กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 845.2 หวนคืนสู่กำแพงเมืองปราณกระบี่
หลี่เซิ่งกล่าว “ไม่ต้องกังวล ไม่ถือว่าไกล”
ซิ่วไฉเฒ่าเริ่มร่ายสุดยอดวิชาขึ้นชื่อบทที่แม้แต่ลูกศิษย์คนสุดท้ายก็ยังไม่เคยเรียนรู้มาก่อน พูดเซ้าซี้ว่า “อย่ามาพูดเรื่องเหลวไหลพวกนี้กับข้า บอกมา สรุปว่าเดินไปไกลแค่ไหน!”
หลี่เซิ่งหันหน้าไปมองเฉินผิงอันด้วยสายตาสอบถาม คล้ายว่าคำตอบจะอยู่ที่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่อาจแสร้งโง่ได้ จึงได้แต่บากหน้าตอบคำตอบที่อยู่ในใจไปว่า “นิกายฉานเคยกล่าวไว้ว่า ‘บอกว่าเหมือนสิ่งหนึ่งแต่กลับยังไม่ถูกต้อง’”
ก็เหมือนประโยคเก่าแก่ของบ้านเกิดเฉินผิงอันประโยคนั้น พรที่ขอจากพระโพธิสัตว์ไม่อาจบอกผู้อื่นได้ บอกไปแล้วก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์ มีจิตศรัทธาความศักดิ์สิทธิ์ย่อมบังเกิด ขอสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น
ซิ่วไฉเฒ่าใช้สองมือชูจอกเหล้า ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอดื่มก่อน หลี่เซิ่ง ดื่มเหล้าคนเดียวไม่มีความหมายอะไร ไม่สู้พวกเราสองพี่น้องมาดื่มด้วยกันก่อน เจ้าจะดื่มอย่างไรก็ตามใจ แต่ให้ข้าดื่มติดๆ กันสามจอกก็ยังไม่มีปัญหา”
สุราดีๆ ที่เดิมทีไม่ว่าใครก็ไม่ต้องยุให้ใครดื่มเหล้า แต่ดันถูกซิ่วไฉเฒ่าก่อกวนให้มีกลิ่นอายของชาวยุทธผู้บุ่มบ่ามเสียได้
หลี่เซิ่งตามสบายจริงๆ เพียงแค่ยกจอกขึ้นมาจิบเหล้าหนึ่งอึก ซิ่วไฉเฒ่ายืดคอยาวออกไป รออยู่พักหนึ่ง เฮ้อ ช่างเถิดๆ หลี่เซิ่งคอไม่แข็ง ตนก็อย่าได้เกรงใจอย่างส่งเดชอยู่เลย จิบเหล้าตามไปด้วยหนึ่งอึก นี่คือสุราที่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตนได้มาอย่างยากลำบากเชียวนะ ดื่มช้าๆ หน่อย วันหน้าเหล้าหมักร้อยบุปผาสองสามกานั้นของตนก็ต้องนำไปมอบให้คนอื่นถึงจะถูก
เฉินผิงอันถามคำถามที่ใหญ่เทียมฟ้า “ก่อนหน้านี้ตอนข้าอยู่โรงเตี๊ยม เขาเคยได้พบหลี่เซิ่งมาก่อนแล้วใช่หรือไม่?”
หลี่เซิ่งพยักหน้า
เฉินผิงอันไร้คำพูดอย่างสิ้นเชิง
เรื่องแบบนี้จะยังถือเป็นลำดับขั้นตอนอีกได้อย่างไร?
ตามคำอธิบายคำศัพท์ของอาจารย์สวี่ท่านนั้น บนล่างสี่ทิศคือเทศะ นับแต่โบราณมาถึงปัจจุบันคือกาลเวลา ส่วนลัทธิพุทธก็มีคำกล่าวที่ว่าโลกสิบทิศไร้ขอบเขตไร้ที่สิ้นสุด
มรรคาจารย์เต๋ากล่าวว่ามีสิ่งหนึ่งบังเกิดจากกลีภพ มีอยู่ก่อนฟ้าดิน มิอาจบรรยาย ขอเรียกว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ส่วนเจ้าลู่เฉินผู้นั้นก็พูดออกมาโดยตรงว่าเต๋าอยู่ในมด ในวัชพืช ในฉี่ในอาจม
หลี่เซิ่งดื่มเหล้าไปแล้ว จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “หากอยากจะเลื่อนเป็นขอบเขตสิบห้าก็ต้องหลุดพ้นจากพันธนาการใหญ่ทุกอย่างที่บังเกิดขึ้นเพราะตัวอักษรให้ได้อย่างสิ้นเชิง”
ซิ่วไฉเฒ่าพ่นเหล้าพรวดออกจากปาก
เฉินผิงอันก็ยิ่งอึ้งงันไร้คำพูด
หนิงเหยาทำท่าขบคิด
เฉาฉิงหล่างกับเผยเฉียนสบตากัน คนหนึ่งใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นกังวล อีกคนหนึ่งมีสีหน้าภาคภูมิใจ ฝ่ายแรกส่ายหน้าเบาๆ ฝ่ายหลังถลึงตาใส่เขาหนึ่งที
หลี่เซิ่งลุกขึ้นเตรียมจะไปจากแจกันสมบัติทวีป และถือโอกาสนี้คุ้มกันเฉินผิงอันและหนิงเหยาไปยังซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วย
การสละร่าง ‘สลายมรรคา’ ของบรรพบุรุษใหญ่เปลี่ยวร้างในครั้งนั้นมีภัยแฝงทิ้งไว้เบื้องหลังใหญ่มาก จำเป็นต้องให้เขาค่อยๆ สาวเส้นไหมออกมา
ซิ่วไฉเฒ่ารีบเช็ดปาก รั้งแขนของอีกฝ่ายเอาไว้ “เพิ่งจะดื่มแค่จอกเดียวก็จะไปแล้วหรือ ไม่ไว้หน้ากันเลยหรือไร? มาคุยกันอีกหน่อย แค่คุยกันไม่กี่ประโยคไม่เสียเวลาสักเท่าไรหรอกน่า อีกอย่างลูกศิษย์ของลูกศิษย์ข้าต่างก็อยู่ด้วยนะ จะดีจะชั่วก็ไว้หน้าข้าบ้างสิ”
เฉินผิงอันรีบรินเหล้าหนึ่งจอกให้หลี่เซิ่งทันใด เพราะในใจยังมีข้อสงสัยอีกไม่น้อย จึงอยากจะอาศัยโอกาสนี้ถามหลี่เซิ่งดู
หนิงเหยา เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างต่างก็เงียบงัน
คนทั่วไปหากต้องการหน้าตาจริงๆ คงไม่มีทางเปิดปากพูดแบบนี้หรอกกระมัง
หลี่เซิ่งจึงได้แต่นั่งกลับลงไปเหมือนเดิม
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจถาม “อาจารย์ ชื่อจริงของหลี่เซิ่ง แซ่อวี๋ นามเค่อที่แปลว่าเคารพข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด? หรือว่าเค่อที่แปลว่าแขกกันล่ะ?”
เกี่ยวกับชื่อของหลี่เซิ่ง ไม่เคยมีบันทึกใดๆ ระบุไว้ในตำรา ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันเองก็ไม่เคยได้ยินใครพูดถึงมาก่อน
หลี่เซิ่งกล่าว “เป็นอย่างหลัง”
เฉินผิงอันรู้สึกเขินอายเล็กน้อย อยู่กับหลี่เซิ่ง เสียงในใจไม่ใช่เสียงในใจ ไม่มีความหมายเท่าใดจริงๆ
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “เคารพข้อกำหนดอย่างเคร่งครัด? อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นอย่างนั้นหรอก ข้าก็แค่รับผิดชอบคอยกำหนดกฎเกณฑ์และมารยาทพิธีการเท่านั้น”
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก
คำพูดคล้ายคลึงกันนี้ คาดว่าก็คงเหมือนอย่างที่อาเหลียงพูดว่าข้าน่ะหรือขี้โม้? หนิงเหยาบอกว่ากระบี่จำเป็นต้องฝึกด้วยหรือ? ฮว่อหลงเจินเหรินพูดว่าตนพอจะเข้าใจเรื่องมรรคกถาอยู่บ้างเล็กน้อย? เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบอกว่าตัวเองอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าพูดอะไรก็ไม่อาจเชื่อถือได้?
รินเหล้าให้อาจารย์หนึ่งจอก เฉินผิงอันก็ถามว่า “สุสานที่ผีขอบเขตบินทะยานตนนั้นสร้างขึ้นมากลางทะเล ใช่ ‘สุสานลอย’ ที่บันทึกไว้ในตำราโบราณหรือไม่?”
สุสานประเภทนี้ส่วนใหญ่มักจะเป็นของจักรพรรดิบรรพกาลโดยเฉพาะเท่านั้น ด้านในมีกลไกหลายชั้น ทั้งไม่ใช่การจำแลงเป็นขนนกล่องลอย (เปรียบเปรยถึงการกลายเป็นเซียน) แล้วก็ไม่ใช่ลงสู่น้ำพุเหลืองในปรโลก ก็เหมือนการ ‘ไม่ตาย’ อีกประเภทหนึ่ง ทั้งได้ความเป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย แล้วก็ไม่ได้รับพันธนาการใดๆ จากมหามรรคา เพียงแต่ว่าในใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่บันทึกที่เป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น ไม่เคยมีของจริงปรากฏขึ้นมาหลายพันปีแล้ว เป็นเหตุให้แม้กระทั่งผู้ฝึกตนบนยอดเขาก็ยังเห็นเป็นเรื่องตลกไร้สาระของนิทานเทพปรัมปราเท่านั้น
หลี่เซิ่งพยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันเงยหน้ามองม่านฟ้าแวบหนึ่ง
มหาสมุทรความรู้โจวมี่ผู้นั้นก็คือวิญญาณผีร้ายที่ไม่ไปผุดไปเกิดเช่นนี้เอง
ผีขอบเขตบินทะยานตัวที่ถูกหนิงเหยาตามหาร่องรอยจนเจอต้องเป็นหมากตัวหนึ่งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างฝังไว้ลึกมากอย่างแน่นอน ยกตัวอย่างเช่นในช่วงเวลาที่ใต้หล้าไพศาลกรีฑาทัพบุกมาโจมตีใต้หล้าเปลี่ยวร้าง พวกเขาจะทำลายเส้นทางกุยซวีบางเส้นกะทันหัน นอกจากที่ผู้ฝึกตน เรือข้ามฟากและกองทัพจะได้รับความเสียหายแล้ว สำหรับใจคนของไพศาล เดิมทีนี่ก็คือการบาดเจ็บสาหัสที่แทบจะเอาชีวิตอย่างหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกลมปราณคนใดก็ล้วนต้องเป็นกังวลใจทั้งนั้น
พอไปถึงสนามรบของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกตนบนภูเขาและทหารล่างภูเขาของราชวงศ์ใหญ่แต่ละแห่งจะต้องคอยกังวลเรื่องทางถอยหนี คนที่ยังไปไม่ถึงสนามรบก็ยิ่งกังวลถึงความอันตราย จะมีชีวิตอยู่รอดจนได้เห็นชัยภูมิของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหรือไม่ ดูเหมือนว่ากลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอนแล้ว
เพียงแต่ว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดยังคงเป็นผลลัพธ์ที่ ‘ถ้าหาก’ โจวมี่คิดคำนวณมาได้ตั้งแต่แรกแล้ว สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าความน่ากลัวที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นการกระทำอย่างจงใจของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ยอมสละชีวิตของผีขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งทิ้งเปล่าอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องให้ใต้หล้าไพศาลที่ไปเยือนใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เดินทางได้ปลอดภัยยิ่งกว่า มั่นคงยิ่งกว่า สบายใจมากกว่า รู้สึกว่าไม่มีความน่ากังวลและภัยแฝงอะไรซ่อนอยู่อีกแม้แต่น้อย
แต่ไหนแต่ไรมายามอยู่กับหนิงเหยา เฉินผิงอันมีอะไรก็มักจะพูดบอกกับนางตรงๆ เสมอ ดังนั้นเขาจึงบอกถึงความกังวลนี้ให้หนิงเหยาฟังอย่างไม่มีอ้อมค้อม
คำตอบของหนิงเหยาเรียบง่ายยิ่งนัก ข้าแค่รับผิดชอบออกกระบี่ต่อคนและเรื่องราวที่ขวางหูขวางตา เรื่องหลังจากนั้น ข้าไม่สนใจแล้ว หากเจ้ายินดีจะคิดมากก็คิดไป หากไม่ยินดีจะคิดก็บอกกับศาลบุ๋นสักคำ ให้พวกเขาไปคิดกันเอาเอง
ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มตอบตกลง บอกว่าหากเป็นเรื่องที่มีความสามารถพอจะทำได้ก็จะลองคิดดู แต่หากมากกว่านั้น เขาจะไม่คิดแล้ว
และก็คงจะมีเพียงหนิงเหยาที่เป็นแบบนี้เท่านั้นถึงได้ทำให้เฉินผิงอันพูดคุยเรื่องความคิด ความในใจกับนางโดยไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด
ความคิดทั้งหมดในใต้หล้านี้ ไม่อาจทำเพียงแค่เก็บกลั้นเอาไว้ไม่ปล่อยออกไป ไม่อย่างนั้นคนทุกคนบนโลกมนุษย์ที่มากความคิดมากความกังวล ใคร่ครวญทุกเรื่องอย่างรอบคอบ ก็คงมีแต่ใบหน้าขมขื่นระทมทุกข์เท่านั้นแล้ว
เฉินผิงอันถาม “ศาลบุ๋นมีการจัดการที่คล้ายคลึงกันนี้หรือไม่?”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “แน่นอน มอบมาให้ไม่ส่งคืนกลับไป ย่อมไร้มารยาท”
สุดท้ายเฉินผิงอันถามคำถามที่ซ่อนลึกอยู่ในใจมานานหลายปี “ศึกสิบสามที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ในปีนั้น สรุปแล้วสกุลลู่สำนักหยินหยางมีเจตนาร้ายหรือไม่?”
ครั้งนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็ส่งคนออกไปสิบสามคน จับคู่เข่นฆ่ากัน
เซียวสวิ้น ลู่จือ พ่อแม่ของหนิงเหยา เยว่ชิง หมี่ฮู่ จางลู่ เหยาชงเต้า หลี่ทุ่ยมี่…
รายชื่อของทั้งสองฝ่ายต่างก็แน่นอนและป่าวประกาศออกมาอย่างชัดเจน ศักยภาพบนหน้ากระดาษของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน กุญแจสำคัญคือต้องดูที่การจัดลำดับ
ในเรื่องของการจัดลำดับ ท้ายที่สุดก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม่ส่งผลดีต่อผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่แม้แต่น้อย เรียกได้ว่าพวกเขาเดินทีละก้าวเข้าไปในกับดักของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างแท้จริง
ยกตัวอย่างเช่นการลงสนามต่อสู้ของบิดามารดาหนิงเหยา รวมไปถึงเรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่จางลู่แพ้ให้กับโซ่วเฉิน หากไม่เป็นเพราะอาเหลียงที่ลงสนามรบเป็นคนสุดท้าย ใช้กระบี่สังหารปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งไปได้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ต้องพ่ายแพ้ทั้งกระดาน
บรรพจารย์ท่านหนึ่งของสกุลลู่เคยอนุมานลิขิตสวรรค์ของเรื่องนี้โดยเฉพาะ แล้วยังต้องชดใช้ด้วยตบะบนมหามรรคาของทั้งร่าง อีกทั้งเขายังไม่ใช่ขอบเขตเซียนเหรินอย่างที่ป่าวประกาศให้คนนอกรู้ด้วย แต่เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่แท้จริงคนหนึ่ง
หลี่เซิ่งส่ายหน้า “เป็นอีกฝ่ายที่ฝีมือสูงกว่า หลังจบเรื่องศาลบุ๋นถึงเพิ่งรู้ว่า ชูเซิงแห่งเปลี่ยวร้างที่ซ่อนตัวอยู่นอกฟ้า หรือก็คือผู้เฒ่าที่ปรากฏตัวพร้อมเซียวสวิ้นที่ภูเขาทัวเยว่ในการประชุมครั้งก่อน เคยร่วมมือกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลหลายตนแอบร่ายวิชาหมุนเปลี่ยนดวงดาว เล่นงานสกุลลู่สำนักหยินหยาง หากไม่ผิดไปจากที่คาด การกระทำนี้ของชูเซิงต้องได้รับคำสั่งอย่างลับๆ จากโจวมี่ ทำให้การกระทำนี้ของเขาเป็นดั่งการยิงธนูนัดเดียวได้นกหลายตัว”
ทำให้ใต้หล้าไพศาลสูญเสียผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางขอบเขตบินทะยานไปคนหนึ่ง
กำแพงเมืองปราณกระบี่สูญเสียพลังการรบขั้นสูงสุดไปส่วนหนึ่ง
ในสายตาของผู้ฝึกตนทั่วไปที่ไม่ได้อยู่บนยอดเขาของไพศาล ผู้ฝึกกระบี่หนึ่งเมืองก็สามารถชนะศึกได้แล้ว ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้บุกโจมตีไปถึงใต้หล้าไพศาลจะยังก่อคลื่นลมมรสุมอะไรได้อีก
ในเมื่อไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผนกลยุทธ ดีแต่ใช้กำลังในการเข่นฆ่า แล้วพลังการต่อสู้ขั้นสูงสุดยังไม่ได้ความเช่นนี้ ไปถึงไพศาลก็มีแต่จะเจอจุดจบเหมือนหมาที่ถูกคนปิดประตูรุมตี
ดังนั้นจึงสามารถพูดได้ว่า ศึกสิบสามในครั้งนั้น โจวมี่ที่อยู่เบื้องหลังไม่ได้คิดจะทำให้พวกปีศาจใหญ่ทั้งหลายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเป็นฝ่ายชนะเลยแม้แต่น้อย
หลี่เซิ่งถาม “หากไม่ใช่คำตอบนี้ เจ้าจะทำอย่างไร?”
เฉาฉิงหล่างที่ยืนอยู่ตลอดกลั้นหายใจ สองมือกำเป็นหมัด
เผยเฉียนหรี่ตาลง
ซิ่วไฉเฒ่ากลับมีสีหน้าสุขุมไม่สะทกสะท้าน
เฉินผิงอันตอบตามสัตย์จริง “สกุลลู่สำนักหยินหยางก็จะกลายเป็นภูเขาตะวันเที่ยงแห่งถัดไป บางทีอาจจะอนาถยิ่งกว่า”
หลี่เซิ่งยิ้มกล่าว “บุญคุณความแค้นบนภูเขา ข้าก็เคยพบเจอมาบ้าง”
ซิ่วไฉเฒ่าช่วยเอ่ยเสริมมาอีกประโยค “แต่ก็ยังไม่สนใจอยู่ดีไม่ใช่หรือ”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ไม่พูด
หลี่เซิ่งยกตัวอย่างให้ฟัง “คนกับตั๊กแตน”
คนหนึ่งไม่ถามอะไร อีกคนหนึ่งกลับให้คำตอบที่ชวนประหลาดใจ
แต่เฉินผิงอันกลับพยักหน้ารับ เข้าใจแล้ว
หนิงเหยาคร้านจะคิดมาก ในที่สุดก็เริ่มยกจอกดื่มเหล้าบ้างแล้ว เฉาฉิงหล่างคิดร้อยตลบแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เผยเฉียนทำหน้าเหลอหรา ยังคงสับสนมึนงง
ตั๊กแตนขาดขาไปข้างหนึ่งก็ยังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้เหมือนเดิม
ทว่าในฐานะมนุษย์ที่เป็นผู้นำของสิ่งมีชีวิตที่มีจิตวิญญาณทั้งปวง หากไม่นับรวมผู้ฝึกตน กลับกลายเป็นว่าไม่อาจได้ครอบครองพลังชีวิตที่แข็งแกร่งเช่นนี้
พอเฉินผิงอันได้ยินคำเปรียบเปรยนี้ก็ไพล่นึกไปถึงเรือข้ามฝากตระกูลเซียนทันที ในจินตนาการของเฉินผิงอันในอดีต เรือข้ามฟากลำหนึ่งที่ลอดทะลุทะเลเมฆ ตามหลักแล้วต้องเป็นวัตถุที่ถูกสร้างให้ร้อยเรียงต่อกันอย่างเป็นระเบียบและประณีต แต่ในความเป็นจริงแล้ว การสร้างเรือข้ามฟากตระกูลเซียนลำหนึ่งขึ้นมา นอกจากใจกลางค่ายกลที่เป็นกุญแจสำคัญซึ่งไม่อาจบอกให้ใครรู้ได้แล้ว ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้ แท้จริงแล้วกลับหยาบและเรียบง่าย…กว่าที่เฉินผิงอันจินตนาการณ์ไว้มากนัก
ถ้าอย่างนั้นก็คือหลักการเดียวกัน โลกมนุษย์และวิถีทางโลกทั้งหมดจำเป็นต้องมีช่องว่างและระยะห่างในระดับที่แน่นอน คำกล่าวว่าฟ้า ดิน กษัตริย์ ญาติและอาจารย์ที่อาจารย์ของตนเป็นผู้เสนอก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ไม่ได้มีแต่ความสนิทสนมอย่างเดียว นี่ก็คือเรื่องดี
หากหลี่เซิ่งบังคับควบคุมใต้หล้าไพศาลอย่างเข้มงวดในทุกๆ เรื่อง ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลก็ต้องไม่ใช่ใต้หล้าไพศาลอย่างในทุกวันนี้แน่นอน ส่วนข้อที่ว่าจะดียิ่งกว่าเดิม หรือแย่ยิ่งกว่าเดิม นอกจากตัวหลี่เซิ่งเองแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่รู้ผลลัพธ์นั้น เรื่องจริงในท้ายที่สุดก็คือหลี่เซิ่งยังคงเลือกที่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งต่อเรื่องราวมากมาย เพราะเหตุใด? เพราะมีความหมายเหมือนคำว่าข้าวหนึ่งชนิดเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ? เพราะใจกว้างให้อภัยกับความผิดพลาดบางอย่าง หรือเป็นเพราะว่าเดิมทีก็รู้สึกว่าการทำผิดก็คือนิสัยอย่างหนึ่งของมนุษย์อยู่แล้ว คือการรักษาระยะห่างกับนิสัยเทพ การที่มนุษย์เป็นมนุษย์ก็เพราะว่าเป็นเช่นนี้นั่นเอง?
ชุยตงซานเคยให้คำวิจารณ์ที่ประหลาดมากอย่างหนึ่ง บอกว่าบางคนประสบความสำเร็จได้เป็นอริยะลัทธิขงจื๊อที่คุณความชอบสมบูรณ์ดีงาม บ้างก็บรรลุโสดาบัน บ้างก็เป็นเจินเหรินผู้ไร้มลทินแห่งป๋ายอวี้จิง อันที่จริงล้วนถือเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า ถ้าอย่างนั้นสมมติว่ามีวันหนึ่งทุกคนล้วนกลายเป็นอริยะที่ไร้ความผิดจริงๆ? สมมติว่าทุกคนคือเหวินเซิ่ง คือหย่าเซิ่ง แล้วจะมีทัศนียภาพเป็นเช่นไร? คนนับพันนับหมื่นนับล้านเหมือนกันหมด? สรุปแล้วจะเป็นเรื่องดีใหญ่เทียมฟ้า หรือจะทำให้มนุษย์ธรรมดาที่ฝึกฝนจิตใจได้ไม่ดีพออย่างพวกเรา รู้สึกหวาดผวาไม่คลายอยู่ตลอดเวลากันแน่?
เฉินผิงอันยิ่งคิด ความคิดก็ยิ่งล่องลอยไปไกลโดยไม่รู้ตัวแม้แต่น้อย รอกระทั่งหยิบจอกเหล้าขึ้นมาดื่มเหล้าหนึ่งอึกถึงได้คืนสติ รีบเก็บความคิดวุ่นวายที่ลอยไปไกลหมื่นลี้นั้นมาทันที
หลี่เซิ่งกล่าว “คิดได้แล้วหรือยังว่าจะไปที่ไหน?”
เฉินผิงอันตอบ “กำแพงเมืองปราณกระบี่”
ซิ่วไฉเฒ่าทำท่าลับๆ ล่อๆ แอบยักคิ้วหลิ่วตาให้หลี่เซิ่งที่อยู่ข้างกัน
หลี่เซิ่งส่ายหน้า เป็นเรื่องที่ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ได้พิสูจน์แล้วว่าลูกศิษย์คนสุดท้ายของเจ้าคนนี้ไม่สามารถสร้างจิตหยินและจิตหยางกายนอกกายขึ้นมาได้อีกแล้ว
ซิ่วไฉเฒ่ายังคงไม่ถอดใจ ลองดูสักหน่อยสิ
หลี่เซิ่งยังคงส่ายหน้า
ซิ่วไฉเฒ่าผงกปลายคางไปทางที่ตั้งของป๋ายอวี้จิงจำลอง จะดีจะชั่วข้าก็ไปถกเถียงกับคนเขามารอบหนึ่ง แล้วยังเถียงชนะอาจารย์ผู้เฒ่าที่ให้ตายอย่างไรก็ยังคงเกลียดขี้หน้าศาลบุ๋นได้ด้วย
หลี่เซิ่งไม่ได้สนใจ ลุกขึ้นยืน ซิ่วไฉเฒ่ากลับขยับก้นมาอยู่ข้างกายหลี่เซิ่งก่อนล่วงหน้าแล้ว เขายื่นสองมือออกมา
หลี่เซิ่งทำอะไรไม่ได้ จึงได้แต่พูดกับเฉินผิงอันว่า “เดินทางไกลไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ สถานการณ์ของเจ้าจะคล้ายคลึงกับจิตหยินออกเดินทางไกลเหมือนตอนที่อยู่ในศาลบุ๋น”
เฉินผิงอันพยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือข้างหนึ่งออกไป กุมกระบี่ยาวเย่โหยวเล่มนั้นไว้ในมือ
เป็นแบบนี้ก็ดีเลย เมืองหลวงมีเรื่องที่จะว่าเล็กก็เล็กจะว่าใหญ่ก็ใหญ่อยู่เรื่องหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันค่อนข้างสนใจ หากสามารถอาศัยหินของภูเขาลูกอื่นมากลึงเป็นหยกได้จริงก็จะสามารถพิสูจน์ความคิดในใจของคนบางคนได้ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ตอบคำถามที่ลูกศิษย์ชุยตงซานถามไว้ในปีนั้น บางทีสุดท้ายแล้วคำตอบอาจจะยังไม่ถูกต้อง แต่จะดีจะชั่วก็เป็นคำตอบที่อาจารย์ได้มอบให้แก่ลูกศิษย์
นาทีถัดมาก็ราวกับว่ามีเพียงหนิงเหยาคนเดียวที่หายตัวไป ส่วนเฉินผิงอันที่ยังอยู่ต่อก็มีเพียงกระบี่เย่โหยวในมือที่หายไป
หลี่เซิ่งเดินไปทางประตูหน้าบ้าน ซิ่วไฉเฒ่ากับเฉินผิงอันต่างก็เดินตามไป
เฉินผิงอันหันไปยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ทั้งสองคน “พวกเจ้าสามารถไปหาหนังสือในหอตำราอ่านได้ หากชอบเล่มไหนก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”
เฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนเดินเข้าไปในหอหนังสือ เผยเฉียนไม่คิดจะยืมหนังสือไป แต่กลับเห็นว่าเฉาฉิงหล่างแทบไม่ต่างอะไรจากโจรคนหนึ่ง ไม่ได้เรียกว่าขโมยอะไรด้วยซ้ำ เพราะเพียงแค่ชั่วพริบตาก็หยิบหนังสือมาได้แล้วหลายเล่ม
——