กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 853.1 คร่าวๆ
เจ้าอารามผู้เฒ่ามาที่ภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ หลักๆ แล้วก็เพื่อมาพบจูเหลี่ยน น่าเสียดายที่ต้องรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย คนตรงหน้าผู้นี้ยังอยู่ไกลเกินกว่าที่จะตื่นจากฝัน
ผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์มีแค่สามคนครึ่งเท่านั้นที่ทำให้นักพรตเฒ่าวางใจและเคารพนับถือได้มากที่สุด หลี่เซิ่ง เจ้าลัทธิใหญ่แห่งป๋ายอวี้จิง พระโพธิสัตว์แห่งดินแดนพุทธะสุขาวดี
ส่วนที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง ไม่เคารพ แต่กลับวางใจ นั่นก็คือลู่เฉิน
แต่เจ้าอารามผู้เฒ่าก็มีความกังวลและคลางแคลงใจอยู่หลายส่วน จูเหลี่ยนผู้นี้จะคืนสติมานานแล้วหรือไม่ หรือว่าเขาไม่เคยเข้าสู่ความฝันอย่างแท้จริงมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?
เจ้าลู่เฉินผู้นี้ มีเรื่องอะไรที่เขาจะทำไม่ได้บ้างเล่า
ระหว่างฟ้าดิน หากไม่มีขอบเขตสิบห้าทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่คนใดที่มีอยู่ก่อนแล้ว รวมไปถึงคนที่จะลุกผงาดขึ้นมาในอนาคต ไม่ว่าจะอยู่ในใต้หล้าแห่งใด อันที่จริงก็เท่ากับว่าได้สูญเสียตรวนพันธนาการที่ใหญ่ที่สุดไปแล้ว จะต้องมีอิสระมากกว่าเดิม อิสระจนใกล้เคียงกับคำว่าบริสุทธิ์ได้ยิ่งกว่าเดิม
โชคดีที่ใต้หล้าไพศาลยังมีหลี่เซิ่งที่เคาพกฎระเบียบที่สุดอยู่คนหนึ่ง แต่หากจะพูดถึงใต้หล้ามืดสลัว ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของป๋ายอวี้จิงท่านนั้น นิสัยของอวี๋โต้วเจ้าลัทธิรองเป็นอย่างไร ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมานี้ ขนาดคนเดินถนนก็ยังรู้
คาดว่าผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขา คงจะต้องประเมินความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับป๋ายอวี้จิงให้ดีๆ สักรอบหนึ่งแล้ว ถึงขั้นที่ว่าแม้กระทั่งผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่ที่มีอยู่ในใต้หล้ามืดสลัว ขอแค่เป็นคนที่นิสัยเข้ากันกับอวี๋โต้วไม่ได้ ไม่แน่ว่าอาจจำเป็นต้องเตรียมการหาทางถอยไว้ให้ตัวเองแต่เนิ่นๆ แล้วด้วย
แน่นอนว่าในบรรดาคนเหล่านี้ อู๋ซวงเจี้ยงแห่งตำหนักสุ้ยฉูและนักพรตซุนแห่งอารามเสวียนตูใหญ่จะต้องเป็นข้อยกเว้นสองข้อ
คนหนึ่งพุ่งเป้าไปที่การแบ่งเป็นตายกับอวี๋โต้ว อีกคนหนึ่งคืออันดับที่ห้าแห่งใต้หล้าที่ฟ้าผ่าก็ไม่สะเทือน หากจะประลองมรรคกถากันขึ้นมาจริงๆ แน่นอนว่าไม่มีใครที่เป็นตะเกียงขาดน้ำมัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ ‘ผินเต้าช่วยเจ้ากับลู่เฉินพูดจาดีๆ เท่าลานตากธัญพืชหลายลาน เจ้าอวี๋โต้วยังมีหน้ามาหาเรื่องผินเต้าอีกหรือ เจ้าเป็นตัวที่ตอบแทนบุญคุณด้วยความแค้นอย่างนั้นรึ?’
อยู่ดีๆ จูเหลี่ยนก็ถามคำถามหนึ่งขึ้นมา “หากหลี่เซิ่งก็จากไปเช่นกัน สภาพการณ์ของใต้หล้าทั้งหลายจะเป็นเช่นไร?”
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มตาหยีตอบ “คำถามนี้ถามได้อย่างเนรคุณมากแล้วนะ”
ชุยตงซานพูดใส่อารมณ์ “ไร้มารยาท ไร้เหตุผลเกินไปแล้ว โชคดีที่หลี่เซิ่งของพวกเราใจดี ไม่มีทางถือสาการก่อกวนอย่างไร้เหตุผลของเจ้า”
เขาประกบสองมือเข้าด้วยกัน ยกท่วมเหนือหัวแล้วเขย่าอย่างแรง
จูเหลี่ยนถามอีกว่า “หลังจากที่มรรคาจารย์เต๋าสลายมรรคาแล้ว เจ้าลัทธิใหญ่หายตัวไปนานหลายปี ลู่เฉินก็ไม่เคยสนใจเรื่องใด อี๋โต้วจะใช้ป๋ายอวี้จิงกักขอบเขตบินทะยานส่วนใหญ่และผู้ฝึกตนขอบเขตสิบสี่ทั้งหมดมาด้วยความเร็วที่ฟ้าผ่าไม่ทันป้องหูหรือไม่? มีความเป็นไปได้นี้หรือไม่? หากว่ามี ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวจะมีคนมาจัดการ จะขัดขวางอวี๋โต้วได้หรือไม่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหัวเราะหยัน “อู๋ซวงเจี้ยงได้ให้คำทำนายที่คล้ายกับข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่อวี๋โต้วไว้นานแล้ว หากท่านไม่ฝึกขัดเกลาคุณธรรม คนที่อยู่บนเรือจะกลายเป็นศัตรูไปหมดสิ้น และนั่นก็คือหนทางสู่ความตาย”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เจ้าอารามผู้เฒ่าก็หัวเราะ “เจ้าอารามซุนผู้นั้นนิสัยชั่วร้ายมาแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินคำทำนายนี้ก็ด่าอู๋ซวงเจี้ยงให้คนรับรู้กันทั่ว บอกว่าผายลมเหม็นๆ ของมารดาเจ้าน่ะสิ สหายอวี๋โต้วของข้าคนนั้นคือใคร? คือผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง! คนทั้งเรือกลายเป็นศัตรูแล้วอย่างไร สิ่งที่สหายอวี๋โต้วต้องการก็คือสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่มองดูคล้ายรายล้อมไปด้วยภยันตราย แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นแค่การตกอกตกใจไปเองเช่นนี้แหละ”
ส่วนความนัยในถ้อยคำของเจ้าอารามผู้เฒ่าก็คือนอกจากตำหนักสุ้ยฉูและอารามเสวียนตูแล้ว ตัวเขาเองที่ทุกวันนี้ได้ย้ายทั้งอารามและลูกศิษย์ในอารามไปอยู่ในใต้หล้ามืดสลัวแล้ว ก็ล้วนถือเป็นคนบนเรือลำเดียวกับอวี๋โต้วแล้ว
ชุยตงซานรินน้ำชาให้เจ้าอารามผู้เฒ่าถ้วยหนึ่ง “ผู้อาวุโส ไม่ว่าจะอย่างไร ท่านและอาจารย์ของข้าก็ถือว่าเป็นสหายต่างวัยกันได้แล้ว อุตส่าห์มาเยือนภูเขาลั่วพั่วทั้งที คราวหน้าที่จะแวะมาก็ไม่รู้ว่าจะเป็นวันเดือนปีไหนแล้วจริงๆ ไม่สู้ให้ข้าพาท่านไปเดินเล่นบนยอดเขาจี้เซ่อดีไหม?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “อย่ามาทำเนียนตีสนิทกับผินเต้าอย่างส่งเดช ยกภาพจำลองส่วนหนึ่งของพื้นที่มงคลดอกบัวให้เฉินผิงอันไปก็ถือว่าข้ามีคุณธรรมมีน้ำใจมากพอแล้ว”
ชุยตงซานยังคงไม่ถอดใจ “ก็แค่เดินเล่นบนภูเขาลั่วพั่วไม่กี่ก้าวเท่านั้นเอง แค่นี้ผู้อาวุโสก็ยังไม่ตอบตกลงอีกหรือ จะดูไร้เหตุผลเข้ากับคนอื่นไม่ได้เกินไปหน่อยแล้ว”
ทุกก้าวที่เจ้าอารามผู้เฒ่าท่านนี้เดินไปบนโลกมนุษย์ จุดที่เขาเหยียบย่างลงไป ล้วนมีความพิถีพิถันใหญ่ เพราะมันจะกลายเป็นสถานที่แห่งการพรวนไถในทุกหนทุกแห่ง
ใบไม้ผลิหว่านไถใบไม้ร่วงเก็บเกี่ยว สวมตรวนพันธนาการมานาน ทั้งชีวิตยุ่งง่วนอยู่ในผืนนา พูดถึงใคร?
นิสัยวัว (เปรียบเปรยถึงนิสัยแข็งกร้าวดื้อดึง) ส่วนนั้นของเจ้าอารามผู้เฒ่า แน่นอนว่าเป็นเพราะมีคุณสมบัติให้เย่อหยิ่งจองหอง เหตุใดในอดีตผืนนาถึงสามารถใช้ฟ้าดินมาเป็นคันนา
บนพื้นดินกว้างใหญ่ ดินล้วนมีอายุ มีธาตุ เมื่อได้รับฝนชุ่มฉ่ำต้นหญ้าก็ถือกำเนิด คนไถพรวนลงแรง ชาวนาชาวไร่หว่านร้อยธัญพืช มนุษย์ธรรมดาทำนา ดินไม่อุดมสมบูรณ์ต้องใส่ปุ๋ย ดินเบาต้องใช้เท้าวัวห่อผ้าเหยียบย่ำให้แน่น เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเปลี่ยนดินอ่อนแอมาเป็นดินที่แข็งแกร่ง และวิธีการไถหญ้าสดลงไปในดินหรือวิธีกดเขียว (เก็บปุ๋ยเขียวหมักไว้ในดินที่นาเพื่อทำปุ๋ย) มองดูเหมือนธรรมดาสามัญ แต่แท้จริงแล้วกลับมีประวัติความเป็นมา คำว่ากด (ยา) นี้มาจากคำว่ายาเซิ่ง กดข่มเสนียดชั่วร้ายรับความมงคล
ผู้อาวุโสตงไห่จากอารามกวานเต๋าผู้นี้ เส้นทางที่เขาเดินผ่าน สุดท้ายแล้วจะสามารถทำให้ลมปราณขุ่นมัวสกปรกในฟ้าดินกลายเป็นปราณสะอาดสดชื่น และปราณสะอาดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ประเภทนี้ หากเปรียบกับปราณวิญญาณที่ผู้ฝึกตนมองเป็นรากฐานแห่งมหามรรคาแล้วกลับยิ่งไม่อาจใช้กำลังคนไปช่วงชิงมาได้ยิ่งกว่า
หากจะบอกว่าปราณวิญญาณคือรากฐานแห่งการฝึกตน ถ้าอย่างนั้นปราณสะอาดก็คือต้นกำเนิดแห่งโชคชะตา
บรรพจารย์ของสำนักกสิกรรมหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก หากว่าโชคดีได้พบกับเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนี้ก็มีแต่จะทำเกินกว่าเหตุยิ่งกว่าชุยตงซาน
ปวงประชาสงบสุข การเก็บเกี่ยวประจำปีดีเยี่ยม ห้าธัญพืชอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นความมงคลดุจเทพเจ้าให้พร เป็นปีที่ดีงาม
ชุยตงซานหรือจะยอมพลาดโอกาสที่พันปีก็ยากจะพานพบนี้ไปได้ เขานึกอยากจะพานักพรตเฒ่าเหยียบไปให้ทั่วน้ำใสเขาเขียวบนภูเขาทุกลูกของบ้านตนเลยด้วยซ้ำ!
เป็นคนนี่นะ ก็ต้องเดินเหยียบย่างให้เต็มเท้าให้มั่นคงเช่นนี้แหละ
เจ้าอารามผู้เฒ่าส่ายหน้า “หลักการของกำไรและขาดทุนเรียบง่ายแค่นี้ ยังต้องให้ข้าเป็นคนสอนเจ้าซิ่วหู่ด้วยหรือ?”
สายตาชุยตงซานฉายแววขุ่นเคืองไม่พอใจ เอาชายแขนเสื้อปาดโต๊ะกลับไปกลับมา “ผู้อาวุโสด่าคนอีกแล้ว”
ใบหน้าของเจ้าอารามผู้เฒ่าเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน “สมควรแล้วที่เจ้าต้องไปเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ก็ไม่รังเกียจว่าน่าขายหน้าเสียบ้าง”
สีหน้าของชุยตงซานพลันมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันใด “ไฉนเจ้าอารามผู้เฒ่าถึงชมกันอีกแล้วเล่า ทำเอาข้ารับมือไม่ทันเล็กน้อย”
เจ้าอารามผู้เฒ่าคร้านจะเปลืองน้ำลายพูดกับเจ้าคนที่สมองไม่สมประดีผู้นี้ อยู่ดีๆ เขาก็เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย เอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ก้อนหินเขียวที่อยู่ริมลำคลองหลงซวีนั้น ผินเต้าจะเอากลับไปด้วย ทุกวันนี้อาณาเขตนั้น ในนามถือเป็นของใคร? สกุลซ่งต้าหลี? หรือว่าหร่วนฉงที่ยังคงได้ครองยศอริยะผู้นั้น?”
หากเป็นราชสำนักต้าหลีก็พูดได้ง่าย ผินเต้าเดินทางมาเยือนซากปรักถ้ำสวรรค์หลีจูคราวนี้ ก้าวเดินมาหลายก้าวเช่นนี้ก็ถือว่าเป็นการชดเชยให้แล้ว น้ำเส้นเล็กไหลยาว บุญคุณขยายแผ่กว้าง
หากเป็นของหร่วนฉงที่เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาที่ได้ครอบครองอาณาเขตของลำคลองหลงซวีสายนี้ก็ทำการค้ากับเขาสักครั้งก็แล้วกัน
เหตุใดถึงยอมไว้หน้าหร่วนฉง แน่นอนว่าเป็นเพราะหร่วนซิ่วบุตรสาวของเขา
อาศัยขอบเขตมาแย่งชิงฉกฉวยของของคนอื่น?
ทำแบบนี้ไม่เพียงแต่ลดสถานะของตัวเอง ประเด็นสำคัญคือยังต้องพิจารณาถึงวัฏจักรแห่งสวรรค์ด้วย
ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ขอแค่วันเวลาที่มีอายุอยู่มายาวนานมากพอ ก็จะเข้าใจหลักการเหตุผลข้อหนึ่งได้อย่างกระจ่างชัด ติดหนี้ก็จำเป็นต้องใช้หนี้คืน
นอกจากจะเป็นเจ้าประมุขแห่งลัทธิหนึ่งอย่างบรรพจารย์สามลัทธิแล้ว ทั่วทั้งใต้หล้าแห่งนี้จะใช่อาณาเขตของบ้านตัวเองหรือไม่ กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
ส่วนอาณาเขตที่มีระดับขั้นรองลงมา ก็คือถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลแต่ละแห่ง คล้ายคลึงกับพื้นที่มงคลดอกบัวของเจ้าอารามผู้เฒ่าเอง
จูเหลี่ยนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หันไปมองชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างแวบหนึ่ง
ชุยตงซานมีสีหน้าจนใจ ส่ายหน้าให้จูเหลี่ยน เป็นตนที่มองพลาดไป ปล่อยให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่เสียได้ ก่อนหน้านี้ชุยตงซานมองไม่ออกเลยจริงๆ ว่าหินผาสีเขียวก้อนนั้นมีความมหัศจรรย์อะไร
ไม่อย่างนั้นหากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ชุยตงซานก็คงย้ายมาเป็นหินฮวงจุ้ยให้กับภูเขาลั่วพั่วแล้ว จะปล่อยให้นักพรตเฒ่าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นี้หมายตาได้หรือ ขนาดคนโง่ก็ยังรู้ว่ามันต้องมีมูลค่าควรเมือง
แต่ว่าเป็นคนต้องไม่กลัวว่าจะทำเรื่องผิดพลาด แก้ไขความผิดและชดเชยเสียใหม่ก็คือความสามารถในการเป็นคน
ชุยตงซานยืดคอยาวไปมองน้ำในลำคลองเส้นนั้น แล้วก็เริ่มคิดบัญชี “ลำคลองหลงซวี แรกเริ่มสุดคือลำธารเล็กเส้นหนึ่ง หากจำไม่ผิดน่าจะชื่อว่าลำธารอู๋ซี และสกุลเฉินแห่งลำธารอู๋ซีในอดีตก็เป็นแซ่ใหญ่อันดับหนึ่งของถ้ำสวรรค์หลีจู เพียงแต่ภายหลังตกอับ บังเอิญยิ่งนัก ในรุ่นบรรพบุรุษของอาจารย์ข้ามีที่นาผืนหนึ่งอยู่ตรงนั้นพอดี หากจะคิดคำนวณกันขึ้นมาจริงๆ นี่ก็ไม่ใช่กิจการของภูเขาลั่วพั่วเราหรอกหรือ…ส่วนโฉนดที่ดิน หากเจ้าอารามผู้เฒ่าอยากดู เดี๋ยวข้าจะไปหามาให้…”
แน่นอนว่าชุยตงซานพูดจาส่งเดชไปเรื่อย เจ้าอารามผู้เฒ่าหรือจะหลอกได้ง่ายขนาดนั้น เขาถึงกับแบ่งดวงจิตออกมาสามส่วนให้แยกกันไปที่ฝ่ายครัวเรือนของที่ว่าการเขต ที่ว่าการอำเภอและที่ว่าการผู้ตรวจการงานเตาเผาจังหวัดหลงโจวทันที ค้นหาโฉนดที่ดินทะเบียนบ้านอย่างรวดเร็วไปรอบหนึ่ง ส่วนเรื่องที่ว่าลำคลองหลงซวีมีชื่อในอดีตว่าลำธารอู๋ซี ท้องน้ำแปรเปลี่ยนอย่างไร ที่นาอยู่ตรงไหนก็ล้วนอนุมานอย่างละเอียดไปพร้อมกันด้วย
เรื่องราวและผู้คนบนโลกมนุษย์ ดุจไอชื้นหนาหนักลอยตัว ที่มาที่ไป ล้วนมีร่องรอยให้สืบเสาะ
เจ้าอารามผู้เฒ่าเก็บดวงจิตกลับมา ขมวดคิ้วน้อยๆ มองไปทางหลิวเสี้ยนหยาง ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอายุน้อยๆ ที่อยู่ตรงร้านตีเหล็กริมลำคลองแวบหนึ่ง
ชุยตงซานพลันกระจ่างแจ้งทันใด ปรบมือหัวเราะร่า “เข้าใจแล้ว มิน่าเล่าเหตุใดปีนั้นอาจารย์ปู่ที่ไปเยือนพื้นที่มงคลดอกบัวถึงได้เอ่ยชมไปประโยคหนึ่งว่า ‘น้ำสารทฤดูดุจทางช้างเผือกพร่างพรู อยู่ข้างใต้ดอกบัวอันห่างไกล’ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดตอนนั้นเซอเยว่ถึงได้ถูกจงใจจับโยนมาทิ้งไว้ที่นี่ ที่แท้นี่ก็คือโอกาสในการผสานมรรคาและการฝ่าทะลุขอบเขตของนางในอนาคต ไม่แน่ว่าหินผานั่นอาจเป็นคันฉ่องตำหนักจันทราบานหนึ่ง ช่างเป็นหินที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ผาเขียวรวมรากเมฆ! สงสัยว่าเป็นจันทราบรรพกาล กลมเกลี้ยงตกลงมายังที่แห่งนี้ เจ้าอารามผู้เฒ่า ข้าเดาถูกแล้ว ใช่หรือไม่?”
เจ้าอารามผู้เฒ่าเอ่ย “เจ้าช่วยไปต่อรองราคากับผู้ฝึกกระบี่คนนั้นแทนผินเต้าหน่อย”
กับคนหนุ่มที่ชอบท่องเที่ยวในความฝันผู้นี้ มีความเกี่ยวข้องกันให้น้อยหน่อยจะดีกว่า แน่นอนว่าไม่ได้หวาดเกรงผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง แต่กังวลว่าหากไม่ทันระวังจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลบางตนที่มีชีวิตอยู่เมื่อหมื่นปีก่อนไล่ตามเส้นสายมาพบเจอ ‘ตน’ ที่ยังไม่บรรลุมรรคา นั่นจะไม่กลายเป็นว่าไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องหวังหรอกหรือ
เจ้าอารามผู้เฒ่ายิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หากเจ้าอยากจะช่วยนั่งลงต่อรองราคาแทนเขาก็ได้เหมือนกันนะ”
ชุยตงซานดื่มน้ำชาอึกใหญ่ให้ลำคอชุ่มชื้น ก่อนจะใช้เสียงในใจตะโกนไกลๆ ว่า “หลิวสัปหงก หลิวสัปหงก น้องชายอย่างข้ามีเรื่องจะขอร้อง!”
ทางฝั่งร้านตีเหล็ก หลิวเสี้ยนหยางกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ชายคา ยุ่งอยู่กับการคุยเล่นกับอวี๋เชี่ยนเยว่ที่อยู่ด้านข้าง พอได้ยินเสียงในใจของน้องชุยก็เอ่ยว่า “ล้อเล่นอะไรกัน? มีเรื่องจะขอร้อง? ขอร้อง? ถ้าอย่างนั้นก็อย่าเปิดปากเลย ข้าไม่มีพี่น้องแบบนี้!”
ชุยตงซานสูดจมูก ใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้า อะไรที่เรียกว่าพี่น้อง? ก็อย่างพี่ใหญ่หลิวนี่ไง! ชุยตงซานรีบเล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้หลิวเสี้ยนหยางฟังไปรอบหนึ่ง ไม่ทำตัวห่างเหินเลยสักนิด บอกให้รู้ถึงว่าบางทีข้อดีของการค้าครั้งนี้อาจจะตกเป็นของภูเขาลั่วพั่ว เพราะขาดสมบัติพิทักษ์ภูเขาที่ปรารถนาแม้ในยามหลับฝันอยู่ชิ้นหนึ่ง พอดีกับที่มีคนหลอกง่ายคนหนึ่งที่สามารถมอบของชิ้นนั้นให้มาเยือนพอดี ชุยตงซานไม่ได้พูดถึงเรื่องการชดเชย หรือการหักเป็นเงินฝนธัญพืชอะไรกับหลิวเสี้ยนหยางเลยสักคำ
หลิวเสี้ยนหยางหันหน้าไปพ่นเปลือกเมล็ดแตงอีกฝั่งหนึ่ง เอ่ยว่า “มารดามันเถอะ เรื่องใหญ่เท่าก้น พูดง่าย พูดง่าย จำไว้ว่าต้องให้เจ้าคนมือเติบหลอกง่ายผู้นั้นจ่ายเงินต้นให้ครบด้วย!”
หางตาหลิวเสี้ยนหยางเหลือบไปมองแม่นางหน้ากลมแล้วพลันตะโกนขึ้น “รอเดี๋ยว! รอเดี๋ยว ต้องให้ข้าปรึกษากับแม่นางอวี๋ก่อน”
ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “หลิวสัปหงก เจ้านี่มันยังไงกันนะ มีภรรยาแล้วลืมพี่น้องหรือ ใช้ได้ๆ ถือว่าข้าได้เข้าใจเจ้าอย่างชัดเจนแล้ว”
หลิวเสี้ยนหยางหันไปบอกเล่าความเป็นมาเกี่ยวกับหินผาก้อนนั้นให้เซอเยว่ฟังคร่าวๆ บอกว่าบางทีอาจจะเป็นโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตของนาง ผลคือพอเซอเยว่ได้ยินว่าเป็นตำหนักจันทรา วาสนาสมบัติอะไรนั่น นางรำคาญเรื่องที่วกไปวนมาพวกนี้ที่สุด จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียเลย อีกอย่างของของเจ้าหลิวเสี้ยนหยาง จะมาถามข้าทำไม? พวกเราเป็นอะไรกัน? ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นอะไรกันนะ
ทุกวันนี้เป็ดที่อยู่ในลำคลองหลงซวียิ่งมีน้อยลงเรื่อยๆ เป็ดผัดหน่อไม้แห้งของที่ร้านก็ทำน้อยลงด้วย นางจึงอารมณ์ไม่ใคร่จะดีเลยจริงๆ
ดังนั้นนางจึงตั้งใจซื้อลูกเป็ดตัวเล็กๆ ขนนุ่มๆ มาฝูงหนึ่งโดยเฉพาะ เพียงแต่ว่าคอยเลี้ยงดูพวกมันอยู่ทุกวันจึงเกิดเป็นความผูกพัน แล้วยังต้องคอยเตือนหลิวเสี้ยนหยางอยู่ทุกวันด้วยว่าห้ามคิดอะไรไม่ดีกับพวกมัน
หลิวเสี้ยนหยางรีบใช้เสียงในใจตอบกลับชุยตงซานไปทันที “แม่นางอวี๋บอกแล้วว่า เห็นแก่หน้าข้า นี่จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร โอกาสไม่โอกาสอะไรนั่น นางไม่สนใจแม้แต่น้อย”
ชุยตงซานทอดถอนใจเอ่ยชื่นชม “พี่สะใภ้ช่างเป็นภรรยาที่ดีจริงๆ พี่ใหญ่หลิวโชคดียิ่งนัก!”
นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ ชุยตงซานก็พูดรับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะอย่างน่าเชื่อถือว่า “วันหน้าเมื่อเจ้าแต่งงานกับแม่นางอวี๋ หากเงินใส่ซองของน้องชายเช่นข้าใหญ่เป็นอันดับที่สาม ข้าจะใช้แซ่เดียวกับเจ้าเลย!”
——