กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 852.3 ตรอกหนีผิง
เจ้าอารามผู้เฒ่าใช้สองนิ้วคีบยันต์กระบี่ หรี่ตามองพินิจพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จริงดังคาด ได้ซุกซ่อนคาถากระบี่บรรพกาลที่ยากจะสังเกตเห็นไว้บทหนึ่งจริงเสียด้วย ผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตไม่พอต้องไม่มีทางมองออกแน่นอน
ส่วนคำว่าขอบเขตไม่พอที่กล่าวถึงนี้ แน่นอนว่าหากต่ำกว่าผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสิบสี่และผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยานแล้ว ล้วนไม่พอ
เพียงแต่คาถากระบี่นี้ไม่ครบถ้วน คิดอยากจะเติมให้ครบ คาดว่าคงต้องมียันต์กระบี่อีกห้าหกเล่ม แต่ไม่ว่าราคาขายของยันต์กระบี่จะเป็นอย่างไร ขอแค่มีคนและยังมีใจที่จะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ ก็ล้วนเป็นการค้าที่จะต้องได้กำไรพิเศษก้อนใหญ่ ได้กำไรอย่างไร? ลำพังเพียงแค่คาถากระบี่บทนี้ก็มากพอจะทำให้สำนักวิถีกระบี่แห่งหนึ่งหยัดยืนอยู่ในใต้หล้าไพศาลได้อย่างมั่นคงแล้ว ประเด็นสำคัญคือธรณีประตูของคาถาบทนี้ต่ำ ขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติดีเลิศเลออะไรก็ล้วนสามารถฝึกกระบี่ฝึกตนไปได้ตามลำดับขั้นตอน หากพูดถึงพลังพิฆาต ระดับของคาถากระบี่ไม่สูง แต่ยามฝึกฝนกลับจะมั่นคงปลอดภัย ดังนั้นยิ่งเป็นสำนักใหญ่ก็ยิ่งให้ความสำคัญกับคาถาประเภทนี้
ชุยตงซานกระโดดลอยตัวขึ้นสูงอยู่ตรงขั้นบันได เบี่ยงตัวพลิกกายมาพลิ้วร่างลงข้างโต๊ะ สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะสองข้าง แหงนหน้าขึ้น พูดกับตัวเองว่า “กำลังจะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงแล้ว สายลมสารทเยียบเย็น แสงจันทร์สารทใสกระจ่าง ก้อนเมฆสารทฤดูลอยเต็มท้องนภา น้ำสารทฤดูกลีบบัวร่วงโรย”
จากนั้นถึงได้ถอนสายตากลับมา มองพ่อครัวเฒ่าก่อน แล้วค่อยมองไปยังเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่ใช่คนแปลกหน้า ชุยตงซานยิ้มหน้าทะเล้น “น้ำฤดูใบไม้ร่วงมาถึง ร้อยลำน้ำไหลหลั่งสู่นที ยิ่งใหญ่อลังการ ยากจะแยกแยะว่าเป็นวัวหรือม้า”
จูเหลี่ยนยิ้มรับ คำพูดคำจานี้ค่อนข้างจะกวนอารมณ์ชวนเตะอยู่บ้าง
ชุยตงซานเอนหลังพิงโต๊ะ นั่งแปะลงบนม้านั่งยาว ยกเท้าขึ้นแล้วหันตัวมา ถามว่า “ขุนเขาสายน้ำยาวไกล เมฆลึกหนทางเปลี่ยวร้าง นักพรตผู้เฒ่ามาเยือนด้วยเหตุใด?”
จูเหลี่ยนแทะเมล็ดแตง หากตนเป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าคงลงมือตีคนแล้ว
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “สรรพสิ่งบนโลกล้วนมีรอยแตก ทุกสิ่งที่มองเห็นด้วยสายตา ต่อให้เป็นร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ยังไม่อาจเห็นได้ ต่อให้เป็นจิตแห่งมรรคาของผู้ฝึกตน ก็ยังไม่ใช่หนึ่งที่สมบูรณ์แบบอะไร เส้นทางสายนี้เดินผ่านไปไม่ได้ ต่อให้เจ้าชุยฉานจะเสาะหามาทั้งชีวิต ก็ยังหาไม่เจอ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเหนื่อยเปล่า ไม่อย่างนั้นไยบรรพจารย์สามลัทธิต้องมาที่นี่ด้วย มรรคาและหนึ่ง หากกลายเป็นของบางอย่างที่จับต้องได้จริง จะไม่ใช่ว่าต้องพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกันอีกครั้งหรอกหรือ”
ชุยตงซานพูดบ่น “ตะพาบอะไรกัน ข้าคือตงซานนะ”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ
ชุยตงซานโยกไหล่ ท่องพึมพำเหมือนอาจารย์สอนหนังสือในโรงเรียนที่ตอบไม่ตรงคำถาม “อีกอย่าง ทางเส้นนี้อยู่ใกล้เพียงนี้เชียวหรือ? ดวงตามองไม่เห็นขนตาของตัวเอง ทางสายนี้อยู่ไกลเพียงนี้เชียวหรือ? มีเพียงสัมผัสกับเรื่องราวถึงจะรู้ว่ามันดำรงอยู่จริง ขอบเขตของอริยะบุคคลอยู่ต่ำใกล้ชิดเพียงนี้เชียวหรือ? ดาวชานซิงดาวซางซิงลอยขึ้นลอยลง ขอบเขตของอริยะบุคคลสูงส่งยาวไกลเพียงนี้เชียวหรือ? เข้าใจกระจ่างจึงเป็นทวยเทพ”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มบางๆ “ชุยฉานในปีนั้น จะดีจะชั่วก็ยังมีท่าทีของบัณฑิต หากปีนั้นมีสารรูปเช่นเจ้าในเวลานี้ ผินเต้าก็สามารถรับรองได้เลยว่าเจ้าหนูเจ้าไม่มีทางเดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้”
ชุยตงซานตบอกตัวเองคล้ายกับหวาดกลัวภายหลัง
เจ้าอารามผู้เฒ่าดื่มน้ำชาไปหนึ่งอึก “คนที่รู้จักเป็นภรรยาจะปิดบังทั้งสองทาง คนที่ไม่รู้จักเป็นภรรยาจะปากโป้งทั้งสองด้าน อันที่จริงปิดบังสองด้านมักจะยากทั้งสองด้านเสมอ”
ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดโต๊ะ ชุยตงซานกลอกตาเอ่ยว่า “คำพูดประโยคนี้ของผู้อาวุโส พูดได้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรแล้ว”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเห็นว่าเจ้าหมอนี่ยังแกล้งโง่ต่อไปก็หันหน้าไปมองสตรีที่เดินนิ่งเลียบบันไดลงมา ถามว่า “นี่ก็คือลูกศิษย์ถ่ายทอดวิชาหมัดที่เจ้าเลือกมาหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ลูกศิษย์ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อ แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยฝีมือแมวสามขาของข้า สตรีเรียนไปแล้วก็ไม่งาม”
เจ้าอารามผู้เฒ่าไม่เห็นด้วย หันไปถามสตรีผู้นั้น “เจ้าชื่อเฉินยวนจีรึ?”
เฉิน (岑 ออกเสียงเดียวกับแซ่เฉิน 陈 ของเฉินผิงอัน แต่เขียนคนละแบบ คนละความหมาย) ภูเขาลูกเล็กแต่สูง บรรยายถึงภูเขาหินที่มีหน้าผาสูงชันอันตราย ยวนจี หมายถึงเครื่องทอผ้าในโลกมนุษย์ แต่นักกวีให้คำเปรียบเปรยถึงเงาของบุปผาที่เคลื่อนไหว
ลู่เฉินมักจะทำอะไรตามแต่ใจของตัวเองเป็นหลัก ชอบปล่อยสายเบ็ดยาวเพื่อตกปลาใหญ่ ทว่าต่อให้ตกปลามาไม่ได้เขาก็ไม่สนใจ
สือโหรวแห่งตรอกฉีหลงก็ดี ชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ประวัติความเป็นมาวกวนอ้อมค้อมตัวนั้นก็ช่าง ก็แค่รอคอยคนที่ยินดีมาติดเบ็ดเท่านั้น ไม่สนใจสักนิดว่าสายเส้นเอ็นที่ใช้ตกปลาจะขาดไป หรือปลาจะงับเหยื่อแล้วว่ายหนีไป
เฉินยวนจีเพิ่งจะหยุดเท้าที่หน้าประตูภูเขา นางรู้จักหนักเบาดี นักพรตเฒ่าคนหนึ่งที่สามารถทำให้อาจารย์ผู้เฒ่าจูและชุยตงซานเป็นฝ่ายลงจากภูเขามาพบหน้าด้วยตัวเอง ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ไม่รู้ว่าเหตุใด ทั้งๆ ที่นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเรียบเฉยเป็นปกติ แต่เฉินยวนจีกลับสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาล นางกุมหมัดเอ่ยว่า “ตอบท่านนักพรต ผู้เยาว์ชื่อเฉินยวนจีจริงเจ้าค่ะ”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “ขู่ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งตกใจกลัวทำไม”
ชุยตงซานกวักมือ “หมี่ลี่น้อย เอาเมล็ดแตงมาแทะบ้างสิ”
แม่นางน้อยชุดดำรีบลุกจากเก้าอี้ไม้ไผ่ทันที วิ่งเหยาะๆ มาที่โต๊ะแล้วควักเอาเมล็ดแตงทั้งหมดที่เหลืออยู่ในกระเป๋าผ้าฝ้ายออกมา แต่กลับเทให้ชุยตงซานไม่มากนัก “ข้าให้ ศิษย์พี่เล็ก”
ชุยตงซานตบศีรษะตัวเอง ถามว่า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา แค่นี้เองหรือ?”
หมี่ลี่น้อยได้ยินว่าห่านขาวใหญ่เปลี่ยนคำเรียกขานก็ตีหน้าเคร่ง หยิบเมล็ดแตงออกมาจากชายแขนเสื้ออีกกำมือใหญ่
ชุยตงซานพยักหน้า “ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวามือเติบใจกว้างนัก!”
เจ้าอารามผู้เฒ่าถามจูเหลี่ยนอีกว่า “เส้นทางของวิชากระบี่ล่ะ? คิดว่าจะไปเลือกเอามาจากตัวอ่อนผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือ?”
เป็นเจ้าอารามผู้เฒ่าเหมือนกัน นักพรตซุนของอารามเสวียนตูใหญ่ยุยงให้ลู่เฉินสลายมรรคาแล้วไปจุติเกิดใหม่เป็นผู้ฝึกกระบี่ นั่นไม่ใช่คำหยอกล้อไปเสียทั้งหมด แต่เพราะเขามีเป้าหมาย
แน่นอนว่าด้วยนิสัยเช่นนั้นของซุนไหวจง หากลู่เฉินไปเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงๆ คาดว่าไม่ว่าจะอย่างไรก็คงต้องให้ลู่เฉินกลายมาเป็นนักพรตน้อยที่ลำดับศักดิ์ต่ำสุดของอารามเสวียนตูอย่างแน่นอน คอยเรียกตนว่าท่านบรรพบุรุษอยู่ทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง ถ้าไม่เรียกก็ต้องถูกจับแขวนไว้บนกิ่งท้อแล้วโดนฟาด
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ข้าจะมีหน้าไปสอนเวทกระบี่ให้คนอื่นได้อย่างไร แบบนั้นไม่เรียกว่าถ่วงรั้งลูกศิษย์ของคนอื่นแล้วจะเรียกว่าอะไร”
ผู้ฝึกกระบี่ของไพศาล โยนไปไว้ในพื้นที่มงคลดอกบัวสักคน ก็ล้วนได้กลายเป็นเซียนกระบี่อย่างสมชื่อแล้ว
ในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีเรื่องเล่าของเซียนดินที่ถูกจารึกไว้ในเกร็ดพงศาวดารของทางการเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไร้หลักฐานให้ตรวจสอบ นอกจากจูเหลี่ยนจะเป็นศาสตร์การคำนวณ การคิดบัญชีและจัดการกิจการแล้ว ยังเคยรับผิดชอบเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์ของทางการมาก่อน ได้เห็นเกร็ดพงศาวดารปลายแถวมาไม่น้อย อะไรที่บอกว่าพวกเซียนดินพ่นเม็ดกระบี่ออกจากปาก แสงสีขาวเปล่งประกายวูบเดียวก็ตัดหัวคนได้ไกลพันลี้ แต่อยู่ที่บ้านเกิด ต่อให้จะเป็นเรื่องเล่าประหลาดเหล่านี้ ยามที่พูดถึงสายของเซียนกระบี่ก็ไม่มีคำพูดดีๆ อะไรกล่าวถึง อะไรที่บอกว่าไม่ใช่มหามรรคาที่ทำให้เป็นอมตะ เป็นเพียงแค่เวทคาถาสายรอง คาถาของกระบี่บินยากที่จะสร้างผลสำเร็จบนมหามรรคาได้ ทว่าเส้นทางการเรียนวรยุทธของจูเหลี่ยน สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ได้มาจากในตำราจริงๆ ข้อนี้เหมือนกับเจี่ยเซิงบัณฑิตของใต้หล้าไพศาลอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ต่างก็เป็นคนที่เข้าใจได้เองโดยที่ไม่ต้องมีอาจารย์ อาศัยแค่การอ่านตำรา เรียนรู้ด้วยตัวเองจนประสบความสำเร็จ เพียงแต่ว่าคนหนึ่งฝึกตน คนหนึ่งฝึกวรยุทธ
แรกเริ่มสุดตอนที่จูเหลี่ยนออกท่องยุทธภพก็เคยพกกระบี่ออกเดินทางไกล ท่องไปทั่วขุนเขาสายน้ำใหญ่ที่มีชื่อเสียง เยี่ยมเยือนเซียนถามมรรคา
นอกจากนี้ก็มีความคิดที่เก็บงำเอาไว้ จูเหลี่ยนอยากรู้ว่าขอบเขตสิ้นสุดของใต้หล้านั้นอยู่ที่ไหน หากฟ้ากลมแผ่นดินเหลี่ยมจริง ต่อให้ฟ้าดินจะกว้างใหญ่ไพศาลแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีจุดสิ้นสุดกระมัง?
หมี่ลี่น้อยยังไม่ได้จากไปไกล สีหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความตกตะลึง หันหน้ามาถาม “พ่อครัวเฒ่าก็ควงกระบี่เป็นด้วยหรือ?”
จูเหลี่ยนโบกมือ “เวทกระบี่อะไรกัน อย่าไปฟังถ้อยคำเกรงใจที่ออกมาจากปากของแขกประเภทนี้เลย เมื่อเทียบกับวิชากระบี่มารคลั่งของเผยเฉียนแล้วยังห่างชั้นกันอักโขนัก”
ชุยตงซานก้มหน้าแทะเมล็ดแตง “หมี่ลี่น้อย เจ้าคงไม่รู้กระมัง พ่อครัวเฒ่าของพวกเราท่านนี้ อยู่ในห้องครัวสวมผ้ากันเปื้อน แต่พอปลดผ้ากันเปื้อนรัดเอวออกจากประตูบ้านไปแล้ว ยามควงกระบี่ขึ้นมาช่างงดงามน่ามองนัก ตอนที่อยู่ในยุทธภพของพื้นที่มงคลดอกบัวก็มีชื่อเสียงเลื่องลืออย่างมาก ต่างก็บอกว่าบนกระบี่ยาวของคุณชายผู้สูงศักดิ์จูเหลี่ยนล้วนถูกร้อยรัดไว้ด้วยอารมณ์รักอันอ่อนโยนละมุนละไมของสตรี อวี๋หมี่ก็ยังสู้ไม่ได้ ไม่รู้ว่าจอมยุทธหญิงในยุทธภพกี่มากน้อยที่ตลอดชีวิตหันไปฝึกกระบี่อย่างหมกมุ่น เพียงแค่เพื่อให้ได้ประลองกับพ่อครัวเฒ่าสักครั้ง”
ชุยฉานเคยติดตามซิ่วไฉเฒ่าไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้น จึงเข้าใจขนบธรรมเนียมและนิสัยใจคอของผู้คนที่นั่นค่อนข้างมาก
หมี่ลี่น้อยรีบยกมือข้างหนึ่งขึ้นมากุมท้อง เม้มปากแน่น ก่อนจะพูดเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “พ่อครัวเฒ่ายังเคยเป็นคุณชายผู้สูงศักดิ์ด้วยหรือ”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ชายชาตรีไม่พูดถึงความองอาจในวันวาน ล้วนเป็นเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปแล้ว ยุทธภพนี่นะ ล้วนชอบกระพือข่าวลือให้แพร่ออกไปเป็นวงกว้าง ยิ่งลือก็ยิ่งเลอะเทอะ”
หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับอย่างแรง อืมรับหนึ่งที หมุนตัววิ่งกลับไปที่เก้าอี้ไม้ไผ่ ยิ้มปากกว้าง แต่เพราะเห็นแก่หน้าของพ่อครัวเฒ่า จึงไม่ได้หลุดเสียงหัวเราะออกมา
ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของตรอกฉีหลงตัวนั้นเพิ่งจะวิ่งมาถึงหน้าประตูภูเขา พอเงยหน้ามองเห็นนักพรตผู้เฒ่าอยู่ไกลๆ มันก็รีบหันหัวเลี้ยวกลับทันที
เจ้าอารามผู้เฒ่าหันไปมอง น่าเสียดายนัก ไม่รู้ว่าทำไมหร่วนซิ่วถึงได้เปลี่ยนใจ ไม่อย่างนั้นก็เกือบจะเป็นอย่างคำโบราณประโยคนั้นที่ว่าคางคกกลืนจันทร์ สุนัขสวรรค์กินจันทรา
สุยโย่วเปียนขี่กระบี่มาจากภูเขาลูกอื่น นางไม่ได้นั่งลง เพราะอยากจะถามท่านเทพเทวดาของพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นี้เกี่ยวกับเรื่องของอาจารย์ตนเสียหน่อย
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยกับนางว่า “บอกกับเฉินผิงอันสักคำ อารามจินติ่งของใบถงทวีปจะคงอยู่หรือล่มสลาย ผินเต้าไม่สนใจ แต่จำเป็นต้องเก็บเส้ายวนหรานผู้นั้นเอาไว้ ส่วนหนีหยวนจานผู้นั้น เจ้าแค่บอกกับเขาประโยคเดียวว่า มอบโอสถทองเม็ดนั้นมา เขาก็จะเป็นอิสระแล้ว”
ระบบการสืบทอดของอารามจินติ่งมาจากพรรคโหลวกวานสาย ‘ผูกหญ้าเป็นหอเรือน พิศดาวมองลมปราณ’ ของลัทธิเต๋า ส่วนหนีหยวนจานคนถ่อเรือของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาก็คือหมากเม็ดหนึ่งที่ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าโยนออกไปจากพื้นที่มงคล
สุยโย่วเปียนทำท่าจะพูดไม่พูด และถึงท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาสักคำเดียว
จูเหลี่ยนช่วยคลี่คลายสถานการณ์ให้โดยเป็นฝ่ายพยักหน้าพูดแทรกว่า “นี่จะมีอะไรยาก ก็แค่นำความไปบอกต่อเท่านั้น”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ยถาม “เจียงซ่างเจินแห่งสำนักกุยหยก ทำไมถึงไม่อยู่บนภูเขาเล่า?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เดิมทีควรจะอยู่บนภูเขา แล้วไปที่ใบถงทวีปด้วยกัน แต่โจวอันดับหนึ่งของพวกเราคนนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหจึงแอบดอดไปที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว”
สุยโย่วเปียนได้รับการส่งสายตาจากจูเหลี่ยนจึงจากไปเงียบๆ เดินไปหาหมี่ลี่น้อย
เจ้าอารามผู้เฒ่ากวาดตามองรอบด้าน ถอนหายใจ “มีเรื่องของการสลายมรรคา คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุดก็ยังคงเป็นลัทธิขงจื๊อของพวกเจ้าที่ได้เปรียบที่สุด อวี๋โต้วคงจะโมโหไม่เบา”
หากบรรพจารย์ของสามลัทธิสลายมรรคาพร้อมกัน สำนักศึกษา วัด อาราม ทุกหนทุกแห่งล้วนได้รับผลประโยชน์ไป ถ้าอย่างนั้นใต้หล้าไพศาลที่เมื่อเทียบกับใต้หล้าแห่งอื่นแล้วสามารถยอมรับความรู้ของลัทธิอื่นได้มากที่สุดก็ต้องได้รับมอบไปมากที่สุดอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันกับที่สลายมรรคา บรรพจารย์สามลัทธิก็จะจับมือกันเดินทางไปเยือนซากปรักของสรวงสวรรค์เก่าด้วยกันรอบหนึ่ง ปัญหาใหญ่เทียมฟ้านี้ แน่นอนว่าไม่มีทางทิ้งไว้ให้คนอื่นจัดการ
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ทำให้เต๋าเหล้าเอ้อโมโหตายไปเลยย่อมดีที่สุด”
เจ้าอารามผู้เฒ่าพูดเสียงเบา “พูดถึงแค่เรื่องเดียว เมื่อบนโลกนี้ไม่มีขอบเขตสิบห้าอีกต่อไปแล้ว คนที่เป็นขอบเขตสิบสี่แล้วจะมองผู้ฝึกตนที่มีโอกาสได้กลายเป็นขอบเขตสิบสี่อย่างไร?”
ชุยตงซานพยักหน้า “ฟ้าจะเปลี่ยนสีแล้ว คงจะมีทั้งไม่ดีและดีกระมัง แต่ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็คิดว่ามันน่าจะโน้มเอียงไปในทางอย่างหลังมากกว่า”
เจ้าอารามผู้เฒ่าถาม “ตอนนี้? ทำไม?”
ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ามีอาจารย์อยู่นี่นา”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหันไปมองจูเหลี่ยนที่เป็นหนึ่งใน หรือถึงขั้นเป็นสองในห้าฝันเจ็ดจิตธรรมของลู่เฉิน
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสมองข้าทำไม ข้าไม่ได้หล่อเหลารูปงามเหมือนคุณชายข้าสักหน่อย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ช่างเป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ผินเต้าไม่เสียแรงที่มาเยือน ขนบธรรมเนียมเที่ยงตรงอย่างยิ่ง”
——