กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 850.4 หนึ่งนั้น
ทว่าบุรุษที่อยู่ตรงหน้ากลับอบอุ่นอ่อนโยน สุภาพมีมารยาทจริงๆ
แม้แต่โจวไห่จิ้งที่ช่างเลือกก็จำต้องยอมรับว่าเซียนกระบี่ท่านนี้โดดเด่นอย่างมาก
แต่ใจคนที่มีหนังหน้าท้องกั้น ด้านในเนื้อหนังมังสาที่สวยงาม สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะซ่อนน้ำเสียไว้เต็มท้องหรือไม่
โจวไห่จิ้งถาม “มีธุระจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “มีธุระจริงๆ”
โจวไห่จิ้งถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นก็เข้ามาคุยกัน ข้าเป็นสตรีโตเต็มวัยคนหนึ่ง หากเพื่อนบ้านใกล้เคียงเห็นเข้า คิดจะหาคนดีๆ มาแต่งงานด้วยก็ยากแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ยขอบคุณคำหนึ่งแล้วก้าวเท้าข้ามธรณีประตูเข้าไป บ้านใหญ่เพียงเท่านี้ นอกจากลานบ้านแล้วก็เป็นห้องหลักหนึ่งห้อง ห้องข้างสองห้อง ห้องหนึ่งในนั้นก็คือห้องครัว
บนโต๊ะวางอุปกรณ์ชงชาที่เป็นเครื่องกระเบื้องสีขาวฝีมือหยาบๆ ไว้ชุดหนึ่ง โจวไห่จิ้งยิ้มกล่าว “ได้แต่รับรองแขกไม่ดีพอแล้ว อย่าว่าแต่สุราดีอะไรเลย ใบชาก็ยังไม่มี เอาน้ำต้มสุกหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ข้าดื่มแค่น้ำเปล่าถ้วยเดียวก็พอ”
สำหรับเรือนพักเล็กๆ เช่นนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันมีความสนิทสนมตามธรรมชาติ เพราะเหมือนบ้านเกิดอย่างมาก
หลังจากเฉินผิงอันนั่งลงแล้วก็รับถ้วยน้ำมา ถามเข้าประเด็นโดยตรง “อาจารย์โจวเคยมีความขัดแย้งกับอวี๋หง ทั้งยังผูกปมแค้นที่ไม่เล็กต่อกันด้วยหรือ?”
หากเอาแต่อ้อมค้อมไปมา กลับจะทำให้คนกังขา
ในอดีตตอนที่อยู่สำนักศึกษาซานหยาของต้าสุย ชุยตงซานเคยถามคำถามสองข้อที่มองดูคล้ายไม่แตกต่างกัน หวังว่าอาจารย์ในนามอย่างเขาจะช่วยไขข้อข้องใจให้
หลายปีที่ผ่านมานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่อยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เฉินผิงอันใคร่ครวญถึงคำถามข้อนี้อยู่ตลอดเวลา แต่กลับยากที่จะให้คำตอบได้
สองคำถามที่ชุยตงซานทยอยถามก็คือ หากใช้วิธีการที่ผิดไปแสวงหาผลลัพธ์ที่ถูกต้อง ถูกหรือว่าไม่ถูก?
ถ้าอย่างนั้นหากใช้วิธีที่ผิดมาทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้องซึ่งหาได้ยากยิ่ง ผิด หรือว่าไม่ผิด?
คำถามสองข้อที่เส้นสายเชื่อมโยงกัน แน่นอนว่าอย่างหลังต้องตอบยากกว่าอย่างแรก
เฉินผิงอันหวังว่าการมาเยี่ยมเยือนวันนี้จะสามารถให้ ‘คำตอบครึ่งหนึ่ง’ ที่มาถึงอย่างเชื่องช้าแก่ลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้
อย่างมากสุดก็คงได้แค่คำตอบครึ่งเดียวแล้ว
คำว่าอาจารย์และลูกศิษย์ เฉินผิงอันจะสอนอะไรได้? ดูเหมือนว่าไม่ว่าอะไรก็สอนชุยตงซานไม่ได้แล้ว
เพียงแต่ว่านานวันเข้า เฉินผิงอันกลับคิดว่าตัวเองคืออาจารย์ของชุยตงซานจริงๆ แล้ว
โจวไห่จิ้งพลันหลุดหัวเราะพรืด วางถ้วยน้ำลง “เจ้าสำนักเฉินพูดเรื่องตลกแล้ว ข้ามีชาติกำเนิดจากชาวประมง คนบ้านนอกคนหนึ่งกับปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธอย่างผู้อาวุโสอวี๋ท่านนั้น ต่อให้จุดธูปขอพรพระทุกวันก็ยังไม่อาจปีนป่ายไปตีสนิทกับเขาได้แม้แต่ครึ่งเหรียญทองแดง”
นางเอ่ยต่ออีกว่า “อีกอย่างเจ้าสำนักเฉินก็อย่าเอาแต่เรียกข้าว่าอาจารย์โจวเลย ฟังแล้วแปร่งหูนัก เรียกชื่อข้าตรงๆ ได้เลย หรือจะเรียกว่าแม่นางโจวก็ได้ ถึงอย่างไรอายุของพวกเราสองคนก็ไม่น่าจะต่างกันมาก ถือเสียว่าเป็นคนรุ่นเดียวกันก็แล้วกัน”
เห็นว่าเซียนกระบี่หนุ่มไม่เอ่ยอะไร โจวไห่จิ้งก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เจ้าสำนักเฉินถามเรื่องนี้ทำไมหรือ? เป็นสหายกับผู้อาวุโสอวี๋? หรือว่าเป็นสหายของสหาย”
โจวไห่จิ้งคล้ายจะเข้าใจได้ในฉับพลัน พูดด้วยสีหน้าตกตะลึงว่า “หรือว่าเจ้าสำนักเฉินเคยเรียนหมัดมาจากอวี๋หง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่อก่อนไม่เคยแม้แต่จะได้ยินชื่ออวี๋หงมาก่อน”
โจวไห่จิ้งเอ่ยสัพยอก “แล้วท่านมาทำอะไรที่นี่ คงไม่ถึงขั้นเห็นความงามแล้วเกิดจิตคิดไม่ดีกระมัง? ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่เห็นว่าอาจารย์เฉินจะเหมือนคนประเภทนั้น ข้าได้ยินมาว่าเทพเซียนบนภูเขามองความงามของสตรีกับบุรุษล่างภูเขามองความงาม หนึ่งคือฟ้าหนึ่งคือดิน”
เฉินผิงอันเอ่ย “ครั้งนี้มาโดยไม่ได้รับเชิญ ละลาบละล้วงแวะมาเยือนเพราะมีเรื่องจะขอร้องที่ไม่สมเหตุสมผล หากแม่นางโจวไม่ยินดีจะตอบตกลง ข้าก็ไม่บังคับ แต่หากยินดีเล่าเรื่องในอดีต ก็จะถือว่าข้าติดค้างน้ำใจแม่นางโจวครั้งหนึ่ง วันหน้าหากมีเรื่องใดที่แม่นางโจวรู้สึกว่ายุ่งยาก ก็แค่ส่งกระบี่บินไปที่ภูเขาลั่วพั่ว เรียกเมื่อไหร่ข้าจะมาหาเมื่อนั้น แน่นอนว่าเงื่อนไขก็คือเรื่องที่แม่นางโจวให้ข้าทำต้องไม่ผิดต่อเจตจำนงเดิมของข้า”
“ฟังแล้วดูดี แต่ในความเป็นจริงล่ะ?”
โจวไห่จิ้งจุ๊ปาก “ข้าเกือบจะนึกว่าเวลานี้ไม่ได้อยู่ในบ้าน แต่ยังอยู่ในอารามเล็กของเต้าลู่เก๋อหลิ่งซะแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เข้าใจแล้ว ข้าดื่มน้ำถ้วยนี้หมดแล้วจะไปทันที จะไม่ทำให้แม่นางโจวลำบากใจ”
มองบุรุษชุดเขียวที่ถือถ้วยน้ำดื่ม โจวไห่จิ้งก็เอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฉินเป็นคนพิถีพิถันจริงๆ”
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “ทำไมถึงพูดเช่นนี้?”
โจวไห่จิ้งยิ้มพลางยกถ้วยขาวขึ้น “ไม่มีอะไร ขอใช้น้ำชาต่างเหล้าแล้วกัน”
เฉินผิงอันยกถ้วยขึ้นจิบน้ำหนึ่งอึก
โจวไห่จิ้งเห็นอยู่ในสายตา ใบหน้านางเต็มไปด้วยรอยยิ้มหวานหยด
ทั้งๆ ที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลชั้นสูง สามารถทำได้อย่างถูไถ ทั้งยังเป็นการ ‘ถูไถ’ ที่เป็นธรรมชาติมาก ไม่ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าขัดตา คาดว่านี่ก็คงเป็นคำว่าพิถีพิถันที่นางกล่าวถึงกระมัง
หลังจากที่โจวไห่จิ้งเรียนวิชาหมัดสำเร็จแล้วได้ออกเดินทางท่องไปหลายแคว้น คนจากตระกูลผู้มีชื่อเสียง ตระกูลชนชั้นสูงในท้องถิ่น นางก็เคยได้เจอมาบ้าง พวกหมอนปักลายบุปผามีเยอะมาก พวกที่แสร้งวางมาดภูมิฐานก็มีไม่น้อย พวกคนที่ในท้องมีบทประพันธ์มีความรู้ความสามารถก็มีเหมือนกัน เพียงแต่ว่ามีไม่มาก
เพียงแต่ว่าคนตรงหน้าผู้นี้ ด้านล่างชุดกว้าตัวยาวสีเขียว รองเท้าผ้าที่ไม่แตะฝุ่นแม้สักเสี้ยวคู่นั้น ได้เปิดเผยความลับของเขา
อยู่ในสถานที่ยากจนที่มีเล้าหมูข้างทางและบนพื้นดินก็เต็มไปด้วยขี้ไก่ขี้หมาแห่งนี้ ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่ผู้ซึ่งไปมาดุจสายลม เท้าไม่สัมผัสพื้น
คนเหล่านี้ ในใจบ้างก็ดูแคลน ความดูหมิ่นในใจ อันที่จริงยากที่จะปิดบังเอาไว้ได้ ในสายตาของโจวไห่จิ้งยังไม่อาจเทียบกับพวกคนที่สีหน้าแสดงให้เห็นว่าใช้ตาสุนัขมองคนต่ำด้วยซ้ำ
เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่อยู่สูงส่งเหนือใครพวกนี้ สถานที่ฝึกตนในภูเขา สถานที่ที่พำนักอาศัย มีใครบ้างที่ไม่ได้อยู่บนเมฆขาวดื่มน้ำค้างกินแสงอรุโณทัย
โจวไห่จิ้งพลันถามคำถามหนึ่ง “หากให้เจ้าสำนักเฉินเลือก จะยินดีดื่มน้ำเปล่า แต่ไม่ยินดีดื่มชารสหยาบหรือไม่”
เฉินผิงอันกล่าว “บอกตามตรง ข้ายังไงก็ได้”
โจวไห่จิ้งใช้นิ้วเคาะถ้วยขาวเบาๆ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “จริงหรือ?”
แล้วก็มีคนพิถีพิถันบางคนที่ใช้ชีวิตยากจนซึ่งแร้นแค้นอย่างถึงที่สุดมาจนเคยชินแล้ว ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง ชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น บอกว่าทนอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ยากลำบากได้ และยังยอมอุทิศตัวเองเพื่อศีลธรรม มีเพียงอย่างเดียวคือไม่อาจทนรับความยากจนที่เหมือนกับมีดทื่อแล่เนื้อซึ่งต้องคอยรบรากับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน พอจะมีเงินอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ดันซื้ออะไรไม่ได้เลยสักอย่าง
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เรื่องแบบนี้จะมีอะไรให้น่าหลอกแม่นางโจวเล่า”
ดื่มน้ำไปแล้วถ้วยหนึ่ง เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเตรียมจะขอตัวลา
โจวไห่จิ้งถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าสำนักเฉินจะยังไม่ยอมแพ้ ท่านจากไปครั้งนี้ กลับทำให้ข้ากระวนกระวายใจมากกว่าเดิม ดังนั้นไม่สู้พูดมาตรงๆ มีอะไรก็คุยกันอย่างเปิดเผย ไม่แน่ว่าข้าอาจเปลี่ยนใจ แต่พูดจบแล้ว พวกเราก็สามารถเป็นน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลองกันจริงๆ ได้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดตรงๆ สักสองสามประโยค ไม่อ้อมค้อมกับแม่นางโจวแล้ว”
โจวไห่จิ้งคลี่ยิ้มหวาน “เดินท่องในยุทธภพอย่างเดียวดาย มองความเป็นความตายอย่างเฉยชา ไม่อาจถือสาเรื่องอะไรมากเกินไปนัก อันที่จริงเจ้าสำนักเฉินไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ ยิ่งมีมารยาทเกรงใจกัน กลับยิ่งทำให้ข้ากังวลว่าจะเป็นพังพอนมาอวยพรวันปีใหม่ (ประโยคเต็มมาจากสำนวนพังพอนมาอวยพรวันปีใหม่ต่อไก่ย่อมไม่หวังดี) เสียมากกว่า”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แม้จะไม่รู้ว่าพวกเก๋อหลิ่ง ซ่งซวี่พูดคุยกับแม่นางโจวอย่างไร แต่ข้าสามารถมั่นใจได้ว่า สุดท้ายแม่นางโจวจะต้องรับปากเข้าร่วมสายแผนภูมิดินของต้าหลีอย่างแน่นอน เพราะต้องการยันต์คุ้มกันกายหนึ่งแผ่น รู้สึกว่าสังหารอวี๋หงคนหนึ่งยังไม่พอ แค้นใหญ่ยังไม่ถือว่าได้รับการชำระ”
“การถามหมัดที่เวทีประลองของศาลเทพอัคคีก่อนหน้านี้ แม่นางโจวแสดงการอ่อนข้อได้อย่างเหมาะสม ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าทั่วไปมองไม่ออก แต่ข้ากลับพอจะมองเบาะแสออกอยู่บ้าง”
“อีกทั้งบนร่างของแม่นางโจวยังมีเพียงถุงหอมใบเดียวที่เป็นของของตัวเอง เพราะถ้าข้าจำไม่ผิด ตามขนบประเพณีของชาวประมงริมทะเลบ้านเกิดของแม่นางโจว เมื่อสตรีคนหนึ่งพกถุงหอมผ้าแพร ‘ช่วงเวลาบุปผาผลิบาน’ ปักลายนกนางแอ่นก็คือสิ่งที่สตรีแสดงให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองคือภรรยาของผู้อื่นแล้ว”
“เชื่อว่าแม่นางโจวก็ต้องมองออกว่า ข้าเองก็เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้ชัดเจนดีว่าสตรีผู้หนึ่ง หากคิดจะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าภายในอายุห้าสิบปี ต่อให้คุณสมบัติจะดีเยี่ยมแค่ไหน แต่อย่างน้อยที่สุดตอนที่อายุยังน้อยก็ต้องมีวิชาหมัดขั้นพื้นฐานบทถึงสองบท หลังจากนั้นบนเส้นทางการเรียนวรยุทธก็ยังต้องเจอกับคนป้อนหมัดสอนหมัดให้อีกคนสองคน เพื่อช่วยถ่ายทอดสัจธรรมแห่งหมัดให้ หากไม่เรียนที่บ้านก็ต้องมีอาจารย์เป็นผู้ถ่ายทอด
แม่นางโจวไม่เหมือนกันเย่อวิ๋นอวิ๋นของใบถงทวีป เจ้ามีชาติกำเนิดจากชาวประมง ในเมื่อแม่นางโจวไม่ได้เดินทางอ้อม อีกทั้งยังปูพื้นฐานของขอบเขตเก้ามาได้เป็นอย่างดี มีหวังจะเลื่อนเป็นขอบเขตปลายทางมากกว่าอวี๋หงอยู่มาก แน่นอนว่าต้องเคยเดินผ่านเส้นทางที่ได้รับการถ่ายทอดจากอาจารย์มาครึ่งทาง”
“มีอนาคตบนวิถีวรยุทธที่ดีขนาดนี้ แต่กลับยอมแลกชีวิตกับอวี๋หงอย่างไม่เสียดาย ถึงขั้นที่ว่าอาจมีความต้องการมากกว่านั้น เมื่อมาถึงเมืองหลวง แม่นางโจวทำทุกเรื่องอย่างรอบคอบระมัดระวัง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในตรอก ก่อนที่จะพบกับพวกเก๋อเต้าลู่ แม่นางโจวที่อยู่ในห้องโดยสารรถม้าก็ยิ่งถึงกับกระตุ้นปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธให้ทำร้ายอวัยวะภายในอย่างไม่เสียดาย เพื่อที่จะแสร้งกระอักเลือด”
โจวไห่จิ้งเอาแต่ทำสีหน้าประมาณว่าไม่ว่าเจ้าจะพูดอะไรข้าล้วนฟังไม่เข้าใจ เหมือนคนกำลังฟังนักเล่านิทานคนหนึ่งพูดเรื่องเหลวไหล
เฉินผิงอันกล่าว “ข้าไม่มีทางเข้าไปข้องเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นระหว่างแม่นางโจวกับอวี๋หง ก็แค่อยากจะรู้ว่าในอดีตเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
โจวไห่จิ้งหมุนถ้วยขาวเบาๆ “เรื่องเล็กน้อย ความทุกข์บางอย่างก็ไม่ควรเอามาระบายกับคนนอก”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ในเมื่อแม่นางโจวชอบทำการค้า แล้วก็เชี่ยวชาญในด้านค้าขาย เข้าใจวิถีแห่งการทำธุรกิจ ทำให้ข้าต้องทอดถอนใจด้วยความชื่นชม ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเปลี่ยนวิธีพูดใหม่ก็แล้วกัน”
“สายแผนภูมิดินของต้าหลีอยู่ในการดูแลของข้าชั่วคราว”
“ขอแค่แม่นางโจวเป็นฝ่ายมีเหตุผล ความแค้นที่มีต่ออวี๋หง พวกเจ้ายังคงต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเองเหมือนเดิม แต่ข้าสามารถรับรองได้ว่านอกจากสายแผนภูมิดินแล้ว ยังมีกรมพิธีการและกรมอาญาอีกสองกรมที่จะไม่มาสนใจเรื่องนี้”
หากบอกว่าก่อนหน้านี้โจวไห่จิ้งเหมือนฟังเรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน เวลานี้ได้ยินเซียนกระบี่เฉินพูดจาวางโตอย่างไม่ละอาย ก็ยิ่งเหมือนฟังตำราสวรรค์แล้ว
เจ้าหมอนี่คิดว่าตัวเองแซ่ซ่งหรือไร!
หรือเห็นว่าตัวเองคือราชครูชุยฉาน?
ยังจะบอกว่าสายแผนภูมิดินมีเจ้าเป็นผู้ดูแลชั่วคราว ทุกวันนี้ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลต่างก็รู้เรื่องหนึ่ง ก็เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปพวกเรานี่แหละที่มิอาจเงยหน้าได้มากที่สุดยามอยู่กับราชวงศ์ล่างภูเขา
โจวไห่จิ้งกลั้นขำ โบกมือ ถึงกับเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่ “อาจารย์เฉิน พวกเราสองคนคุยกันไม่รู้เรื่องแล้วจริงๆ สุดท้ายนี้ข้าขอถามคำถามหนึ่งได้หรือไม่ เจ้าท่านคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตอะไร?”
แม้โจวไห่จิ้งจะรู้ว่าเซียนกระบี่ชุดเขียวตรงหน้าผู้นี้คืออาจารย์ของเผยเฉียน เพียงแต่บนวิถีวรยุทธ สถานการณ์ที่ครามเกิดจากต้นครามแต่กลับสีเข้มกว่าคราม ลูกศิษย์ได้ดิบได้ดียิ่งกว่าอาจารย์กลับมีถมเถไป อาจารย์พาเข้าสำนักฝึกตนอยู่ที่ตัวเอง ก็เหมือนอาจารย์ของอวี๋หงที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ทว่าอยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆกลับไม่สะดุดตาเลยสักนิด
ส่วนตัวนางเองก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น คนที่สอนหมัดให้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่งเท่านั้น แน่นอนว่าเวลานั้นนางอายุยังน้อย จึงเทิดทูนบูชาเขาดั่งเทพเจ้า
ในสายตา ในใจ บนใบหน้า บนหว่างคิ้ว ล้วนมีแต่เขา ไม่ว่าจะดื่มน้ำ ดื่มเหล้า กินข้าวหรือก้าวเดิน ล้วนคิดถึงเขา
มีเพียงยามที่ฝึกหมัดอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้นที่ถึงจะลืมไปชั่วขณะ
เฉินผิงอันเอ่ย “ขอบเขตต่างจากแม่นางโจวไม่มากนัก”
ไม่รอให้โจวไห่จิ้งขับไล่คน เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว กุมหมัดเอ่ยว่า “รับรองว่าวันหน้าจะไม่มารบกวนแม่นางโจวอีก”
โจวไห่จิ้งลุกขึ้นยิ้มเอ่ย “แบบนั้นก็ดีเลย แต่จะว่าไปแล้ว ข้าไม่เชื่อจริงๆ ว่าอาจารย์ของคนที่ใช้ฉายาว่า ‘เจิ้งชิงหมิง’ จะเป็นคนชั่วร้ายเลวทรามอะไร ดังนั้นการพูดคุยกันในวันนี้ หากมีจุดใดที่ข้าล่วงเกิน อาจารย์เฉินโปรดใจกว้างสักหน่อย อภัยให้กันหน่อย ถึงอย่างไรวันหน้าพวกเราก็คงไม่ได้พบเจอกันอีกแล้ว จะด่าว่าโจวไห่จิ้งไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นอยู่ในใจหรือบนปาก ก็ยังไม่เป็นปัญหา”
นางสังเกตเห็นว่าพอบุรุษคนนั้นได้ยินประโยคนี้ ดูเหมือนจะอารมณ์ดีอย่างมาก
ดูท่าเฉินผิงอันจะภูมิใจในตัวเผยเฉียนผู้เป็นลูกศิษย์มากจริงๆ
เด็กหนุ่มจากตลาดสองคนที่อยู่หน้าประตูยังไม่ได้จากไปไหน
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ตะโกนขึ้นว่า “ท่านน้าโจว หากคนผู้นั้นกล้ามือไม้อยู่ไม่สุขก็ตะโกนขึ้นมาได้เลย ข้ากับว่านเหยียนจะจัดการให้ทันทีเลย”
โจวไห่จิ้งหันหน้ามาเอ่ยอย่างเดือดดาล “น้าอะไรกัน เรียกพี่สาว!”
เด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่หัวเราะหึหึ “ขอแค่น้าโจวไม่โกรธ อย่าว่าแต่เรียกพี่สาวเลย ให้เรียกกูไหน่ไนหรือเรียกน้องสาวก็ยังได้!”
เด็กหนุ่มหน้าตาหมดจดนามว่าว่านเหยียนยิ้มกว้าง
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางปากตรอก ไม่รู้ว่าพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต ด้านในอำเภอเล็กๆ แห่งนั้น อาจารย์จ้งราชครูแคว้นหนันเยวี่ยนในอนาคตและอวี๋เจินอี้ที่ได้เดินขึ้นเขาฝึกตนเป็นคนแรก ตอนที่คนทั้งสองยังเป็นเด็กหนุ่มจะเคยมีท่าทีเกียจคร้านไม่ยี่หระสิ่งใดแบบนี้หรือไม่
โจวไห่จิ้งเหลือบมองคิ้วตา สีหน้าของบุรุษคนนั้นแล้วนางก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
เจ้าตัวดี ตบะไม่ตื้นเขินเอาเสียเลย หากเหล่าเหนียงมองนานกว่านี้หน่อย ไม่แน่ว่าอาจติดกับก็เป็นได้
ตอนนี้นางเสียใจภายหลังแล้วที่ไม่แยแสข่าวคราวบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปมากเกินไป หากไม่เป็นเพราะคำเตือนของซูหลาง นางก็ไม่กล้าเชื่อจริงๆ ว่าคนที่เบี่ยงตัวหลีกทางให้ในตรอกเล็กคนนั้นก็คือเซียนกระบี่หนุ่มที่มีหน้ามีตามากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปทุกวันนี้
เพราะทุกครั้งที่โจวไห่จิ้งคิดถึงค่าใช้จ่ายในการชมบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำพวกนั้นก็ทำให้นางอกสั่นขวัญผวาได้แล้วจริงๆ
——