้จักละอายเสียจริง
มีรูปโฉมของบุรุษวัยกลางคน หนวดยาวสวมชุดเต๋า สวมกวานเดินทางไกลบนศีรษะ เท้าสวมรองเท้าเมฆขาว สะพายกระบี่ไม้เล่มหนึ่ง
แต่กลิ่นอายเต๋ามาดแห่งเซียนส่วนนี้ หากไปหลอกคนธรรมดาล่างภูเขาและผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างย่อมไม่มีปัญหา แต่อยู่กับนายท่านใหญ่เฉาก็เก็บลงไปเถอะ
เฉาจวิ้นหัวเราะร่าเอ่ยว่า “สหายท่านนี้ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า คงสามารถงัดข้อกับผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงได้แล้วสินะ?”
นักพรตท่านนั้นลูบหนวดยิ้มตาหยี “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้สมพรปากเซียนกระบี่เฉา”
ขณะเดียวกันเฉาจวิ้นก็ใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เว่ยจิ้น คงไม่ใช่ยอดฝีมือนอกโลกที่ชอบแสร้งวางท่าหรอกกระมัง?”
เว่ยจิ้นตอบ “แค่มองออกว่าเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่ง แต่เจ้าพูดจาก็ควรต้องระวังหน่อย มีเรื่องเพิ่มหนึ่งเรื่องไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง”
เฉาจวิ้นจึงวางใจได้แล้ว ฟังคำพูดของอีกฝ่ายแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น เซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะเจอกับขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งก็คงไม่ถึงขั้นมองพลาดไปได้แน่
เว้นเสียจากว่าเป็นสถานการณ์อย่างหนึ่ง เช่นว่าฝูลู่อวี๋เสวียน จ้าวเทียนไล่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ ฮว่อหลงเจินเหรินแห่งยอดเขาพาตี้ เป็นบุคคลเหล่านี้ที่จงใจเก็บซ่อนภาพบรรยากาศ และบังเอิญพอดีที่บินทะยานผู้เฒ่าทั้งหลายเหล่านี้ เวลาออกไปนอกภูเขาล้วนมีนิสัยเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ชอบร่ายเวทอำพรางตา
ตนคงไม่ได้เจอเข้ากับขอบเขตสิบสี่หรอกกระมัง ไม่ใช่แน่!
เฉาจวิ้นกุมหมัด จุ๊ปากพูด “โชคดีที่ได้พบ โชคดีที่ได้พบ”
นักพรตวัยกลางคนมองเว่ยจิ้นและเฉาจวิ้นที่แยกกันนั่งอยู่สองฝั่งแล้วยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ปณิธานไม่แข็งแกร่ง จิตใจไม่หนักแน่น จมอยู่กับความสามัญ ถูกความรักกักขัง จะหาที่พักพิงบนโลกมนุษย์ได้อย่างไร คิดดูแล้วคงยากที่จะเดินเข้าห้อง (เปรียบเปรยถึงการเริ่มต้นทำสิ่งหนึ่งแล้วสำเร็จมีความเชี่ยวชาญในระดับหนึ่ง เช่นการฝึกตน หากได้เริ่มฝึกตนและมีความสำเร็จบ้างแล้วก็จะถือว่าได้เดินเข้าห้องแล้ว ไม่ได้เป็นนอกที่ได้แต่ยืนอยู่หน้าประตู) มีมาดอันสง่างามของเซียนกระบี่ได้อย่างแท้จริง”
เว่ยจิ้นเพียงยิ้มรับ
ด่านความรักของตนด่านนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันถ้วนทั่วมานานแล้ว ถูกนักพรตไม่ทราบนามที่พเนจรท่องไปทั่วสารทิศพูดถึง ก็ไม่จำเป็นที่ต้องอับอายจนพานเป็นความโกรธ
เฉาจวิ้นเอ่ยอย่างขันๆ ปนฉุน “นักพรตท่านนี้กำลังสอนข้าว่าควรฝึกกระบี่อย่างไรหรือ? ทำไม หรือว่าท่านนักพรตเองก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ด้วย?”
“ข้าถือว่าเป็นผู้ฝึกกระบี่ได้เสียที่ไหน ไม่เข้าใจเรื่องของวิถีกระบี่เลยสักเรื่อง ได้แต่ดูไฟชายฝั่ง ชมเรื่องสนุกไปอย่างถูไถเท่านั้น”
นักพรตวัยกลางคนส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่เลือกหัวกำแพงที่อยู่ระหว่างคนทั้งสอง กระโดดขึ้นเบาๆ ไปนั่งสมาธิอยู่บนนั้น
ที่ไหนกัน ที่ไหนกัน ก็แค่รับหลานที่ได้เปล่ามาสองคน น่าเสียดายที่เจ้าสองคนนั้น หากพูดถึงแค่เรื่องอ่านตำราก็แย่กว่าเฉินผิงอันมากจริงๆ เป็นเหตุให้ฟังความนัยในคำพูดออกเพียงแค่ชั้นเดียว แม้แต่เรื่องที่ประโยคว่า ‘ปณิธานไม่แข็งแกร่ง จิตใจไม่เด็ดเดี่ยว’ มาจาก ‘ตำราเจี้ยไหว้เซิง’ ก็ยังลืมไปแล้ว
เดินทางไกลมาเยือนเปลี่ยวร้างครั้งนี้ไม่มีเรื่องใหญ่อะไร แค่มาผ่อนคลายอารมณ์ ชมทัศนียภาพเท่านั้น นอกจากนี้ก็คือมาคิดบัญชีกับเจ้าเฒ่าหูหนวกที่ดูแลคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพียงแต่ว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวได้ค่อนข้างดี ก่อนหน้านี้ลองอนุมานดูครั้งหนึ่ง แล้วก็ท่องผ่านสถานที่หลายแห่ง แต่กลับยังมิอาจลากตัวอีกฝ่ายออกมาได้
ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้อยู่ในใต้หล้ามืดสลัว เรื่องของการอนุมานมหามรรคามีอุปสรรคขัดขวางมากเกินไป หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องไปเยือนนครจินชุ่ยรอบหนึ่ง ไปถามจากเจิ้งจวีจงดู
เจ้านครจักรพรรดิขาวท่านนี้ ก่อนหน้านั้นตอนอยู่ในศาลบุ๋นแผ่นดินกลางได้ฝากคำกล่าวไว้ บอกตนว่าหากมีเวลาว่างก็สามารถไปเป็นแขกที่นครจินชุ่ยได้ นี่ถือว่ามีความจริงใจมากพอแล้ว
เขาใช้เสียงในใจยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ใหญ่เว่ย ท้องแตกตายใจกล้า หิวตายขี้ขลาด ในเมื่อในมือได้ครอบครองตำรากระบี่ที่สืบทอดมาจากจงหยวน เหตุใดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่อาจครอบครองปณิธานกระบี่เก่าแก่ส่วนนั้นที่วนเวียนไม่จางหายไปได้เสียที หากเปลี่ยนข้ามาเป็นจงหยวน คงค่อนข้างผิดหวังต่อผู้สืบทอดที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสช่วยเลือกให้ด้วยตัวเองอย่างเจ้านิดๆ แล้ว”
เว่ยจิ้นถามเสียงทุ้มหนัก “มิทราบว่าผู้อาวุโสชื่อแซ่ใด!”
อู๋ซวงเจี้ยงยิ้มบาง “ไม่มีค่าพอให้พูดถึง เจ้าก็ถือเสียว่าข้าคือลุงของใต้เท้าอิ่นกวานก็แล้วกัน”
เว่ยจิ้นฉงนสนเท่ห์
ใต้หล้ามืดสลัว
มีชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่เหนือทะเลเมฆผืนหนึ่ง ร่างของเขาล่องลอยไปพร้อมก้อนเมฆตลอดทาง ดื่มเหล้าหมดแล้วก็โยนกาเหล้าทิ้งไปง่ายๆ
ข้างกายชายฉกรรจ์มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งยืนเอามือไพล่หลัง รูปโฉมงดงาม สวมหมวกหัวเสือ ทำให้มองดูน่าขันเล็กน้อย
หากไม่มีหมวกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาหรือบุคลิก เขาก็ราวกับคนคนเดียวที่ยึดคำว่า ‘เจ๋อเซียน’ ไปครองหมดสิ้น
ชายฉกรรจ์ลุกขึ้นยืน ยืดแขนบิดขี้เกียจคลายกล้ามเนื้อ สิบนิ้วสอดผสาน บิดร่างไปทางหนึ่ง จากนั้นอยู่ดีๆ ก็ปล่อยหมัดออกไป ทิศทางที่ส่งหมัดอยู่ห่างไปไกลมาก
หมัดเขย่าป๋ายอวี้จิง!
ต่อยเสร็จก็เผ่นหนี
ชายฉกรรจ์ยื่นมือไปคว้าคอของเด็กหนุ่มสวมหมวกหัวเสือลากให้เดินไปด้วยกัน เด็กหนุ่มยกสองแขนกอดอก ฝ่าเท้าไม่สัมผัสพื้น คล้ายกับนอนทิ้งตัวยาวไปกับพื้น ทว่าสีหน้ากลับสงบนิ่งอย่างมาก
กล้าปล่อยหมัดใส่ป๋ายอวี้จิง กล้าปฏิบัติต่อป๋ายเหย่เช่นนี้ มีเพียงสหายรักอย่างหลิวสือลิ่วเท่านั้น
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนสนามรบ
สงครามใหญ่ที่แทบแยกไม่ออกว่าใครล้อมฆ่าใครได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
หลังจากที่ในอดีตกระบี่พกเล่มนั้นหักไป อาเหลียงก็พกแค่ดาบไม้ไผ่มาโดยตลอด ไปเยือนฟ้านอกฟ้าของใต้หล้ามืดสลัว ประมือกับเต๋าเหล่าเอ้อก็ไม่เคยใช้กระบี่
วันนี้อาเหลียงกลับใช้สองมือกุมด้ามกระบี่ ชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ เลือกใช้ท่าถือกระบี่สองมือที่ไม่เคยใช้มาก่อนรับมือกับศัตรู
ผู้ฝึกกระบี่กับกระบี่ต่างก็ไม่ถูกฟ้าดินพันธนาการ ล้วนไม่ถูกกักขังอยู่ในฝัก
ชายฉกรรจ์ที่เรือนกายเล็กเตี้ย บุรุษที่ชอบเรียกตัวเองว่าเป็นมือกระบี่ผู้นี้เพียงแค่ใช้สองมือถือกระบี่ข้างละเล่ม ไม่ได้ออกกระบี่อย่างแท้จริง ฟ้าดินสี่ทิศก็มีกระบี่บินเฉียบคมที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ปรากฎขึ้นมานับไม่แล้ว
ราวกับเป็นการจำแลงของมหามรรคาที่ยิ่งใหญ่โอฬารอย่างหนึ่ง ขุนเขาสายน้ำต่างบ้านต่างเมืองในรัศมีสามพันลี้มีกระบี่มากมหาศาล
ปีศาจใหญ่แห่งเปลี่ยวร้างที่เข้าร่วมการล้อมสังหาร ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง แต่ละคนจำต้องเผชิญหน้ากับค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่ง
กระบี่บินนับไม่ถ้วนไปมาไร้ร่องรอย ตัดสลับพัวพัน ฟาดฟันอุตลุด
อาเหลียงงอสองเข่าลงเล็กน้อย สองแขนกางออก ถือกระบี่คู่ เอ่ยเบาๆ ว่า “ม่านราตรี”
ขุนเขาสายน้ำหมื่นลี้ที่เดิมทีเป็นเวลากลางวันสว่างไสวประดุจได้รับคำสั่ง แค่สองคำง่ายๆ ของผู้ฝึกกระบี่ก็ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี พริบตานั้นฟ้าดินพลันมืดสลัวแล้วกลายเป็นสีดำมืดสนิทไปทั้งแถบ
เสียงฟ้าร้องคำรามสะเทือนเลือนลั่น แสงแห่งเปลวเพลิงผุดพุ่ง กระแสน้ำซัดเชี่ยวกราก ดวงดาวพุ่งตก
แสงกระบี่อันโอฬารตระการตาที่เกิดจากการจำแลงของวิถีกระบี่สี่ส่วนพลันสว่างจ้าขึ้นมาท่ามกลางม่านราตรีพร้อมๆ กัน
สายฟ้าแลบแปลบปลาบ สีขาวหิมะสว่างพร่างพราว มังกรไฟตัวยาว สีแดงสดดั่งโลหิต มหานทีซัดเชี่ยว สีเขียวมรกตหม่นมืด ดาวตกทิ้งตัวพุ่งยาว กรีดผ่านภากาศ
ราวกับว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง เนื่องจากวิถีกระบี่สูงเกินไปจึงสามารถใช้กระบี่บงการสิ่งศักดิ์สิทธิ์สี่ตนได้ในเวลาเดียวกัน จึงเท่ากับว่าได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่ไร้เหตุผลอย่างหนึ่ง
แว้งกลับเป็นฝ่ายสังหาร