กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 847.4 สองคนเคียงข้าง
คนที่ปรากฏตัวก่อนใครคือฉีถิงจี้ เซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่มีใบหน้าอ่อนเยาว์ทั้งยังหล่อเหลาอย่างยิ่ง รวมไปถึงลู่จือที่เรือนกายสูงโปร่งแต่กลับมีโฉมหน้าธรรมดาสามัญ
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
ฉีถิงจี้เหลือบตามองผู้ฝึกตนที่รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะพวกนั้น ยิ้มถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “อยากจะเอาเศษหินบนหัวกำแพงเมืองกลับไป ข้าเลยขวางไว้แล้วสั่งสอนไปรอบหนึ่ง”
ฉีถิงจี้กับลู่จือมองไปยังเว่ยจิ้นและเฉาจวิ้นแทบจะเวลาเดียวกัน ส่วนเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่เส้นเอ็นหัวใจขึงตึงทั้งหลายเหล่านั้น คร้านจะมองแม้แต่หางตา
เว่ยจิ้นไม่รู้สึกรู้สาใดๆ ทั้งสิ้น
เฉาจวิ้นที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดเล็กๆ คนหนึ่งกลับไม่มีความกล้าหาญเช่นนี้แล้ว
ฉีถิงจี้ที่เป็นเจ้าประมุขสกุลฉีของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เวทกระบี่เป็นอย่างไร ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนกำแพงตัวนั้นยังตั้งวางอยู่ตรงนั้น
ส่วนลู่จือ นี่คือสตรีที่กล้าไล่ตามไปดักสังหารหลิวชาไม่ให้มุ่งหน้าไปยังฝูเหยาทวีปเพียงลำพังเชียวนะ
ฉีถิงจี้ยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เหลือบตามองแผ่นหลังของคนกลุ่มนั้น ยิ้มเอ่ยว่า “คนรุ่นเยาว์นี่นะ จะทำผิดบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ชาติหน้าก็สามารถระมัดระวังให้มากอีกหน่อยได้”
ลู่จือยิ่งไม่พูดจาเหลวไหล เงยหน้ามองเฮ้อโซ่วอริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งบัญชาการณ์ม่านฟ้าโดยตรง ขอแค่ฉีถิงจี้ลงมือฟันคน นางก็จะรับผิดชอบขัดขวางเฮ้อโซ่วให้เอง
เจี่ยเสวียนและจู้ย่วนที่ยังเดินจากไปได้ไม่ไกลรู้สึกเหมือนหล่นลงไปในหลุมน้ำแข็ง ถึงกับก้าวขาไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว
รู้สึกเพียงว่าหากตนเดินเพิ่มอีกหนึ่งก้าวก็เท่ากับเป็นการถามกระบี่ต่อเซียนกระบี่สองท่านนั้น
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ส่ายหน้า “ข้าอธิบายเหตุผลไปแล้ว”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามที่อิ่นกวานว่า”
ลู่จือรู้สึกไม่พอใจใต้เท้าอิ่นกวานอยู่บ้าง จึงแค่นเสียงเย็นชา “ก็มีแต่เจ้านี่แหละที่พูดง่ายที่สุด ฟันคนตายไป เจ้าก็อธิบายเหตุผลไม่ได้แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันเพียงแค่โยนเหล้าหมักร้อยบุปผาไปให้นางหนึ่งกา
ลู่จือรับเหล้าร้อยบุปผามา นั่งยองบนหัวกำแพง แหงนหน้ากระดกดื่มสุราเลิศรส
เฉาจวิ้นฟังด้วยอาการชาไปทั้งหนังหัว
เซียนกระบี่อย่างฉีถิงจี้ ลู่จือนี้ ดูแคลนที่จะจงใจพูดจาอาฆาตมาดร้าย ใช้คำพูดปลุกปั่นให้คนหวาดกลัวจริงๆ
คาดว่าก่อนจะฟันคน เอ่ยเตือนไปก่อนคำหนึ่งก็คงถือว่าไว้หน้ามากพอแล้ว?
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดกับพวกคนที่ยืนอึ้งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน “อย่ายืนบื้ออยู่เลย รีบกลับบ้านพวกเจ้าไปเถอะ”
แต่ละคนรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ พากันทะยานลมออกไปจากหัวกำแพงเมือง
เฉินผิงอันชูแขนขึ้นส่งเหล้ากาหนึ่งไปให้ฉีถิงจี้ ถามชวนคุยว่า “ทางฝั่งของกุยซวีรื่อจุ้ย กองทัพชายแดนต้าหลีมีคนมาถึงกี่คนแล้ว?”
ฉีถิงจี้ค้อมเอวลงไปรับกาเหล้ามา คิดแล้วก็ทรุดตัวลงไปนั่งขัดสมาธิเสียเลย ตอบว่า “ตอนนี้มีสามแสนหกหมื่นนาย ในบรรดานั้นมีทหารม้าติดอาวุธหนักสองหมื่นนาย ทหารม้าติดอาวุธเบาสองแสนนาย พลทหารราบกลับมีไม่มาก ส่วนจำนวนของผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ทางฝั่งของต้าหลีไม่ได้ป่าวประกาศให้คนนอกรู้”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างตกตะลึง “มีมากขนาดนี้แล้วหรือ?”
สนามรบที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยากที่จะใช้สงครามเลี้ยงสงครามได้อีก ในอนาคตหากแนวเส้นการสู้รบถูกลากยาวออกไป การเผาผลาญทรัพยากรของเสบียงทัพย่อมมากเกินกว่าจะประมาณการณ์ โชคดีที่วัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อของผู้ฝึกตนบนภูเขาล้วนถูกศาลบุ๋นและราชวงศ์ใหญ่แห่งต่างๆ ‘เช่ายืม’ มาเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ไม่รู้ว่าได้มาจำนวนเท่าไร
ฉีถิงจี้กล่าว “ได้ยินมาว่าหลังจากนี้จะมีคนทยอยกันมาถึงอีก จำนวนคนของกองทัพชายแดนต้าหลีในทุกวันนี้เป็นรองแค่ราชวงศ์เฉิงกวานของแผ่นดินกลางเท่านั้นแล้ว เพราะต้าหลีออกเดินทางเร็วสุด เรือกระบี่ เรือข้ามฟากขุนเขา เรือข้ามทวีป สามารถเคลื่อนขบวนกันได้อย่างราบรื่นมาก ในบรรดาสิบราชวงศ์ใหญ่ของไพศาล มีอยู่สองสามแห่งที่ต่อให้จะร่ำร้องโอดครวญแค่ไหนก็ยังจำต้องเพิ่มจำนวนกองทัพให้มากขึ้น ส่วนจะมีสถานการณ์ที่เอาคนไร้ความสามารถแทรกเข้ามาเพื่อให้ครบจำนวนหรือไม่ ดูจากทหารฝีมือดีที่ถูกดึงตัวมาจากแคว้นใต้อาณัติของแต่ละฝ่ายแล้ว ก็มีเพียงศาลบุ๋นเท่านั้นที่รู้ชัดเจนดีที่สุด”
เฉินผิงอันถามอย่างประหลาดใจ “ทุกวันนี้เฉาสืออยู่ที่ไหน?”
ฉีถิงจี้ยิ้มกล่าว “เขาติดตามบุตรชายที่รักของเทพเจ้าแห่งโชคลาภหลิวไปที่ฉิงจีด้วยกัน แต่ได้ยินมาว่าเพียงไม่นานก็ติดตามพวกสหายออกเดินทางไกลไปแล้ว เฉาสือ ฟู่จิ้น หยวนพาง ฉุนชิง อวี้เจวี้ยนฟู กู้ช่าน ล้วนเป็นคนหนุ่มสาวพวกนี้ หลิวโยวโจวไม่ได้ตามไปด้วย อยู่ที่นั่นต่อกับไหวเฉียน คาดว่าคงต้องเป็นกุมารแจกทรัพย์อีกรอบแล้ว”
บนภูเขามีคำพูดตลกขบขันอย่างหนึ่งแพร่หลายออกไป หากได้เจอหลิวโยวโจวก็อยากจะบอกว่าตัวเองคือพี่น้องแท้ๆ ที่พลัดพรากจากกันไปนานหลายปียิ่งนัก จากนั้นจะได้กลับบ้านไปพบหลิวจวี้เป่าแล้วเรียกเขาว่าบิดาด้วยกัน
ส่วนผู้ฝึกตนหญิง ก็แค่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับหลิวโยวโจว ก็สามารถเรียกบิดาได้เหมือนกันแล้ว
ฉีถิงจี้ยกกาเหล้าชนกับกาเหล้าของเฉินผิงอันเบาๆ “นอกจากนี้คนที่ช่วยปกป้องมรรคาให้คนหนุ่มสาวพวกนี้อย่างลับๆ เท่าที่ข้ารู้มาก็มีหันเชี่ยวเซ่อแห่งนครจักรพรรดิขาวกับเค่อชิงของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่คนหนึ่ง ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด มองตื้นลึกไม่ออก”
จากนั้นฉีถิงจี้ก็ถือว่าได้ให้ความกระจ่างแก่อิ่นกวานหนุ่ม “ก่อนหน้านี้ที่จั่วโย่วลงใต้ไป ได้เตือนพวกเราไว้ว่า อย่าช่วยให้เสียเรื่อง”
บอกให้ทั้งฉีถิงจี้และลู่จืออย่าช่วยให้เสียเรื่อง
คนที่สามารถพูดกับเซียนกระบี่ผู้อาวุโสที่ได้แกะสลักตัวอักษรลงบนกำแพงเมืองปราณกระบี่เช่นนี้ได้ บนโลกมนุษย์ใบนี้ มีไม่มากจริงๆ
เฉาจวิ้นมองด้วยความอิจฉาสุดขีด
เฉินผิงอันเจ้าเด็กนี่ได้ดิบได้ดีอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เมื่อก่อนมีแค่ความเข้าใจอย่างพร่าเลือนต่ออิ่นกวาน เวลานี้ได้เห็นเฉินผิงอันตอนอยู่กับฉีถิงจี้และลู่จือกับตาตัวเอง ได้สัมผัสกับน้ำหนักของสองคำว่า ‘อิ่นกวาน’ กับตัวเองแล้ว
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ อย่าว่าแต่เว่ยจิ้นที่เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมได้อย่างเป็นธรรมชาติเลย ที่แท้พวกคนอย่างฉีถิงจี้ ลู่จือ ต่างก็มองเฉินผิงอันเป็นผู้แข็งแกร่งที่เท่าเทียมกับตัวเองอย่างแท้จริงแล้ว
……
เฝิงเซวี่ยเทาที่ได้ฉายาว่าชิงมี่ ขอบเขตบินทะยานที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระผู้นี้ไม่ได้หนีออกจากสนามรบแห่งนั้นไปเป็นเส้นตรง แต่เลือกจะอ้อมเส้นทางกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ ระหว่างทางที่มาเยือนเปลี่ยวร้าง เฝิงเซวี่ยเทาคอยสังเกตสภาพภูมิศาสตร์ของแต่ละสถานที่ที่ผ่าน ถึงขั้นยังวาดภาพแผนที่อย่างละเอียดขึ้นมาด้วย
ทำเอาเหลียงที่มองดูอยู่มีสีหน้าเมตตาปราณี บอกว่าพี่ชิงมี่กับสหายที่เป็นอิ่นกวานของข้าคนนั้นจะต้องพูดคุยกันถูกคอแน่ วันหน้าหากมีโอกาสได้กลับไปไพศาลจะต้องไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วนะ ถึงเวลานั้นเจ้าแค่บอกชื่อข้าอาเหลียงออกไป ไม่ว่าจะเป็นเฉินผิงอันหรือซานจวินใหญ่เว่ยแห่งขุนเขาเหนือก็ต้องเอาสุราดีๆ มารับรองพี่ชิงมี่แน่นอน
เฝิงเซวี่ยเทาคิดว่าระหว่างที่เดินทางกลับเหนือจะไปเยือนกุยซวีฉิงจีที่อยู่ใกล้ที่สุดเพื่อนำภาพแผนที่เหล่านั้นไปมอบให้กับยักษ์ใหญ่แห่งวิถีมารของนครจักรพรรดิขาวท่านนั้นด้วย
เขาพลันหยุดร่างนิ่ง
รอบกายมีผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจเก้าคนโผล่มาก มองดูแล้วล้วนอายุไม่มาก ขอบเขตไม่ถือว่าสูงมากนัก แต่กลับสามารถทำให้เฝิงเซวี่ยเทารู้สึกเหมือนเจอกับศัตรูตัวฉกาจ นี่เป็นความรู้สึกถึงอันตรายที่ไม่เคยพบเจอมานานมากแล้ว ไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออกอย่างยามที่เผชิญหน้าอาเหลียงกับจั่วโย่ว แต่เป็นความรู้สึกไม่สบายที่เล็กละเอียดอย่างหนึ่ง
เฝิงเซวี่ยเทารู้จักแค่คนหนึ่งในนั้น จู๋เชี่ย สะพายชั้นวางกระบี่ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ว่ากันว่าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของหลิวชา
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในมือถือหน้ากาก ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ ชายแขนเสื้อใหญ่สองข้างห้อยตกลง ทำให้มองไม่เห็นมือทั้งสอง
เขาสวมชุดคลุมอาคมสีขาวหิมะ ลายเมฆเหมือนสายน้ำที่ไหลรินไม่หยุดนิ่ง ตรงเอวพกดาบแคบเล่มหนึ่ง ฝักดาบเล็กบางทั้งยังยาวมาก
หญิงสาวคนหนึ่งสวมตุ้มหูสีทองชิ้นหนึ่งที่เปล่งแสงแวววาวอ่อนโยน ขับให้ซีกหน้าสองข้างของนางแบ่งเป็นหนึ่งมืดหนึ่งสว่าง
มีชายร่างกำยำตรงเอวห้อยขวานใหญ่คู่หนึ่ง ในมือถือตะเกียงหนึ่งดวง
ผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจลักษณะคล้ายพี่ชายน้องสาวคู่หนึ่ง ยืนเคียงข้างกัน บุรุษแบกลำไม้ไผ่ลำหนึ่งไว้บนบ่า ตรงเอวห้อยน้ำเต้าหนึ่งลูก
สตรีใช้มือหนึ่งควงกริช ด้านหลังสะพายธนูคันยักษ์
เด็กชายรูปโฉมอ่อนเยาว์คนหนึ่ง ตรงเอวห้อยถุงผ้าฝ้ายไม่สะดุดตาหนึ่งใบ
หญิงสาวเรือนกายอ้อนแอ้น มีส่วนเว้าส่วนโค้งน่ามอง ทว่าบนใบหน้าสวมหน้ากากปิดทับจึงมองไม่เห็นโฉมหน้า สะพายถุงบรรจุพิณไว้เอียงๆ คาดว่าคงเป็นเพราะสวมหน้ากาก ภาพบรรยากาศด้านหลังจึงก่อเกิดเป็นภาพศพจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกแขวนคอตายลอยอยู่กลางอากาศ
เด็กหนุ่มหล่อเหลาพกดาบแคบเป็นคนเปิดปากพูดก่อน ถึงกับสามารถพูดภาษากลางของแผ่นดินกลางไพศาลได้อย่างคล่องปาก “นี่ เจ้ารู้จักอิ่นกวานหรือไม่?”
ฉวยโอกาสที่สตรีอย่างหลิวป๋ายไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย ต้องรีบถามเรื่องเกี่ยวกับอิ่นกวานหนุ่มสักหลายๆ ประโยคหน่อย
ไม่อย่างนั้นสตรีผู้นั้นที่อารมณ์ร้าย แค่ได้ยินชื่อคนผู้นี้ก็โกรธจนขนตั้งชัน แน่นอนว่าไม่ใช่ความอับอายที่พานเป็นความโกรธอย่างที่แสดงออกมาภายนอก แต่เป็นการแอบจดบัญชีไว้เงียบๆ
เด็กชายคนนั้นยื่นมือไปตบถุงตรงเอวเบาๆ หัวเราะร่ายิ้มถามว่า “เทพเจ้าแห่งโชคลาภสกุลหลิวธวัลทวีป ที่บ้านเขามีเงินแค่ไหนกันแน่? ถังข้าวถ้วยข้าวของคนรับใช้ทุกคนในตระกูลเขาต่างก็สร้างขึ้นมาจากเงินเกล็ดหิมะจริงๆ หรือไม่?”
เฝิงเซวี่ยเทาพอจะมองขอบเขตของผู้ฝึกตนเผ่าปีศาจกลุ่มนี้ออกคร่าวๆ แล้วว่าสูงสุดไม่เกินขอบเขตหยกดิบ แต่คิดจะมาล้อมฆ่าขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งนี่นะ?
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ลางสังหรณ์ของเฝิงเซวี่ยเทาถึงบอกกับตัวเขาว่า หากไม่ทันระวังก็มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่
และเวลานี้เอง เสียงหนึ่งพลันดังขึ้นในหัวใจ “สหายชิงมี่อย่าได้กลัว มีเปิงเลอะเจินจวินอย่างข้าอยู่ด้วย รับรองว่าเจ้าไม่มีอันตรายถึงชีวิตแน่”
……
บนยอดเขาภูเขาสุ้ยซาน
อาจารย์ผู้เฒ่าปิดหนังสือลง ยิ้มกล่าว “กาลเวลาไม่หยุดนิ่ง เหมือนกระแสน้ำที่ไหลริน เวลาหมื่นปีเพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไป ซูจื่อกล่าวได้ดียิ่งนัก เรือนกายเหมือนโรงเตี๊ยมที่ถูกคนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเยือน สถานที่แห่งใดจึงจะถือว่าเป็นบ้านเกิดของข้า”
ใต้หล้ามืดสลัว
ลู่เฉินฟุบตัวอยู่บนราวระเบียงหยกขาว “พวกเราสองคนที่เป็นศิษย์น้อง ไม่ว่าด้านใดก็ล้วนสู้ศิษย์พี่ที่ใกล้ชิดกับอาจารย์ที่สุดไม่ได้”
เต๋าเหล่าเอ้อพูดด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “สรุปว่าเจ้าจะไปฟ้านอกฟ้าเมื่อไหร่กันแน่?!”
ลู่เฉินทอดถอนใจ พูดบ่นว่า “ปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าก็ให้บุคคลใหญ่เทียมฟ้าไปแก้ไขเอาสิ”
คนผู้หนึ่งที่ลักษณะคล้ายนักพรตเด็กหนุ่มโผล่มาตรงจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ เรียกชื่อของคนทั้งสอง “อวี๋โต้ว ลู่เฉิน”
อวี๋โต้วก้มกราบคารวะ “อาจารย์”
ลู่เฉินกระโดดลงจากราวระเบียง เอาอย่างศิษย์พี่ คารวะตามขนบลัทธิเต๋าอย่างถูกต้องอย่างที่หาได้ยาก
นักพรตเด็กหนุ่มที่น้อยครั้งจะเดินออกมาจากถ้ำสวรรค์เหลียนฮวาก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่เงยหน้ามองม่านฟ้า
ณ สถานที่หนึ่งที่อยู่นอกฟ้า มีสตรีชุดขาวคนหนึ่งใช้สองนิ้วคีบลูกกลมสีแดงสดลูกหนึ่งเอาไว้
หากมองจากที่ห่างไกลมาเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็จะสังเกตเห็นว่านั่นคือดวงดาวบรรพกาลดวงหนึ่ง
นักพรตเด็กหนุ่มเอ่ยว่า “ข้าจำเป็นต้องขี่วัวเดินทางไปยังฟ้านอกฟ้ารอบหนึ่ง ลู่เฉินเจ้าไม่ต้องไปแล้ว”
ลู่เฉินพยักหน้า “ศิษย์น้อมรับคำสั่งของท่านอาจารย์”
กำแพงเมืองปราณกระบี่
เฉินผิงอันไปยังหัวกำแพงเมืองที่ตัวเองผสานมรรคาเพียงลำพัง เพิ่งจะนั่งลงก็เห็นหัวหนึ่งโผล่ออกมา คลี่ยิ้มเจิดจ้า “ฮ่าๆ แปลกใจหรือไม่?”
เฉินผิงอันยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาโดยตรง ห้าอสนีมารวมตัวกันแล้วขว้างเข้ากระแทกหน้าของนักพรตที่สวมกวานดอกบัวคนนั้น ซัดอีกฝ่ายให้กระเด็นออกไปจากหัวกำแพงเมืองโดยตรง
สุดท้ายเฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนหัวกำแพง นักพรตคนนั้นทำท่าว่ายน้ำกลับมาที่หัวกำแพงเมือง สุดท้ายพลิ้วกายลงด้านข้าง ใช้ชายแขนเสื้อของชุดนักพรตเช็ดหน้า
เฉินผิงอันถาม “มาทำอะไรที่นี่?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “มาร่วมวงเรื่องสนุก”
มีภิกษุวัยกลางคนคนหนึ่งร้องภาษาพระธรรมคำหนึ่งห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไม่ไกล
ลู่เฉินรีบลุกขึ้นยืน เผ่นก่อนเพื่อความปลอดภัย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง ใบหน้าเต็มไปด้วยความอึ้งตะลึง ลุกขึ้นยืนช้าๆ สองมือพนมสิบนิ้ว ก้มหัวคารวะ
ภิกษุวัยกลางคนคารวะกลับคืน แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงไม่นานร่างก็หายวับไป
เมืองหลวงต้าหลี เซียนซือผู้เฒ่าหลิวเจียยืนอยู่ตรงปากตรอก ขัดขวางทางไปของอาจารย์ผู้เฒ่าอีกคนหนึ่ง
บนหัวกำแพงเมือง เฉินผิงอันกับหนิงเหยายืนเคียงข้างกัน เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ว่า “บรรพจารย์ของสามลัทธิจะสลายมรรคาแล้ว”
——