กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 848.3 มังกรและงูผงาดจากดิน
ไต้เฮายกนิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง “ตอนนั้นมีเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่กี่คนกันแน่? สองมือนับก็ยังไม่หมด มีตั้งสิบเอ็ดคน หากบวกเฉินอิ่นกวานและเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วนที่เป็นก่อกำเนิดสองคนนี้เข้าไปด้วย นั่นก็มากถึงสิบสี่คน! ขอถามหน่อยเถอะว่าหากเป็นคนธรรมดาทั่วไป เข้าไปอยู่ในนั้น เผชิญหน้ากับพวกผู้ฝึกกระบี่ที่ฆ่าคนตาไม่กะพริบเหล่านี้ ใครจะกล้าเปิดปากพูดก่อน? นั่นไม่ใช่การถามกระบี่แล้วจะเป็นอะไร?”
การประชุมครั้งนั้น ด้านในห้องโถงใหญ่เรือนชุนฟาน เซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวมีมากมาย
หมี่ฮู่ เว่ยจิ้น ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย หยวนชิงสู่ เซี่ยซงฮวา ผูเหอ ซ่งพิ่น เซี่ยจื้อ ลี่ไฉ่ บวกกับเส้าอวิ๋นเหยียนที่เป็นเจ้าบ้านอีกหนึ่งคน
และยังมีผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดสองคนอย่างเยี่ยนหมิง น่าหลันไฉ่ฮ่วน
เซียนกระบี่สิบเอ็ดท่าน ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดสองคน
ไต้เฮาเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ข้ากับอิ่นกวานที่อายุน้อยผู้นั้น ต้องเรียกว่าแค่เจอหน้าก็เหมือนคนเคยรู้จักกันมานาน พูดคุยกันอย่างถูกคอ เฉินอิ่นกวานอายุไม่มาก แต่คำพูดคำจาทุกคำล้วนมีความรู้ซ่อนอยู่”
เจี่ยเสวียนจึงได้แต่ฝืนใจเอ่ยคล้อยตามไปหนึ่งประโยค “ช่วยเปิดฉากการเริ่มต้นที่ดีให้กับการประชุมในเรือนชุนฟานครั้งนั้น ถึงได้ทำให้ขั้นตอนในภายหลังพัฒนาไปอย่างราบรื่น พี่ใหญ่ไต้มีคุณความชอบอย่างที่มิอาจมองข้ามได้”
ไต้เฮาพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ คนทำการค้าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นเหม็นของเหรียญทองแดงอย่างพวกเราก็ถือว่าได้พยายามสุดความสามารถที่มีเพื่อช่วยเป็นกำลังเสริมในกลยุทธของสงครามในภายหลังแล้ว”
ส่วนความจริงเป็นอย่างไร ถึงอย่างไรพวกผู้ดูแลเรือข้ามฟากที่อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ตอนนี้ต่างก็ไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย แน่นอนว่าไต้เฮาจะพูดให้น่าฟังอย่างไรก็ได้
ในความเป็นจริงแล้วหลังจากที่ไต้เฮาลุกขึ้นเปิดปากเอ่ยถ้อยคำ ‘เป็นกลาง’ ที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็มแล้ว ก็ถูกอิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นพูดจาเสียดสีไปหนึ่งคำรบ ผลคือเก้าอี้ใต้ก้นของผู้เฒ่าก็ราวกับมีกระบี่บินปักไว้เต็มไปหมด ให้ตายอย่างไรก็ไม่กล้านั่งลงอีก
อยู่ดีๆ ผู้ดูแลเฒ่าก็เอ่ยอย่างสะท้อนใจว่า “ทำการค้าก็ดี ลงมือทำเรื่องต่างๆ ก็ดี ล้วนต้องมีจิตสำนึกให้มากหน่อย”
เหลือบตามองชายหนุ่มหญิงสาวคู่นั้น ไต้เฮาก็ยิ้มเอ่ยว่า “เสียเปรียบแล้วก็ให้จำไว้เป็นบทเรียน ไม่อย่างนั้นความยากลำบากที่กล้ำกลืนมาย่อมต้องเสียเปล่า คราวหน้าออกจากสำนักไปอยู่ข้างนอก ไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางมาคอยเอาใจใคร”
คนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของหอโหยวเซียน อีกคนหนึ่งคือเทพธิดาของภูเขาหงซิ่วซื่อสุ่ย ก่อนหน้าจะไปเยือนซากปรักกำแพงเมืองปราณกระบี่ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากก็ชอบส่งสายตาให้กันไปมา คิดว่าตัวเองเป็นคู่รักเทพเซียนกันจริงๆ แล้วหรือไร?
ไต้เฮาติดตามเรือข้ามฟากไท่เกิงลำนี้ท่องไปทั่วยุทธภพด้านนอกตลอดทั้งปี มีคนแบบใดบ้างที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน แม้จะบอกว่าการฝึกตนของผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ได้เรื่อง เพียงแต่สายตาของเขานั้นเฉียบคมเพียงใด ย่อมต้องมองเห็นสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อยของชายหญิงคู่นั้น
ไต้เฮาจุ๊ปากพูด “ดูท่าที่โดนตีไปจะเสียเปล่า”
คนหนุ่มสาวสองคนนี้ไม่มีความหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ความจองหองอวดดีกลับไม่ขาดไปเลย บางทีนี่ก็คงเป็นดั่งคำกล่าวที่ว่าสุนัขไม่เปลี่ยนนิสัยกินอาจมกระมัง
ชีวิตไม่ใช่ลานฆ่าหมาในทุกหนทุกแห่ง ไม่มีเลือดหมามากมายขนาดนั้น
แต่วิถีทางโลกกลับมีลานฆ่าหมาอยู่ทั่วทุกที่ บนพื้นเกลื่อนนองไปด้วยเลือดหมา
ไต้เฮาใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “น้องเจี่ย ข้าไม่สนิทกับจู้ย่วนและภูเขาหงซิ่ง ก็คงไม่ทำตัวเป็นคนเลวในสายตาใครแล้ว แต่อยู่กับเจ้ากลับยินดีปากมากพูดเตือนเจ้าสักคำ วันหน้าหากต้องปกป้องมรรคาให้คนอื่น ท่องอยู่ล่างภูเขาอย่าได้ปล่อยให้คนโง่เอาดินเหลืองมาป้ายเต็มกางเกงตัวเอง ถอดกางเกงเดี๋ยวคนอื่นเห็นก้น แต่หากไม่ถอด ยื่นมือไปเช็ดก็คือท่าทีไม่สุภาพที่ต้องล้วงควักเป้ากางเกง ถึงเวลานั้นจะถอดหรือไม่ถอดกางเกง ในสายตาของคนอื่นแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องตลกทั้งสิ้น”
เจี่ยเสวียนเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “คำพูดของพี่ไต้หยาบ แต่หลักการไม่หยาบเลย”
ไต้เฮาลูบหนวดยิ้ม “ธัญพืชหยาบ (อาหารประเภทข้าวโพด เกาเหลียง ถั่วเป็นต้น ไม่รวมข้าว) ช่วยบำรุงกระเพาะ คำพูดหยาบ (ในที่นี้หมายถึงคำพูดที่ไม่เสริมเติมแต่ง เป็นคำปกติทั่วไป แม้จะตรงไปตรงมาแต่มีเหตุผล) ช่วยให้คนอยู่รอด”
ทางฝั่งของซากปรักศาลบรรพจารย์สำนักอวี่หลงที่กำลังมีการก่อสร้าง อวิ๋นเชียนยืนอยู่บนยอดเขา นางรู้สึกปลงอนิจจังยิ่งนัก
ขุนเขาเขียวยังอยู่ก็ไม่ต้องกลุ้มว่าจะไม่มีฟืนเผาไฟ
เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย อิ่นกวานหนุ่มผู้นั้นพูดถูกแล้ว
หากไม่เป็นเพราะคำเตือนของคนหนุ่มในปีนั้น ควันธูปที่สืบทอดต่อเนื่องยาวนานมาพันปีของสำนักอวี่หลงก็คงต้องขาดสะบั้นด้วยน้ำมือของสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกลุ่มนั้นแล้ว
จดหมายลับฉบับหนึ่งที่ส่งไปยังตำหนักสุ่ยจิงครั้งนั้น บนกระดาษเขียนไว้แค่สามคำว่า ย้ายขึ้นเหนือ
เคยถูกศิษย์พี่หญิงโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับถูกอวิ๋นเชียนเก็บกลับมา แล้วเก็บรักษาเอาไว้อย่างระมัดระวัง
ในจดหมายฉบับนั้นนอกจากตัวอักษร นอกจากตราประทับของเซียนกระบี่เส้าอวิ๋นเหยียนแล้ว ยังมีตราประทับอักษรโบราณอีกสองคำว่า อิ่นกวาน
ตอนนั้นนางพาผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลหกสิบสองคนจากไปได้สำเร็จ ในบรรดานั้นมีเซียนดินอยู่สามคน การเดินทางหลังจากนั้นก็ได้ทยอยรับลูกศิษย์มาอีกสิบกว่าคน บวกกับผู้ฝึกตนของสำนักอวี่หลงที่ได้แยกเกาะเป็นของตัวเองได้กลับมารวมตัวกัน คิดคำนวณรวมๆ แล้วก็ยังไม่ถึงร้อยคน ทว่านี่ก็คือรากฐานทั้งหมดของสำนักอวี่หลงในทุกวันนี้แล้ว
ตอนนี้อวิ๋นเชียนกำลังรอคอยคนผู้หนึ่ง หรือก็คือเจ้าสำนักอวี่หลงในอนาคต ผู้ฝึกกระบี่หญิงแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ น่าหลันไฉ่ฮ่วน
ทุกวันนี้น่าหลันไฉ่ฮ่วนได้เป็นเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบแล้ว
ปีนั้นน่าหลันไฉ่ฮ่วนได้เสนอการค้าครั้งนี้ อวิ๋นเชียนเองก็ไม่ใช่คนประเภทที่ข้ามแม่น้ำแล้วรื้อสะพาน แล้วนับประสาอะไรกับที่หากว่ากันตามเหตุตามผล ตามหลักส่วนรวมและส่วนตัวแล้ว อวิ๋นเชียนก็ล้วนยินดีต้อนรับให้นางมาเป็นเจ้าประมุขของสำนักอวี่หลง
บนเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่กำลังจะไปถึงเมืองหลวงต้าหลี ซ่งจี๋ซินอ๋องเจ้าเมืองต้าหลียิ้มเอ่ย “จื้อกุย เจ้าเป็นถึงขอบเขตบินทะยานแล้ว เรื่องสำมะโนครัว จะให้ข้าช่วยเจ้าเปลี่ยนเมื่อไหร่?”
ที่ฝ่ายครัวเรือนของที่ว่าการอำเภอไหวหวง สัญชาติของจื้อกุยยังเป็นสัญชาติไพร่ซึ่งมีสถานะเป็นสาวใช้ แน่นอนว่าที่เขต ที่จังหวัดไปจนถึงกรมพิธีการต้าหลีย่อมต้องอิงตามนี้
จื้อกุยคิ้วตาอ่อนโยนว่าง่าย ส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เอาไว้ใช้เตือนตัวเองว่าเป็นคนอย่าได้ลืมกำพืดตัวเอง”
ราวกับว่าพวกเขายังคงเป็นนายและบ่าวของตรอกหนีผิงในอดีต ตักน้ำตากเสื้อผ้า ล้างผักทำอาหาร ใช้จ่ายเงินอย่างมือเติบ เพิ่มทรัพย์สมบัติให้ในบ้าน รอกระทั่งข้าวของในห้องเยอะจนไม่มีที่วางแล้ว นางถึงจะเอาไปขายในราคาถูกเพื่อเปลี่ยนมาเป็นเงินส่วนตัวของนางเอง
ซ่งจี๋ซินหัวเราะ “หากเจ้าต้องการเมื่อไหร่ก็บอกข้าสักคำ”
เขามองใบหน้าด้านข้างของนาง ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้า
โชคชะตาน้ำของใต้หล้าไพศาลถูกศาลบุ๋นแผ่นดินกลางแบ่งออกเป็นสองส่วน ตั้นตั้นฮูหยินแห่งหลุมน้ำลู่ที่มีฉายาว่าชิงจงเป็นผู้ดูแลโชคชะตาน้ำบนบกของเก้าทวีป
นอกจากนี้โชคชะตาน้ำของสี่มหาสมุทรก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นอีกสี่ส่วน น่านน้ำมหาสมุทรสี่แถบต่างก็มีสุ่ยจวินใหญ่ท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์บัญชาการณ์ ต่อให้จะถูกตัดแบ่งออกเป็นสี่อาณาเขต ทว่าไม่ว่าน่านน้ำใดก็ตามที่แยกออกมาเดี่ยวๆ ก็ยังคงกว้างขวางไร้ขอบเขตสิ้นสุด มองไปไกลสุดลูกหูลูกตาอยู่เหมือนเดิม
สุ่ยจวินของทะเลสาบใหญ่สามคนในนั้นได้อาศัยโอกาสนี้เลื่อนขั้นสู่ตำแหน่งสูงเป็นสุ่ยจวินของสี่มหาสมุทร อยู่ในขั้นหนึ่งชั้นโทของทำเนียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเรียบเรียงขึ้นใหม่ ระดับขั้นเท่าเทียมกับเทพใหญ่ภูเขาสุ้ยซาน
ส่วนนางที่เป็นมังกรที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวบนโลกกลับเป็นแค่สุ่ยจวินแห่งทะเลบูรพาเท่านั้น หากเป็นจื้อกุยก่อนเกิดสงครามใหญ่ครั้งนั้นคงรู้สึกว่าการกระทำนี้ของศาลบุ๋นคือการจงใจหมิ่นเกียรติสร้างความอัปยศให้กับนาง แต่จื้อกุยในเวลานี้กลับทำเพียงแค่หัวเราะหยันไม่กี่ที จากนั้นนางก็ไม่ปฏิเสธคัดค้าน เพียงยอมรับตำแหน่งเทพสุ่ยจวินของหนึ่งมหาสมุทรนี้มา
บนภูเขาลั่วพั่ว ช่วงนี้พ่อครัวเฒ่าทำกระเป๋าสายใบเล็กจากผ้าฝ้ายใบหนึ่งให้หมี่ลี่น้อย เพื่อให้นางเอาไว้ใช้บรรจุเมล็ดแตงได้มากกว่าเดิม
ความชื่นชอบที่หมี่ลี่น้อยมีต่อกระเป๋าสะพายใบเล็กไม่เป็นรองคานหาบสีทองชิ้นนั้นเลย แม้จะได้ใหม่แต่ก็ไม่ลืมเก่านะ
วันนี้หลังจากลุกจากที่นอนด้วยท่าปลาหลีกระโดด (ท่าดีดตัวขึ้นจากท่านอนหงาย) พอเท้าสัมผัสพื้นหมี่ลี่น้อยก็กระทืบเท้าหนึ่งที นอนหลับเตลิดอีกแล้ว หยิบกระจกบานหนึ่งขึ้นมา ชี้กระจก พูดมา เกิดอะไรขึ้น ถึงได้นอนตื่นสายอีกแล้ว หืม?! ยังมีหน้ามายิ้ม? ห้ามให้มีครั้งหน้านะ! หากยังนอนกินบ้านกินเมืองอีก ข้าคงต้องเลี้ยงแขกให้กินปลาผักดองแล้วนะ เจ้ากลัวหรือไม่?!
เฉินหลิงจวินยังคงวิ่งไปที่ตรอกฉีหลงทุกๆ สองวันสามวัน คอยไปคุยเล่นกับพี่ใหญ่เจี่ย หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเล็กพูดจาซ้ำเดิมกลับไปกลับมาอยู่บนโต๊ะสุรา แต่กลับไม่มีใครเบื่อ พอเจอกับเด็กๆ ในเมืองเล็กที่ ‘อายุพอๆ กัน’ บนทางคับแคบ เฉินหลิงจวินก็จะกระโดดเหยงๆ โยกซ้ายย้ายขวา กระโดดปล่อยหมัดขู่ให้คนกลัว
เจ้าใบ้น้อยอ่านหนังสือไปพร้อมกับเถ้าแก่สือโหรวได้หลายเล่มแล้ว เขาจึงตั้งใจไปที่เมืองหงจู๋มารอบหนึ่ง ตอนกลับก็แบกถุงผ้าป่านใบใหญ่ใส่ตำรากลับมาที่ร้านด้วย
เถ้าแก่สือโหรวจึงยิ้มถามว่าเจ้ามีเงินหรือ? เจ้าใบ้น้อยส่ายหน้า ตอบตามตรงว่าไม่มีเงิน
แล้วได้หนังสือมาอย่างไร?
ข้าไปหาเถ้าแก่คนนั้น บอกว่าพ่อครัวเฒ่าให้ข้ามาช่วยซื้อหนังสือให้ เดี๋ยวเขาจะเอาเงินมาจ่ายคราวหน้า
แบบนี้ก็ได้ด้วยหรือ?
เจ้าใบ้น้อยยิ้มกว้าง มีเรื่องอะไรข้ารับผิดชอบเอง หากไม่ได้จริงๆ ก็คืนกลับไป ถึงอย่างไรตัวอักษรบนหนังสือก็ไม่ได้ขาดหายไปแม้แต่ตัวเดี๋ยว
โอ้โห คนมีอาจารย์มักจะไม่เหมือนคนอื่นจริงๆ ด้วย กร่างนักนะ
ฮ่า
มีครั้งหนึ่งจูเหลี่ยนลงจากภูเขามาที่ตรอกฉีหลงเป็นเพื่อนเฉินหลิงจวิน เจ้าใบ้น้อยก็เอาหนังสือมาให้เขาสองสามเล่ม บอกว่าช่วยซื้อมาให้เจ้าพ่อครัวเฒ่า เอ่ยขอบคุณนั้นไม่ต้อง เพียงแต่อย่าลืมไปจ่ายเงินที่เมืองหงจู๋ด้วยล่ะ
จูเหลี่ยนดวงตาเป็นประกาย พลิกเปิดหน้าหนังสือดูสองสามทีแล้วกระแอม พูดบ่นว่า ‘ทั่วร่างผู้อาวุโสมีแต่ความเที่ยงธรรมซื่อตรง แต่เจ้ากลับช่วยข้าซื้อหนังสือแบบนี้มาเนี่ยนะ?’
เจ้าใบ้น้อยจึงยื่นมือออกมา ไม่เอาก็คืนข้ามา พ่อครัวเฒ่ากลับเก็บตำราพวกนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเรียบร้อยแล้ว
เฉินหลิงจวินทอดถอนใจ ตำหนิพ่อครัวเฒ่า บอกว่าตอนนั้นข้าก็บอกแล้วว่าไม่แนะนำให้เจ้าใบ้น้อยลงจากภูเขา มาทำงานอยู่ที่นี่ เพราะง่ายที่จะได้เรียนรู้อะไรแย่ๆ
ภูเขาใหญ่แสนลี้ ลูกศิษย์และหมาเฝ้าบ้านต่างก็ไม่อยู่ ตอนนี้จึงเหลือแค่เฒ่าตาบอดอยู่คนเดียว แขกที่มาในวันนี้คือคนชุดเขียว คนพิฆาตมังกร ทุกวันนี้ใช้นามแฝงว่าเฉินชิงหลิว
เฉินชิงหลิวยิ้มถาม “ได้ยินมาว่าผู้อาวุโสยอมแหกกฎรับลูกศิษย์เปิดภูเขาหรือ?”
เฒ่าตาบอดพยักหน้า
เฉินชิงหลิวยืนอยู่ริมหน้าผา อยู่ดีๆ ก็เอ่ยว่า “ข้ามาถึงช้ามาก ถึงได้เพิ่งรู้ว่าที่แท้ตกปลาห้อยไส้เดือนก็สามารถเผยปลายแหลมของตะขอได้”
เฒ่าตาบอดเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เลิกพูดจาเหลวไหลไร้สาระพวกนี้เสียที”
ฝูลู่อวี๋เสวียนที่ผสานมรรคากับธารดวงดาวลืมตาขึ้น จากนั้นก็มองเห็นคนหนุ่มที่พกถุงตรงเอวคนหนึ่ง ฝ่ายหลังใช้ท่าเท้าพายุเหยียบดาราอย่างสมชื่อ เดินก้าวมากลางอากาศว่างเปล่า ใช้ดวงดาวแต่ละแห่งเป็นท่าเรือ
สามภูเขาของดึกดำบรรพ์ดูแลเรื่องทำเนียบเป็นตาย ห้าขุนเขาของบรรพกาลมีหน้าที่โคจรห้าธาตุ
อวี๋เสวียนมองถุงที่ไม่สะดุดตาใบนั้นก็เกิดความสงสัย ด้านในสามารถบรรจุยันต์ไว้ได้กี่แผ่น หลายล้านแผ่น สิบล้านแผ่น?
วันนี้เฉินหลิงจวินอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ หลังจากคุยเล่นกับพี่ใหญ่เจี่ยเสร็จก็ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ในเมืองเล็กเพียงลำพัง สุดท้ายไปที่ตรอกหนีผิงของนายท่านบ้านตัวเองมารอบหนึ่ง ดูว่ามีโจรหรือไม่ จากนั้นก็ทะยานลมลอยตัวขึ้นมา เตรียมจะกลับไปที่ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ระหว่างนั้นบังเอิญก้มหน้าลงมองก็เห็นว่ามีคนแปลกหน้าสองสามคนมาเยือนเมืองเล็ก มองดูคล้ายผู้ฝึกตนอย่างมาก แต่เหมือนขอบเขตจะธรรมดา
เห็นเพียงว่าตรงริมลำคลองหลงซวีมีภิกษุวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่ริมน้ำ ด้านนอกโรงเรียนแห่งหนึ่งที่อยู่ในเมืองเล็กมีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งยืนอยู่นอกหน้าต่าง และยังมีนักพรตเด็กหนุ่มคนหนึ่งขี่วัวเดินเข้ามาจากทางประตูใหญ่ทิศตะวันออก
——