กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 852.1 ตรอกหนีผิง
เฉินหลิงจวินหรือจะกล้าตบไหล่ท่านผู้นั้น แน่นอนว่าให้ตายอย่างไรก็ไม่ยอมไป ขาดก็แค่ไม่ได้ลงไปชักดิ้นชักงออยู่ในตรอกหนีผิงเท่านั้น อาจารย์ผู้เฒ่าเลยได้แต่ล้มเลิกความคิด บอกให้เด็กชายชุดเขียวเดินออกไปจากเมืองเล็กเอง เพียงแต่เขาทั้งไม่ไปสุสานเทพเซียน แล้วก็ไม่ไปศาลบุ๋นบู๊ เพียงแค่เดินอ้อมเส้นทางไปยังลำคลองหลงซวีเส้นนั้น ต้องการไปดูที่สะพานหินโค้งสักหน่อย สุดท้ายจึงถือโอกาสแวะไปดูซากปรักของศาลเล็กที่ลักษณะคล้ายศาลาข้างทางแห่งนั้นด้วย
เฉินหลิงจวินถามหยั่งเชิง “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ เทพเซียนผู้เฒ่าลัทธิเต๋าที่ตัวสูงๆ คนก่อนหน้านี้ ขอบเขตก็สูงมากด้วยหรือ?”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “สูงมาก หากขอบเขตไม่สูง มรรคาจารย์เต๋าก็ไม่มีทางถ่ายทอดมรรคกถาให้กับเขา อีกทั้งสหายท่านนี้ ในกาลเวลาช่วงต้นๆ เคยมีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อเผ่ามนุษย์อย่างพวกเรา เป็นเหตุให้อันดับรายชื่อของเขาในสิบสองนักษัตรที่สอดคล้องกับแผนภูมิภาคปฐพีที่หลี่เซิ่งเป็นคนกำหนดสูงมาก ด้วยนิสัยวัว (เปรียบเปรยถึงนิสัยที่ดื้อรั้นหัวแข็ง) ของสหายคนนั้น ช่างเถิด…นินทาคนอื่นลับหลัง ไม่มีคุณธรรมเท่าไร”
เฉินหลิงจวินเอ่ยอย่างเป็นกังวล “แต่ฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าจะเคยมีความขัดแย้งกับนายท่านบ้านข้ามาก่อน?”
จะทำอย่างไรดี ตนต้องเอาชนะนักพรตเฒ่าคนนั้นไม่ได้แน่ ปรมาจารย์มหาปราชญ์ยังพูดเองว่าหากต้องต่อสู้กับมรรคาจารย์เต๋า ตัวเขาเองยังต้องกลัดกลุ้ม ดังนั้นไม่ว่าจะมองอย่างไร ฝ่ายของตนก็ไม่มีทางได้เปรียบเลย
เหลวไหล ตนกับปรมาจารย์มหาปราชญ์ต้องเป็นฝ่ายเดียวกันแน่อยู่แล้ว เป็นคนไม่ควรหันข้อศอกหาคนนอก (เปรียบเปรยถึงเข้าข้างคนอื่น ไม่เข้าข้างคนกันเอง) อะไรที่เรียกว่าคลุกคลีอยู่ในยุทธภพ ก็คือคนสองกลุ่มทะเลาะกัน จับกลุ่มต่อยตี ต่อให้จำนวนคนจะแตกต่าง ฝั่งของตัวเองคนน้อย ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องสู้ไม่ได้ แต่ก็ต้องยืนให้คนซ้อมเป็นเพื่อนสหายไม่เผ่นหนีเอาตัวรอด
ก่อนหน้านี้นักพรตเฒ่าพูดถึงพื้นที่มงคลดอกบัว ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นายท่านบ้านตนยังเคยเสียเปรียบ เคยเสียหน้าอยู่ที่นั่นด้วย
เกี่ยวกับพื้นที่มงคลที่เปลี่ยนชื่อเป็นพื้นที่มงคลรากบัวแห่งนั้น เฉินหลิงจวินรู้แค่ว่าเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่าง และยังมีพวกพ่อครัวเฒ่า อาจารย์จ้ง ต่างก็มาจากพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่มากไปด้วยเหล่าวีรบุรุษและผู้มีความสามารถแห่งนี้ เพียงแต่ว่าแต่ละคนต่างก็ไม่ชอบพูดเรื่องเกี่ยวกับบ้านเกิดของตัวเองแม้แต่ครึ่งคำ เฉินหลิงจวินก็คร้านจะถามมาก ดังนั้นจึงเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าพื้นที่มงคลดอกบัวที่ในอดีตอยู่ในระดับล่างแห่งนี้ แม้แต่ผู้ฝึกตนก็ยังมีอยู่แค่ไม่กี่คน และยิ่งไม่มีเซียนดิน จะสามารถสร้างคลื่นลมมรสุมอะไรออกมาได้
ไหนเลยจะคิดได้ว่าจู่ๆ จะมีเจ้าคนที่มรรคาจารย์เต๋าเรียกว่าสหายโผล่ออกมา คนเราไม่อาจดูกันแค่รูปลักษณ์ภายนอกได้จริงๆ โชคดีที่ตนระมัดระวังไปทุกย่างก้าว ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดีงาม ปากมากพูดถึงเรื่องที่ภูเขาบ้านตนมีหญ้าเขียวมากมายไปแค่เรื่องเดียว ไม่อย่างน้อยบัญชีเลอะเลือนครั้งนี้ ตนที่แขนขาเล็กจ้อยย่อมไม่อาจแบกรับได้ไหว
อาจารย์ผู้เฒ่าส่ายหน้า “อันที่จริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว สหายท่านนี้ค่อนข้างจะยอมรับในการวางตัวของนายท่านบ้านเจ้าอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำเรียกขานว่าสหายนักพรตที่มาจากใจจริงที่ปลอบใจคนได้อย่างเหมาะเหม็ง”
เฉินหลิงจวินโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก จึงยืดอกตั้ง หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมานายท่านบ้านข้าก็มีดวงกับผู้อาวุโสดีมากอยู่แล้ว ส่วนข้า พอจะเรียนรู้จากเขามาได้อย่างถูไถ”
อาจารย์ผู้เฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องอย่างวาสนากับผู้อาวุโสนี้ ข้าไม่ค่อยเก่งกาจเท่าไร ปีนั้นพาพวกลูกศิษย์ออกเดินทางทัศนศึกษาไปทั่วหล้า ได้เจอกับคนหาปลาคนหนึ่ง ก็ยังไม่อาจนั่งเรือข้ามแม่น้ำได้ ตอนนี้มาย้อนนึกดูแล้ว คงเป็นเพราะตอนนั้นอารมณ์ร้อนวู่วามเกินไป จึงไม่ค่อยเป็นที่ชื่นชอบของมหามรรคา”
เฉินหลิงจวินปลุกความกล้าเอ่ยว่า “ตอนนั้นที่นายท่านของข้าพาพวกเป่าผิงไปขอศึกษาต่อที่ต้าสุย ตลอดทางที่เดินทางกันไปเจอภูเขาก็กินจากภูเขา เจอน้ำก็กินจากน้ำ ล้วนเป็นนายท่านบ้านข้าที่ไปเคาะประตูบ้านนายพรานขอพักค้างแรม ซึ่งทำได้ค่อนข้างราบรื่นเลยล่ะ”
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “จิ่งชิง เจ้าติดตามเฉินผิงอันฝึกตนมานานหลายปี บนภูเขาก็มีตำราเก็บไว้ไม่น้อย ไม่เคยอ่านบทคนหาปลาของเจ้าลัทธิลู่ ไม่เคยรู้เลยหรือว่า ที่มาของคำกล่าวตั้งป้อมประจันหน้า เคยด่าข้าด้วยประโยคว่า ‘อาจารย์ยังมีสีหน้าเย่อหยิ่งอีกหรือ’?”
เฉินหลิงจวินพูดด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “หนังสือล้วนถูกนายท่านบ้านข้าอ่านหมดแล้ว ข้าอยู่บนภูเขาลั่วพั่วรู้แต่มานะฝึกตนในทุกๆ วันเท่านั้น จึงไม่ทันได้สนใจเรื่องพวกนี้”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเอ่ยว่า “ยังต้องอ่านหนังสือให้มาก จะดีจะชั่วยามที่พูดคุยกับคนอื่นก็จะได้ต่อบทสนทนาได้”
เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับรัวๆ อย่างแรงเหมือนไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก “วันหน้าข้าจะต้องทั้งอ่านตำราทั้งฝึกตนไม่เกียจคร้านทั้งสองทางแน่”
ทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาเดินเที่ยวเล่นก็ยังจะต้องไปจุดธูป โขกหัวกราบไหว้ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่ศาลบุ๋นของอำเภอไหวหวงให้บ่อยๆ ด้วย!
เฉินหลิงจวินลังเลเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างใคร่รู้ “ขอถามหน่อยได้หรือไม่ว่าพุทธภินิหารของศาสดาพุทธเป็นเช่นไร?”
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ อยากจะถามว่าท่านผู้อาวุโสเอาชนะศาสดาพุทธได้หรือไม่
อาจารย์ผู้เฒ่าลูบหนวดยิ้มกล่าว “สามารถขยุ้มสหัสโลกธาตุให้กลายเป็นฝุ่นเม็ดเดียว ทั้งยังสามารถคีบดอกไม้หนึ่งดอกให้จำแลงกลายเป็นโลกแห่งขุนเขาสายน้ำ เจ้าว่าพุทธภินิหารของเขาจะเป็นอย่างไรเล่า?”
เฉินหลิงจวินถอนหายใจ ไม่ทันควบคุมมือให้ดีก็ยกขึ้นไปตบชายแขนเสื้อของอาจารย์ผู้เฒ่าเสียแล้ว ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเรื่องอย่างการต่อยตีกันนี้ก็ทำลายความปรองดอง ตีกันน้อยย่อมดีกว่า
อาจารย์ผู้เฒ่าไม่ถือสา ถามชวนคุยว่า “อยู่ที่นี่มานานแล้ว มีคนที่เจ้าไม่ชอบบ้างหรือไม่?”
เฉินหลิงจวินดึงมือกลับมาอย่างขลาดๆ ถือโอกาสสอดสองมือใส่ไว้ในชายแขนเสื้อเอาอย่างนายท่านบ้านตัวเอง หลีกเลี่ยงไม่ให้มีการกระทำที่เสียมารยาทคล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นอีก คิดๆ ดูแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามีใครที่รังเกียจอย่างจริงจัง เพียงแต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ถามแล้ว ตนก็ควรต้องให้คำตอบ ก็เลยเลือกคนที่ค่อนข้างเกลียดขี้หน้ามาคนหนึ่ง “หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา ทำอะไรไม่พิถีพิถัน ห่างไกลจากนายท่านบ้านข้าหนึ่งแสนแปดพันลี้เลยล่ะ”
แน่นอนว่าอาจารย์ผู้เฒ่าย่อมรู้จักหม่าขู่เสวียนแห่งภูเขาเจินอู่ แต่กลับไม่ได้บอกว่าคนหนุ่มผู้นี้ดีหรือเลว เพียงแค่ยิ้มพลางแพร่งพรายความลับสวรรค์อย่างหนึ่งกับเฉินหลิงจวินด้วยการบอกเรื่องวงในที่เป็นเรื่องเก่าแก่นานปีกับเขา “ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เฒ่าตาบอดที่บงการหุ่นเชิดให้เคลื่อนย้ายภูเขาใหญ่แสนลี้เคยผิดหวังต่อพวกเรามาก จึงควักดวงตาทั้งคู่ออกมาแล้วแยกโยนไปที่ใต้หล้าไพศาลกับใต้หล้ามืดสลัว บอกว่าต้องการเห็นกับตาตัวเองว่าพวกเราแต่ละคนได้กลายเป็นคนที่ไม่ต่างจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในอดีต ดวงตาคู่นี้ ข้างหนึ่งได้ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าพาไปที่พื้นที่มงคลดอกบัว มอบให้กับนักพรตน้อยเซาฮว่อ ส่วนอีกข้างที่เหลือนั้นอยู่ข้างกายหม่าขู่เสวียน เดิมพันที่หยางเหล่าโถวทุ่มลงไปบนร่างของหม่าขู่เสวียนในอดีต ไม่ถือว่าเล็กเลย”
อาจารย์ผู้เฒ่าเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ตอนนั้นเฒ่าตาบอด หากพูดถึงแค่รูปโฉมก็หล่อเหลามากเลยล่ะ เฉินชิงตูห่างชั้นจากเขาไกลนัก แต่ทั้งสองคนล้วนเป็นคนที่ซื่อตรงยิ่งนัก คนหนึ่งดื้อด้าน คนหนึ่งเจ้าอารมณ์”
พูดถึงเรื่องนี้ เฉินหลิงจวินก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อันที่จริงคนที่รังเกียจก็มีอยู่ เพียงแต่ว่าไม่มีค่าอะไรให้พูดถึง หนึ่งเพราะสตรีป่าเถื่อนไร้เหตุผล ข้าเป็นบุรุษตัวโตๆ คนหนึ่งจะทำอะไรนางได้ ก็คือสตรีออกเรือนแล้วที่ใส่ร้ายเผยเฉียนว่าตีห่านขาวของนางตาย ยืนกรานจะให้เผยเฉียนชดใช้เงินคืนให้นางให้ได้ สุดท้ายเผยเฉียนก็ควักเงินจ่ายให้ไป อันที่จริงตอนนั้นเผยเฉียนเสียใจมากเลยล่ะ เพียงแต่ตอนนั้นนายท่านออกเดินทางไกลอยู่ด้านนอก ไม่อยู่ที่บ้าน จึงได้แต่อดกลั้นไว้ อันที่จริงปีนั้นเผยเฉียนเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียน ระหว่างทางกลับบ้านหลังเลิกเรียน เล่นสนุกก็ส่วนเล่นสนุก นางชอบวิ่งไล่ห่านขาวจริงๆ แต่ทุกครั้งจะต้องให้หมี่ลี่น้อยพกรำข้าวและข้าวโพดใส่กระเป๋าไปด้วย หลังจากเล่นเสร็จ เผยเฉียนก็จะโบกมือเป็นวงกว้าง ฝ่ายหมี่ลี่น้อยก็จะโยนข้าวโพดข้าวเปลือกพวกนั้นไปในตรอก ถือเป็นการให้รางวัลแก่แม่ทัพผู้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือนางอย่างที่นางพูดถึง”
อาจารย์ผู้เฒ่าพยักหน้า “คงจะต้องเสียใจมากแน่ๆ”
ในอดีตช่วงเวลาอันรุ่งโรจน์ที่เมธีร้อยสำนักประชันกัน สำนักโม่เคยเป็นสำนักที่ทฤษฎีมีชื่อเสียงมากในใต้หล้า นอกจากนี้ยังมีสำนักหยางจูที่ภายหลังกลายเป็นไร้ชื่อเสียง คำกล่าวของสองสำนักเคยแผ่ไพศาลไปทั่วใต้หล้า เป็นเหตุให้มีคำกล่าวที่ว่า ‘หากไม่ใช่ของหยางก็เป็นของโม่’ จากนั้นก็มีจุดหักเหที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งโลกยุคหลังไม่ค่อยให้ความสนใจ ก็คือหย่าเซิ่งเชิญให้หลี่เซิ่งกลับจากนอกฟ้ามายังศาลบุ๋นแผ่นดินกลางเพื่อปรึกษากันเรื่องหนึ่ง สุดท้ายการแสดงออกของศาลบุ๋นก็คือกดข่มสำนักหยางจู ไม่ให้โลกใบนี้เดินมุ่งหน้าไปตามเส้นสายความรู้ของสำนักนี้ จากนั้นต่อมาถึงเป็นการลุกผงาดของหย่าเซิ่ง มีเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋น หลังจากนั้นต่อมาก็เป็นเหวินเซิ่งที่เสนอว่าสันดานเดิมมนุษย์นั้นชั่วร้าย
ในบรรดาบรรพจารย์ของเมธีร้อยสำนัก อันที่จริงมีคนไม่น้อยที่ต่างก็มีคำตำหนิต่อเรื่องนี้ค่อนข้างมาก คิดว่าหลี่เซิ่งกังวลว่ามหามรรคาของตัวเองอย่าง ‘มารยาทกฎเกณฑ์’ กับ ‘เสรีภาพส่วนบุคคล’ ที่สำนักหยางจูเชิดชูจะเกิดความขัดแย้งที่ไม่อาจผสานกลมกลืนกันได้ พวกเขารู้สึกว่าความเป็นระเบียบเรียบร้อยของวิถีทางโลกกับเสรีภาพส่วนบุคคล ระหว่างสองอย่างนี้มีการช่วงชิงบนมหามรรคาที่มองไม่เห็นดำรงอยู่ ดังนั้นคนไม่น้อยจึงคิดว่าหลี่เซิ่งนั้นเห็นแก่ตัวถึงได้ตอบรับข้อเสนอของหย่าเซิ่ง
หลี่เซิ่งที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่ค่อยชอบดื่มเหล้า ครั้งนั้นเป็นฝ่ายไปดื่มเหล้ากับปรมาจารย์มหาปราชญ์ด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เพียงแต่ว่าตอนที่ดื่มเหล้า หลี่เซิ่งไม่ได้พูดอะไร แค่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ เท่านั้น
แน่นอนว่าอาจารย์ผู้เฒ่าย่อมรู้ถึงสาเหตุ ไม่ใช่ว่าสำนักหยางจูที่เชิดชูคำกล่าวว่า ‘ทุกคนล้วนทำเพื่อตัวเอง เป็นเรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน’ ไม่ดี หากไม่ดีก็คงไม่กลายเป็นทฤษฎีที่มีชื่อเสียงของใต้หล้า พูดถึงเรื่องความเป็นความตายได้อย่างเปิดเผยกระจ่างแจ้ง พูดถึงเรื่องความสูงศักดิ์ก็ยิ่งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ มีความแปลกใหม่ วัตถุประสงค์ที่ว่า ‘อย่าทำให้ตัวเองเหนื่อยยากเพื่อแสวงหาวัตถุ อย่าทำลายสิ่งที่อยู่นอกกาย’ ก็ดีมากเหมือนกัน แล้วก็ไม่ใช่ว่าความรู้ของสำนักนี้ใกล้เคียงกับของลัทธิเต๋า เพียงแต่ว่าความรู้ของสายหนึ่ง สักวันหนึ่งจะเป็นดั่งมหานทีที่ไหลพรั่งพรูสู่โลกมนุษย์ ปูแผ่ออกไปกลายเป็นวิถีทางโลก ทำให้คนบนโลกทุกคนที่เดินอยู่บนเส้นทางนี้ คนทุกคนจะเปลี่ยนมาเป็นยิ่งเดินก็ยิ่งไปยังทางสุดโต่ง และในนี้ก็เกี่ยวพันไปถึงการช่วงชิงกันระหว่างความเป็นคนและความเป็นเทพที่ถูกอำพรางไว้ลึกล้ำยิ่งกว่า
อาจารย์ผู้เฒ่าถาม “จิ่งชิง นายท่านบ้านเจ้ามองสำนักหยางจูอย่างไร?”
เฉินหลิงจวินคิดแล้วก็ตอบไปตามสัตย์จริง “นายท่านบ้านข้าไม่เคยพูดถึงมาก่อน แต่เคยได้ยินห่านขาวใหญ่บอกว่า นั่นคือความประณีตละเอียดอ่อนของทฤษฎีการผสมผสานอย่างหนึ่ง ไม่ได้มีปัญหาอะไร คนหยิบมือหนึ่งศึกษาศาสตร์นี้ไม่ได้ส่งผลร้ายอะไร ทั้งยังสามารถสร้างประโยชน์ให้กับวิถีทางโลก หากทุกคนล้วนเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นดั่งดอกราตรีที่เบ่งบาน”
หากไม่เป็นเพราะชุยตงซานพูดเหลวไหลส่งเดช เฉินหลิงจวินก็คงไม่เคยได้ยินชื่อสำนักหยางจูอะไรนี่ด้วยซ้ำ
เฉินหลิงจวินรู้สึกมาโดยตลอดว่าห่านขาวใหญ่ก็คือผีขี้เหล้าเมามาย ต่อให้ไม่ต้องดื่มเหล้าก็พูดจาเหมือนคนเมาได้
คนทั้งสองเดินเลียบลำคลองหลงซวีไปด้วยกัน ตลอดทางมานี้ปรมาจารย์มหาปราชญ์มีอะไรก็พูดกับตนทั้งหมด ทำเอาเฉินหลิงจวินที่เดินอยู่รู้สึกตัวลอยนิดๆ “ปรมาจารย์มหาปราชญ์ วันนี้ท่านผู้อาวุโสคุยกับข้ามากขนาดนี้ต้องเป็นเพราะรู้สึกว่าข้าคือคนมีความสามารถที่อบรมปลูกฝังได้ ใช่หรือไม่?”
อาจารย์ผู้เฒ่าหัวเราะร่วน “นี่มันหลักการเหตุผลอะไรกัน?”
ใบหน้าของเฉินหลิงจวินเต็มไปด้วยความจริงใจ “ท่านผู้อาวุโสยุ่งขนาดนั้น แต่ก็ยังยินดีจะพูดคุยกับข้ามาตลอดทาง”
อาจารย์ผู้เฒ่าตอบไม่ตรงคำถาม “ตัวเองของทุกๆ เมื่อวาน จึงจะเป็นภูเขาใหญ่ที่ใหญ่ที่สุดให้พวกเราพึ่งพาในวันนี้”
“จิ่งชิง ทำไมถึงชอบดื่มเหล้าล่ะ?”
“หา? ชอบดื่มเหล้ายังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?”
“ก็จริงนะ”
“ปรมาจารย์มหาปราชญ์ ขอข้าถามคำถามหนึ่งกับท่านผู้อาวุโสได้หรือไม่?”
“แน่นอนว่าต้องได้”
“บนโต๊ะสุรากลัวคนประเภทไหนมากที่สุด?”
“คือคนที่ดื่มเหล้าแล้วขึ้นหน้า ดื่มเหล้าแล้วหน้าแดง”
ว้าว ไม่มีอะไรยากสำหรับปรมาจารย์มหาปราชญ์จริงเสียด้วย! ประโยคนี้พูดมาถึงส่วนลึกของหัวใจตนได้พอดีเลย
——