กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 844.2 ร่วมกันโค่นเปลี่ยวร้าง
การออกกระบี่ครั้งสุดท้าย เรือนกายเปล่งวูบ พุ่งตรงไปหาซินจวง ซินจวงเพิ่งจะร่ายค่ายกลอีกครั้ง โซ่วเฉินก็ถอนหายใจหนึ่งที เตือนไม่ทันแล้ว อาเหลียงหวนกลับมาที่เดิม หนึ่งกระบี่ฟันลงไปโดยตรง จิตวิญญาณของซินจวงสั่นสะท้าน ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนแม้แต่น้อย ได้แต่นำชุดคลุมอาคมชิ้นหนึ่งที่อยู่บนร่างมาช่วยสลับร่างตายแทนนาง ชุดคลุมอาคมพลันขยายใหญ่ดุจทะเลเมฆ สุดท้ายแตกกระจายเหมือนบุปผาโปรยปราย แต่กลับมองไม่เห็นซินจวง
อาเหลียงสีหน้าไร้อารมณ์ บิดหมุนข้อมือหันกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่กำลังจะปริแตกกลับด้าน ปลายกระบี่ชี้ไปที่ความว่างเปล่าบนพื้นดินแล้วทิ่มลงไปง่ายๆ กระบี่ยาวก็เหมือนเซียนเหรินที่เดินย่ำลงบนความว่างเปล่า หายวับไปมองไม่เห็นอีก
นาทีถัดมากระบี่ยาวก็พุ่งออกมาจากหัวใจด้านหลังของซินจวง กระบี่ทั้งเล่มแทงทะลุร่าง ยกร่างของนางให้ลอยขึ้นในแนวเฉียง ขณะเดียวกันกระบี่ยาวก็ปริแตกพอดี ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ของซินจวงจึงเหมือนมีฝนกระบี่บินตกกระหน่ำลงมา
เข่นฆ่ากับผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นเช่นนี้เอง ไม่เคยอืดอาดชักช้า ส่วนใหญ่มักจะแบ่งแพ้ชนะพร้อมตัดสินเป็นตายได้ในเวลาเพียงชั่วพริบตา
อาเหลียงคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตนใหญ่บนยอดเขามานับไม่ถ้วน เคยเจอกับวิชาอภินิหารมาสารพัดรูปแบบ หลังจากที่ใช้หนึ่งกระบี่ทำร้ายรากฐานมหามรรคาของซินจวงแล้ว แทบจะเวลาเดียวกันนั้นเขาพลันกระเทือนกระบี่ยาวเล่มที่สองที่อยู่ในมือให้แตก เศษกระบี่เหลือคณานับพุ่งกระจาย ปราณกระบี่ท่วมทะยานฟ้า มารวมตัวกันอยู่ตรงซินจวง เท่ากับว่าได้สร้างค่ายกลกระบี่แห่งหนึ่งขึ้นมาชั่วคราว กักฟ้าดินสี่ทิศของซินจวงเอาไว้ พวกเจ้าใครมีปัญญาจะย้อนทวนกระแสน้ำแห่งกาลเวลาก็เชิญตามสบาย ถึงอย่างไรก็ไม่อาจทำให้ซินจวงเดินทวนกระแสน้ำไปได้อีกแล้ว
โชคดีที่มีบรรพบุรุษชูเซิงใช้ฝ่ามือดันไม้เท้า ในใจท่องคาถา ไม่รู้ว่าร่ายวิชาอะไร ถึงกับปกป้องชีวิตของซินจวงไว้ได้ แล้วยังทำให้ซินจวงสามารถประคับประคองขอบเขตเซียนเหรินไว้ได้ชั่วคราวด้วย ขณะเดียวกันยังสลายเศษซากปราณกระบี่ที่เหลืออยู่ของอาเหลียงทิ้งไป อาศัยโอกาสนี้ซ่อมแซมภาพค่ายกลปลาหยินหยางที่เดิมทีไม่อาจกลับมารวมตัวกันได้อีก
อาเหลียงคาดการณ์ถึงข้อนี้ได้นานแล้ว และเขาเองก็เคยชินมานานแล้ว หนึ่งคนซ้อมคนหนึ่งกลุ่ม แค่เสียเปรียบเล็กน้อยจะเป็นไรไป
สองมือกดด้ามกระบี่สองเล่มที่ห้อยไว้ตรงเอว ร่างของอาเหลียงหายไปจากจุดเดิมอีกครั้ง
หลิวป๋ายมองดูด้วยความอกสั่นขวัญผวา นี่ก็คืออาเหลียงที่ปล่อยฝีมือเข่นฆ่ากับคนอื่นอย่างจริงจังอย่างนั้นหรือ?
ม่านฟ้าจุดหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง น้ำวนถาโถม ลมกระโชกเมฆโหมซัด สุดท้ายมีกลิ่นอายมหามรรคาขุมหนึ่งที่ทำให้คนหายใจลำบากค่อยๆ เยื้องกรายลงมาเยือนโลกมนุษย์
ไม่เห็นร่องรอยของกระบี่บิน แต่กลับเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
และทางทิศเหนือของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีแสงกระบี่เส้นหนึ่งที่พุ่งลงใต้มาด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
อาเหลียงจั่วโย่ว หนึ่งตั้งหนึ่งนอน วิถีกระบี่และเวทกระบี่ ร่วมกันผ่าโค่นเปลี่ยวร้าง
……
ศาลเทพอัคคีของเมืองหลวง ปรมาจารย์เฒ่าอวี๋หงไม่มองหญิงสาวผู้นั้นอีก ผู้เฒ่าฝืนกลืนเลือดสดอึกหนึ่งลงคอ ผู้เฒ่าที่ในที่สุดก็ช่วงชิงอันดับสามด้านวรยุทธมาครองได้อย่างมั่นคงก้าวยาวๆ ออกไปจากลานประกอบพิธีกรรมเปลือกหอย เรือนกายที่เดิมทีเล็กจ้อยค่อยๆ ขยายใหญ่ กลับคืนมามีความสูงเป็นปกติในสายตาของผู้คนอีกครั้ง สุดท้ายผู้เฒ่าหยุดยืนนิ่ง กุมหมัดคารวะไปยังสี่ทิศอย่างมีมารยาทอีกครา ก่อให้เกิดเสียงไชโยโห่ร้องดังกระหึ่ม
ผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของกรมอาญาต้าหลีท่านนี้ ต่อให้ไม่ได้อาศัยวรยุทธระดับยอดเขาสูงสุดที่ทำให้เขามีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งเมืองหลวง อาศัยแค่สถานะผู้ถวายงานนี้ก็ยังเดินกร่างไปทั่วทวีปได้อยู่ดี ผ่านศึกครั้งนี้ไป บารมีชื่อเสียงของอวี๋หงบนภูเขาและในยุทธภพก็จะยิ่งพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น
ท่ามกลางกลุ่มคน มีคนกุมหมัด บ้างก็ประสานมือคารวะตอบกลับคืนอวี๋หงอยู่เงียบๆ
พวกเขาต่างก็เป็นชาวบ้านลี้ภัยของราชวงศ์จูอิ๋งเก่า ภายหลังบ้างก็มาเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนักต้าหลี บ้างก็หาเลี้ยงชีพอยู่ในเมืองหลวงแห่งนี้ สภาพการณ์ไม่ต่างจากจิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางเท่าใดนัก
วันนี้พวกเขามาที่นี่ แน่นอนว่าต้องมีความรู้สึกที่ซับซ้อนยิ่งกว่าผู้ชมทั่วๆ ไป ในฐานะราชวงศ์ที่กองกำลังแคว้นแข็งแกร่งที่สุดในภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปในอดีต ไม่อาจเทียบกับแคว้นใต้อาณัติต้าหลีมากมายที่ดินแดนคล้ายถูกผ่าเป็นก้อนเต้าหู้เล็กใหญ่ ดังนั้นราษฎรของจูอิ๋งจึงเป็นเพียงแคว้นเดียวที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีหวังจะกอบกู้แคว้นอีกแล้ว
ส่วนการกระทำนี้จะเป็นการละเมิดกฎหรือไม่ คนเหล่านี้กลับไม่สนใจ ความใจกว้างน้อยนิดแค่นี้ ราชสำนักต้าหลียังพอมีอยู่บ้าง และสิ่งที่ค้ำจุนจิตใจที่กว้างขวางส่วนนี้เอาไว้ สืบสาวราวเรื่องกันแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องเป็นเพราะกองกำลังแคว้น ปีนั้นกองทัพม้าเหล็กต้าหลีกรีฑาทัพจากเหนือลงใต้ บุกไปที่ใดที่นั่นก็ราบเป็นหน้ากลอง กีบเท้าม้าดังก้องสะท้อนไปทั่วชายหาดทะเลทักษิณ ขุนเขาสายน้ำของแต่ละแคว้นล้วนกลายไปเป็นมาตุภูมิในอดีต ทำให้คนหนาวเหน็บในหัวใจ หวาดหวั่นยำเกรงอย่างล้ำลึก สุดท้ายราชวงศ์ต้าหลีกลับสามารถปกป้องขุนเขาสายน้ำของหนึ่งทวีปไม่ให้ถึงขั้นต้องแผ่นดินแตกแยกจมสู่มหาสมุทรได้ จึงช่วงชิงความเคารพนับถือมาจากผู้คนได้อีกครั้ง
โจวไห่จิ้งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขาเหมือนกัน ตอนนี้ยังไม่มีฐานะขุนนางเช่นเขา ก่อนหน้านี้นางเคยพูดเล่นกับเซียนกระบี่ไผ่เขียวว่า ให้ซูหลางช่วยแนะนำนางกับสองกรมอย่างกรมพิธีการและกรมอาญาหน่อย ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ พูดจาดีๆ ถึงนางต่อหน้าขุนนางคนสำคัญใจกลางราชสำนักต้าหลีอย่างต่งหูและจ้าวเหยา
แต่ซูหลางกลับรู้ดีว่านี่เป็นแค่ลักษณะการพูดจาด้วยความเคยชินของโจวไห่จิ้งเท่านั้น ไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจังได้ หลังจากการถามหมัดครั้งนี้ผ่านไป โจวไห่จิ้งก็แค่เป็นรองเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้นสถานะผู้ถวายงานอันดับหนึ่งก็ต้องกลายเป็นของในกระเป๋าของนางแน่นอน ไม่แน่ว่าไม่ต้องรอให้โจวไห่จิ้งกลับไปถึงที่พักในเมืองหลวง กองอู่เสวี่ยน (หนึ่งในกองงานของกรมกลาโหม หน้าที่หลักคือรับผิดชอบในการประเมิน คัดเลือก จัดการสอบของฝ่ายบู๊ และดูแลรายชื่อของกองทัพ ออกคำสั่งทางการทหารเช่นการระดมกำลังเพื่อส่งไปปฏิบัติงาน) ของกรมกลาโหมหรือไม่ก็กองชิงสื่อฝ่ายบวงสรวง (หนึ่งในสี่กองของกรมพิธีการ หลักๆ คือดูแลเรื่องการเซ่นไหว้ การบวงสรวงทำพิธี) ของกรมพิธีการก็อาจจะมีขุนนางเป็นฝ่ายมาหาโจวไห่จิ้งด้วยตัวเอง
พอคิดถึงสถานที่ที่โจวไห่จิ้งเลือกเป็นที่พัก ว่ากันว่าพอนางมาถึงเมืองหลวงก็เดินไปเรื่อยๆ ปล่อยให้โชควาสนานำพาจนไปเลือกพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลแห่งนี้มาได้ ซูหลางก็รู้สึกอ่อนใจเป็นทบทวี นั่นก็เพราะมันโกโรโกโสมากเกินไป ซูหลางมิอาจจินตนาการได้เลยว่า ที่แท้เมืองหลวงต้าหลีก็มีสถานที่ที่ขี้ไก่ขี้หมากองเกลื่อนเต็มพื้น ถึงขั้นที่ว่าข้างทางยังเป็นเล้าหมูแบบนี้อยู่ด้วย ก่อนหน้านี้ไปหาโจวไห่จิ่ง ซูหลางเพิ่งจะเคยเดินผ่านหน้าประตูซ่องนางโลมเป็นครั้งแรกในชีวิตด้วยซ้ำ สรุปก็คือเป็นตรอกเล็กแคบที่มืดสลัว สองข้างทางล้วนมีแต่ซ่อง จะหลบเลี่ยงอย่างไรก็หลบไม่พ้น ตอนนั้นพอเขาได้พบหน้าโจวไห่จิ้ง นางก็หัวเราะดังลั่น ประโยคแรกที่พูดก็คือต้องชดใช้รองเท้าให้เซียนกระบี่ไผ่เขียวหนึ่งคู่เสียแล้ว
เวลานี้ซูหลางถามเสียงเบา “แม่นางโจว เจ้ายังสบายดีอยู่ใช่ไหม?”
“ไม่ค่อยดี เจ้าเฒ่าลงมือหนักหน่วงยิ่งนัก”
โจวไห่จิ้งเอื้อมมือไปยังหัวใจด้านหลัง นวดคลึงบาดแผลที่ถูกศอกของอวี๋หงถองแล้วพูดบ่นไม่หยุด “ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเลยแม้แต่น้อย”
การถามหมัดครั้งนี้ทำให้ใบหน้าที่ประทินโฉมมาอย่างประณีตของนางเป็นด่างเป็นดวงลายพร้อย ส่วนพวกเครื่องประดับที่ตอนแรกกองกันเป็นภูเขาก็ล้วนถูกพายุหมัดของอวี๋หงต่อยจนหล่นร่วงกระจัดกระจายไปหมด น่าเสียดายนัก ล้วนเป็นเงินทั้งนั้น หากเก็บไว้ได้สักสี่ห้าชิ้นก็ถือว่าได้กำไรก้อนเล็กๆ มาก้อนหนึ่งแล้ว
นางเอ่ยอย่างมีโทสะ “คราวหน้าที่ถามหมัดกันจะต้องกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาให้ได้ ไม่มีคนมาชมศึกมากมายขนาดนี้แล้ว คอยดูเถอะเหล่าเหนียงจะตรงไปที่ด้านล่าง ถึงเวลานั้นจะเลี้ยงข้าวผัดไข่ให้เจ้ากิน”
ซูหลางบื้อใบ้พูดไม่ออก ปรมาจารย์ใหญ่หญิงที่อายุใกล้เคียงกันแต่ขอบเขตกลับสูงกว่าเขาหนึ่งขั้นคนนี้ ไม่เจอกันนานหลายปี คำพูดคำจายังคง…ชวนขบขันอยู่เหมือนเดิม
โจวไห่จิ้งมุดเข้าไปในห้องโดยสารรถม้า ควักผ้าเช็ดหน้าออกมา ถล่มเลือดที่คั่งอยู่ออกจากปากคำใหญ่ เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ นางไม่สนใจอาการบาดเจ็บน้อยนิดพวกนี้เลย ใช้นิ้วแตะน้ำลายนับตั๋วเงินที่ได้มา ล้วนเป็นเงินชนะพนันที่นางลงเดิมพันไว้กับบ่อนใหญ่หลายแห่งของเมืองหลวงก่อนหน้านี้
บนหลังคาเรือน เฉินผิงอันถามว่า “ข้าจะไปพบสหายเก่าสักหน่อย อยากไปด้วยกันไหม?”
หนิงเหยาเหลือบตามองไปยังรถม้าคันที่จอดอยู่ตรงตรอกที่ห่างไปไกล “สารถีคนนั้น?”
เฉินผิงอันพยักหน้า อธิบายว่า “ชื่อว่าซูหลาง มีฉายาว่า ‘เซียนกระบี่ไผ่เขียว’ เป็นคนในยุทธภพของแคว้นซงซี ถือว่าเป็นเพื่อนบ้านครึ่งตัวของผู้อาวุโสซ่ง”
ในเมื่อทุกวันนี้ซูหลางมีตำแหน่งขุนนางติดกายแล้ว ทั้งยังเลื่อนเป็นขอบเขตเดินทางไกล ต่อให้สุดท้ายจะไม่อาจเลื่อนสู่ขอบเขตยอดเขาได้ แต่ขอแค่ซูหลางไม่เจอกับหายนะใหญ่ อย่างน้อยที่สุดก็ยังมีอายุขัยอยู่ได้อีกร้อยกว่าปี ดังนั้นในอนาคตจะต้องคบค้าสมาคมกับสองสามีภรรยาซ่งเฟิ่งซานและหลิ่วเชี่ยนของศาลเทพภูเขาอีกนานแน่นอน
ปีนั้นตอนที่ซูหลางเพิ่งเลื่อนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดก็ตรงกับช่วงเวลาที่ซ่งอวี่เซาล้างมืออำลาวงการ ถอยออกจากยุทธภพพอดี ซูหลางที่เป็นผู้เยาว์คนหนึ่ง อันที่จริงเขามีชื่อเสียงโด่งดังมากพอแล้ว แต่กระนั้นก็ยังบีบบังคับคนอื่น เฉินผิงอันจึงต่อยซูหลางไปหนึ่งหมัด ต่อยให้อีกฝ่ายล่าถอยไปจากเมืองเล็ก แต่ภายหลังก็ยังร่วมมือกับซูหลางที่เป็นฝ่ายมาเยือนถึงบ้าน แสดงละครกับเขาไปหนึ่งฉาก ให้อีกฝ่ายได้มีบันไดลง มอบชื่อเสียงในยุทธภพที่ว่า ‘เวทกระบี่ล่างภูเขาไม่แพ้ให้กับเซียนกระบี่บนภูเขา’ แก่ซูหลางไปเปล่าๆ
กฎเกณ์ในยุทธภพและความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนของคนรุ่นเก่า เกินครึ่งมักจะเป็นเช่นนี้
อยู่ในยุทธภพเหมือนกัน ขอแค่ไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาต บนโต๊ะสุราก็พูดจาน่าฟังสักสองสามคำ เจอกันบนทางแคบก็ยอมถอยหนึ่งก้าวให้คนอื่นได้เดินต่อ ทำให้สะพานไม้คับแคบกลายเป็นถนนใหญ่กว้างขวาง
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันรู้ใจทันใด ส่ายหน้ายิ้มเอ่ย “ข้าหรือจะมีถ้อยคำประหลาดมากมายเช่นนั้น ก็แค่ไปรำลึกความหลังปกติกับซูหลางเท่านั้น”
ก็เหมือนการท่องยุทธภพที่ยามออกจากบ้านอย่าโอ้อวดความร่ำรวย ในสถานการณ์ทั่วไป เฉินผิงอันก็ไม่มีทางเปิดกระบุงเปิดเผย ‘ทรัพย์สิน’ ของตัวเองออกมาง่ายๆ หากพูดให้ฟังง่ายหน่อยก็คือ ตีคนไม่ตีหน้า
หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ไปแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ระหว่างทางกลับข้าจะซื้อของกินของเมืองหลวงสองสามอย่างมาฝากเจ้า”
หนิงเหยาพยักหน้า ร่างเปล่งวูบหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง
อันที่จริงนางรู้ว่าเฉินผิงอันยังคงพะวงอยู่กับการต่อสู้นั้นก็เลยอยากจะหาเรื่องอะไรทำสักหน่อย แบ่งสมาธิก็คือการผ่อนคลายจิตใจอย่างหนึ่ง
ดังนั้นนางจึงให้เขาไปพบสหายในยุทธภพเพียงลำพัง
ท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมองมาของพวกนักการในที่ว่าการแห่งต่างๆ ทุกคนพากันออกไปจากสถานที่อย่างเป็นระเบียบ ในตรอกที่เงียบสงัดแห่งหนึ่ง รถม้าค่อยๆ ชะลอหยุดลง ซูหลางขมวดคิ้วน้อยๆ เบื้องหน้ามีภิกษุหนึ่งรูปและนักพรตเต๋าหนึ่งคนมาขวางทางไป นักพรตอายุน้อยกับภิกษุเด็กหนุ่มล้วนเป็นคนแปลกหน้า
นักพรตหนุ่มบอกชื่อแซ่ของตัวเองแล้วควักป้ายหยกกองทำเนียบของหน่วยเต้าเจิ้งซึ่งเป็นสิ่งแสดงตัวตนออกมา “เก๋อหลิ่ง เต้าลู่แห่งเมืองหลวง มีเรื่องอยากจะปรึกษากับแม่นางโจว ขอแม่นางโจวโปรดลงจากรถม้ามาก่อน แล้วค่อยติดตามผินเต้าไปพูดคุยกันที่อาราม”
ภิกษุน้อยพนมสองมือ “อาตมาคือเณรน้อยจากหน่วยแปลคัมภีร์”
ซูหลางหรี่ตาลง ขุนนางลัทธิเต๋าคนหนึ่งภายใต้การปกครองของหน่วยจงซวีต้าหลี?
เบื้องใต้การปกครองของเต้าเจิ้ง แบ่งออกเป็นอีกหกกองได้แก่กองทำเนียบ กองดำเนินคดี กองคำเขียว กองตราประทับ กองภูมิศาสตร์ กองกฎข้อบังคับ นักพรตหนุ่มที่เรียกตัวเองว่าเก๋อหลิ่งผู้นี้ดูแลกองทำเนียบ
หัวหน้าของเต้าลู่ก็คือเต้าเจิ้งของเมืองหลวง ดูแลเรื่องการแจกจ่ายทำเนียบวงศ์ตระกูล การเลื่อนขั้นการลดขั้นของนักพรตเต๋าในเมืองหลวง แต่กลับไม่อาจมาควบคุมผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างตนได้ หากเต้าเจิ้งเดินทางมาด้วยตัวเอง ไม่แน่ว่าซูหลางอาจจะยินดียอมถอยให้ตามมารยาท แม้จะบอกว่าระดับขั้นขุนนางของเต้าเจิ้งไม่สูง แต่ถึงอย่างไรก็ยังได้กุมอำนาจที่แท้จริง ส่วนเต้าลู่ขุนนางผู้ดูแลหลักของหนึ่งกองนั้น ไม่เพียงแต่ตำแหน่งต่ำต้อย ยังมีการแบ่งแยกน้ำบ่อน้ำคลองกับที่ว่าการกรมอาญา คิดว่าสถานะผู้ถวายงานอันดับรองที่กรมอาญาแต่งตั้งให้ของตนเป็นยศที่ว่างเปล่าจริงๆ หรือ?
ตรงเอวของซูหลางเหน็บไผ่เขียวไว้ท่อนหนึ่ง ใช้เชือกหลากสีร้อยรัดป้ายสงบสุขปลอดภัยไว้แผ่นหนึ่ง ระดับสอง ไม่ต่ำแล้ว ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็มีเพียงขอบเขตยอดเขาเท่านั้นที่ถึงจะมีโอกาสได้ห้อยป้ายสงบสุขปลอดภัยระดับหนึ่ง
ผู้ถวายงานลำดับสองของต้าหลี ส่วนใหญ่คือผู้ฝึกกระบี่โอสถทอง ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล และผู้ฝึกลมปราณก่อกำเนิด เว้นเสียจากว่ามีคุณความชอบทางการทหารสูงส่ง ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณโอสถทองที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ก็ได้แต่อยู่ในอันดับที่สามเท่านั้น
ซูหลางเอ่ยอย่างเฉยเมย “มีธุระอะไรก็ว่ามา ไม่มีธุระก็ถอยไป”
เก๋อหลิ่งยิ้มเอ่ย “คงจะเป็นเซียนกระบี่ไผ่เขียวจากแคว้นซงซีกระมัง ผินเต้าชื่นชมเลื่อมใสในชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว เพียงแต่ว่าวันนี้มาหาแม่นางโจวเพราะมีธุระจะปรึกษา ไม่สะดวกให้คนนอกมารับฟัง เซียนกระบี่ซูโปรดให้อภัยด้วย”
เณรน้อยถามเสียงเบา “เซียนกระบี่?”
ตอนนี้พอเณรน้อยได้ยินคำว่าเซียนกระบี่อะไรก็รู้สึกว่าหัวโตกว่าเดิมเป็นสองเท่า
นี่เพิ่งจะกี่วันเอง ตนต้องบริจาคเงินค่าน้ำมันค่าธูปเทียนให้กับพระโพธิสัตว์ไปสองรอบแล้ว
ครั้งนี้มาเชิญโจวไห่จิ้งเพื่อไปปรึกษาหารือกัน เป็นความต้องการของซ่งซวี่ ถามหมัดสิ้นสุดก็ควรต้องเชิญนางให้เข้ามาอยู่สายแผนภูมิดินอย่างเป็นทางการได้แล้ว
อันที่จริงก่อนหน้านี้หยวนฮว่าจิ้งได้มาหานางแล้วรอบหนึ่ง เพียงแต่ว่าสองฝ่ายเจรจากันไม่สำเร็จ หนึ่งเพราะหยวนฮว่าจิ้งไม่ได้เปิดเผยสถานะ นอกจากนี้ทางฝั่งของกรมพิธีการและกรมอาญาก็ต้องการอาศัยอวี๋หงให้มาทดสอบดูน้ำหนักบนวิถีวรยุทธของโจวไห่จิ้งว่าสรุปแล้วมีคุณสมบัติพอที่จะมาชดเชยส่วนที่ขาดหรือไม่ด้วย
ส่วนผู้ฝึกยุทธรูปโฉมหล่อเหลาที่ทำหน้าที่เป็นสารถีคนนี้ เณรน้อยไม่รู้จักจริงๆ รู้จักป้ายสงบสุขปลอดภัยเท่านั้น อีกอย่างต่อให้หล่อเหลาแค่ไหน เจ้าจะหล่อเหลาไปกว่าอาจารย์เฉินได้หรือ?
——