กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 854.1 คำตอบของปริศนาที่ทายผิด
เมื่อเจ้าอารามผู้เฒ่าจากไป ชุยตงซานรีบหยิบแกนภาพหยกขาวชิ้นหนึ่งบนโต๊ะขึ้นมาทันใด เป่าลมใส่ ใช้ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะเช็ดอย่างประณีต หนึ่งในความบันเทิงของชีวิตมนุษย์ก็คือไม่เพียงแค่ตกใจไปเอง ยังมีเรื่องน่ายินดีที่ไม่คาดฝันเพิ่มมาด้วย
อย่าได้เห็นว่าเจ้าอารามผู้เฒ่ามีท่าทางปรองดอง เมื่อครู่ที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วก็แค่มาอยู่ที่หน้าประตูภูเขาเท่านั้น มานั่งลงที่นี่แล้วดื่มน้ำชาแทะเมล็ดแตง แล้วจะคิดว่าเขาเป็นคนที่พูดคุยด้วยง่ายได้
ในหลายๆ ใต้หล้า ในบรรดาผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่มีคนอยู่สามสี่คนที่ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีไปหาเรื่อง เพียงแต่ว่าป๋ายเหย่เป็นบัณฑิต เฒ่าตาบอดคร้านจะสนใจเรื่องทุกอย่างนอกภูเขา จะด่าอะไรก็ตามใจพวกเจ้า แค่อย่าให้เฒ่าตาบอดได้ยินกับหูตัวเองก็พอ
ส่วนภิกษุเสินชิงที่มีฉายาว่าภิกษุน้ำแกงไก่ผู้นั้น ถึงอย่างไรก็เป็นมังกรคชสารแห่งลัทธิพุทธที่ ‘จิตเมตตาปราณีก็คือจิตแห่งพุทธะ’ มีเพียงจมูกโคหน้าเหม็นอย่างตงไห่แห่งอารามกวานเต๋าผู้นี้เท่านั้นที่ทำอะไรไร้ร่องรอยให้สืบเสาะตามหามากที่สุด
ตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าอารามผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยอะไรกับสุยโย่วเปียนแม้แต่ประโยคเดียว
เดิมทีสุยโย่วเปียนอยากจะอาศัยโอกาสนี้มาถามเรื่องของอาจารย์ตัวเองให้มากหน่อย เพียงแต่ว่าพอถึงเวลาเข้าจริง คำพูดมารออยู่ตรงปาก ทว่ากลับยากจะเปิดปากได้
อันที่จริงเจียงซ่างเจินได้เล่าเรื่องวงในบางอย่างของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาให้นางฟังแล้ว เกี่ยวกับหนีหยวนจานคนถ่อเรือผู้นั้น พิฆาตยุงบนแม่น้ำอะไร ปีนั้นหายตัวไปได้อย่างไร เหตุใดถึงได้ถูกเจ้าอารามผู้เฒ่าโยนออกไปนอกพื้นที่มงคลดอกบัว กลายไปเป็นแขกพลัดถิ่นในเวลาอันยาวนาน บนไหล่มีคางคกสีทองสามขาเพิ่มมาตัวหนึ่ง หนีหยวนจานต้องการสิ่งใด ความเกี่ยวพันระหว่างเขากับอารามจินติ่งเป็นอย่างไร ฯลฯ เจียงซ่างเจินล้วนไม่เคยปิดบัง การที่เจียงซ่างเจินพูดง่ายขนาดนี้ยามอยู่กับสุยโย่วเปียน เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ทั้งสองฝ่ายต่างก็กินข้าวหม้อเดียวกัน คนในครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน แต่หากอีกฝ่ายเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ของทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเจินจิ้งเพียงอย่างเดียว คิดจะมีความสัมพันธ์กับอดีตเจ้าสำนักของสำนักกุยหยก ถ้าอย่างนั้นชื่อเสียงและคำวิจารณ์เกี่ยวกับเจียงซ่างเจินก็มั่นคงมากมาโดยตลอด
จูเหลี่ยนไม่ได้สาดเกลือลงบนบาดแผลของนาง หากจะบอกว่าสวรรค์ไม่เคยผิดต่อคนที่มีความตั้งใจ ถ้าอย่างนั้นคนลุ่มหลงในรักที่น่าสงสารก็มักจะต้องถูกความเย็นชาทำให้ทุกข์ทนอยู่เสมอ
การพบเจอกันอีกครั้งหลังจากลากันไปนานที่ในใจคอยคิดคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งขุนเขาสายน้ำสงบปลอดภัย วัตถุยังคงเดิมแต่คนแปรเปลี่ยนไปแล้ว กลับยิ่งจะทำให้คนเจ็บปวดหัวใจ
สีหน้าของสุยโย่วเปียนหม่นหมอง ไม่ได้ขี่กระบี่ออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว หวนกลับไปยังสถานที่ที่สร้างกระท่อมฝึกตน แต่เดินขึ้นบันไดไป ดูจากท่าทางแล้วคงจะไปชมทิวทัศน์บนยอดเขา
จูเหลี่ยนหยิบแกนม้วนภาพอีกชิ้นหนึ่งมา มองดูเหมือนทำมาจากวัสดุหยกขาว แวววาวลื่นเย็น แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ใช่ หากมองอย่างละเอียดจะเห็นได้ว่าเป็นเขาวัว
แกนภาพสองชิ้นที่ใช้อัดกรอบแขวนภาพไว้บนผนังมีความรู้ซุกซ่อนอยู่ หากสองแกนสูงต่ำ จะเรียกรวมกันว่าแบบฟ้าดิน หากเป็นแกนภาพที่คลี่กางจากซ้ายไปขวา เรียกว่าแบบตะวันจันทรา ภาพลัทธิเต๋าของเจ้าอารามผู้เฒ่าภาพนี้ค่อนข้างจะพิเศษ พูดถึงแค่แกน แน่นอนว่าต้องเป็นแบบตะวันจันทรา แต่เพราะลักษณะการวาดภาพห้าบรรพตที่แท้จริงนี้ แน่นอนว่าย่อมเป็นลักษณะของแบบฟ้าดินด้วย
เป็นเหตุให้ภาพนี้บนฟ้าล่างดิน ตะวันจันทราทั้งเต็มทั้งเสี้ยว ดาวดาราดาษรายเรียง
ชุยตงซานที่ถือแกนภาพชิ้นหนึ่งอยู่ในมือ ยิ้มเอ่ย “ของสิ่งนี้ไม่ว่าจะเอาไปฝังไว้ในเรือนหรือแปะอยู่หน้าประตู นำมาใช้สร้างความสงบสุขให้แก่บ้านเรือน หรือจะใช้ยันต์ผนึกไว้ พกแกนภาพติดตัว ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งขึ้นเขาลงห้วยก็เรียกได้ว่าเป็นทั้งซานจวินห้าขุนเขาและเป็นทั้งเทพวารีแห่งลำน้ำใหญ่ ได้ครอบครองวิชาอภินิหารแห่งขุนเขาสายน้ำอย่างเป็นธรรมชาติ ได้ครอบครองความมหัศจรรย์ที่น่าเหลือเชื่อมากมาย เมื่อเทียบกับกลอนคู่ที่แขวนไว้แล้วไม่อาจขยับเขยื้อนได้ของอู๋ซวงเจี้ยงแล้ว ภาพของเจ้าอารามผู้เฒ่ามีชีวิตชีวากว่าเล็กน้อย”
ตำราเต๋า แกนภาพ สองอย่างรวมกันเป็นหนึ่ง ก็กลายเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง
จูเหลี่ยนถามชวนคุย “หากหลอมสำเร็จ แกนและตำราเต๋ารวมกัน ผู้ฝึกตนเซียนดินก็สามารถพกของชิ้นนี้ออกเดินทางไกล ขึ้นเขาลงห้วยได้แล้ว?”
วัสดุที่ใช้ทำแกนภาพวาดจะต้องเบาและไม่ทำลายภาพวาด ดังนั้นแกนภาพส่วนใหญ่ของชาวบ้านจึงใช้วัสดุจากไม้ ตระกูลปัญญาชนและชนชั้นสูงส่วนใหญ่ใช้ทองหรือหยก ตระกูลเซียนบนภูเขา สายตาช่างติช่างเลือกจึงใช้หลิงจือพันปี แล้วก็มีแกนกระเบื้องที่บ้างก็เป็นสีขาวเขียวบ้างก็เป็นหลากสี โดยทั่วไปแล้วแกนภาพเขาวัวนั้นง่ายที่จะถูกมอดกัดแทะ ยามที่คลี่กางออกก็จะมีความชื้นมาก แต่เขาวัวคู่นี้มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจจะเป็นของตกทอดของผู้ฝึกตนบางคนบนเส้นทางเดียวกับเจ้าอารามผู้เฒ่าในยุคบรรพกาล ถือเป็นของล้ำค่าหายากที่ได้แต่ปรารถนามิอาจได้มาครอบครอง
ประเด็นสำคัญคือแกนภาพในมือจูเหลี่ยนชิ้นนี้ ยังแกะสลักตัวอักษรใหญ่สองคำไว้ว่า ‘สุ่ยจ้วน’ ด้วยตัวอักษรแบบโม่จ้วน ‘ร้องเรียนสามภพ ผนึกขุนเขา ประเมินคุณโทษ พินิจจัดแจงทุกข์สุข’ นอกจากนี้ยังใช้ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันเขียนชื่อเซียนดินอีกร้อยกว่าคน ส่วนแกนภาพที่อยู่ในมือของชุยตงซานกลับเป็น ‘ยันต์ภูเขา’ ที่เขียนด้วยอักษรสีชาด มีไอเมฆหมอกลอยอวล ‘ฟ้าคนรับยันต์ ไร้ภัยทางน้ำตลอดกาล เรียกเทพขานผี โปรดเหล่าสรรพชีวิต’ นอกจากนี้ยังสลักภาพเทพภูเขาอีกร้อยกว่าตน ราวกับภาพกลุ่มสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมอบกราบ
ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่ได้หรอก จำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน ไม่อย่างนั้นก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยกภาพนี้ได้ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพกออกจากบ้านเดินทางไกลเลย”
สำหรับการบังคับสมบัติหนักอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นปัญหายากที่ไม่เล็กสำหรับสำนักใหญ่อักษรจงทั้งหลาย
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “หากเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเจ้าอารามผู้เฒ่า ถ้าอย่างนั้นภูเขาลั่วพั่วของพวกเราก็รวยกันจริงๆ แล้ว”
อาวุธที่ใช้ในการโจมตี หลายๆ ครั้งเป็นแค่ชั้นวางดอกไม้ ส่วนใหญ่เอามาใช้ข่มขู่คนเสียมากกว่า ในสถานการณ์ทั่วไป อันที่จริงมักจะไม่มีพื้นที่ให้เอามาใช้งาน แต่หากสามารถเสริมสร้างความแข็งแกร่งมั่นคงให้กับโชคชะตาขุนเขาสายน้ำของสถานที่แห่งหนึ่งได้ ขณะเดียวกันก็รวบรวมปราณวิญญาณฟ้าดินมาอย่างต่อเนื่องก็จะยิ่งเป็นสถานการณ์แห่งโชคชะตาตามธรรมชาติที่พื้นดินยิ่งศักดิ์สิทธิ์คนก็ยิ่งมากความสามารถ
ชุยตงซานถอนหายใจ “น่าเสียดายๆ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นของของยุคก่อน โชคดีหลุดมาถึงยุคนี้ได้ โอรสสวรรค์หนึ่งรัชกาลขุนนางหนึ่งรัชสมัย ยากที่จะเรียกรวมและออกคำสั่งแก่เหล่าเซียนได้อีกแล้ว”
จูเหลี่ยนยิ้มเอ่ย “อิ่มแปดส่วน กำลังดี”
ชุยตงซานยิ่งมองยิ่งรู้สึกว่ามีความเป็นมา จึงจุ๊ปากเอ่ยอย่างประหลาดใจ “แต่หากอาจารย์ตัดใจได้ลง ยอมเอาของชิ้นนี้ไปเยือนภูเขาจิ่วตูของธวัลทวีปรอบหนึ่ง คาดว่าคงสามารถแลกตำแหน่งผู้ถวายงานไท่ซ่างมาเป็นได้โดยตรงเลย ขอแค่อาจารย์ยินดีเปิดราคา ทางฝั่งของภูเขาจิ่วตูต้องยอมทุบหม้อขายเหล็ก ต่อให้ต้องติดหนี้บานตะไท ก็ยังยินดีจะซื้อเอาไว้”
ชุยตงซานเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ในที่สุดกำลังทรัพย์ของบ้านเราก็ไม่ต่ำตื้นแล้ว”
ภาพเต๋าของเจ้าอารามผู้เฒ่าที่เพิ่งได้มาชิ้นนี้ และยังมีกลอนคู่ที่อู๋ซวงเจี้ยงมอบให้ก่อนหน้านั้น
อย่างแรกสามารถเอาไปวางไว้ในศาลบรรพจารย์ยอดเขาจี้เซ่อ อย่างหลังเอาไปแขวนไว้ที่หน้าประตูใหญ่ของศาลบรรพจารย์สำนักเบื้องล่างที่ใบถงทวีป
ได้ครอบครองสมบัติพิทักษ์ภูเขาสองชิ้นนี้ ภูเขาลั่วพั่วและสำนักเบื้องล่างในอนาคตก็จะได้ครอบครองมาดแห่งเซียนและความมั่นใจของสำนักอักษรจงอันดับหนึ่งได้อย่างแท้จริงแล้ว
นอกจากนี้ยังมีเทียบตัวอักษรสองชิ้น เทียบบุปผาผลิบาน เทียบหวังเมามายที่ซิ่วไฉเฒ่าไปขอมาจากซูจื่อ หลิ่วชี ล้วนเปี่ยมล้นไปด้วยกลิ่นอายแห่งมรรคา อัดแน่นไปด้วยโชคชะตาบุ๋น
เป็นทั้งการส่งถ่านท่ามกลางหิมะ และเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร
วันหน้าขอแค่ภูเขาลั่วพั่วแตกกิ่งก้านสาขาจริงๆ คาดว่าคงจะมีเมล็ดพันธ์บัณฑิตผุดขึ้นมาอีกไม่น้อย
ชุยตงซานหันหน้าไปตะโกนพูดกับหมี่ลี่น้อย “หลังจากที่ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาได้โดยสารเรือราตรีก็ได้สร้างคุณความชอบครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งแล้ว!”
ตอนนั้นที่อยู่บนเรือราตรี กลุ่มของเฉินผิงอันถูกอู๋ซวงเจี้ยงมาเฝ้าตอรอกระต่าย ผลลัพธ์นั้นดี เพียงแต่ว่าขั้นตอนนั้นอันตรายอย่างถึงที่สุด ภายหลังหากไม่ใช่หมี่ลี่น้อยมีไหวพริบ ด้วยนิสัยเฉยชาของอู๋ซวงเจี้ยง ภายใต้เงื่อนไขที่ได้มอบ ‘เทียบ ณ เวลานั้น’ ออกไปแล้ว ก็ไม่มีทางมอบสมบัติพิทักษ์ภูเขาที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธเซียนชิ้นนั้นออกมาอีกแน่
‘เทียบ ณ เวลานั้น’ แผ่นนี้ ทุกวันนี้แขวนอยู่ในชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ซึ่งเป็นที่พักของเฉินผิงอัน ด้านบนประทับตราสองตราลงบนเทียบอักษร ได้สูญเสียท่วงทำนองทั้งหมดที่มีไปแล้ว โดยเปลี่ยนมาเป็นตบะของเทวบุตรมารนอกโลกตนนั้นแทน หนึ่งอักษรหนึ่งขอบเขต มีเพียงตราลงนามที่ว่า ‘หัวใจเหมือนดอกบัวเขียวบนโลก’ เท่านั้นที่ยังคงลี้ลับมหัศจรรย์
หมี่ลี่น้อยรับฟังด้วยความมึนงง ไม่มีเวลามาลิงโลดแล้ว นางเกาหัว ถามว่า “อะไรนะ?! ทำไมถึงสร้างคุณความชอบอีกแล้วได้ล่ะ?”
ชุยตงซานเก็บแกนภาพวาดคู่นั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ เตรียมจะลงมือหลอมของสองชิ้นนี้กับตำราเต๋าด้วยกัน แบ่งสมาธิไปใช้สองทางก็ได้แล้ว ไม่ถ่วงรั้งการคุยเล่นกับหมี่ลี่น้อย “วันนี้ศิษย์พี่เล็กจะช่วยบอกศิษย์พี่หญิงใหญ่ให้เจ้าเอง ต้องให้นางจดคุณความชอบครั้งนี้ลงบัญชีด้วย”
หมี่ลี่น้อยลุกขึ้นยืน วิ่งมาหยุดตรงข้างโต๊ะ ถามอย่างใคร่รู้ “นักพรตผู้เฒ่ามอบของที่มีค่ามากให้พวกเราหรือ?”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “มีค่ามากเลยละ แกนภาพทั้งสองชิ้นต่างก็มีอายุมากแล้ว หากมีแค่ภาพนั้นก็ยังไม่ได้มีค่ามากเท่าใด”
หมี่ลี่น้อยหัวเราะร่าด้วยสีหน้าสดใส “ผู้อาวุโสคือนักพรตผู้เฒ่าคนหนึ่ง มอบของที่เป็นของเก่าแล้วยังมีค่ามากๆ ด้วย!” (ประโยคนี้มีคำว่าเหล่าเฉียนเป้ย เหล่าเต้าจ่าง เหล่าตงสิ เหล่าจื๋อเฉียน เป็นการเล่นคำ เอาคำว่าเหล่ามาพูดซ้ำ แต่เหล่าบางคำมีความหมายว่าเก่าแก่/มีอายุ แต่บางคำมีความหมายว่ามาก)
แม่นางน้อยชุดดำไม่ได้เอาแต่ดีใจอย่างเดียว นางมองไปยังเส้นทางภูเขา เกาแก้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะมีแขกมาเยือนอีกนะ นักพรตผู้เฒ่านิสัยดีมากเลยล่ะ”
ต่อให้เป็นชุยตงซานก็ยังพูดไม่ออก นิสัยวัวของเจ้าอารามผู้เฒ่าตงไห่คนนี้ดีหรือไม่ดี คนบนยอดเขาทุกคนล้วนรู้กันถ้วนทั่ว
หมี่ลี่น้อยถอนสายตากลับมา ฟุบตัวนอนบนโต๊ะ หัวเราะหึหึ “พ่อครัวเฒ่า ข้าสร้างคุณความชอบอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นรอให้พวกเจ้าขุนเขาคนดีกลับจากเมืองหลวงมาถึงที่บ้าน เจ้าต้องช่วยพวกเราทำอาหารที่ถนัดสักมื้อ ต้องอร่อยยิ่งกว่าอาหารที่อร่อยที่สุดอีกด้วยนะ รู้หรือไม่ ทำได้หรือไม่?”
หมี่ลี่น้อยถึงขั้นไม่ได้ถามว่าคุณความชอบใหญ่แค่ไหน ราวกับว่าในหัวสมองเล็กๆ นั้นของนางคิดไม่ถึงเรื่องพวกนี้เลย
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ไม่มีปัญหา”
อันที่จริงตอนที่อยู่บนเรือข้ามฟาก อู๋ซวงเจี้ยงยังมอบของตกแต่งในห้องหนังสืออีกชุดหนึ่งให้โจวหมี่ลี่เพิ่มเติม ล้วนเป็นของที่อู๋ซวงเจี้ยงพกติดตัวมา และความสูงส่งของสายตาเจ้าตำหนักสุ้ยฉูท่านนี้ก็ขึ้นชื่อในใต้หล้ามืดสลัวอย่างมาก สภาพของพวกมันจะเป็นเช่นไร แค่คิดก็รู้ได้แล้ว สมบัติอาคมสามชิ้น มีมูลค่าควรเมือง แต่ละชิ้นมีความมหัศจรรย์ต่างกันไป
กลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว หมี่ลี่น้อยก็รีบมอบออกไปให้คนอื่นพรวดเดียว นำดินเจ็ดสมบัติที่บอกว่า ‘ดินหลากสีหนึ่งตำลึงเงินฝนธัญพืชหนึ่งจิน’ มอบให้กับพี่หญิงหน่วนซู่
จากนั้นมอบแท่นฝนหมึกโบราณสลักคำว่า ‘ถ้ำเทพเซียน’ ที่มีชือหลงเล็กจิ๋วคู่หนึ่งขดตัวนอนอยู่ให้กับจิ่งชิง ส่วนพู่กันขนด้ามไผ่เขียวแกะสลักตัวอักษรขนาดเล็กหนึ่งบรรทัดว่า หน้าอกมีต้นไผ่มรกตหมื่นลี้
ได้ถูกหมี่ลี่น้อยเอาไปมอบให้แก่เว่ยซานจวินที่ได้แต่จัดงานเลี้ยงท่องราตรีเพื่อรับเอาซองแดงมาประทังชีพ
ชุยตงซานพ่นลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “สำเร็จแล้ว!”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างตกตะลึง “เร็วขนาดนี้เชียว?”
ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก “เร็วไม่เท่าพี่น้องต้าเฟิงตอนดูภาพเทพเซียนพวกนั้นหรอก แค่พลิกเปิดไม่กี่หน้าก็เสร็จแล้ว”
ถึงอย่างไรเจิ้งต้าเฟิงก็ไม่อยู่ จะพูดยังไงก็ได้
จูเหลี่ยนยิ้มตาหยี “ถึงอย่างไรก็เป็นหนุ่มน้อยเปี่ยมกำลังวังชาที่ก้นร้อนจนย่างแผ่นแป้งได้ หากเปลี่ยนมาเป็นเว่ยซานจวินจะต้องเปิดไปถึงหน้าสุดท้ายอย่างแน่นอน”
ถึงอย่างไรเว่ยป้อก็ไม่ได้อยู่ที่นี่
โชคดีที่หมี่ลี่น้อยไม่ได้ยินคำพูดพวกนี้ เพราะกำลังคิดว่าจะเขียนรายการอาหารฉบับหนึ่งให้กับพ่อครัวเฒ่า อยากให้บนโต๊ะจัดวางจานอาหารไว้เต็มจนคนไม่รู้ว่าควรจะขยับตะเกียบคีบอาหารจากจานไหนก่อนดี ยิ่งคิดก็ยิ่งน้ำลายสอจนต้องรีบเช็ดปาก
ชุยตงซานหยิบเอาภาพเต๋าที่สมบูรณ์แบบซึ่งมีแกนภาพติดอยู่ด้วยออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอารามผู้เฒ่ามรรคกถาสูงส่งเทียมฟ้า ใต้หล้าไร้เทียมทานอย่างแท้จริง!”
หลังจากที่หลอมภาพเต๋า ปราณม่วงก็ลอยอวล ไอเมฆหมอกผุดพุ่ง ราวกับว่าบนโต๊ะตัวนี้ก็คือฟ้าดินแห่งมรรคกถา พอจะมองเห็นภาพที่ตะวันจันทราหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันได้อย่างเลือนราง
บนยอดของกลุ่มภูเขาไร้ตะวันสองดวง กลางพุ่มหมื่นพฤกษามีดวงจันทร์ดวงเดียว
ในทะเลสาบหัวใจของชุยตงซานและจูเหลี่ยนได้ยินเสียงหัวเราะหยันของเจ้าอารามผู้เฒ่าดังขึ้นมา “ขโมยผลงานคนอื่นมาเป็นของตน”