กระบี่จงมา! Sword of Coming - บทที่ 855.3 นกในกรงตัวหนึ่ง
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบอายุสี่สิบต้นๆ นั้นมากพอจะทำให้คนตะลึงพรึงเพริดได้แล้ว ส่วนหนิงเหยาผู้นั้น…จะไปพูดถึงนางทำไม
หัวหน้ากองถอนหายใจ “ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร สถานการณ์ก็คือสถานการณ์อย่างในเวลานี้แล้ว เจียวหลงขดตัวอยู่ในสระเล็ก แค่ส่ายหัวสะบัดหางง่ายๆ ทีหนึ่ง สำหรับเมืองหลวงต้าหลีแล้วก็คือคลื่นกระหน่ำถาโถมที่คิดจะขวางก็ขวางไว้ไม่อยู่ คิดจะใช้พละกำลังกดข่ม ก็คือความฝันของคนปัญญาอ่อน คิดจะใช้เหตุผลทำให้เข้าใจ? หึหึ ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายของเหวินเซิ่ง…”
รองหัวหน้ากองถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นก็เหลือแต่ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้งใจแล้ว?”
จิตวิญญาณของหัวหน้ากองสั่นสะเทือนรุนแรง เฉินผิงอันมาถึงแล้วจริงๆ ด้วย!
แต่ผู้ฝึกตนเฒ่ายังคงมีสีหน้าเป็นปกติ แสร้งพยักหน้าคล้ายคนที่เพิ่งเข้าใจกระจ่างแจ้ง “ข้าจำเป็นต้องกราบทูลให้ฝ่าบาททราบเรื่องนี้ทันที รบกวนใต้เท้าเจียนฟู่ (คำเรียกรองหัวหน้า) ช่วยรับรองแขกแทนแล้ว เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าในอดีตใต้เท้าเจียนฟู่เคยเอ่ยคำพูดที่มีมโนธรรมแทนสำนักศึกษาซานหยาอยู่ไม่น้อย ใช้ความรู้สึกทำให้ซาบซึ้ง นี่ย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เฉินผิงอันเป็นคนที่เห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าก่อน ใต้เท้าเจียนฟู่เจ้าไปใช้ความรู้สึกทำให้เขาซาบซึ้ง ถือว่าให้ยาถูกกับโรคแล้ว”
หัวหน้ากองมีความทุกข์ที่ยากจะเอื้อนเอ่ย ตอนที่อยู่ตำหนักฉางชุน เขาถูกไทเฮาต้าหลีท่านนั้นเล่นงานไปไม่น้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันยังไม่ไปร่วมงานพิธีภูเขาตะวันเที่ยง เขานอนพักอยู่บนเก้าอี้หวายของโรงเตี๊ยมกว้ออวิ๋น ไทเฮาต้าหลียืนกรานจะเอาเศษเครื่องกระเบื้องชิ้นนั้นออกมา สั่งให้เขาร่ายวิชาอภินิหารมองขุนเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือ ลอบสำรวจมอบเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ ผลกลับดีนัก หากใช้คำกล่าวของยุทธภพก็คือ สองฝ่ายถือว่าผูกปมแค้นกันแล้ว
สุดท้ายทั้งหัวหน้าและรองหัวหน้ากอง ผู้เฒ่าสองคนต่างก็มองไปยังผู้ฝึกตนหนุ่มที่เงียบงันอยู่ตลอดผู้นั้น “อาจารย์หยวน?”
ผู้ฝึกตนหนุ่มยิ้มเอ่ย “มาก็มาแล้ว ในเมื่อไล่ก็ไม่ไป ก็จงรอดูการเปลี่ยนแปลงไปอย่างเงียบๆ ก็พอ ถึงอย่างไรผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็แค่ถูกคนรื้อถอนกองโหราศาสตร์เท่านั้น ทุกวันนี้ต้าหลีมีเงินก็แล้วกัน”
กองโหราศาสตร์แห่งหนึ่ง สำหรับเฉินผิงอันในเวลานี้แล้วก็เหมือนเข้ามาในดินแดนที่ไร้ผู้คน
ชำเลืองตามองกรอบป้าย สังเกตการณ์ท้องฟ้าทำความเข้าใจปรากฏการณ์แห่งดวงดาว
ท้องฟ้าบอกลางเห็นดีร้าย เป็นเหตุให้อริยะเลือกสรรลางบอกเหตุบนท้องฟ้า ผู้ฝึกลมปราณของกองโหราศาสตร์สังเกตปรากฎการณ์บนท้องฟ้า คำนวณอนุมานฤดูกาล ยืนยันว่าวันใดคือวันแรกของปี แล้วเรียบเรียงเป็นปฏิทิน จำเป็นต้องบอกลางดีร้ายเหล่านั้นให้จักรพรรดิรับรู้
ฟ้าดินได้เอา ‘ลาง’ วางไว้ตรงนั้นนานแล้ว ก็เหมือนกับการคลี่กางตำราเล่มหนึ่งออก คนบนโลกจึงสามารถเปิดอ่านได้ตามใจชอบ และเป็นผู้ฝึกตนที่มานะในการเปิดอ่านมากที่สุด ผลประโยชน์ทั้งหมดที่ได้รับ บางทีอาจเป็นตบะและขอบเขตของแต่ละคน
‘ลาง’ (象 เซี่ยง) ฟ้า กับคำว่า ‘เหมือน’ (像 เซี่ยง) ที่มีอักษรเหรินประกบอยู่ด้านข้าง ฝึกตนพิสูจน์มรรคาบรรลุมรรคา คาดว่าคงเป็นเป้าหมายในการฝึกตนของคนคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เหมือนว่าได้เป็นอมตะไม่เสื่อมสลายไปคู่กับฟ้าดิน
เฉินผิงอันแค่เดินก้าวเดียวก็เข้ามาในหอเก็บตำราที่จัดวางตราผนึกหนาชั้นแห่งหนึ่งได้แล้ว เขาถอนหายใจหนึ่งที ไม่เสียแรงที่เป็นเจ้าลัทธิสามแห่งป๋ายอวี้จิงที่ ‘ไม่ว่าใครก็ล้วนเอาชนะไม่ได้ ไม่ว่าใครต่างก็เอาชนะไม่ได้’ เหตุผลนั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง ลู่เฉินคล้ายคนที่อยู่เดียวดายตัวคนเดียว สร้างฟ้าดินสมบูรณ์แบบแห่งหนึ่งที่ไร้ช่องโหว่บนมหามรรคาขึ้นมาเพียงลำพัง นอกจากนี้ก็อยู่ร่วมกับใต้หล้าแห่งอื่นพร้อมคนบนโลก ไม่ถ่วงรั้งทั้งสองทาง น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตสิบสี่ที่ออกกระบี่อย่างเต็มกำลังครั้งหนึ่ง จะสามารถทำลายรั้วแห่งมหามรรคาส่วนนี้ได้หรือไม่
ทางฝั่งของหอเหรินอวิ๋นอี้อวิ๋นแทบจะไม่มีตำราในด้านการฝึกตนใดๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตำรามีชื่อเสียงที่ได้รับสืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัยของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนัก ดังนั้นเฉินผิงอันถึงได้อยากจะมาอ่านหนังสือที่นี่
เพราะขอบเขตวางอยู่ตรงนั้น เขาจึงเปิดอ่านตำราได้เร็วยิ่ง ดวงจิตขยับไหวเล็กน้อย พริบตาเดียวก็อ่านหนังสือทั้งเล่มจนจบ ตำราโบราณบางส่วนที่พอได้เห็นก็เกิดความคิดบางอย่าง เฉินผิงอันล้วนหยิบเอาลงมาจากชั้นหนังสือ จากนั้นจึงจดจำคำศัพท์ที่เป็นกุญแจสำคัญเหล่านั้นเอาไว้
ภูเขาเชื่อมโยงคล้ายมีกำลังภายในจากภูเขา ฟ้าดินเชื่อมโยงก็เช่นเดียวกัน นี่เกี่ยวข้องกับยันต์สามภูเขาหรือไม่?
มังกรกลายร่างเป็นเจียวซ่อนตัวอยู่ในบ่อ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมีสัตว์ดุร้ายเช่นนี้ที่อาศัยเวทลับนี้ซ่อนตัวอยู่หรือไม่?
เทวบุตรมารทั้งหลาย กวาดพื้นเผาธูป? จะเกี่ยวข้องกับการเซ่นไหว้ของยุคบรรพกาลหรือไม่?
สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบตำรามาสองสามเล่ม เดินทะลุกำแพงออกไป หนีบตำราไว้ใต้รักแร้ คนชุดเขียวไปยืนพิงราวรั้ว
ทางฝั่งของลานกว้างมีผู้ฝึกตนของกองโหราศาสตร์กลุ่มหนึ่งมารวมตัวกัน ส่วนใหญ่อายุไม่มาก ยังมัดผมจุกทรงของเด็กเล็ก สวมชุดสีเขียว ลักษณะเรียบง่ายเก่าแก่ นอกจากนี้ยังมีพวกขุนนางบวงสรวง ขุนนางประวัติศาสตร์แห่งขุนเขาสายน้ำและซือเฉินซือ (ขุนนางผู้ดูแลในเรื่องของเวลา) ที่แต่งกายไม่เหมือนกันอีกส่วนหนึ่ง มีทั้งเด็กหนุ่มและเด็กสาว
คนกลุ่มหนึ่งอยู่บนขั้นบันได บ้างนั่งบ้างยืน ยืนก็มีท่าทีของการยืน นั่งก็มีท่าทางของการนั่ง เพียงแต่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่มีท่าทางเกียจคร้านผ่อนคลาย ถึงอย่างไรกองโหราศาสตร์ก็ยังมีกฎระเบียบที่เข้มงวด
เรื่องที่พวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันมากที่สุด แน่นอนว่ายังคงเป็นเรื่องการประลองยุทธของอวี๋หงและโจวไห่จิ้ง
นอกจากนี้ก็เป็นข่าวขุนเขาสายน้ำที่ได้มาจากการไปหาประสบการณ์ด้านนอก ผู้ฝึกลมปราณกองโหราศาสตร์จะออกไปข้างนอกสักครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นทุกครั้งที่ออกเดินทางไกล ระยะทางล้วนไม่สั้น เดินทางครั้งหนึ่งก็มักจะไปเยือนสถานที่เกือบครึ่งของแจกันสมบัติทวีป อีกทั้งร่องรอยยังลึกลับ ทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลจะต้องมีคนสองกลุ่มคอยให้การคุ้มกันอย่างลับๆ ผู้ถวายงานกรมอาญาต้าหลีและผู้ฝึกตนติดตามกองทัพของแต่ละสถานที่ไม่อาจเปิดเผยร่องรอยได้แม้แต่น้อย ศาสตร์การมองลมปราณของกองโหราศาสตร์ต้าหลีให้ความสำคัญกับขั้นตอน ไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกกระบี่เลย
เฉินผิงอันกำลังลังเลว่าควรจะกลับไปเมืองเล็กเพื่ออ่านจดหมายฉบับนั้นของร้านตระกูลหยาง หรือกลับโรงเตี๊ยมไปหาเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่าง หรือจะไปพบศิษย์หลานสองคนบนเรือข้ามฟากลำนั้น? หรือว่าตรงไปที่วังหลวงดี?
มองเด็กหนุ่มเด็กสาวที่โดยภาพรวมแล้วยังคงไร้ทุกข์ไร้กังวล เฉินผิงอันก็จำต้องทอดถอนใจเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ช่วงเวลาของต้นหอมอ่อน เป็นช่วงเวลาที่น่ารักน่าเอ็นดูที่สุด
กองโหราศาสตร์แบ่งออกเป็นฝ่ายดาราศาสตร์ ฝ่ายภูมิศาสตร์ ฝ่ายนาฬิกาน้ำ ฝ่ายปฏิทิน ฝ่ายห้าธาตุ ฝ่ายบวงสรวง
หน่วยไท่ซื่อ หน่วยคำนวณ หน่วยก่อสร้าง ก่อนหน้านี้ไม่นานได้ก่อตั้งหน่วยใหม่แยกออกมาอีก คือหน่วยภูเขาลำน้ำและหน่วยภาษาท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีที่ว่าการน้ำใสอย่างหอระฆังและฆ้องกับสำนักตราประทับและปฏิทิน
หนึ่งในนั้นมีฝ่ายแกะสลักปฏิทินที่มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าหลินไถ เป็นหน่วยที่แยกตัวออกมารับผิดชอบดูแลสมุดภาพหวงหลินให้กับเชื้อพระวงศ์ทุกยุคทุกสมัย
ส่วนหน่วยภาษาท้องถิ่นก็เป็นกรมพิธีการที่รวบรวมภาษาถิ่นของทั้งทวีปมา รองเจ้ากรมจ้าวเหยารับผิดชอบจัดการดูแลเรื่องนี้ สุดท้ายนำข้อมูลมาเก็บไว้ที่กองโหราศาสตร์
และค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ที่เกี่ยวพันกับเงินเทพเซียนส่วนนี้ กรมคลังก็ด่ามารดาไปไม่น้อย เพราะจ้าวเหยาเคยทำงานที่กรมคลังอยู่หลายวัน ดังนั้นจึงด่ารองเจ้ากรมพิธีการที่อยู่ดีๆ ก็ได้เลื่อนขั้นสูงพรวดพราดผู้นี้ว่าเป็นลูกล้างลูกผลาญที่ขายไร่นาบรรพบุรุษกิน พวกมือเท้าหยาบใหญ่ในกรมกลาโหมนั้น พวกเขาไปมีเรื่องด้วยไม่ได้ แต่เจ้าจ้าวเหยาเป็นแค่ขุนนางกรมพิธีการคนหนึ่ง ขยับฝีปากโต้เถียงกันก็ยังพอทำเนา แต่หากลงไม้ลงมือกันขึ้นมาจะทำลายภาพลักษณ์ความสุภาพอ่อนโยนเอาได้
ฝ่ายในของกองโหราศาสตร์ก็มีการแบ่งสูงต่ำอย่างที่มองไม่เห็นอยู่เหมือนกัน คนที่ดูฟ้าก็ดูแคลนคนที่ดูดิน ส่วนคนที่ดูดินก็ดูแคลนพวกคนที่ดีแต่ทำพิธีเซ่นไหว้บวงสรวงตามระเบียบขั้นตอนเดิมๆ ฝ่ายบวงสรวงดูแคลนคนที่เฝ้านาฬิกาน้ำ จากนั้นก็เป็นฝ่ายปฏิทินที่มีฐานะสูงส่งโดดเด่นที่สุด หลิงไถหลาง (ชื่อตำแหน่งขุนนาง) ที่มาจากหอหลินไถ คอยตรวจสอบแก้ไขปฏิทิน มีสถานะที่สูงศักดิ์ล้ำค่าที่สุด ไม่ว่าใครต่างก็ดูแคลน
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน
หนึ่งนั้น นกในกรง
เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้นลูบข้อมือซ้ายเงียบๆ
ออกเดินทางไกลในช่วงคิมหันต์ กาลเวลาดุจกระสวย ใบไม้ผลิจากไปใบไม้ร่วงมาเยือน ครุ่นคิดทบทวน ม้าขาวควบผ่านช่องแคบ ขี่ม้าชมบุปผา
สิ่งที่ทำให้เฉินผิงอันลังเลตัดสินใจไม่ได้มากที่สุดยังคงเป็นเรื่องที่ตัวเองอีกคนหนึ่งจับมือกับผู้อื่นออกเดินทางไกล
สรุปแล้วจะมุ่งหน้าไปยังสนามรบแห่งนั้น หรือว่า…แม่งจะตรงไปที่ภูเขาทัวเยว่ดี?!
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป เพราะไม่ได้จงใจอำพร่างร่องรอย ดังนั้นจึงมีคนมาหาถึงที่
เป็นหม่าเจียนฟู่ กับคนนอกกองโหราศาสตร์อีกคนหนึ่งชื่อว่าหยวนเทียนเฟิง
หยวนเทียนเฟิงมองอิ่นกวานหนุ่มในระยะใกล้ ในใจก็ให้สะทกสะท้อนใจไม่หยุด บุญบารมีสมบูรณ์พูนล้น ฟ้าและคนรวมกันเป็นหนึ่ง!
เป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตสิบสี่อย่างที่กล่าวถึงในตำนานแล้วจริงๆ หรือนี่?
เฉินผิงอันกุมหมัดยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะหม่าเจียนเฉิง (ชื่อตำแหน่งหนึ่งของขุนนาง มีหน้าที่ดูแลกฎระเบียบของสถาบันศึกษาอย่างกั๋วจื่อเจียน ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาที่สูงที่สุดในยุคโบราณ) อาจารย์หยวน”
เรียกเจียนฟู่ (รองหัวหน้ากองโหราศาสตร์) ไม่เหมาะสม
ทว่าความคิดส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันยังคงอยู่บนร่างผู้ฝึกตนหนุ่มที่ ‘ท่วงท่าผ่อนคลายปลอดโปร่ง’ คนนั้นมากกว่า
เกี่ยวกับกองโหราศาสตร์ในเมืองหลวง ชุยตงซานเคยพูดถึงอาจารย์หยวนที่ไร้ชื่อเสียงในราชสำนักต้าหลีท่านนี้โดยเฉพาะ ให้คำประเมินที่สูงมาก ‘บุคลิกปลอดโปร่งผ่อนคลาย ความมุ่งมาดปรารถนาลอยล่อง สง่าราศีโดดเด่น ยอดเยี่ยมน่าตะลึง’
หากใช้คำพูดของเผยเฉียนตอนยังเป็นเด็กก็คือ ให้ห่านขาวใหญ่ชมคนอื่นว่าดี นั่นก็คือการให้พี่หญิงหน่วนซู่นอนตื่นสาย พระอาทิตย์ขึ้นจากทิศตะวันตก งาช้างงอกออกมาจากปากสุนัข
หม่าเจียนฟู่คารวะกลับคืน “คารวะอาจารย์เฉิน”
คาดว่าคงเป็นการบอกเป็นนัยอย่างหนึ่งว่าทุกวันนี้เจ้าเฉินผิงอันไม่ใช่อิ่นกวาน กลับคืนมายังบ้านเกิดก็เป็นบัณฑิตสายของเหวินเซิ่งแล้ว
หยวนเทียนเฟิงกลับเรียกเฉินผิงอันว่าเจ้าขุนเขาเฉิน
หม่าเจียนฟู่มองตำราหลายเล่มที่ถูกหนีบอยู่ใต้รักแร้เฉินผิงอัน เพียงแค่ไม่ได้เอ่ยอะไรมากความ
มาโดยไม่ได้รับเชิญ เอาไปโดยไม่บอกกล่าว ทั้งยังไปโดยไม่ลาเสียด้วย
โชคดีที่ตำราทั้งหลายเหล่านี้ไม่ถือว่าล้ำค่าหายากมากนัก อีกอย่างด้านในกองโหราศาสตร์ได้เก็บสะสมตำราฉบับสมบูรณ์ ตำราหายากที่มีเพียงเล่มเดียวเอาไว้มากมาย จึงมีภูตซูเซียง (ซูเซียงมีความหมายสองอย่างคือหนึ่งตำราหอม เป็นการแปลตามตัว ส่วนอีกหนึ่งมาจากประโยคซูเซียงเหมินตี้ หมายถึงการสืบทอดความรู้และวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลาน) สองตนที่เกิดจากการรวมตัวของโชคชะตาบุ๋นคอยรับหน้าที่ช่วยสืบทอดเก็บรักษาให้โดยเฉพาะ
แล้วนับประสาอะไรกับที่หนังสือต้องห้ามที่เป็นความลับมิอาจแพร่งพรายต่อคนนอกอย่างแท้จริงของกองโหราศาสตร์ก็ล้วนไม่ได้เก็บไว้ในหอตำรา ต่อให้เขาที่เป็นรองหัวหน้ากอง คิดอยากจะเปิดอ่านก็ต้องได้รับการพยักหน้าตกลงจากอีกสองท่านถึงจะได้ และหากเปิดอ่านตำราเล่มใดก็ล้วนต้องถูกบันทึกไว้
ด้วยขอบเขตและมรรคกถาที่ราวกับ ‘หล่นลงมาจากฟ้า’ ส่วนนี้ของเฉินผิงอัน อันที่จริงก็ไม่ยากที่จะตามหาร่องรอยของค่ายกล ถึงขั้นที่ว่าเอาตำราไปกลับหนึ่งรอบก็ต้องไม่มีใครรู้ใครเห็นแน่นอน
หยวนเทียนเฟิงยิ้มถาม “เจ้าขุนเขาเฉิน เชื่อในเรื่องโชคชะตาหรือไม่?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มตอบอย่างไม่ลังเล “ย่อมต้องเชื่อ”
หยวนเทียนเฟิงพลันใช้แส้ปัดฝุ่นในมือวาดเป็นวงกลม จากนั้นใช้แส้ปัดฝุ่นทำท่าผ่ากลางวงกลมนั้น “แบบนี้หรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ววาดเป็นวงกลมเช่นเดียวกัน แต่วงกลมนี้กลับไม่ได้เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ เพราะเหมือนกับว่าเบี่ยงวิถีโคจรไปเล็กน้อย เพียงแต่ว่าเส้นนั้นกลับไม่ได้ยืดขยายออกไป
หยวนเทียนเฟิงผงกศีรษะ
ใต้เท้าเจียนฟู่ที่อยู่ด้านข้างลูบหนวดยิ้ม ส่วนข้อที่ว่าสรุปแล้วข้าเข้าใจหรือไม่ พวกเจ้าสองคนก็ไปเดากันเอาเองเถอะ
เฉินผิงอันใช้เสียงในใจสอบถาม “อาจารย์หยวนกำลังตั้งใจศึกษาเรื่องที่ว่าควรรับมือกับเทวบุตรมารนอกโลกอย่างไรหรือ?”
หยวนเทียนเฟิงไม่ได้ปฏิเสธเรื่องนี้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจนใจเล็กน้อย “มหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล ยากเหมือนเดินขึ้นสวรรค์”
ดูเหมือนว่าหยวนเทียนเฟิงจะเพิ่งรู้สึกตัวอย่างเชื่องช้า ตอนนี้ถึงเพิ่งจะถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉินเคยได้ยินเรื่องของข้ามาก่อนหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้า “ศิษย์พี่ให้ความสำคัญกับอาจารย์หยวนมาก”
หยวนเทียนเฟิงกลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงถามว่า “เจ้าขุนเขาเฉินเชี่ยวชาญศาสตร์ด้านการคำนวณหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ยิ่งอ่านยิ่งปวดหัว แต่เอามาฆ่าเวลาก็ไม่เลวเหมือนกัน”
หยวนเทียนเฟิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดาย “อันที่จริงวิถีแห่งการคำนวณควรจะเอามาไว้ในการสอบเคอจวี่ของต้าหลีด้วย อัตราส่วนก็ไม่ควรจะน้อย ได้ยินว่าราชครูชุยเคยมีความตั้งใจเช่นนี้ แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายกลับไม่ได้นำมาปฏิบัติจริง”
เฉินผิงอันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป
หยวนเทียนเฟิงถามอย่างสงสัย “เจ้าขุนเขาเฉินมีความเห็นต่างหรือ? หรือว่าเห็นด้วยกับความคิดของข้า?”
เฉินผิงอันโบกมือเป็นพัลวัน ยิ้มเอ่ยว่า “แม้ข้าจะไม่อาจตัดสินเรื่องของการสอบเคอจวี่ได้ แต่ข้าต้องไม่กล้าพยักหน้าตอบตกลงกับเรื่องนี้แน่นอน”
ดึงตำราเล่มหนึ่งออกมาแล้วเคาะหัวตัวเองเบาๆ เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หากจะเอามาเป็นข้อสอบของเคอจวี่จริงๆ ต้องไม่ใช่แค่ข้าคนเดียวแน่ที่ปวดหัว ถึงขั้นยังจินตนาการได้ด้วยว่าบัณฑิตตลอดทั้งใต้หล้าจะต้องเกาหัวพลางเต้นผางสบถด่าใส่ตำราคำนวณพวกนี้ไปด้วย”
หยวนเทียนเฟิงหัวเราะเสียงดังลั่น
ลูกศิษย์คนสุดท้ายของสายเหวินเซิ่งคนนี้พูดจามีอารมณ์ขันเสียด้วย
หม่าเจียนฟู่สะท้อนใจยิ่งนัก คนนอกช่างดีจริง สามารถหัวเราะพูดคุยอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายอารมณ์
เฉินผิงอันเอ่ยขอตัวลา เรือนกายเปล่งแสงวูบแล้วหายวับไป
หยวนเทียนเฟิงยิ้มกล่าว “ไม่ถามสักหน่อยหรือว่าจะคืนตำราพวกนั้นเมื่อไหร่?”
หม่าเจียนฟู่เพียงคลี่ยิ้มไม่เอ่ยอะไร คืนไม่คืนอะไรกัน
เฉินผิงอันปรากฏตัวอยู่ตรงตรอกเล็ก พบว่าหลิวเจียไม่อยู่ก็คุยเล่นกับจ้าวตวนหมิงไปสองสามประโยค ถึงได้รู้ว่าก่อนหน้านี้เซียนซือผู้เฒ่าหลิวเพิ่งจะขวางทางอาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งไป
ทางฝั่งของเตาเผามังกรเมืองเล็ก ภิกษุวัยกลางคนพึมพำประโยคหนึ่งในใจว่า จิตนี้ยังคงเหมือนฟาดฟันลมวสันต์
ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ผู้ฝึกกระบี่หลายคนที่จับมือกันออกเดินทางไกล คนที่อยู่ตรงกลางซึ่งสวมกวานดอกบัวได้เอ่ยขึ้นว่า “ไปภูเขาทัวเยว่!”