กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 851.2 เฉินสืออี
ความคิดผุดขึ้นในใจของเฉินหลิงจวิน กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่นพอคิดถึงว่าควรจะคุยโวกับพี่ใหญ่เจี่ยอย่างไรก็เริ่มเวียนหัวตาลายแล้ว ลองพยายามอยู่หลายครั้งก็ยังเป็นเช่นนี้ เฉินหลิงจวินจึงโคลงศีรษะแล้วเลิกคิดมันเสียเลย พูดบอกตามตรงว่า “สถานที่ฝึกตนของข้าคือแม่น้ำอวี้เจียงแคว้นหวงถิง”
อาจารย์ผู้เฒ่าร้องอ้อหนึ่งที “คัมภีร์หวงถิงหรือ นั่นคือคัมภีร์ใหญ่เล่มหนึ่งของลัทธิเต๋าเชียวนะ ได้ยินว่าใครที่อ่านคัมภีร์นี้จะสามารถกล่อมเกลานิสัยใจคอ ผู้ที่บรรลุมรรคา นานวันเข้าจะมีหมื่นทวยเทพตามติดตัว วิชาคาถาพันหมื่น เมื่อศึกษาอย่างละเอียด แท้จริงแล้วล้วนคล้ายคลึงกับเส้นทางอย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นความคิดของคนที่ฝึกตนก็คือการเพาะปลูกธัญพืชลงในผืนนาหัวใจ ผู้ฝึกลมปราณหล่อหลอมลมปราณก็คือการหว่านไถ ทุกครั้งที่มีการฝ่าทะลุขอบเขต พลังปราณกลืนกินขุนเขาสายน้ำ แปลงมาให้ตัวเองใช้งาน ดวงตามองเห็นสิ่งที่จับต้องได้จริง แล้วจึงหวนกลับสู่ความว่างเปล่า รวบมาไว้ในหนึ่งร่าง กลายมาเป็นถิ่นของตัวเอง”
“ดังนั้นลัทธิเต๋าจึงสนับสนุนในเรื่องการไร้ความเห็นแก่ตัว ลัทธิขงจื๊อบอกว่าวิญญูชนมิใช่ภาชนะ (เปรียบเปรยว่าวิญญูชนควรมีความรู้กว้างขวาง ต้องไม่จำกัดอยู่ในด้านในด้านหนึ่ง เหมือนภาชนะที่ใช้งานได้แค่เฉพาะด้านเท่านั้น) ลัทธิพุทธบอกว่าความว่างเปล่า รูปลักษณะทั้งปวงคือไม่มีรูปลักษณะ”
ต้องมาฟังถ้อยคำที่ชวนให้ปวดกบาลพวกนี้ เนื่องจากหน้าผากเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เส้นผมตรงหน้าผากของเด็กชายชุดเขียวจึงกระจุกกันอยู่เป็นหย่อมๆ มองดูแล้วน่าขันอย่างมาก ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดผวาจริงๆ
เฉินหลิงจวินแบมือ ในฝ่ามือเปียกไปชื้นด้วยเหงื่อ ยู่หน้ายับย่นพูดอย่างน่าสงสารว่า “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ตอนนี้ข้าตื่นเต้นมากเลย ท่านผู้อาวุโสพูดอะไรไปข้าจำไม่ได้สักอย่าง รอให้นายท่านของข้ากลับมาบ้านก่อน ท่านค่อยไปพูดกับเขาดีไหม นายท่านบ้านข้าความจำดี ชอบเรียนรู้เรื่องต่างๆ ไม่ว่าเรียนอะไรก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว พูดกับเขา เขาต้องเข้าใจแน่ แล้วยังสามารถพลิกแพลงได้ด้วย”
อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ยอมรับและปฏิเสธ เพียงคลี่ยิ้มแล้วเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “เกี่ยวกับคำว่า ‘อวี้’ นี้ อาจารย์ของนายท่านบ้านเจ้า หรือก็คือซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง เคยพูดถึงความรู้บางอย่างให้ฟังบ้างหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินสีหน้าอึ้งค้างเหลอหรา
ท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งคืออาจารย์ของนายท่านบ้านข้า ไม่ใช่อาจารย์ของข้านายท่านใหญ่จิ่งชิงเสียหน่อย ปรมาจารย์มหาปราชญ์ท่านทดสอบด้วยวิธีการที่ลึกลับซับซ้อนเช่นนี้ค่อนข้างจะไม่พิถีพิถันแล้วนะ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของยุทธภพเลยจริงๆ
ช่างเถิด ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ไม่ใช่คนที่อยู่ในยุทธภพเสียหน่อย
เฮ้อ หากว่านายท่านอยู่ที่นี่ ไม่ว่าปรมาจารย์มหาปราชญ์พูดอะไรก็คงรับไว้ได้หมดกระมัง หรือว่าวันหน้าตนต้องอ่านหนังสือให้มากขึ้นจริงๆ? หนังสือบนภูเขามีอยู่ไม่น้อย ที่พ่อครัวเฒ่านั่นก็ หึหึ…
หึกะผายลมอะไรกัน ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยืนอยู่ข้างกายนี่เองนะ รนหาที่ตายหรือ เฉินหลิงจวินยกมือตบบ้องหูตัวเองหนึ่งที มารดามันเถอะ ลงมือหนักเกินไปแล้ว รีบทำท่ากดลมปราณสู่จุดตันเถียน ตีหน้าเคร่ง
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะ “ไม่ต้องระมัดระวังขนาดนี้ เรื่องกินและเรื่องชอบของสวยงามล้วนอยู่ในสันดานของมนุษย์”
“คนผู้หนึ่งมีความปรารถนามากมาย เมื่อสันดานเดิมนำพา แน่นอนจะต้องทำให้คนทำเรื่องผิดพลาดมากมาย แต่ทุกครั้งที่พวกเรารู้ว่าผิด ยอมรับความผิดและยอมแก้ไขความผิด ก็คือการเพิ่มก้อนอิฐให้กับใต้ฝ่าเท้าของวิถีทางโลกใบนี้ คือการเพิ่มกระเบื้องให้กับหลังคาสูงของโรงเตี๊ยม อันที่จริงเป็นเรื่องดีนะ ก็เหมือนอย่างที่มรรคาจารย์เต๋ากล่าว แม้แต่เขายังเป็นแค่แขกที่ผ่านทางมาคนหนึ่งของโลกใบนี้ นี่คือคำพูดที่เป็นความจริงอย่างยิ่ง แต่ทุกคนล้วนสามารถทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ความสามารถพอจะเอื้ออำนวยเพื่อช่วยให้คนรุ่นหลังเดินได้ราบรื่นมั่นคงยิ่งกว่าเดิม ทั้งสามารถเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นและเป็นประโยชน์สำหรับตัวเอง ไยจะไม่ยินดีทำเล่า แน่นอนว่าหากมีคนที่เอาแต่แสวงหาความอิสระที่บริสุทธิ์ในใจของตัวเองถ่ายเดียว นั่นก็คืออิสระเสรีที่ไม่อาจจะวิจารณ์ได้เช่นเดียวกัน”
อาจารย์ผู้เฒ่าคลี่ยิ้มให้คำตอบ “เป็นใน ‘บทต้าเลวี่ย’ บอกว่าโอรสสวรรค์ทรงใช้ (ภาษาจีนคือคำว่าอวี้) แผ่นหยกปลายแหลม เหล่าโหวทรงใช้แผ่นหยกปลายมน ขุนนางใช้แผ่นไม้ที่ทำจากไม้ไผ่ ส่วนในอดีตนานยิ่งกว่านั้น อวี้ คือบวงสรวง หรือนานกว่านั้น ก็มีคำกล่าวในปฏิทินเหลืองเช่นเดียวกัน อริยะเนรเทศสี่สัตว์ดุร้าย กระจายไปอยู่ทั่วฟ้าดิน เพื่อใช้ควบคุม (อวี้) ชือเม่ย (ภูตผีที่จำแลงมาจากพลังปราณประหลาดในป่าเขา ฆ่าคนโดยที่มองไม่เห็น)”
ปรมาจารย์มหาปราชญ์ตบหัวของเด็กชายชุดเขียว ยิ้มเอ่ย “งูเขียวอยู่ในกล่อง”
พอไปถึงตรอกหนีผิง ยังคงเป็นเฉินหลิงจวินที่นำทาง เขาแนะนำบ้านบรรพบุรุษสกุลเฉาที่ผ่านการซ่อมแซมมาก่อน จากนั้นก็เดินไปยังเรือนพักสองแห่งที่อยู่ติดกันของเฉินผิงอันกับซ่งจี๋ซิน อาจารย์ผู้เฒ่าก้าวเดินเนิบช้า อ้อมเส้นทางไป ก่อนจะหยุดเดิน มองตำแหน่งที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า คือจุดที่คนงานเตาเผาในอดีตฝังตลับผงชาดประเทินโฉมเอาไว้
เทพวารีจุดไฟ
ชิงถงเทียนจวินก็ช่างทำให้คนลำบากใจเสียจริง
เทพพิรุณท่านนี้ ตอนอยู่ในสรวงสวรรค์เก่าของบรรพกาล คือองค์เทพชั้นสูงลำดับสองของกรมวารี เป็นรองแค่เทพวารีหลี่หลิ่วเท่านั้น
ถูกหยางเหล่าโถวแห่งร้านยาลบร่องรอยทั้งหมดของการ ‘สลายมรรคา’ ทิ้งไป อีกทั้งการสลายมรรคาครั้งนี้ยังกะน้ำหนักได้ดียิ่ง ไม่ได้เป็นการโยนโครมทีเดียวให้เฉินผิงอัน แต่เหมือนการปลูกเมล็ดพันธ์เมล็ดหนึ่งลงในผืนนาหัวใจของเด็กหนุ่มตรอกหนีผิง ให้มันค่อยๆ มีบุปผาเบ่งบานมากกว่า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลของสรวงสวรรค์เก่าไม่มีการแบ่งชายหญิงอย่างในโลกยุคหลัง หากจะต้องให้คำจำกัดความที่ค่อนข้างแม่นยำให้จงได้ ก็คือความต่างของหยินหยางจากการจำแลงมหามรรคาอย่างที่มรรคาจารย์เต๋าเป็นผู้เสนอ
ท่ามกลางพายุฝนกระหน่ำ เด็กหนุ่มร่างผอมบางมาดักคนวัยเดียวกันที่สวมชุดสวยงามหรูหราอยู่ในตรอกแล้วบีบคออีกฝ่าย
เด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานเคยตกปลาหนีชิวได้ตัวหนึ่ง แต่กลับเอาไปมอบต่อให้เจ้าขี้มูกยืดน้อย ฝ่ายหลังเอาไปเลี้ยงไว้ในอ่างน้ำ
แน่นอนว่ายังมีชายฉกรรจ์คนงานเตาเผาที่เอาตลับผงชาดประทินโฉมมาฝังไว้ที่นี่
ซ่งจี๋ซินเคยนั่งยองบนหัวกำแพงชมเรื่องสนุก เฉินผิงอันส่งเสียงช่วยชีวิตหลิวเสี้ยนหยางเอาไว้
ระหว่างที่เดินทางไกลไปยังสำนักศึกษาต้าสุยด้วยกัน อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ส่วนลึกในจิตใจของหลี่ไหวรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมที่สุด และยอมรับในตัวเฉินผิงอันมากที่สุดเพียงคนเดียวเท่านั้น
‘เรื่องเล็ก’ มากมายนับไม่ถ้วนทำนองเดียวกันนี้ ได้ซุกซ่อนการแปรเปลี่ยนของใจคน การเปลี่ยนแปลงนิสัยใจคอไว้อย่างคลุมเครือและลึกล้ำยาวไกล
ไม่เพียงแต่เฉินผิงอันที่ได้รับมาอย่างเงียบๆ ยังมีการสูญเสียความเป็นเทพในตัวเฉินผิงอันเองด้วย นี่ก็คือความร้ายกาจของวิธีการที่หยางเหล่าโถวใช้
ทุกครั้งที่ให้การยอมรับคนอื่น เฉินผิงอันก็จะต้องสูญเสียความเป็นเทพไปส่วนหนึ่ง แต่ทุกครั้งที่เกิดการยอมรับบางอย่างหลังจากการปฏิเสธตัวเองไปแล้ว ก็จะสามารถกลืนกินความเป็นเทพส่วนหนึ่งที่ถูกสะสมเอาไว้ด้วย
นับประสาอะไรกับที่ยังมีจิตใจอันใสสะอาดบริสุทธิ์ ความคิดและจินตนาการอันบรรเจิดทั้งหมดของหลี่เป่าผิงซึ่งในบางระดับแล้วก็คือการ ‘รวมเป็นหนึ่ง’ ชนิดหนึ่ง ความกำเริบเสิบสานของหม่าขู่เสวียนเอง ไยจะไม่ใช่ความบริสุทธิ์อย่างหนึ่ง ความโชคดีเทียมฟ้าของหลี่ไหว หลินโส่วอีที่ใช้วิธี ‘เฝ้าหนึ่ง’ ซึ่งแทบจะคุ้นเคยมาตั้งแต่เกิด พรสวรรค์ที่โดดเด่นของหลิวเสี้ยนหยาง ไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรก็เรียนเป็นได้อย่างรวดเร็ว ได้ครอบครองขอบเขตของความราบรื่นคล่องแคล่วเหนือคนปกติทั่วไป ซ่งจี๋ซินที่ใช้ปราณมังกรเป็นจุดเริ่มต้นในการฝึกตน จื้อกุยที่มีหวังจะถอดรกเปลี่ยนกระดูก หลังจากได้กลับคืนสู่ร่างของมังกรที่แท้จริงก็พัฒนารุดหน้าไปอีกขั้น เซี่ยหลิงแห่งตรอกเถาเย่สายของมรรคกถาที่ใช้การ ‘รับมา กลืนกิน ย่อยสลาย’ มาเป็นเส้นทางในการเดินขึ้นฟ้า เทพอัคคีหร่วนซิ่วและเทพวารีหลี่หลิ่วที่ใช้ความเป็นเทพขั้นสูงสุดมาหลุบตาลงมองโลกมนุษย์ รวบรวมเอาสันดานความเป็นมนุษย์ที่แหลกสลายมาไว้อย่างต่อเนื่อง…
คนรุ่นเยาว์ทุกคนของเมืองเล็ก ต่างก็เป็นเวทอำพรางตาของกันและกัน
การช่วงชิงกันข้ามฝั่งบนวิถีแห่งสวรรค์ที่เงียบเชียบครั้งหนึ่ง เดิมทีทุกคนต่างก็มีหวังที่จะกลายเป็นหนึ่งนั้น
อาจารย์ผู้เฒ่ายกแขนขึ้นกำความว่างเปล่าเหนือศีรษะตัวเอง
เหนือศีรษะขึ้นไปสามฉื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลสร้างมนุษย์ขึ้นมา วักน้ำเป็นรากฐาน น้ำที่วักนั้นมาจากแม่น้ำแห่งกาลเวลา หลักจากนั้นจึงปั้นดินเป็นรูปร่าง เผ่ามนุษย์จึงมีร่างกายและจิตวิญญาณปรากฏขึ้นอย่างหยาบๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่มรรคาจารย์เต๋าคุยเล่นกับเฉินหลิงจวินได้พูดถึงเรื่องภูเขาสายน้ำอิงแอบ พูดไปพูดมา แท้จริงแล้วก็คือพูดถึงรากฐานบนมหามรรคาของมนุษย์ ขุนเขาสายน้ำไพศาลเป็นเช่นนี้ มนุษย์ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้
ดังนั้นชุยตงซานจึงเคยพูดว่า บรรพจารย์ของสามลัทธิ มีเพียงในเรื่องของมหามรรคาที่ใกล้ชิดกับสายน้ำเท่านั้นที่ถึงจะสามัคคีปรองดอง ไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งกัน
ไฟหลอมเป็นเวทคาถา วัตถุที่ถูกหล่อหลอมก็คือความเป็นเทพที่บริสุทธิ์ส่วนหนึ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบให้แก่เผ่ามนุษย์ นี่เรียกว่าวิธีแห่งไฟหลอมทอง
ดังนั้นบนผืนแผ่นดิน เผ่ามนุษย์ที่ทั้งได้ครอบครองความเป็นเทพ ขณะเดียวกันก็ขาดแคลนความเป็นเทพที่สมบูรณ์แบบไปด้วยนั้น ถึงได้มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา มีความคิดที่ซับซ้อนหลากหลายรูปแบบ
การสร้าง ‘กิ่งทองใบหยก’ อย่างที่ผู้ฝึกตนกล่าวถึง ทั้งเป็นการใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินมาเป็นกิ่งใบ นี่ก็คือไม้
นี่ก็คือห้าธาตุดั้งเดิมที่สุดของฟ้าดิน
แล้วปราณวิญญาณฟ้าดินที่เหมาะแก่การฝึกตนพิสูจน์มรรคาสำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้นมาจากที่ใดกันแน่? ก็คือท่วงทำนองวิถีฟ้าที่หลงเหลืออยู่หลังจากที่โครงกระดูกของสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง แต่กลับยังไม่อาจหลอมรวมเข้ากับแม่น้ำแห่งกาลเวลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
นี่จึงเป็นตัวตัดสินว่าเหตุใดเผ่ามนุษย์ถึงได้เป็นผู้นำของหมื่นสรรพสิ่งซึ่งได้รับเงื่อนไขอันดีเยี่ยมจากฟ้าดิน เหตุใดเผ่าปีศาจคิดอยากจะฝึกตนเดินขึ้นสู่ที่สูงก็ต้องยอมสละข้อได้เปรียบของเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานมาตั้งแต่เกิด จำเป็นต้องฝึกตนจนจำแลงกายเป็นมนุษย์ให้ได้เสียก่อน
ตอนนั้นบรรพจารย์สามลัทธิเคยมีข้อตกลงอย่างหนึ่งร่วมกับหยางเหล่าโถว ขอแค่ฝ่ายหลังรักษาสัญญา สายตาของบรรพจารย์สามลัทธิก็จะไม่เหลือบมองมายังที่แห่งนี้
เพียงแต่อริยะแต่ละรุ่นของสามลัทธิหนึ่งสำนักอย่างขงจื๊อ พุทธ เต๋าและการทหารจะต้องรับผิดชอบจับตามองหอบินทะยานและหอสยบกระบี่ของที่แห่งนี้ เฝ้ามองมานานขนาดนั้น สุดท้ายก็ยังหลงกลติดกับอยู่ดี
อีกทั้งในความเป็นจริงแล้วถึงท้ายที่สุดหยางเหล่าโถวก็ไม่เคยผิดคำสัญญา
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะ ก็จริงนะ มีแค่เป็นขโมยพันวัน ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องคอยป้องกันโจรพันวัน แต่สาเหตุที่เป็นรากฐานที่สุดยังคงเป็นเพราะการเลือกในท้ายที่สุดของชิงถงเทียนจวินยอดเยี่ยมเกินไป เวทอำพรางตามีมากเกินไป กุญแจสำคัญที่สุดนั้นยังอยู่ที่ว่าหยางเหล่าโถวไม่ได้เลือกเฉินผิงอันตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ลงเดิมพันอย่างต่อเนื่อง ค่อยเพิ่มของรางวัลเข้าไปทีละนิด การกระทำเช่นนี้ สำหรับในชีวิตที่หยางเหล่าโหววาดพื้นที่เป็นกรงขังตัวเองนานหมื่นปีแล้ว ช่างไม่สะดุดตาเอาเสียเลย คนรุ่นเยาว์ของเมืองเล็ก เด็กๆ อย่างพวกซ่งจี๋ซิน จ้าวเหยา กู้ช่าน ปีนั้นมีบนร่างใครบ้างที่ไม่ได้รับของขวัญทางอ้อมหนึ่งส่วนหรือถึงขั้นหลายส่วน? แต่บนร่างของเฉินผิงอัน การเดิมพันของหยางเหล่าโถวกลับกลายเป็นว่า ‘ขี้เหนียว’ อย่างยิ่ง ราวกับว่าเขาแค่เพิ่มของรางวัลลงไปในในจุดเชื่อมต่อที่ยากจะสังเกตเห็นในหลายๆ ครั้งทีละเล็กทีละน้อย ก็เป็นแค่ตะเกียงดวงหนึ่งที่ส่ายไหวอยู่ในลมฝนตลอดเวลา แต่กลับไม่มอดดับก็เท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่นให้เด็กอายุแค่ห้าขวบคนหนึ่งต้องขึ้นเขาไปเก็บยาสมุนไพร ถึงจะเอามาแลกเปลี่ยนเป็นเงินที่ร้านยา แล้วค่อยซื้อยากลับไปบ้าน ถึงจะเอายาไปต้มได้
หลักการ ‘การแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง’ นี้ มีผู้ใหญ่กี่มากน้อย มีผู้ฝึกตนบนภูเขากี่มากน้อยที่บางทีมีชีวิตอยู่มาชั่วชีวิตหนึ่งก็ยังไม่เคยเข้าใจ
หรือยกตัวอย่างเช่นการ ‘ข้ามลำคลอง’ ตอนที่เฉินผิงอันยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง จำเป็นต้องให้มีคนมาช่วยฉุดดึง เด็กน้อยถึงจะไม่ถึงขั้นตกลงไปท่ามกลางกระแสน้ำเชี่ยว หยางเหล่าโถวถึงได้ปรากฏตัว
อาจารย์ผู้เฒ่ามองไปยังสุดตรอกของซอยเล็ก หรี่ตาลง ดีนักนะ ปีนั้นเด็กน้อยเดินวนเวียนไปมาอยู่ในตรอก ตั้งแต่ยามสนธยาจนถึงฟ้ามืด ในที่สุดเด็กชายก็รอคอยจนได้เจอกับคนที่เปิดประตูให้ เป็นการกระทำที่เกิดจากจิตเมตตาของสตรีออกเรือนแล้ว และยิ่งเป็นการจงใจชักนำของหยางเหล่าโถว…ไม่ถูกสิ ไม่ใช่ชิงถงเทียนจวิน! อาจารย์ผู้เฒ่าเดินก้าวออกไปหนึ่งก้าว ยืนเบี่ยงตัวแนบติดกำแพง มือข้างหนึ่งไพล่หลัง มืออีกข้างหนึ่งใช้สองนิ้วประกบกัน คีบเอาเส้นด้ายที่มองไม่เห็นเส้นนั้นออกมา
คือเหยาเหล่าโถวที่เป็นเหย้าซือฝอ (พระไภษัชยคุรุสัมมาสัมพุทธเจ้า บรมครูแห่งยารักษาโรค พระมหาแพทย์ราชาพุทธเจ้า) กลับชาติมาเกิด?
“นิสัยมนุษย์คือกรงขังแห่งหนึ่งที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์มอบให้แก่เผ่ามนุษย์”
“อิสระคือการลงทัณฑ์อย่างหนึ่ง”
ลัทธิพุทธพูดถึงจิตแท้ดั้งเดิม กล่าวว่าจิตหนึ่งคือพุทธะ นั่นก็เพราะหวังว่ามนุษย์จะสามารถใช้ความมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่ ความตระหนักรู้อันยิ่งใหญ่และความเห็นอกเห็นใจอันยิ่งใหญ่ เปลี่ยนแปลงเส้นทางเดิมที่มุ่งไปสู่ยอดเขาสูงสุดของความเป็นเทพที่สมบูรณ์แบบได้สักเล็กน้อย ก้าวเดินออกไปยังเส้นทางใหม่เอี่ยม
อาจารย์ผู้เฒ่าหันหน้าไปมอง ราวกับว่าในตรอกมีเด็กคนหนึ่งที่เรือนกายเล็กผอม ผิวเหลืองใบหน้าแห้งตอบที่ท้องกำลังส่งเสียงร้องโครกครากยืนอยู่ เขาได้ยินเสียงเปิดประตูก่อน แต่ดูเหมือนว่าเด็กชายจะยังไม่กล้าเชื่อ เขาวิ่งเหยาะๆ ออกไปสองสามก้าว จากนั้นก็หยุดเท้า แต่แล้วก็พลันเห็นแสงสว่างเหลืองนวลที่ลอดผ่านประตูใหญ่ส่องเข้ามาในตรอกเล็ก เด็กชายกะพริบตาปริบๆ สุดท้ายได้แต่มองสตรีออกเรือนแล้วที่มาเปิดประตูอย่างเหม่อลอย
ความหวังในความสิ้นหวัง ส่วนใหญ่มักเป็นเช่นนี้ แรกเริ่มสุดที่มาถึง ไม่ใช่ความปลาบปลื้มยินดี แต่เป็นความไม่กล้าเชื่อ