กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 846.1 เผด็จศึกไร้ศัตรู
ทุกวันนี้ผู้ฝึกลมปราณที่มาท่องเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนจับกลุ่มกันมา ผู้คนสัญจรขวักไขว่ ครึกครื้นจนคนปรับตัวไม่ทัน เห็นทัศนียภาพทุกแห่งได้อย่างถ้วนทั่ว ไม่สิ้นเปลืองเงินแม้แต่เหวินเดียว
คาดว่าคงต้องยกคุณความชอบให้กับชื่อเสียงที่เลื่องระบือไปทั่วใต้หล้าของเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยแห่งศาลลมหิมะกระมัง แต่กลับไม่มีใครกล้าขยับเข้ามาใกล้พื้นที่แถบนี้ ยามที่เดินผ่านต่างก็ขยับไปทางหัวกำแพงเมืองอีกฝั่งหนึ่งคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา
เวลานี้มีคนกำลังคาดเดาแล้วว่านั่นคือคู่รักบนภูเขาคู่ใด ถึงได้กล้าถึงขั้นมานั่งอยู่บนหัวกำแพงเมืองระหว่างเว่ยจิ้นกับเฉาจวิ้น
อันที่จริงเฉาจวิ้นนั้นถือว่าได้พึ่งใบบุญของเว่ยจิ้น ถึงได้ถูกผู้คนสงสัยใคร่รู้ในสถานะของเขา ถึงเวลานั้นก็หนีไม่พ้นคำพูดสองอย่าง หนึ่งคือที่แท้ก็เป็นลูกหลานของเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฉาซีแห่งหอพิทักษ์มหาสมุทรของทักษินาตยทวีป ส่วนอีกคำกล่าวหนึ่ง ที่แท้ก็คือตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดที่ในอดีตเคยถูกจั่วโย่วทำลายจิตแห่งกระบี่จนแหลกสลาย หรืออย่างมากสุดก็จะถามเพิ่มมาเรื่องหนึ่ง ตอนนั้นจั่วโย่วออกกระบี่ครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง?
ดังนั้นในช่วงเวลาที่มาฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ เฉาจวิ้นจึงหงุดหงิดใจอย่างมาก ในใจคิดว่าจะดีจะชั่วข้าผู้อาวุโสก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดตัวจริงคนหนึ่ง นอกจากอยู่ที่ซากปรักของกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้แล้ว มีที่ใดในใต้หล้าไพศาลบ้างที่ไม่อาจช่วงชิงยศเซียนกระบี่มาได้?
เฉาจวิ้นนึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็พูดกับเฉินผิงอันว่า “ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้มีนักพรตพเนจรคนหนึ่ง บอกว่าเป็นท่านลุงของเจ้า เขามาพูดคุยกับข้าและเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยสองสามคำ น้ำเสียงโอหังนัก วางมาดเสียใหญ่โต เขามีความเป็นมาอย่างไร?”
ปีนั้นเฉาจวิ้นเคยไปเยือนถ้ำสวรรค์หลีจู แล้วนับประสาอะไรกับที่บ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาก็อยู่ที่ตรอกหนีผิง เขาย่อมรู้ถึงพื้นฐานครอบครัวของเฉินผิงอันดี รู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว
เฉินผิงอันกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ท่านลุงของข้า ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นของเจ้าถึงจะถูก คราวหน้าพวกเจ้าได้พบกับเขาอีกครั้ง เจ้าก็เรียกเขาอย่างนี้ รับรองว่าไม่มีเรื่องร้ายอะไรแน่นอน จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
ต้องเป็นอู๋ซวงเจี้ยงอย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าเขาหาเฒ่าหูหนวกเจอหรือไม่
ใต้หล้านี้ไม่มีผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่คนใดที่ควรไปมีเรื่องด้วย ผู้ฝึกบำเพ็ญตน ยิ่งเดินขึ้นเขาได้สูงเท่าไรก็ยิ่งรู้เรื่องนี้ชัดเจนดี
และทุกวันนี้เฉินผิงอันก็เพิ่งจะเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งเท่านั้น หากบนเส้นทางการฝึกตนในอนาคตอีกร้อยปียังนับว่าราบรื่น ก็อาจได้เลื่อนเป็นเซียนเหริน หรือกลายเป็นบินทะยาน แต่หากจะพูดถึงโชควาสนาในการผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ที่ ‘ลี้ลับมหัศจรรย์’ นั้น กลับไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย นี่ทำให้เฉินผิงอันยิ่งรู้สึกจนใจเป็นทบทวี เพราะสามารถแน่ใจได้เลยว่า บุคคลอย่างเจิ้งจวีจงและอู๋ซวงเจี้ยงไม่ใช่คนที่จะกอดขาพระเมื่อจวนตัว พวกเขาต้องวางแผนเตรียมการมาตั้งแต่ตอนเป็นห้าขอบเขตกลาง คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าเส้นทางการผสานมรรคาควรจะเดินไปอย่างไร
เฉาจวิ้นอัดอั้นนัก สองคนนี้ดูเหมือนจะชอบพูดคุยกับคนอื่นด้วยลักษณะทำนองนี้ หรือว่านักพรตคนนั้นจะเป็นญาติห่างๆ ของเฉินผิงอันจริงๆ?
เฉาจวิ้นถามหยั่งเชิง “เจ้าหมอนั่นคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่อำพรางตัวตนหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอบเขตบินทะยาน แล้วก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่”
แต่เจ้าตำหนักสุ้ยฉูแห่งใต้หล้ามืดสลัวท่านนั้นคือผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนหนึ่ง แล้วยังทำกระบี่เลียนแบบกระบี่เซียนขึ้นมาสี่เล่ม
เฉาจวิ้นยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้ายังต้องนับญาติกะผายลมอะไรกัน เป็นเรื่องที่มีแต่จะเสียเปรียบ ไม่ได้ประโยชน์เลยแม้แต่น้อย”
เฉินผิงอันไม่สนใจ ถึงอย่างไรบัญชีที่หลอกเจ้ามากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ถือว่าหายกันแล้ว เป็นเจ้าเฉาจวิ้นที่ไม่รู้จักคว้าโอกาสเอาไว้เอง
เฉาจวิ้นหัวเราะร่าถามว่า “ทุกวันนี้บนหัวกำแพงเมืองจะต้องมีพวกพี่สาวเทพธิดามาเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำกันทุกวัน เมื่อครู่ระหว่างที่เจ้าเดินทางมาก็น่าจะเห็นแล้ว ไม่โกรธสักนิดเลยหรือ?”
กลิ่นเครื่องประทินโฉมลอยฟุ้ง เสียงคนคุยกันเจื้อยแจ้ว เจ้าและข้าแนบชิดคลอเคลีย ท่องภูเขาเล่นน้ำ ผ่อนคลายสบายอารมณ์ ทุกหนแห่งคือทัศนียภาพงดงาม เนิบนาบสบายอุรา ผู้ฝึกกระบี่มีน้อยเพียงหยิบมือ ผู้ฝึกลมปราณกลับมากดุจขนวัว
ต่อให้ก่อนหน้านี้เฉาจวิ้นจะไม่เคยมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนก็ยังรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ขัดต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ฟ้าดินเคยเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมของไอสังหาร
เฉินผิงอันส่ายหน้า
เฉาจวิ้นมองสีหน้าเจ้าหมอนี่ ดูไม่เหมือนว่าจะแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ ในใจเขาจึงยิ่งกังขา อดไม่ไหวถามว่า “ทำไมล่ะ? หากข้าเป็นเจ้า รับรองว่าเจอคนหนึ่งต้องซ้อมคนหนึ่ง เจอสองคนจะอัดให้น่วมกันทั้งคู่”
เฉินผิงอันกล่าว “นี่ก็คือความหมายในการดำรงอยู่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่”
มีกำแพงเมืองปราณกระบี่ตั้งตระหง่านอยู่ที่นี่มานานหมื่นปี ก็มีความสงบสุขของใต้หล้าไพศาลนานหมื่นปี
เฉาจวิ้นถอนหายใจหนึ่งที สองมือนวดคลึงข้างแก้ม ตนมาช้าไปแล้ว หากมาถึงเร็วกว่านี้ไม่ต้องพลาดสงครามใหญ่ครั้งนั้นไปแน่
เฉินผิงอันหันไปหาหนิงเหยา ถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้าหมอนี่พูดเรื่องอะไร ข้าใจลอยไปเล็กน้อย ไม่ได้ยินจริงๆ”
พยายามอาศัยความสัมพันธ์จากการที่ถูกมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสยบกำราบ หมายจะตรวจสอบดูสถานการณ์การสู้รบของพื้นที่ใจกลางใต้หล้าแห่งนี้ น่าเสียดายที่ต้องเหนื่อยเปล่า เพราะเมื่อครู่ทำเรื่องนี้อยู่จึงแบ่งสมาธิไปสนใจสิ่งอื่นไม่ได้
หนิงเหยากล่าว “เขาบอกว่ามีคนแอบมาขโมยเศษหินด้านใต้หัวกำแพงเมืองแถบนี้ เอากลับไปใต้หล้าไพศาล”
อันที่จริงหนิงเหยาไม่ถือสาเรื่องนี้ เพราะกำแพงเมืองปราณกระบี่ในใจของนางก็คือผู้ฝึกกระบี่
ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้น เพราะเฉินผิงอันผสานมรรคากับมัน ทางฝั่งศาลบุ๋นจึงไม่ได้ตั้งกฎอะไรขึ้นมาเป็นการเฉพาะ ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่ชัดบอกว่าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกลมปราณต่างถิ่นขึ้นไปบนหัวกำแพงเมืองแถบนั้น แต่บอกไว้แค่สี่คำว่า เป็นตายรับผิดชอบกันเอง ผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้ต่างก็รู้หนักเบาและผลดีผลเสียของเรื่องนี้ดี แน่นอนว่าไม่มีใครกล้าไปหาเรื่องซวยใส่ตัวที่นั่น สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าที่นั่นจะมีตราผนึกโบราณแปลกประหลาดน่าเหลือเชื่ออะไรอยู่หรือไม่ มีเพียงเรื่องวงในเรื่องเดียวที่สามารถแน่ใจได้ นั่นก็คือหัวกำแพงแถบนั้นคล้ายกับจะเป็นสถานที่ฝึกตนของอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
หนิงเหยาขมวดคิ้วถาม “ทำไมศาลบุ๋นถึงไม่สั่งห้ามเรื่องนี้? ที่นี่มีอริยะปราชญ์ที่มีเทวรูปอยู่ด้วยไม่ใช่หรือ?”
นางไม่สนใจ ไม่ได้หมายความว่าศาลบุ๋นจะสามารถแยกแยะไม่ชัดเจนเช่นนี้ได้ ในเมื่อแยกแยะได้ไม่ชัดเจน แล้วยังจะมีหน้ามาอยู่ที่นี่อีกหรือ?
เฉินผิงอันส่ายหน้า “นี่คือความเคารพอย่างหนึ่งที่ศาลบุ๋นมีต่อกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา”
หนิงเหยาสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องราวในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ล้วนมอบให้ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นผู้จัดการ จะปล่อยมือไม่สนใจก็ตามใจ แต่หากยินดีจะมาจัดการก็เชิญจัดการได้ตามสบาย”
หนิงเหยาพยักหน้า พอเฉินผิงอันอธิบายแบบนี้ ในใจนางก็ไม่เหลือความขัดเคืองน้อยนิดนั้นอีก
นางพลันยื่นมือออกมากุมมือเฉินผิงอันไว้เบาๆ
ตอนที่อยู่โรงเตี๊ยมแล้วหนิงเหยาเป็นฝ่ายเสนอว่าจะมาที่นี่เป็นเพื่อนเขา ก็เพื่อให้เขาพอจะวางใจได้บ้าง ไม่ใช่ทำให้เขาเป็นกังวลยิ่งกว่าเดิม
เพราะนางสัมผัสได้ว่าพอมาถึงที่นี่ เฉินผิงอันกลับยิ่งกลุ้มใจมากกว่าเก่า
เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่เป็นไร ก็แค่ชินที่จะนั่งเหม่ออยู่ที่นี่ เปลี่ยนนิสัยไม่ได้ทันที ส่วนความกังวลส่วนนี้ของข้า อันที่จริงยังนับว่าดี กังวลมากเกินไปกับไม่กังวลเลย ระหว่างสองอย่างนี้แค่พบกันครึ่งทางก็พอ ข้าจะกะน้ำหนักอย่างระมัดระวัง”
ก็เหมือนอุปสรรคทั้งหลายระหว่างความรักชายหญิง อันที่จริงอารมณ์ความรู้สึกของสตรีที่ทำให้บุรุษมึนงงไม่เข้าใจนั้น เดิมทีก็เป็นหลักการเหตุผลอย่างหนึ่ง ยอมรับในอารมณ์นี้ของนางแล้วค่อยช่วยคลายอารมณ์นี้ให้นาง รอให้สตรีเริ่มหายโมโหแล้วก็ค่อยบอกเหตุผลของตัวเองกับนางด้วยน้ำเสียงและจิตใจที่สงบเป็นกลาง นี่ต่างหากจึงจะเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง นี่เรียกว่าถอยหนึ่งก้าวไปครุ่นคิด เอาความรู้เรื่องลำดับก่อนหลังที่เรียนมามาใช้ให้เกิดประโยชน์ หากกระโดดข้ามขั้นตอนก่อนหน้านี้ไป ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าหวังเลย
หนิงเหยาหันหน้าไปมองหัวกำแพงเมืองครึ่งหนึ่งที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ถามว่า “หากเจ้าถามกระบี่กับคนอื่นอยู่ที่นั่น?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็สามารถงัดข้อกับเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยได้แล้วล่ะ หากแค่แบ่งแพ้ชนะ ต้องยังเป็นข้าที่แพ้อย่างแน่นอน แต่หากกำหนดว่าทั้งสองฝ่ายห้ามออกไปจากหัวกำแพงเมือง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้ว ข้ารอดเขาตาย”
จิตของเซียนกระบี่ใหญ่แห่งศาลลมหิมะที่วางกระบี่พาดขวางไว้บนหัวเข่าขยับไหวเล็กน้อย
บทสนทนาระหว่างหนิงเหยากับเฉินผิงอัน ไม่ได้ใช้เสียงในใจ
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “คุยโวคงไม่ผิดกฎหมายกระมัง?”
เว่ยจิ้นหัวเราะร่า “ถึงอย่างไรอยู่ที่นี่ ตำแหน่งขุนนางใครใหญ่กว่าคนนั้นก็มีสิทธิ์มีเสียง”
เฉินผิงอันโยนเหล้าหมักร้อยบุปผาที่เพิ่งจะได้มาไม่นานกาหนึ่งไปให้เว่ยจิ้น “เว่ยเค่อชิงเป็นลูกค้าหลักลูกค้าเก่าแก่ของร้านเหล้าข้าแล้ว เมื่อก่อนเจ้าถูกคนอื่นเรียกว่าเป็นคนมือเติบอันดับหนึ่ง ทำเอาข้าโมโหแทบตาย แล้วก็เพราะข้าปลีกตัวมาจากคฤหาสน์หลบร้อนไม่ได้ ไม่อย่างนั้นหนึ่งคนคงต้องเจอหนึ่งถุงกระสอบแล้ว ใช่แล้ว นี่ไม่ใช่เหล้าหมักของพื้นที่มงคลร้อยบุปผาทั่วไปนะ ขนาดหลี่เซิ่งก็ยังไม่ได้ดื่มมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยต้องค่อยๆ ดื่ม ไม่อย่างนั้นจะเป็นการเหยียบย่ำสุราดีที่มีราคาแต่ไร้ตลาดกานี้ไปเสีย”
ชีวิตคนมีที่ใดที่จะขาดแคลนสุรา ขาดก็แต่สหายที่ยินยอมพร้อมใจจะเลี้ยงเหล้าต่างหาก
อีกอย่างมีเรื่องหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่เคยเล่าให้เว่ยจิ้นฟังกับปากตัวเองมาก่อน ในชีวิตของเขา ครั้งแรกที่ได้เห็นมาดของเซียนกระบี่ซึ่งชวนให้คนเลื่อมใส อันที่จริงไม่ใช่จากอาเหลียงที่เดินทางเคียงข้างไปตลอดทาง แต่เป็นตอนอยู่ที่จวนแห่งนั้นของผีสาวสวมชุดแต่งงาน แล้วมีเซียนกระบี่จากศาลลมหิมะคนหนึ่งใช้กระบี่แหวกผ่าม่านฟ้า เพียงแต่คำพูดประโยคนี้วันหน้ายังมีโอกาส เมื่อต่างคนต่างดื่มเหล้าบนโต๊ะกันจนเมามายแล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย
เว่ยจิ้นรับกาเหล้ามา เปิดผนึกดินและกระดาษแดงออก เงยหน้าดื่มไปหนึ่งอึก ดวงตาพลันเป็นประกายวาบ พยักหน้าเอ่ยชื่นชมว่า “ถึงกับเป็นสุราดีจริงเสียด้วย!”
เฉินผิงอันไม่มีเวลามาถือสาคำว่า ‘ถึงกับ’ อะไรนั่นของเว่ยจิ้น เขารีบยื่นมือออกไป บังคับกระดาษแดงที่จะลอยไกลไปตามลมให้เข้ามาอยู่ในมือแล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่ลืมเอ่ยเสริมไปว่า “หากไม่ถือสา ดื่มเหล้าหมดแล้ว วันหน้าเอากาเหล้าที่ว่างเปล่ามาคืนให้ข้าด้วยนะ”
เว่ยจิ้นถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ายังมีเหลืออีกหรือไม่? ไหถัดไปข้าสามารถจ่ายเงินซื้อได้ เจ้าเรียกราคามาได้ตามใจ มีกี่ไหข้าก็จะซื้อเท่านั้น หากเงินฝนธัญพืชไม่พอ ข้าสามารถไปยืมมาจากคนอื่นได้”
เฉาจวิ้นเห็นแล้วน้ำลายสอ ถูมือถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าปฏิบัติอย่างไม่เสมอภาคเช่นนี้ ไม่เหมาะสมกระมัง? อย่าลืมล่ะว่าพวกเราสองคนเป็นคนบ้านเดียวกันนะ แล้วยังเป็นเพื่อนบ้านที่อยู่ในตรอกเดียวกันด้วย!”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก “เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยคือเค่อชิงของภูเขาลั่วพั่วข้า เจ้าเป็นใครกัน? หากอยากจะขอเหล้าจากข้าดื่มจริงๆ ข้ามีเหล้าหมักข้าวเหนียวของบ้านเกิด เจ้าจะเอาหรือไม่? อร่อยนะ แล้วยังไม่แพงด้วย รับรองว่าเป็นของดีราคาถูก”
มารดามันเถอะ บัญชีเก่าในตรอกหนีผิงปีนั้น ข้ายังไม่ได้ชำระกับเจ้าเลย ถึงกับยังมีหน้ามาพูดว่าเป็นเพื่อนบ้านเป็นคนบ้านเดียวกัน เซียนกระบี่เฉาท่านนี้ช่างขี้หลงขี้ลืมเสียจริง
หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่ที่เฉาจวิ้นเคยไปเยือนใบถงทวีป เคยติดตามศิษย์พี่จั่วไปเฝ้าประตูใหญ่ที่เชื่อมโยงไปถึงใต้หล้าห้าสี ถ้าอย่างนั้นภายหลังตอนอยู่ภูเขาตะวันเที่ยง เฉินผิงอันก็จะถือโอกาสนั้นเข้าใจผิดเห็นว่าเขาเป็นเซียนกระบี่ผู้สืบทอดบางคนของยอดเขาอีเซี่ยนไปแล้ว
เฉาจวิ้นหลุดหัวเราะพรืด “เค่อชิงบนภูเขาจะนับเป็นอะไรได้ มีแต่พวกรับเงินไม่ทำงาน แน่นอนว่าข้าไม่ได้พูดถึงเซียนกระบี่ใหญ่เว่ยของพวกเรา เฉินผิงอัน มาปรึกษากันหน่อย เจ้าให้ตำแหน่งผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วแก่ข้า ต่อให้ลำดับจะอยู่ท้ายสุดก็ไม่เป็นไร ยกตัวอย่างเช่นวันหน้าใครอยากจะเป็นผู้ถวายงานก็ต้องผ่านด่านเฉาจวิ้นผู้ถวายงานลำดับสุดท้ายไปก่อน หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ภูเขาลั่วพั่วของพวกเจ้าก็มีหน้ามีตาจะตายไป ว่าไหม จะดีจะชั่วทุกวันนี้ข้าก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่แน่ว่าวันพรุ่งนี้วันมะรืนข้าอาจจะเป็นขอบเขตหยกดิบก็ได้ เอาเหล้ากาหนึ่งมาแลกกับตำแหน่งผู้ถวายงาน เป็นอย่างไร?”
เฉินผิงอันนวดคลึงปลายคาง “การสร้างสำนักเบื้องล่างของภูเขาลั่วพั่วยังขาดคนอยู่จริงๆ”
เฉาจวิ้นหัวเราะฮ่าๆ “ข้อดีที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของข้าเฉาจวิ้นก็คือไม่ค่อยสนใจชื่อเสียงจอมปลอมเท่าใดนัก ได้เป็นผู้ถวายงานอันดับสุดท้ายของสำนักเบื้องล่างย่อมดียิ่งกว่า!”
เฉินผิงอันโยนเหล้าร้อยบุปผากาหนึ่งไปให้เฉาจวิ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”
หนิงเหยาเอ่ยเตือน “หากเจ้ายังมอบให้คนอื่นแบบนี้ คงเก็บเหล้าหมักร้อยบุปผาพวกนั้นไว้ไม่อยู่แล้วล่ะ คราวหน้าสามารถแวะไปหาเฟิงอี๋อีกรอบได้ หาเหตุผลสักข้อ ยกตัวอย่างเช่นบอกว่ายินดีต้อนรับให้นางไปเป็นแขกที่นครบินทะยาน?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มเอ่ย “เหตุผลข้อนี้ดี คาดว่าคงต้องได้มาอีกอย่างน้อยห้ากา”
เฉาจวิ้นพิถีพิถันกว่าเว่ยจิ้นมากนัก เขาหยิบจอกเหล้ามาหนึ่งใบ รินเหล้าลงไป สูดดมกลิ่น ยกเหล้าจิบเหล้าหนึ่งอึก ละเลียดรสชาติของสุราอยู่พักหนึ่ง
เขาดื่มเหล้าพลางใช้เสียงในใจสอบถาม “เว่ยจิ้น หนิงเหยาเป็นสตรีแบบนี้มาโดยตลอดหรือ?”
ไม่ค่อยเหมือนกับหนิงเหยาที่เล่าลือกันว่ายามอยู่บนสนามรบสังหารปีศาจเป็นผักปลา นอกสนามรบก็ดีแต่ฝึกกระบี่อย่างเดียว สมกับคำว่าได้ยินชื่อไม่สู้พบหน้าจริงๆ
เว่ยจิ้นตอบ “ข้าไม่รู้”
เฉาจวิ้นยังจะถามต่อ เว่ยจิ้นกลับเอ่ยว่า “ข้ารู้แค่ว่า แทนที่เจ้าจะใช้เสียงในใจแอบถามข้า ไม่สู้เปิดปากถามหนิงเหยาไปตามตรงเลยดีกว่า”
จนกระทั่งถึงบัดนี้ เว่ยจิ้นถึงพลันนึกขึ้นได้ว่าผู้ฝึกตนหญิงที่อายุน้อยคนนั้นเป็นขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง
นั่นเป็นเพราะยามที่หนิงเหยาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน นางไม่ค่อยเหมือนผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งเลยจริงๆ เก็บประกายเฉียบคมไว้ภายใน คิ้วตาอ่อนโยน บรรยากาศรอบตัวอ่อนจาง ไหนเลยจะเหมือนบุคคลอันดับหนึ่งของใต้หล้าห้าสี
เฉินผิงอันมองไปยังพื้นดินนอกหัวกำแพงเมือง ปีนั้นเคยถูกสหายเถาถิงขุดคุ้ยอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว นั่นก็แสดงว่าต้องไม่มีโอกาสได้เก็บตกของดีอีกแน่นอน
อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมานี้ ผู้ฝึกตนต่างถิ่นไปๆ มาๆ ในบรรดานั้นย่อมไม่ขาดยอดฝีมือผู้เร้นกายจากโลกภายนอก บนสนามรบที่กว้างขวางนอกหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ต้องถูกคนขุดดินลึกลงไปสามฉื่อเหมือนถูกไถคราดถูกหมาแทะไปนานแล้วแน่นอน
มือหนึ่งกุมมือหนิงเหยาเบาๆ อีกมือหนึ่งยกขึ้นชี้ไปยังทิศไกล เฉินผิงอันใช้เสียงในใจแนะนำท่าเรือทั้งหลายและประตูใหญ่กุยซวีให้นางฟัง อยู่ที่นี่ใต้หล้าไพศาลได้บุกเบิกท่าเรือไว้สามแห่งได้แก่ปิ่งจู๋ โจ่วหม่า ตี้ม่าย ทุกวันนี้ยังขยับขยายไปทางทิศใต้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนครของท่าเรือตี้ม่ายที่โจวจื่อแห่งสำนักโม่เป็นผู้สร้างที่ยิ่งนานก็ยิ่งกว้างใหญ่ สูงตระหง่านเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ คือทัศนียภาพเพียงหนึ่งเดียวที่เฉินผิงอันพอจะมองเห็นได้อย่างชัดเจนตอนที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองแห่งนี้ ได้ยินมาว่านครแห่งนี้สามารถรองรับทหารได้ถึงสองแสนนาย เมื่อนครขยายกว้างขึ้น สุดท้ายก็จะสามารถบรรจุกองกำลังทหารของกองทัพม้าเหล็กจากราชสำนักสามแสนนาย รวมถึงอาวุธที่นำมาเพิ่มในคลังยุทโธปกรณ์
นอกจากนี้ผู้ฝึกตนของสามสายสำนักโม่และของสำนักช่าง ผู้ฝึกลมปราณรวมแล้วหนึ่งหมื่นสองพันกว่าคนที่เชี่ยวชาญด้านการก่อสร้าง เชี่ยวชาญด้านศาสตร์กลไกบนภูเขา แยกกันไปพักอาศัยอยู่ที่ท่าเรือสองแห่ง ต่างฝ่ายต่างสร้างนครใหญ่โตโอฬารที่สามารถเคลื่อนย้ายได้ขึ้นมาแห่งหนึ่ง
บวกกับประตูใหญ่เชื่อมโยงไปถึงกุยซวีสี่แห่งที่ตั้งอยู่ไกลยิ่งกว่าอย่างเทียนมู่ เสินเซียง ฉิงจีและรื่อจุ้ย บริเวณโดยรอบของสถานที่แต่ละแห่งล้วนมีการก่อสร้างเกิดขึ้น ผู้ฝึกตนของไพศาลและกองทัพล่างภูเขาพากันเคลื่อนขบวนเดินทางเข้าสู่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่างไม่ขาดสาย
เรือกระบี่ เรือข้ามฟากขุนเขาและเรือข้ามทวีปอาศัยช่องทางที่เชื่อมโยงกับกุยซวี มีเทพวารีคล้ายผู้คุ้มกันให้การคุ้มครองนำกองกำลังทัพของแต่ละแคว้นในใต้หล้าไพศาลไปส่งยังเปลี่ยวร้าง ในอดีตมีเพียงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานถึงจะข้ามผ่านสองใต้หล้าได้ ทุกวันนี้กลับไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจแม้แต่น้อย
——