กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 846.3 เผด็จศึกไร้ศัตรู
ตรงเอวของบุรุษห้อยแท่นฝนหมึกขนาดเล็กไว้อันหนึ่ง คือแท่นฝนหมึกเก่าแก่ที่มีรอยหมึกเข้มข้น แกะสลักบทกลอนเซียนท่องเที่ยวไว้หนึ่งบท เขาเอ่ยอย่างสะท้อนใจเบาๆ ว่า “ทัศนียภาพแปลกตาที่ดวงจันทร์สามดวงลอยอยู่กลางนภาพร้อมกัน พวกเราไม่ได้เห็นแล้ว”
บนไหล่ของสตรีมีนกถงฮวาที่ลักษะคล้ายนกหลวนเฟิ่งตัวหนึ่งลอยตัวอยู่ นางยิ้มเอ่ย “เซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งที่แกะสลักตัวอักษรลงบนหัวกำแพงเมืองผู้นั้นมีเวทกระบี่เลิศล้ำจริงๆ น่าเสียดายที่ไม่ได้เห็นภาพที่ดวงจันทร์บนฟ้าตกลงมายังโลกมนุษย์กับตาตัวเอง ต่อให้แค่ลองจินตนาการดูก็ทำให้จิตวิญญาณของคนสั่นไหวได้แล้ว”
“ได้ยินมาว่าในอดีตที่นี่มีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์สะสมมานานนับหมื่นปี ล้วนเป็นสิ่งที่เซียนกระบี่เหลือทิ้งไว้ให้บนมหามรรคา เป็นกลุ่มๆ เป็นเส้นๆ มีจำนวนมากมหาศาล ร้อยปีพันปีไม่เคยจางหายไปไหน เล่าลือกันว่านครบินทะยานไปอยู่ใต้หล้าห้าสี ได้นำปณิธานกระบี่ไปด้วยครึ่งหนึ่ง หลังจากนั้นก็ถูกพวกผู้ฝึกกระบี่สัตว์เดรัจฉานของภูเขาทัวเยว่ขโมยไปไม่น้อย น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ”
“ถึงอย่างไรพวกเราก็ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ความเสียดายที่ใหญ่ที่สุดของข้าไม่เหมือนกับเจ้า ไม่ได้เห็นเซียนกระบี่หญิงที่มีชิงช้าตั้งวางอยู่บนหัวกำแพงเมืองท่านนั้น ไม่รู้เลยว่าโจวเฉิงนางงดงามแค่ไหนกันแน่”
“ข้าก็มีความเสียดายเช่นเดียวกัน”
ห่างจากเซียนดินชายหญิงสองคนนี้ไปค่อนข้างไกล มีคนกลุ่มหนึ่งกำลังง่วนทำงานกันอยู่ คือเทพธิดาจากทักษินาตยทวีปกลุ่มหนึ่งที่จับมือกันเดินทางมาท่องเที่ยวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ กำลังเปิดบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เพียงแต่ว่าภาพที่ผู้ฝึกตนของบ้านเกิดพวกนางได้เห็นต้องพร่าเลือนอย่างแน่นอน
หากเป็นธวัลทวีปและหลิวเสียทวีปที่อยู่ห่างไปไกลยิ่งกว่า อย่าว่าแต่ใบหน้าของพวกเทพธิดาเลย คาดว่าแม้แต่เค้าโครงเรือนกายของพวกนางก็คงมองเห็นได้ไม่ชัดเจน
ครั้งนี้ออกเดินทางไกล พวกนางกับร้านผ้าห่อบุญบนภูเขาลูกหนึ่งร่วมแรงกันเช่าวัตถุฟางชุ่นมาสองชิ้น สตรีออกเดินทาง มีสมบัติมากเกินไป วัตถุฟางชุ่นชิ้นเดียวหรือจะพอ ใครที่เอาของวางมากเกินไป กินพื้นที่มากกว่าใคร พวกนางคนที่เหลือล้วนกระจ่างชัดอยู่ในใจดี ก็แค่ไม่พูดออกมาจากปากเท่านั้น ล้วนเป็นพี่สาวน้องสาวที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน จะถือสาเรื่องนี้ไปไย ทำร้ายความรู้สึกกันเสียเปล่าๆ
เทพธิดาคนหนึ่งในนั้นสวมชุดกระโปรงแบบของธิดามังกร เวลานี้หยิบเอาภาพขุนเขาธาราวิหคบุปผาออกมาม้วนหนึ่ง หลังจากคลี่กางลงบนพื้นแล้วก็เกิดเป็นทัศนียภาพที่ต้นไม้ดอกไม้ถือกำเนิด พากันงอกงามบานสะพรั่ง จากนั้นก็มีนกมาเกาะบนกิ่งไม้ ส่งเสียงจิ๊บๆ เจื้อยแจ้ว เวลานี้เทพธิดาผู้นี้ยึดครองทัศนียภาพของม้วนภาพนี้ไว้เพียงลำพัง เรือนกายอรชรอ้อนแอ้น ในมือของนางถือถ้วยกระเบื้องใบเล็กไว้ใบหนึ่ง คอยโยนอาหารออกไปป้อนนกที่โบยบินผ่านมาเบาๆ
เทพธิดาคนที่เหลือต้องยืนอยู่นอกม้วนภาพชั่วคราว กำลังซุบซิบกันเบาๆ
“เซียนกระบี่ใหญ่เว่ยของแจกันสมบัติทวีปท่านนั้นไม่เสียแรงที่มาจากหอเทพเซียนของศาลลมหิมะ ช่างมีมาดเหมือนเทพจริงๆ ทั่วร่างเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเซียน มองไกลๆ แค่แวบเดียวก็จิตใจหวั่นไหวแล้ว อย่าหัวเราะๆ ก่อนหน้านี้ใครกันที่เกือบจะไปพูดคุยกับเว่ยจิ้นแล้ว?”
“รูปโฉมไม่ด้อยกว่าฟู่จิ้นเลย มองนานเท่าไรก็ได้กำไรเท่านั้นนี่นะ”
“เซียนกระบี่เว่ยนิสัยดีจริงๆ เมื่อวานพวกเราอยู่บนหัวกำแพง ร่ายบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ เขาก็ไม่ได้ห้าม แต่เจ้าคนที่หันมายักคิ้วหลิ่วตาให้พวกเราคนนั้น ค่อนข้างจะขวางหูขวางตาไปสักหน่อย หน้าไม่บางเลย ถึงกับทำหน้าหนาจะขยับเข้ามาใกล้บุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำของพวกเราด้วย”
“ได้ยินว่าเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่คนหนึ่งของทักษินาตยทวีป ถูกจั่วโย่วทำลายจิตแห่งกระบี่ ภายหลังไปอยู่แจกันสมบัติทวีป ไม่รู้ว่าทำไมถึงมาฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ได้ หากถามข้านะ เขาคงเป็นแค่ชั้นวางดอกไม้เท่านั้นแหละ”
“เอ๊ะ สตรีผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ย คือจู้ย่วนที่มีฉายาว่า ‘ถงเซียน’?”
“ต้องใช่แน่นอน เพราะว่าข้ารู้จักเจี่ยเสวียนที่เป็นฉีไต้จ้าวของราชวงศ์เกิงอวิ๋น เคยเห็นไกลๆ ครั้งหนึ่ง ว่ากันว่าในอดีตเขากับจู้ย่วนเกือบจะได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรกัน”
ตรงทางเลียบหน้าผาแห่งอื่น คนกลุ่มหนึ่งกำลังเก็บเศษหินจากรอบด้าน สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นสนามรบที่ผ่านการเข่นฆ่าอย่างดุเดือดแห่งหนึ่ง ถึงได้มีหินแตกมากมายขนาดนี้
บุรุษคนหนึ่งในนั้นเก็บหินมาแค่ก้อนเดียว ขนาดเท่าฝ่ามือ เขานั่งยองอยู่บนพื้น คลี่ยิ้ม พึงพอใจแล้ว สามารถเอาไปทำเป็นแท่นฝนหมึกให้เจ้าเด็กคนนั้นของบ้านตนได้ชิ้นหนึ่งแล้ว เจ้าลูกกระต่ายน้อยไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อะไร แต่กลับเลื่อมใสกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างมาก ส่วนตัวของชายฉกรรจ์เองคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง หนึ่งเพราะการท่องยุทธภพ ไปที่ไหนก็เหมือนกัน เหตุผลอีกครึ่งหนึ่งก็เพื่อให้ตนเอาไปโอ้อวดกับเจ้าเด็กนั่นได้ ดังนั้นถึงได้มาที่นี่ เพราะมีความสัมพันธ์กับภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยจึงได้ตามมาด้วย
ริมขอบของสะพานไม้มีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่า สวมชุดตัวยาวสีเขียวสวมรองเท้าผ้า แล้วยังสะพายกระบี่
แขกที่ไม่ได้รับเชิญคนนี้พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “วางกลับไป”
ชายฉกรรจ์ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคือคนแรกและเป็นคนเดียวที่วางเศษหินในมือลง
ผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ ที่มาจากภูเขาสองลูกของแผ่นดินกลาง คนที่ลุกขึ้นยืนก็แค่ลุกขึ้นยืน คนที่หันหน้ามามองก็แค่หันหน้ามา ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะสละเศษหินของหัวกำแพงเมืองที่กลายเป็นของในกระเป๋าไปเรียบร้อยแล้วทิ้งไป
ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ภูเขาหงซิ่งซื่อสุ่ยคนหนึ่งโยนเศษหินในมือขึ้นเบาๆ หัวเราะหยันเอ่ยว่า “ผีขี้สอดมาจากไหนกัน กินอิ่มว่างงานนักหรือ เจ้าก็มายุ่งได้ด้วย?”
บุรุษชุดเขียวที่ไม่รู้ว่าใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่คนนั้นพยักหน้า “ยุ่งได้สิ”
“ลูกศิษย์สำนักศึกษา?”
“ไม่ใช่”
“ถ้าอย่างนั้นก็อยากโดนซ้อม?”
“เจ้าจะลองดูก็ได้”
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นชั่งน้ำหนักอยู่พักหนึ่ง หากอีกฝ่ายคือผีตอแยยากบนภูเขา ไม่แน่เสมอไปว่าตนจะเอาชนะได้ เพราะถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่ ทั้งยังสะพายกระบี่ด้วย ไม่แน่ว่าอาจเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก ได้รับคำสั่งสอนจากสำนักว่าห้ามก่อเรื่อง ดังนั้นเขาจึงเริ่มใช้เหตุผล “ขนาดศาลบุ๋นยังไม่เคยบอกว่าไม่อนุญาตให้คนที่มาเที่ยวเอาเศษหินกลับไป พูดแค่ว่าไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกตนต่อสู้กัน ร่ายใช้เวทคาถาที่นี่โดยพลการ ทำไมเจ้าต้องมายุ่งกับเรื่องของคนอื่นด้วย?”
คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะเอ่ยขึ้นโดยตรงว่า “วันหน้าข้าจะให้ศาลบุ๋นเพิ่มกฎข้อนี้ลงไป ขโมยหินต้องโดนตัดมือ”
ทุกคนอึ้งตะลึงกันไปก่อน จากนั้นก็หัวเราะครืน ดีเลย สามารถวางใจได้อย่างสิ้นเชิงแล้วว่าไอ้หมอนี่สามารถซ้อมได้ตามใจชอบ
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ส่ายหน้ายิ้ม มีคนหนุ่มที่ไหนคุยโวไม่ต้องร่างคำพูดแบบนี้บ้าง เขาลังเลเล็กน้อย ก่อนจะรวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยเตือนว่า “น้องชายคนนี้ อย่าได้หาเรื่องอีกเลย อาจารย์เจี่ยคือผู้ถวายงานลำดับรองของหอโหยวเซียน แม้ว่าจะไม่ใช่สำนักเซียนอักษรจง แต่ก็ไม่ใช่ว่าคนทั่วไปจะมาหาเรื่องได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจู้เซียนซือที่ยังเป็นถึงบรรพจารย์ผู้คุมกฎของภูเขาหงซิ่ง เจ้าฟังคำแนะนำจากข้าเถอะ จากไปดีกว่า เรื่องที่ศาลบุ๋นยังไม่สนใจ เจ้าก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาสนใจ”
ชายฉกรรจ์ที่นั่งยองหยิบเศษหินขึ้นมาอีกครั้ง
น่าเสียดายที่คนหนุ่มซึ่งไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ซ้ำร้ายคนผู้นั้นกลับยังยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะพูดอีกครั้ง วางกลับไปให้หมด”
จากนั้นก็พูดกับชายฉกรรจ์ว่า “เจ้าสามารถเป็นข้อยกเว้นได้”
ชายฉกรรจ์เพียงยิ้มรับ ยิ่งพูดชายหนุ่มก็ยิ่งเลอะเทอะแล้ว
ศิษย์เอกของเจี่ยเสวียนยิ้มเอ่ย “ไปกับมารดาเจ้า…”
นาทีถัดมา ไม่รู้ว่าทำไม ลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของหอโหยวเซียนผู้นี้ถึงหันหน้าเข้าหาผนัง หัวโหม่งกระแทกชน ฟันร่วงเต็มปาก ร่างร่วงกรูดลงมา
คนชุดเขียวผู้นั้นเอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างกดที่ศีรษะอีกฝ่าย เพียงบิดหมุนข้อมือเบาๆ ก็ทำให้คนหนุ่มเจ็บปวดราวใจจะขาด แต่เพราะหน้าแนบติดผนัง จึงได้แต่ร้องครวญคราง อู้อี้ฟังไม่ชัด
ผู้ฝึกตนหญิงภูเขาหงซิ่วคนหนึ่งหวังลงมือช่วยบุรุษคนนั้น ชายเสื้อสองข้างจึงแกว่งสะบัด พลันลงมืออย่างอำมหิต ชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเรียกเวทน้ำ อีกข้างหนึ่งเรียกเวทอัคคีออกมา ประหนึ่งเชือกสองเส้นที่ส่องประกายแสงแวววาว รัดพันกันอยู่กลางอากาศแล้วฟาดโบยลงบนหัวใจด้านหลังของคนชุดเขียวอย่างโหดร้าย
ผลกลับกลายเป็นว่าอยู่ดีๆ ก็ถูกคนผู้นั้นกักตัวมาไว้ข้างกาย แล้วยังถูกกดท้ายทอยจับกระแทกกำแพง ดวงหน้าที่เดิมทีงดงามของหญิงสาวพลันถูกกำแพงเสียดสีจนเลือดโชกไหลนอง
ผู้ปกป้องมรรคาสองคนหนึ่งชายหนึ่งหญิงทะยานลมมาพร้อมกันอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เจี่ยเสวียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “โจรชั่วถึงกับกล้าลงมืออำมหิตเชียวรึ!”
จู้ย่วนเพิ่งจะเรียกวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นหนึ่งออกมา นาทีถัดมาก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี เจี่ยเสวียนก็ยิ่งราวกับเอาหัวโหม่งไปทางคนชุดเขียว แต่ถูกฝ่ามือข้างหนึ่งยันหน้าผากเอาไว้ บิดหมุนข้อมือทีเดียว เจี่ยเสวียนก็ถูกเหวี่ยงกระแทกลงพื้น ร่างกระดอนขึ้นมาหนึ่งที ก่อนจะตัวอ่อนพังพาบอยู่บนพื้น สลบเหมือดคาที่ไปทันที
จู้ย่วนกำลังจะหดมือกลับมาก็ถูกฝ่ามือหนึ่งตบฉาดมาที่ใบหน้า ก่อนที่จะหมดสติไป นางได้ยินเพียงประโยคที่คนชุดเขียวเอ่ยว่า “เสียดายอะไร?”
ฝ่ามือสองข้างของเฉินผิงอันถูกันคล้ายกับเช็ดอะไรบางอย่างให้สะอาด พูดกับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนนั้นว่า “เจ้าสามารถเอากลับไปได้”
ชายฉกรรจ์วางเศษหินในมือลง
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “อย่าฟังผิดไปล่ะ ข้าบอกว่าเอากลับไปได้”
ชายฉกรรจ์จึงหยิบเศษหินขนาดเท่ากำปั้นชิ้นนั้นขึ้นมาอีกครั้ง
ถ้าอย่างนั้นก็จะเชื่อเจ้า
ร่างของคนชุดเขียวหายวับไป
คนอื่นๆ ที่เหลือล้วนงงงัน ได้แต่หันมามองหน้ากันตาปริบๆ
เสียงหนึ่งดังขึ้นในทะเลสาบหัวใจของทุกคน “ทุกคนอย่ามัวยืนอึ้งกันอยู่เลย รีบไสหัวไปให้ไกล หนีไปได้ไกลแค่ไหนก็แค่นั้น เขาคืออิ่นกวานแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ดังนั้นหากเขาฆ่าคนที่นี่ เอาเป็นว่าข้าเฮ้อโซ่วห้ามไม่ได้ก็แล้วกัน เพราะต่อให้อยากขวางก็ขวางไม่อยู่”
ชายฉกรรจ์คนนั้นสีหน้าอึ้งตะลึง อ้าปากค้าง นอกจากความตกใจแล้ว พอเขาก้มหน้ามองเศษหินในมือก็ยังรู้สึกว่าตนกลับไปถึงบ้านเกิด สามารถคุยโวบนโต๊ะเหล้าได้อย่างเต็มที่แล้ว ใครก็อย่าได้มาห้าม เพราะขวางอย่างไรก็ขวางไม่อยู่
หลังจากศาลบุ๋นยกเลิกคำสั่งห้ามจัดพิมพ์รายงานขุนเขาสายน้ำ เหตุการณ์การล้อมฆ่าสองครั้งก็เริ่มค่อยๆ แพร่ไปบนภูเขาของใต้หล้าไพศาล
ครั้งแรก แน่นอนว่าคือศึกของฝูเหยาทวีปที่ถูกขนานนามว่าเป็น ‘ภาพอันสง่างามยิ่งใหญ่แห่งใต้หล้า’ ป๋ายเหย่เป็นฝ่ายเผยกายพกกระบี่ หนึ่งคนกับไท่ป๋ายหนึ่งเล่ม ใช้กระบี่ท้าทายราชาบนบัลลังก์ครึ่งหนึ่ง
ครั้งที่สองกลับเกิดขึ้นที่สนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก่อนหน้านั้น เล่าลือกันว่าผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์หลายคนของกระโจมเจี่ยเซินแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้อมฆ่าเฉินสืออีอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่
หนึ่งคือการต่อสู้บนยอดเขาอย่างสมคำเล่าลือ
หนึ่งคือการช่วงชิงระหว่างผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์ อีกทั้งขอบเขตของแต่ละคนก็ไม่ห่างกันมากพอดี มีเพียงจำนวนคนของทั้งสองฝ่ายที่แตกต่าง นี่ก็ยิ่งน่าสนใจแล้ว
ผู้ฝึกกระบี่สี่คนของกระโจมเจี่ยเซินที่ตั้งใจวางแผนล้อมสังหารอิ่นกวาน แต่ละคนนอกจากคุณสมบัติบนวิถีกระบี่จะดีเยี่ยม ได้เลื่อนขั้นติดอันดับร้อยเซียนกระบี่ของภูเขาถัวเยว่ และอันดับรายชื่อยังอยู่ลำดับต้นๆ เหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้นแล้ว ทุกคนต่างก็มีการสืบทอดและภูมิหลังที่โดดเด่นจนแทบจะเรียกได้ว่าสูงส่งเทียมฟ้า
หลีเจิน ลูกศิษย์คนสุดท้ายของบรรพบุรุษใหญ่ภูเขาทัวเยว่ เล่าลือกันว่าเคยมาฝึกกระบี่ที่หัวกำแพงเมืองนานหลายปี ทุกวันนี้หายตัวไปไม่รู้ร่องรอย
จู๋เชี่ย คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหลิวชาที่เคยได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบสี่
อวี่ซื่อ คือผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกเฟยเฟยราชาบนบัลลังก์คนเก่าเรียกขานว่า ‘คุณชาย’ เคยปรากฏตัวที่ใบถงทวีป สุดท้ายก็หายตัวไปพร้อมกับหลีเจิน
จวินทาน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของหย่างจื่อปีศาจใหญ่บนบัลลังก์ อดีตเจ้าของลำคลองเย่ลั่ว
หลิวป๋าย หนึ่งในลูกศิษย์ผู้สืบทอดของมหาสมุทรความรู้โจวมี่ ‘มหาโจรแห่งใต้หล้า’
และคนที่คอยเป็นกองหนุน คอยประสานงานบนสนามรบ คือเฝ่ยหราน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานที่ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ครองใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
การล้อมสังหารครั้งหนึ่งที่เดิมทีโอกาสแพ้ชนะไม่ต้องลุ้น ผลกลับกลายเป็นว่าถูกอิ่นกวานแว้งกลับมาสังหารหลิวป๋าย
ยามที่ถามหมัดกับคนอื่นมักจะปล่อยหมัดเข้าที่ใบหน้าของคู่ต่อสู้โดยเฉพาะ
ก่อนหน้านั้นก็เคยจับหัวอวี้เจวี้ยนฟูกระแทกกำแพง ภายหลังมีการประชันเขียวขาวกับเฉาสือที่สวนกงเต๋อของศาลบุ๋น ทำไม ถามหมัดก็ถือการต่อยหน้าหรือ? ลักษณะการปล่อยหมัดเช่นนี้ก็ช่างเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครเสียจริง
จับคู่เข่นฆ่าบนสนามรบ เลือกลงมือเฉพาะกับสตรี
ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่หลิวป๋ายคือผู้ฝึกตนหญิงเผ่าปีศาจที่ใครเห็นก็รักและเอ็นดู รูปโฉมงดงามอย่างมาก
ที่แท้อิ่นกวานท่านนี้ก็เป็นคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง
มิน่าเล่าถึงสามารถอาศัยสถานะของคนต่างถิ่นมาดำรงตำแหน่งสูงเป็นอิ่นกวานคนสุดท้ายของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้!
น่าเสียดายที่นอกจากรายงานขุนเขาสายน้ำไม่กี่ฉบับซึ่งรวมของสำนักซานไห่แผ่นดินกลางที่พูดถึงชื่อและบ้านเกิดของอิ่นกวานแล้ว สำนักบนภูเขาแห่งอื่น ดูเหมือนว่าทุกคนจะรู้กันอยู่ในใจแต่ไม่พูดออกมา เกินครึ่งคงจะได้รับการบอกเป็นนัยบางอย่างจากศาลบุ๋นหลังจากผ่านการประชุมครั้งนั้น
ก็โชคดีที่ศาลบุ๋นไม่ได้เปิดเผยความลับใหญ่เทียมฟ้าบางอย่าง ไม่อย่างนั้นทุกวันนี้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ผู้ฝึกตนของไพศาลมีต่อการล้อมฆ่าครั้งนี้ เกรงว่าคงกินพื้นที่ในบทความทั้งหมดของรายงานขุนเขาสายน้ำเก้าทวีปเลยทีเดียว
เพราะหลีเจินติดตามโจวมี่เดินขึ้นฟ้าไป ทุกวันนี้จึงรับหน้าที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงอย่างผู้สวมเสื้อเกราะของสรวงสวรรค์เก่า
ส่วนผู้ฝึกกระบี่อวี่ซื่อที่มีชาติกำเนิดมาจาก ‘สถานที่ฟ้ารั่ว’ แห่งหนึ่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ในสรวงสวรรค์ใหม่ของทุกวันนี้ เขาก็คือหนึ่งในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงเช่นเดียวกัน ร่างจำแลงคือเทพวารี
ส่วนผู้ฝึกลมปราณที่เดินทางมาท่องเที่ยวที่นี่อย่างเจี่ยเสวียน จู้ย่วนนั้นยังไม่ทันได้รับรายงานขุนเขาสายน้ำของแจกันสมบัติทวีป ไม่ได้ดูภาพคัดลอกของบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำส่วนนั้น
เฉินผิงอันหวนกลับมายังจุดเดิมของหัวกำแพงเมือง นั่งขัดสมาธิ รอคอยให้หนิงเหยากลับมาอย่างเงียบเชียบ
เฉาจวิ้นจุ๊ปากพูด “ก่อนหน้านี้ใครบอกว่าไม่โกรธกันนะ? ยังมีอีกนะ เฉินผิงอัน ความเคยชินที่ชอบตีคนตบหน้านี้ของเจ้า วันหน้าต้องแก้ไขบ้างแล้ว”
เฉินผิงอันไม่ต่อคำ เพียงแค่เงยหน้ามองม่านฟ้าเงียบๆ
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลี เฟิงอี๋ที่อยู่ในศาลเทพอัคคีถามเรื่องหนึ่งอยู่ไกลๆ เฉินผิงอันช่วยบอกคำตอบของอาจารย์ แลกมาด้วยเหล้าหมักร้อยบุปผาสิบสองกา
คำตอบมีแค่สี่คำ เชิญท่านลงโอ่ง
อีกทั้งในนี้ยังซุกซ่อนแผนการที่ ‘ใหญ่กว่าผืนฟ้า’ อย่างหนึ่งเอาไว้ด้วย คือการ ‘เชิญท่านลงโอ่ง’ ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าในอดีตไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน และในอนาคตจะไม่ปรากฏอีก
เพียงแค่เพื่อรับมือกับโจวมี่ที่เดินขึ้นฟ้าไปอย่างนั้นหรือ? แค่ไม่ให้มหาสมุทรความรู้โจวมี่ได้เข้าไปอยู่ในสรวงสวรรค์เก่า ไม่ก่อหายนะให้แก่โลกมนุษย์อย่างกำเริบเสิบสานอีกเท่านั้นหรือ?
แน่นอนว่าไม่ใช่ ยังคงไม่เพียงพอ
ระหว่างที่มีการประชุมในศาลบุ๋น เฉินผิงอันเคยถูกหลี่เซิ่งพาไปที่ยอดเขาของภูเขาสุ้ยซาน ได้พบกับปรมาจารย์มหาปราชญ์
จากนั้นลองมาคิดเชื่อมโยงกับการประชุมริมลำคลองที่หลี่เซิ่งเป็นผู้ดำเนินการ บรรพจารย์สามลัทธิคอยมองดูอยู่เบื้องหลัง การทดสอบใหญ่ที่น่าเหลือเชื่อครั้งหนึ่ง ตอนนั้นได้รวบรวมผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ที่เว้นจากเจิ้งจวีจงไว้อีกหลายคน
ดังนั้นในที่สุดเฉินผิงอันก็ครุ่นคิดจนเข้าใจถึงแผนการที่ใหญ่ยิ่งกว่าของศิษย์พี่ชุยฉาน
ซิ่วหู่แห่งไพศาลที่เคยพ่ายแพ้ในการเล่นหมากล้อมเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว ไม่อาจเอาชนะผู้ที่ถ่อมตนยอมถอยให้แก่บรรพชนในใต้หล้าผู้นั้นได้ เรื่องสุดท้ายที่เขาทำในชีวิตนี้ ดูเหมือนจะเป็นการใช้สถานะของบัณฑิตผู้เป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง นำกระดานหมากล้อมฟ้าดินมาวางไว้เบื้องหน้าตัวเอง ชุยฉานคนเดียวได้เชื้อเชิญให้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ศาสดาพุทธ มรรคาจารย์เต๋า เชิญบรรพจารย์ของทั้งสามลัทธิให้มานั่งลงด้วยกัน
ดูเหมือนว่าชุยฉานจะไม่เพียงแต่ต้องการให้โจวมี่ที่ต่อให้จะเดินขึ้นฟ้าได้สำเร็จ ทุกสิ่งที่ทำมาก็ยังเสียเปล่า มีแต่จะพ่ายแพ้หมดรูป
เขายังต้องการให้โลกมนุษย์ได้รู้ว่าจะไม่มีบรรพจารย์สามลัทธิอีกต่อไปด้วย
——