กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 850.6 หนึ่งนั้น
คือตลับเครื่องประทินโฉมที่เก็บทะนุถนอมไว้เป็นอย่างดีตลับนั้น ราวกับว่าจิงชี่เสินทั้งหมดในชีวิตนี้ของเขา ความหวังอันงดงามทั้งหมดที่มีต่อชีวิตนี้ ล้วนถูกเก็บซ่อนอยู่ข้างในนั้นหมดแล้ว
แต่ตอนนั้นเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนธรณีประตูกลับส่ายหน้า เอ่ยว่า ‘ไม่เอา’
‘ไม่สกปรกหรอกนะ’
‘ไม่ได้รังเกียจว่าจะสกปรก ก็แค่ไม่ชอบ ข้าเอาไปแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เอาไปขายแลกเงินก็ไม่ได้’
‘รับไว้เถอะ ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ ข้าคิดดีแล้ว วันหน้าจะไม่ต้องถูกคนด่าว่าเหมือนผู้หญิงอีกแล้ว หากไม่มีคนช่วยเก็บรักษาผงชาดตลับนี้แทนข้า ข้าก็คงอดไม่ไหวอยากจะมองมันอีก พอมองทีหนึ่งก็อยากจะมองหลายๆ ที พอมองหลายๆ ทีก็อดไม่ไหวอยากจะเอามาทา แล้วก็เริ่มนึกถึงเงินเดือนของเดือนนี้ ถึงเวลานั้นคงต้องถูกคนด่าว่าเป็นชายใจหญิงอีก’
แต่ท้ายที่สุดแล้วเด็กหนุ่มก็ไม่ได้รับผงประทินโฉมตลับนั้นเอาไว้
ดังนั้นคืนนั้นบุรุษถึงได้แอบกลับไปที่ตรอกหนีผิงของเมืองเล็ก ปีนกำแพงบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอันเข้าไป
ทว่าสุดท้ายแล้วชายใจหญิงก็ยังไม่ได้ทำตามความตั้งใจเดิมด้วยการขุดดินฝังตลับเครื่องประทินโฉมชิ้นนั้นลงไป แต่ปีนกำแพงกลับออกมาอีกครั้ง เอาไปซ่อนไว้ในตรอกเล็กใกล้กับเรือนหลังนั้น ไม่ได้ฝังไว้ตรงข้ามกับบ้าน
ความคิดและเหตุผลของชายใจหญิงผู้นั้นเรียบง่ายยิ่ง กลัวว่าจะทำให้สถานที่ที่สะอาดต้องสกปรก
เดินไปถึงหน้าตรอก บุรุษจูงมือของเด็กหญิง หันหน้ากลับไปมองด้วยน้ำตานองเต็มใบหน้า หลับตาลง พึมพำอยู่ในใจ
หวังเพียงว่าสวรรค์จะลืมตา ไม่ต้องมองตน แค่มองเฉินผิงอันก็พอแล้ว คุ้มครองให้คนดีได้รับสิ่งที่ดีตอบแทน
……
ฟังคำพูดของเด็กหนุ่มขี่วัว เฉินหลิงจวินอึ้งตะลึง ชื่ออะไรแล้วนะ ฟังไม่เข้าใจจริงๆ จึงได้แต่ถามว่า “สหายมาหาใครนะ ช่วยพูดอีกรอบได้หรือไม่ ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว ข้าสามารถนำทางให้สหายได้นะ ตรอกเล็กถนนใหญ่ของอำเภอไหวหวงแห่งนี้ ข้าหลับตาเดินก็ยังได้”
คนที่นักพรตต่างถิ่นผู้นี้ต้องการตามหา ชื่อประหลาดยิ่งนัก ถึงกับไม่เคยได้ยินมาก่อน
นักพรตเด็กหนุ่มกลับยิ้มเอ่ยว่า “ข้าไปหาเองก็ได้ ฝึกตนเพื่อตื่นรู้ เป็นที่ตั้งแห่งความสุข”
เฉินหลิงจวินเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ใช้เสียงในใจสอบถามวัวดำเพื่อหยั่งเชิงก่อน “สหายท่านนี้เข้าใจคำพูดของข้าหรือไม่? ถ้าฟังเข้าใจก็พยักหน้าหน่อยนะ”
เพราะถึงอย่างไรก่อนหน้านี้นักพรตเด็กหนุ่มก็เรียกอีกฝ่ายว่า ‘สหาย’ ไม่แน่ว่าอาจเป็นภูตที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ แบบนั้นก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกันหรอกหรือ?
เห็นว่าวัวดำไม่สะทกสะท้าน เฉินหลิงจวินก็วางใจได้อย่างเต็มที่ ที่แท้ก็เป็นผู้เยาว์ที่สติปัญญายังไม่เปิดออก ฮ่าๆ ดีดพิณให้วัวฟัง ดีดพิณให้วัวฟังจริงๆ
นี่แสดงให้เห็นว่ามรรคกถาของเด็กหนุ่มที่ขี่อยู่บนหลังวัวคนนี้ต้องไม่มีทางสูงไปอย่างไรแน่
ไม่อย่างนั้นพาหนะตระกูลเซียนบนยอดเขา หากไม่มีตบะห้าขอบเขตกลางและวิชาอภินิหารในการหล่อหลอม เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลก็กล้าพาออกจากบ้านด้วยหรือ?
แล้วถึงได้เอ่ยเตือนนักพรตเด็กหนุ่ม “สหายผู้ผ่านทางมา พาหนะของเจ้าคงไม่วิ่งสะเปะสะปะหรอกกระมัง? ไปชนคนเดินเข้าจะไม่ดีเอานะ ชดใช้ด้วยเงินยังเป็นเรื่องเล็ก แต่อาจยังต้องถูกลงโทษหรือถูกจับเข้าคุกเอาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนเข้ากับชาวบ้านในเมืองเล็ก นี่ก็ใกล้จะฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ชาวบ้านที่อยู่ในอำเภอไม่ได้ย้ายไปไหน อีกเดี๋ยวต้องทำงานกันยุ่งอย่างมากแล้ว ต่อให้รับเงินมา แต่หากถ่วงเวลาการเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงของพวกชาวบ้าน ก็อาจต้องโดนซ้อมให้เจ็บเนื้อเจ็บตัว ถึงอย่างไรก็ไม่ดีแน่”
นักพรตเด็กหนุ่มยิ้มเอ่ย “ก่อนหน้านี้สหายไม่ได้บอกว่าตลอดทั้งอาณาเขตของขุนเขาเหนือแห่งนี้ ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังมากหรอกหรือ?”
เฉินหลิงจวินกลอกตาพูด “ต่อให้อยากช่วยสหาย มีคุณธรรมน้ำมิตรมากแค่ไหน พวกเราก็ไม่อาจทำตัวเหลวไหลได้นะ ถึงอย่างไรก็ต้องมีเหตุผลบ้าง หากไปชนคนเข้าจริงๆ ก็เป็นพวกเราที่ไร้เหตุผล อีกฝ่ายยินดีรับเงิน เจ้าไม่มีเงิน ข้าย่อมควักเงินจ่ายให้ได้ ไม่พูดถึงยืมไม่ยืมคืนไม่คืนอะไรนั่น แต่หากคนเขาคิดจะลากเจ้าไปอธิบายเหตุผลที่ที่ว่าการอำเภอ ข้ายังจะทำอย่างไรได้อีก นายอำเภอไม่ใช่ลูกชายข้าเสียหน่อยที่ข้าพูดอะไรแล้วเขาจะต้องฟัง”
นักพรตเด็กหนุ่มพยักหน้า เอ่ยเนิบช้า “มีเหตุผล”
แค่สามคำ แต่นักพรตน้อยกลับจงใจพูดอย่างเชื่องช้า มี เหตุ ผล
เฉินหลิงจวินฟังด้วยความปวดหัว ส่ายหน้าถอนหายใจ สหายท่านนี้ไม่ค่อยซื่อสัตย์เลย ตบะก็ไม่พอ พูดจากวนโอ้ยนัก
นักพรตน้อยพลิกตัวลงมาจากหลังวัวดำ ถามว่า “เจ้าเคยมีเรื่องกับเจ้าลัทธิลู่หรือ?”
เฉินหลิงจวินหัวเราะหึหึ “ข้าจะมีเรื่องอะไรกับเขาได้ เทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่ไกลสุดขอบฟ้าขนาดนั้น ขอบเขตสูงเท่าภูเขาเจินจูเช่นนั้น มรรคกถาก็ยาวเหมือนลำคลองหลงซวี ข้าเป็นแค่พลทหารเล็กๆ ไร้ชื่อไร้นามแขนขาเล็กบาง ปีนป่ายไปตีสนิทเขาไม่ไหวหรอก”
เด็กหนุ่มยิ้มถาม “เคยรู้โฉมหน้าดั้งเดิมของตัวเองหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินลังเลเล็กน้อย ก่อนส่ายหน้าเอ่ยว่า “ฟ้าให้กำเนิดแผ่นดินให้การเลี้ยงดู ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ยังจะพูดถึงดั้งเดิมไม่ดั้งเดิมอะไร”
เด็กหนุ่มยืนอยู่ที่เดิม เอ่ยว่า “คำกล่าวที่ว่าสหายนี้ค่อนข้างน่าสนใจ ตรงไปตรงมา ตรงไปยังนิสัยใจคอ”
เฉินหลิงจวินอารมณ์ดีโดยพลัน “ฮ่า สหายเจ้าเป็นนักพรตที่พเนจรมา ไยถึงพูดภาษาของลัทธิพุทธเล่า ไม่กังวลว่าบรรพจารย์บ้านตัวเองจะกล่าวโทษเอาหรือ? สหาย เป็นคนต้องจริงใจนะ ต่อให้บรรพจารย์ไม่ได้ยินก็ต้องระวังไว้หน่อย”
เด็กหนุ่มยิ้มรับ ก่อนถามอีกว่า “นายท่านของเจ้าไม่ช่วยเจ้าตรวจสอบ สืบหาบรรพบุรุษของเจ้าบ้างหรือ? สำหรับเรื่องนี้ ชาวบ้านทั่วไปยังมีทำเนียบวงศ์ตระกูล นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ฝึกตนอย่างสหายเลย ต่อให้แค่จุดธูปไม่กี่ดอก เผากระดาษไม่กี่แผ่นริมทาง ถือว่าเป็นการกราบไหว้บรรพบุรุษอยู่ไกลๆ ก็ยังดี”
เฉินหลิงจวินอดไม่ไหวที่จะเอ่ยถ้อยคำที่ควักออกมาจากหัวใจ “แรกเริ่มข้าก็คร้านจะพูด นับตั้งแต่ตัวเองจำความได้ก็ไม่มีพ่อไม่มีแม่แล้ว แค่ชินไปก็ดีเอง ไม่ถึงขั้นเสียใจอะไร ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่มีค่าพอให้พูดถึง หากหยิบยกมาพูดบ่อยๆ หวังให้คนสงสารก็ดูไม่ค่อยสมกับเป็นวีรบุรุษสักเท่าไร นายท่านของข้าเองก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องในอดีตของข้า เห็นว่าข้าไม่พูดก็ไม่เคยถาม เขาแค่แน่ใจในเรื่องหนึ่ง พาข้ากลับบ้านก็ต้องรับผิดชอบข้า…อันที่จริงก็ยังดี พอขึ้นเขามานายท่านก็มักจะออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นประจำ กลับมาถึงบ้านก็ไม่ค่อยสนใจข้าเท่าไร ยิ่งเป็นอย่างนี้ ข้าก็ยิ่งรู้ความมากขึ้นเท่านั้น”
“เจ้าคิดว่าขุนเขาสายน้ำแอบอิงที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าคือภาพเหตุการณ์แบบใด?”
“คิดเรื่องพวกนี้ไปไย มีประโยชน์ตรงไหน สหาย เจ้าก็ลองพูดให้ข้าฟังบ้างสิ?”
“เก้าทวีปของไพศาลเหมือนภูเขาเก้าลูกที่ลอยพ้นผิวน้ำ หรือว่าเป็นแค่ภูเขาลูกหนึ่ง เพียงแต่ถูกสี่มหาสมุทรโอบล้อม?”
เฉินหลิงจวินได้ยินแล้วก็พยักหน้า เหมือนจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ เสียด้วย เขาจึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “คำกล่าวนี้ของสหายก็มีความรู้อยู่เหมือนกันนะ”
เฉินหลิงจวินเขย่งปลายเท้า ลอบตบเขาวัวข้างหนึ่ง “ที่บ้านข้ามีภูเขาอยู่ลูกหนึ่ง สี่ฤดูกาลเหมือนฤดูใบไม้ผลิ ทั่วภูเขาเต็มไปด้วยบุปผาพืชพรรณแปลกตา ทุ่งหญ้าเขียวรสชาติหวานชุ่มคอก็กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา มีหญ้าเยอะมากพอเลยล่ะ”
วัวดำขยับหัวเล็กน้อย คล้ายกับเหลือบมองเด็กชายชุดเขียว
เฉินหลิงจวินพยักหน้า เอ่ยปลอบใจว่า “พอได้ยินเรื่องกินก็เข้าใจเลยนะ เป็นเรื่องดี ไม่แน่ว่าวันหน้าอาจจะฝึกเวทคาถาตระกูลเซียนได้จริงๆ”
นักพรตเด็กหนุ่มหัวเราะ ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ตบหลังวัวดำ บอกเป็นนัยว่าให้เก็บอารมณ์เสียหน่อย
ครั้งนี้เดินทางมาเยือนเมืองเล็กแห่งนี้ เขาต้องการสืบเสาะไปถึงต้นกำเนิด อยากรู้ว่าอะไรคือหนึ่งกันแน่
ภิกษุที่เดินจากริมลำคลองไปยังเตาเผามังกรแห่งหนึ่งก็อยากรู้ว่าเหตุใดหนึ่งนั้นถึงได้กลายเป็นหนึ่ง
ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าที่อยู่นอกโรงเรียนกลับอยากรู้ว่าหนึ่งนี้จะไปที่ไหน
ชิงถงเทียนจวินที่กักพื้นที่เป็นกรงขังมานานหมื่นกว่าปีตัวดี ถึงกับยอมใช้หร่วนซิ่วเทพอัคคีและหลี่หลิ่วเทพวารีเป็นเวทอำพรางตาที่สามารถสละทิ้งได้ สุดท้ายค่อยๆ วางแผนเดินไปทีละก้าว ร้อยเรียงเชื่อมโยงเป็นขั้นเป็นตอน ปิดแผ่นฟ้าข้ามมหาสมุทร ถึงกับกล้าทำให้ผู้ครองสรวงสวรรค์เก่าที่มีโฉมหน้าใหม่เอี่ยม ซึ่งเดิมทีไม่ได้มีความเกี่ยวข้องบนมหามรรคาแม้แต่น้อยกลายไปเป็นหนึ่งนั้น แล้วกลับมาเผยกายบนโลกมนุษย์อีกครั้งได้จริงๆ
เฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง เด็กหนุ่มที่เติบใหญ่มาได้ด้วยการอาศัยข้าวจากเพื่อนบ้านใกล้เคียง หากหลังจากนี้ไม่มีเรื่องไม่คาดฝันล่ะก็ สุดท้ายมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเขาจะกลายเป็นหนึ่งนั้นแล้ว
แรกเริ่มเดิมทีต้องไม่ได้เป็นแบบนี้แน่นอน
ก็เหมือนกับว่าหยางเหล่าโถวได้สลายหนึ่งนั้นไปกับมือตัวเอง จากนั้นปล่อยให้ทุกคนในเวลาหกสิบปีของเมืองเล็กไปช่วงชิงหนึ่งนั้นกันเอาเอง ทุกคนล้วนมีคุณสมบัติที่จะช่วงชิงสิ่งนี้ ต่อให้เป็นเทพที่มาจุติอย่างหร่วนซิ่วและหลี่หลิ่วก็มีโอกาสเช่นเดียวกัน ทุกคนที่ชะตาดี ชะตาสั้น ชะตาแข็ง ไม่ว่าใครก็มีโอกาส ทุกคนล้วนมีส่วนแบ่ง
หร่วนซิ่ว หลี่หลิ่ว หลี่ซีเซิ่ง หลี่เป่าผิง บุรุษใจหญิงคนงานเตาเผา หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิง มังกรที่แท้จริงจื้อกุย หลี่ไหว หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน จ้าวเหยา หลินโส่วอี ซูเตี้ยน เซี่ยหลิง…
ทุกคนล้วนเข้ามาอยู่ในสถานการณ์นี้อย่างเงียบเชียบ โดยที่ไม่รู้ตัว
บวกกับที่เดิมทีถ้ำสวรรค์หลีจูก็มีเส้นสายมากมายที่ตัดสลับซับซ้อนอยู่แล้ว
แล้วก็เพราะเหตุนี้ ความลับสวรรค์ถึงไม่ปรากฏชัด ไม่มีร่องรอยให้ตามหา แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนแรกก็มีฉีจิ้งชุน จากนั้นก็เป็นชุยฉาน…
เฉินหลิงจวินมองนักพรตเด็กหนุ่มแล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น เหม่อหรือ? แล้วยังจะเกรงใจไม่ให้ข้าช่วยนำทาง จะมัวมีมารยาทอยู่ทำไม พูดมาเถอะ จะไปไหน”
มรรคาจารย์เต๋ายิ้มเอ่ย “นายท่านของเจ้าคนนั้นร้ายกาจมาก หากมีโอกาสจะต้องไปพบเขาสักหน่อย”
เฉินหลิงจวินตบไหล่ของนักพรตเด็กหนุ่ม จากนั้นก็พูดด้วยสีหน้าลำพองใจ เท้าเอวหัวเราะร่า “สหายพูดจาเหลวไหลแล้วหรือไร?”
อาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งใบหน้าประดับยิ้มเดินมาอยู่ข้างกายเด็กชายชุดเขียว ตบหัวของเฉินหลิงจวิน ยิ้มเอ่ยว่า “พูดคุยกับมรรคาจารย์เต๋าแบบนี้ได้อย่างไร ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่”
เฉินหลิงจวินปัดมือของอาจารย์ผู้เฒ่าทิ้ง คิดแล้วก็รู้สึกว่าช่างเถิด ล้วนเป็นบัณฑิตเหมือนกัน ไม่ถือสาเจ้าแล้ว เพียงแค่ยิ้มมองนักพรตเด็กหนุ่ม “สหายเจ้าก็ช่างกระไรเลย ตั้งชื่อยิ่งใหญ่เกินไปแล้ว ออกเสียงคล้ายกับ ‘มรรคาจารย์เต๋า’ เสียได้ ต้องเปลี่ยนแล้วนะ มีโอกาสแล้วต้องเปลี่ยน”
นักพรตเด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “มรรคาจารย์เต๋าไม่ใช่ชื่อเสียหน่อย เป็นแค่ฉายาที่คนอื่นตั้งให้ ข้าว่าคงไม่ต้องเปลี่ยนหรอก”
ภิกษุวัยกลางคนก็ปรากฏตัวบนถนนด้วยอีกคน
เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้งไปทันที มองไปยังภิกษุที่อยู่ห่างไปไกลแล้วค่อยเงยหน้ามองอาจารย์ผู้เฒ่าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มปราณีข้างกาย สุดท้ายมองนักพรตเด็กหนุ่มคนนั้น เฉินหลิงจวินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งทีแล้วกระโจนตุ้บลงไปคุกเข่า ยกสองมือพนม ชูขึ้นสูง ไม่พูดไม่จาสักคำ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีมารยาทอะไรจริงๆ แต่เป็นเพราะสามคนนี้ควรจะเรียกคนไหนก่อนจึงจะถูกต้อง? ราวกับว่าเรียกใครก่อนก็ไม่ถูกทั้งนั้น ไม่สนแล้ว โขกหัวเก้าทีเป็นการแสดงความเคารพก่อนก็แล้วกัน ถือว่าโขกหัวให้พวกเขาคนละสามที ถึงอย่างไรบรรพจารย์สามลัทธิอย่างพวกท่านก็คงไม่ถือสาเรื่องเล็กน้อยพวกนี้แล้ว
อาจารย์ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง เอ่ยว่า “ข้าว่านะ เรื่องมาถึงขั้นนี้ อีกทั้งหากพูดถึงในขณะนี้ อันที่จริงก็ไม่มีตัวแปรที่แน่นอน ดังนั้นอย่าได้ไปพบเจอเลย ไม่สู้ตรงไปช่วยทำเรื่องเป็นการเป็นงานที่สรวงสวรรค์เก่าดีกว่า เรื่องราวบนโลกก็มอบให้คนบนโลกจัดการกันไป”
มรรคาจารย์เต๋าหัวเราะ
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็หัวเราะ
เฉินหลิงจวินโขกหัวเสร็จก็เงยหน้าขึ้นเงียบๆ สังเกตเห็นว่าเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ มารดามันเถอะ ไม่สนแล้ว โขกหัวอีกเก้าทีก็แล้วกัน ไม่ ต้องสิบแปดทีไปเลย!
ภิกษุวัยกลางคนมองกรอบป้ายที่เป็นภาษาพระธรรมบนซุ้มประตู ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย จากนั้นมองไปทางสุสานเทพเซียน พนมสองมือ ร้องภาษาพระธรรมหนึ่งคำ การฝึกอบรมตนทั้งกายและใจนั้นไร้ที่สิ้นสุด
มรรคาจารย์เต๋ามองไปยังห้องแห่งหนึ่งในเรือนด้านหลังของร้านยาตระกูลหยาง มีจดหมายฉบับหนึ่งที่ทิ้งไว้ให้กับเฉินผิงอัน บนจดหมายมีแค่ประโยคเดียว เคยกินอิ่มหรือไม่?
เฉินผิงอัน ‘กิน’ อะไร คือสันดานมนุษย์ที่อยู่บนตัวคนทุกคน คือความงดงามทุกอย่างสำหรับในใจของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง คือเรื่องราวทุกอย่างที่จิตใจเขาเลื่อมใส อันที่จริงนี่ก็คือโอกาสใหญ่เทียมฟ้าที่แทบไม่ต่างจากการผสานมรรคาเป็นขอบเขตสิบสี่ซึ่งมีอยู่มานานแล้ว
คือความซื่อสัตย์จริงใจ คือจิตแห่งคุณธรรมอันละเอียดอ่อน คือความศรัทธาจึงทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์
อาจารย์ผู้เฒ่าถอนหายใจ ฉีจิ้งชุนตัวดีที่เชื่อมสัมพันธ์ชักใยอยู่เบื้องหลัง ปล่อยภาระหนักอึ้งเช่นนี้ไว้บนบ่าของศิษย์น้อง ซิ่วหู่ชุยฉานตัวดีที่หลอกลวงคนอื่นหลอกลวงตัวเองปิดแผ่นฟ้าอำพรางสวรรค์
พวกเจ้าสองคนที่เป็นศิษย์พี่ต่างก็เชื่อมั่นในตัวศิษย์น้องอย่างเฉินผิงอันขนาดนี้เชียวหรือ?
มรรคาจารย์เต๋าพลันยิ้มเอ่ยว่า “บัณฑิตนี่นะ”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถลึงตาใส่ “เรื่องนี้ก็โทษข้าด้วยหรือ?!”
เฉินหลิงจวินปลุกความกล้าพูดเสียงสั่นอย่างขลาดๆ ว่า “แม้จะไม่รู้ว่าพวกท่านพูดเรื่องอะไรกัน แต่ข้ากลับรู้สึกว่านายท่านบ้านข้าเป็นอะไรนั่น ไม่แน่ว่าอาจจะดีที่สุดก็ได้นะขอรับ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มตาหยี “ไหนลองว่ามาสิ ไม่ต้องกลัว ที่นี่เป็นถิ่นของข้า ตีกับคนอื่นแล้วไม่เสียเปรียบ”
พอพูดถึงเฉินผิงอัน เฉินหลิงจวินก็เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญทันที เขานั่งลงบนพื้น ตบอกเอ่ยว่า “ก็นายท่านของข้าเป็นคนดีนี่นา เมื่อก่อนใช่ ตอนนี้ใช่ ต่อจากนี้ไปก็ยิ่งเป็นคนดี!”